Loading AI tools
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
อีกากินซาก (อังกฤษ: carrion crow; ชื่อวิทยาศาสตร์: Corvus corone) จัดอยู่ในวงศ์นกกา อันดับนกเกาะคอน มีลักษณะเด่นจากนกกาอื่นคือ หัวแบน ขนแน่นสีดำล้วน และกินซากสัตว์ มีขนาด 45–47 เซนติเมตร ซึ่งเป็นนกกาที่ใหญ่ที่สุดชนิดหนึ่งในวงศ์ พบได้ในเขตชีวภาพพาลีอาร์กติก ตั้งแต่ สแกนดิเนเวีย และ ยุโรปตะวันตก ไปจนถึง ไซบีเรียตะวันออก ญี่ปุ่น และประเทศจีน
Carrion crow ช่วงเวลาที่มีชีวิตอยู่: Late Pleistocene–Recent | |
---|---|
กำลังหาอาหารบนหาด ในดอร์เซต ประเทศอังกฤษ | |
สถานะการอนุรักษ์ | |
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์ | |
โดเมน: | ยูแคริโอต Eukaryota |
อาณาจักร: | สัตว์ Animalia |
ไฟลัม: | สัตว์มีแกนสันหลัง Chordata |
ชั้น: | สัตว์ปีก Aves |
อันดับ: | Passeriformes Passeriformes |
วงศ์: | วงศ์นกกา Corvidae |
สกุล: | Corvus Corvus Linnaeus, 1758 |
สปีชีส์: | Corvus corone |
ชื่อทวินาม | |
Corvus corone Linnaeus, 1758 | |
Subspecies | |
| |
ระยะกระจายพันธุ์ของอีกากินซาก ช่วงตลอดปี ช่วงฤดูร้อน ช่วงฤดูหนาว |
อีกากินซาก (Corvus corone) เป็นหนึ่งในอีกาหลายสายพันธุ์ที่คาโรลัส ลินเนียส ระบุชนิดพันธุ์ในปี พ.ศ. 2301 ในหนังสือระบบธรรมชาติ (Systema Naturae)[2] ชื่อทวินามจากภาษาละติน Corvus หมายถึง "กา"[3] และภาษากรีก κορώνη (korōnē) หมายถึง "กา"
ก่อนหน้าในปี พ.ศ. 2545 อีกาหมวกดำ (Corvus cornix) ซึ่งเดิมเป็นชนิดย่อยของอีกากินซากได้ถูกแยกออกเป็นชนิดใหม่[4][5] ปัจจุบันมีการพิจารณาแยก "อีกากินซากตะวันออก" (C. c. orientalis) ออกเป็นชนิดย่อย จากความแตกต่างทางสรีระที่มากพอ คือมีขนาดใหญ่กว่า ทรงของแพนหางที่กว้างกว่า และจากการมีวิวัฒนาการอย่างอิสระในพื้นที่ของทั้งสองชนิดพันธุ์ย่อยที่แยกออกจากกันในตอนปลายสุดคนละฝั่งทะเลของผืนทวีปยูเรเชีย[6]
ญาติสนิทที่สุดของอีกากินซากคือ อีกาอเมริกัน (Corvus brachyrhynchos) ในอเมริกาเหนือ ซึ่งอาศัยในนิเวศวิทยาและรูปร่างคล้ายคลึงกันมาก สันนิษฐานว่าอาจแยกออกจากกันในสมัยไพลโอซีน[ต้องการอ้างอิง]
อีกากินซาก (C. corone) อาศัยในระยะการกระจายพันธุ์ที่ใกล้เคียงและทับซ้อนกับนกกาชนิดอื่น ๆ ได้แก่ อีกาโคนปากขาว อีกาหมวกดำ และ นกเรเวน ซึ่งสามารถระบุความแตกต่างของลักษณะทางกายวิภาคได้ดังนี้
ขนของอีกากินซากมีสีดำ มีสีเหลื่อมของขนเป็นเงาสะท้อน สีเขียวหรือสีม่วง ซึ่งมีสีเหลื่อมเขียวสดกว่าขนของอีกาโคนปากขาว อีกากินซากมีมีจะงอยปาก ขา และเท้าสีดำ โดยทั่วไปมีขนาดลำตัวยาว 48-52 ซม. ซึ่งเล็กกว่านกเรเวน (ซึ่งยาวโดยเฉลี่ย 63 เซนติเมตร) และอีกากินซากมีขนสีดำล้วนต่างจากอีกาหมวกดำที่มีขนตัวสีเทาและหัวดำ
อีกากินซากมีช่วงปีกกว้าง 84–100 ซม. น้ำหนัก 400–600 กรัม มีลักษณะและขนาดที่คล้ายคลึงกันมากกับอีกาโคนปากขาว (C. frugilegus) โดยเฉพาะนกรุ่นซึ่งทั้งสองชนิดแทบไม่ต่างกันยกเว้นปีกของอีกากินซากที่ดูล่ำและสั้นกว่าเมื่อพับข้างตัว เมื่อบิน ปีกที่กางออกของอีกากินซากจะมีช่วงปีกสั้นกว่า และปีกกว้างกว่า (ในแนวหัวไปหาง) และเมื่อโตเต็มที่อีกาโคนปากขาวจะสลัดขนที่โคนปากจนเห็นหนังสีขาว ต่างจากอีกากินซากยังคงขนรอบโคนปากคล้ายขนแปรง[7]
นอกจากนี้ในอีกากินซากรุ่น สามารถระบุได้จากขนที่ออกสีน้ำตาล และตาสีฟ้า ซึ่งจะเปลี่ยนเป็นขนสีดำและตาสีน้ำตาลเมื่อโตเต็มที่
อีกากินซาก (C. corone) และอีกาหมวกดำ (C. cornix) เป็นกาสองสายพันธุ์ที่เป็นญาติใกล้ชิดกันมาก และมีแหล่งกระจายพันธุ์ทั่วยุโรป (แบ่งตามแผนภาพประกอบ) สันนิษฐานว่า เดิมเป็นชนิดเดียวกันแต่อาจแยกถิ่นที่อยู่จากผลของวัฏจักรของธารน้ำแข็งในสมัยไพลสโตซีน ซึ่งทำให้ประชากรกลุ่มหลักเดิมแยกขาดออกจากกันเป็น 2 กลุ่ม และเริ่มวิวัฒนาการให้ลักษณะทางกายวิภาคต่างกัน ที่ชัดเจนที่สุดคือสีขน ต่อมาเมื่อที่สภาพอากาศร้อนขึ้นทั้ง 2 กลุ่มเริ่มขยายแหล่งกระจายพันธุ์อีกครั้งทำให้เกิดการติดต่อกันแบบย่อย ๆ ในบางพื้นที่ (พื้นที่เขตรอยต่อ)[8][9]
เพิลสตราและคณะ (Poelstra, et al) วิเคราะห์เรียงลำดับจีโนมเกือบสมบูรณ์ จากตัวอย่างประชากรนกซึ่งเชื่อว่าอาศัยอยู่ในเขตที่ห่างพอจากพื้นที่เขตรอยต่อของทั้งสองชนิด พบว่าทั้งอีกาสองชนิดมีความเหมือนกันทางพันธุกรรมทั้งในดีเอ็นเอ และในรูปของ mRNA มีการความต่างกันของของจีโนมในสัดส่วนที่น้อยมาก (น้อยกว่า 0.28%) โดยเฉพาะที่อยู่บนโครโมโซมที่ 18 ซึ่งเป็นตัวกำหนกสีขนของอีกาหมวกดำให้มีสีลำตัวที่อ่อนกว่า ซึ่งหมายถึงทั้งสองชนิดสามารถผสมพันธุ์กันได้ และในความเป็นจริงได้เกิดขึ้นบางครั้งในพื้นที่เขตรอยต่อ แต่เนื่องจากไม่ได้ผสมข้ามพันธุ์กันเสียทุกกรณี คือ มีความเป็นไปได้ที่ในพื้นที่เขตรอยต่อ อีกากินซากที่สีดำล้วนผสมกับเฉพาะอีกากินซาก และในทำนองเดียวกันอีกาหมวกดำที่ผสมกับเฉพาะอีกาหมวกดำ คณะผู้วิจัยระบุว่า มีความชัดเจนว่ารูปลักษณ์ภายนอกของอีกาสองชนิดที่ต่างกัน อาจช่วยยับยั้งการผสมข้ามพันธุ์[8][9] สิ่งนี้เป็นการผสมพันธุ์แบบเลือกสรร (assortative mating) แทนที่จะเป็นการคัดเลือกทางนิเวศวิทยา ข้อได้เปรียบของการผสมพันธุ์แบบนี้ยังไม่เป็นที่ชัดเจน แต่อาจเร่งไปสู่การปรากฏตัวของชนิดย่อยใหม่ หรือแม้แต่ชนิดใหม่ได้อย่างรวดเร็ว และอาจเป็นไปได้ว่าเป็นสายพันธุ์ที่เกิดจากการผสมข้ามพันธุ์ยังดึงดูดซึ่งกันและกัน และขยายขนาดประชากร
อุนนิกฤษนัน และอาคีรา (Unnikrishnan และ Akhila) เสนอในทางกลับกันว่าเป็นพฤติกรรมชื่นชอบความคล้าย (koinophilia) เป็นคำอธิบายที่ชัดเจนกว่าสำหรับความต้านทานต่อการผสมพันธุ์ข้ามเขตติดต่อ แม้ว่าจะไม่มีอุปสรรคทางสรีรวิทยากายวิภาคหรือพันธุกรรมในการผสมพันธุ์ดังกล่าว[8]
อีกากินซากยังพบได้ในภูเขาและป่าไม้ของญี่ปุ่นและในเมืองต่างๆของญี่ปุ่น[10] และในบราซิลซึ่งสันนิษฐานว่าอาจมาจากผู้ตั้งถิ่นฐานในสมัยอาณานิคมโปรตุเกส
คาดว่าประชากรอีกากินซากทั้งหมดมีจำนวนหลักสิบล้าน จำนวนประชากรที่มากและการกระจายพันธุ์ที่กว้างขวางจึงจัดว่ามีความเสี่ยงต่ำในการสูญพันธุ์ (LC) โดย IUCN[11]
โดยทั่วไปแล้วอีกาโคนปากขาว จะอยู่รวมกันเป็นฝูง และอีกากินซากอยู่แบบโดดเดี่ยว แต่บางครั้งอีกาโคนปากขาวทำรังในต้นไม้ที่แยกตัวออกมาจากฝูงและเป็นไปได้ว่าหากินร่วมกับอีกากินซาก และอีกาอื่นโดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาว
เนื่องจากอีกากินซากอาศัยในพื้นที่ทับซ้อนร่วมกับนกกาชนิดอื่น ๆ ลักษณะเด่นชัดในการจำแนกอีกากินซากคือ เสียงร้อง "กรา ๆ" ลึกกังวานในลำคอ ขณะที่อีกาโคนปากขาวร้อง "กา ๆ" ที่มีโทนเสียงแหลมสูง[ต้องการอ้างอิง]
อีกากินซากมักเกาะบนจุดที่มองโดยรอบได้ชัดที่สุดของอาคาร และส่งเสียงน่ารำคาญแบบชุดถึ่ ๆ (เสียง กรา ๆ) สามหรือสี่ครั้งติดต่อกันอย่างรวดเร็ว และพักเป็นช่วงสั้น ๆ ระหว่างชุด ในระหว่างร้องแต่ละครั้ง อีกากินซากอาจแสดงท่าทางประกอบโดยยกไหล่ (โคนปีก) ขึ้น ตีปีกต่ำ ๆ ก้มหัวและคอลงพร้อมกับเสียง "กรา" แต่ละครั้ง พฤติกรรมการตีปีกของอีกากินซากช้ากว่าและจงใจมากกว่าของอีกาโคนปากขาว[ต้องการอ้างอิง]
อีกากินซาก อาจเป็นมิตรและเข้าใกล้มนุษย์ มักพบได้ในบริเวณใกล้เคียงที่มีกิจกรรมของมนุษย์หรือที่อยู่อาศัยของมนุษย์เช่น เมือง ทุ่ง ป่าไม้ หน้าผาทะเล และพื้นที่เพาะปลูก[12] ซึ่งพวกมันแข่งขันกับนกสังคมอื่น ๆ เช่น นกนางนวล นกกาอื่น ๆ และเป็ดเพื่อแย่งอาหารในสวนสาธารณะ และสวนต่าง ๆ
เช่นเดียวกับอีกาชนิดอื่น อีกากินซากจะก่อกวนนักล่าและคู่แข่งที่เข้ามาในดินแดนของมัน หรือคุกคามพวกมันหรือลูกหลานของพวกมัน ที่เรียกพฤติกรรมต่อต้านผู้ล่าที่รุกราน (mobbing behaviour) ซึ่งเป็นการปกป้องรังและลูกนกอย่างหนึ่ง[13]
เช่นเดียวกับอีกาชนิดอื่น อีกากินซากแสดงพฤติกรรมความฉลาด[14] เช่น สามารถแยกแยะระหว่างตัวเลขได้ถึง 30 ตัว[15] มีความยืดหยุ่นในการตอบสนองต่อการสลับไปมาระหว่างกฎเกณฑ์ที่ต่างกัน[16] และจดจำใบหน้าของมนุษย์และอีกาได้[17] ระดับความฉลาดจากความสามารถเหล่านี้เมื่อเทียบกับไพรเมต แม้ด้วยความแตกต่างของโครงสร้างของสมองอย่างสิ้นเชิงในอีกา ชี้ให้เห็นว่าสติปัญญาของอีกากินซาก (และอีกาอื่น) ได้รับการยอมรับว่าเป็นผลมาจากวิวัฒนาการที่บรรจบกัน[18]
แม้ได้ชื่อว่ากินซากสัตว์ทุกชนิด แต่อีกากินซากกินแมลง ไส้เดือน เมล็ดธัญพืช ผลไม้ เมล็ดพืช สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็ก สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ เศษขยะ และไข่ อีกากินซากโดยทั่วไปเป็นสัตว์ที่ชอบกินของเน่าและสะสมของทิ้งแล้วโดยธรรมชาติ ซึ่งเป็นสาเหตุที่พวกมันมักจะไปอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มนุษย์อาศัยอยู่เป็นประจำเพื่อกินขยะครัวเรือน
อีกากินซากมักรังควาน นกนักล่า หรือแม้แต่สุนัขจิ้งจอก มักออกล่าอย่างแข็งขันและร่วมมือกับอีกาตัวอื่นเป็นครั้งคราวในการล่า และบางครั้งก็พบเห็นการล่าลูกเป็ดเป็นอาหาร เนื่องจากวิถีชีวิตที่อยู่รวมกันเป็นฝูงและความสามารถในการป้องกันของอีกากินซากทำให้มีสัตว์นักล่าตามธรรมชาติเพียงไม่กี่ชนิด อย่างไรก็ตามนกล่าเหยื่อที่ทรงพลัง เช่นนกเหยี่ยวเหนือ เหยี่ยวเพเรกริน นกเค้าแมวยูเรเชียน และนกอินทรีสีทองจะล่าอีกากินซากเป็นอาหารสำคัญในเขตที่อยู่อาศัยของนกล่าเหยื่อเหล่านั้น
มักสร้างรังขนาดใหญ่ด้วยกิ่งไม้บนต้นไม้สูง แต่บางครั้งอาจพบรังของอีกากินซากบนหน้าผา อาคารเก่า และเสา นอกจากนี้อาจพบการวางรังไว้บนหรือใกล้พื้นดินเป็นครั้งคราว รังมีลักษณะคล้ายรังกาทั่วไป แต่มีขนาดกระทัดรัดกว่า
ไข่ของอีกากินซาก มีสีฟ้าหรือสีเขียวที่มีจุดสีน้ำตาล 3 ถึง 4 ฟอง ฟักไข่เป็นเวลา 18−20 วัน โดยตัวเมียเพียงตัวเดียวและให้อาหารโดยตัวผู้ ลูกนกออกจากรังเมื่ออายุ 29−30 วัน[19]
ลูกอีกากินซากที่เพิ่งอายุปีเดียว (จากรังปีก่อนหน้า) จะยังคงไม่แยกจากพ่อแม่ในปีถัดไป แต่อยู่ใกล้ ๆ และช่วยเหลือพ่อแม่ในการหาอาหารเลี้ยงดูแลลูกนกครอกใหม่ แทนที่จะหาคู่ครอง[20]
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.