กลัยโอบลาสโตมา
From Wikipedia, the free encyclopedia
กลัยโอบลาสโตมา[6] (อังกฤษ: glioblastoma) หรือ กลัยโอบลาสโตมา มัลติฟอร์เม (อังกฤษ: glioblastoma multiforme, GBM) เป็นมะเร็งของสมองชนิดหนึ่งที่ถือได้ว่าเป็นมะเร็งชนิดที่ร้ายแรงที่สุดที่เกิดในสมอง[7] อาการแรกเริ่มมักเป็นอาการแบบไม่จำเพาะ[1] เช่น ปวดศีรษะ บุคลิกเปลี่ยนแปลง คลื่นไส้ หรืออาการคล้ายคลึงกับโรคหลอดเลือดสมอง[1] ผู้ป่วยมักมีอาการทรุดลงอย่างรวดเร็ว อาจถึงระดับที่ไม่รู้สึกตัวได้[2]
กลัยโอบลาสโตมา (Glioblastoma) | |
---|---|
ชื่ออื่น | Glioblastoma multiforme, grade IV astrocytoma |
ภาพสแกนเอ็มอาร์ไอสมองตัดแนวหน้าหลัง แสดงให้เห็นก้อนกลัยโอบลาสโตมาในผู้ป่วยชายอายุ 15 ปี คนหนึ่ง | |
สาขาวิชา | ประสาทมะเร็งวิทยา, ประสาทศัลยศาสตร์ |
อาการ | ปวดศีรษะ, บุคลิกเปลี่ยนแปลง, คลื่นไส้, อาการคล้ายโรคหลอดเลือดสมอง[1] |
การตั้งต้น | อายุประมาณ 64 ปี[2][3] |
สาเหตุ | มักไม่ทราบสาเหตุชัดเจน[2] |
ปัจจัยเสี่ยง | โรคพันธุกรรม (นิวโรไฟโบรมาโตซิส, กลุ่มอาการลี-ฟรอเมอไน), เคยได้รับการรักษาด้วยรังสี[2][3] |
วิธีวินิจฉัย | ซีทีสแกน, เอ็มอาร์ไอ, การตัดชิ้นเนื้อ[1] |
การป้องกัน | ไม่ทราบ[3] |
การรักษา | ผ่าตัด, เคมีบำบัด, รักษาด้วยรังสี[3] |
ยา | ทีโมโซโลไมด์, คอร์ติโคสเตียรอยด์[1][4] |
พยากรณ์โรค | อายุคาดเฉลี่ยประมาณ 14 เดือน กรณีได้รับการรักษา, อัตรารอดชีวิต 5 ปีเท่ากับ 7%[2][5] |
ความชุก | 3 ต่อ 100,000 ประชากร ต่อปี[3] |
สาเหตุของโรคยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด[2] มีปัจจัยเสี่ยงที่ได้รับการยืนยันอยู่จำนวนหนึ่ง เช่น โรคทางพันธุกรรมอย่างโรคท้าวแสนปม กลุ่มอาการลี-ฟรอเมอนี และการเคยได้รับการรักษาด้วยการฉายแสง แต่ผู้ป่วยที่สัมพันธ์กับปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้ก็ยังเป็นเพียงส่วนน้อย[2][3] โรคนี้พบเป็นร้อยละ 15 ของเนื้องอกในสมองทั้งหมด[1] อาจตั้งต้นจากเซลล์สมองปกติ หรือเปลี่ยนแปลงมาจากแอสโตรซัยโตมาเกรดต่ำก็ได้[8] การวินิจฉัยโดยส่วนใหญ่ทำได้โดยการรวบรวมข้อมูลจากการทำซีทีสแกน เอ็มอาร์ไอ และการตัดชิ้นเนื้อตรวจ[1]
โรคนี้ยังไม่พบวิธีป้องกัน[3] การรักษาส่วนใหญ่ทำได้โดยใช้ยาเคมีบำบัดและการฉายรังสีเพื่อลดขนาดก้อนแล้วจึงผ่าตัด[3] โดยมักใช้ทีโมโซโลไมด์เป็นยาตัวหนึ่งในชุดยาเคมีบำบัด[3][4][9] อาจสามารถลดขนาดของก้อนและลดอาการบวมของเนื้อสมองรอบก้อนได้ด้วยยาสเตียรอยด์ขนาดสูง[1] การผ่าตัดเอาเนื้องอกและเนื้อเยื่อบริเวณรอบๆ ออกเป็นวงกว้างจะสัมพันธ์กับการมีรอดชีวิตที่ยาวนานขึ้น[10]
แม้จะได้รับการรักษาอย่างเต็มที่ที่สุดแล้วมะเร็งชนิดนี้ก็มักจะกลับมาเป็นได้อีก[3] ระยะเวลารอดชีวิตหลังวินิจฉัยโดยส่วนใหญ่จะอยู่ที่ประมาณ 12-15 เดือน โดยมีผู้ป่วยเพียงส่วนน้อย (น้อยกว่า 3-7%) ที่มีชีวิตอยู่ได้นานกว่า 5 ปี[2][5] หากไม่ได้รับการรักษาผู้ป่วยมักจะมีชีวิตอยู่ได้ประมาณ 3 เดือน[11] ถือเป็นมะเร็งที่พบในเนื้อสมองได้บ่อยที่สุด และเป็นเนื้องอกสมองที่พบได้บ่อยเป็นอันดับสองรองลงมาจากเนื้องอกของเยื่อหุ้มสมองหรือเมนินจิโอมา[7][12] ในแต่ละปีจะพบผู้ป่วยโรคนี้ด้วยสัดส่วน 3 ใน 100,000 คน[3] ส่วนใหญ่มักพบที่อายุ 64 ปีขึ้นไป และพบในเพศชายบ่อยกว่าเพศหญิง[2][3] ปัจจุบันกำลังมีการศึกษาวิจัยว่าจะสามารถใช้การบำบัดด้วยวิทยาภูมิคุ้มกันในการรักษาโรคนี้ได้หรือไม่[13]