สภาแห่งชาติ (ลาว: ສະພາແຫ່ງຊາດ; อังกฤษ: National Assembly) เป็นองค์กรที่มีอำนาจสูงสุดของประเทศลาว[1] สภานี้มีสถานะเหมือนตรายางรับรองความชอบธรรมของพรรค[1] แต่ก็มีความพยายามจะเพิ่มขีดความสามารถของสภา เพื่อให้ทำหน้าที่นิติบัญญัติ ควบคุมการบริหาร และเป็นผู้แทนปวงชนได้เข้มแข็งยิ่งขึ้น[2]
บทความนี้ยังต้องการเพิ่มแหล่งอ้างอิงเพื่อพิสูจน์ความถูกต้อง |
เนื้อหาในบทความนี้ล้าสมัย โปรดปรับปรุงข้อมูลให้เป็นไปตามเหตุการณ์ปัจจุบันหรือล่าสุด ดูหน้าอภิปรายประกอบ |
บทความนี้อาจต้องเขียนใหม่ทั้งหมดเพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานคุณภาพของวิกิพีเดีย หรือกำลังดำเนินการอยู่ เนื่องจากมีเนื้อหาที่ไม่เกี่ยวข้องกับหัวเรื่องอยู่มาก คุณช่วยเราได้ หน้าอภิปรายอาจมีข้อเสนอแนะ |
สภาแห่งชาติ ສະພາແຫ່ງຊາດ | |
---|---|
ประเภท | |
ประเภท | |
ผู้บริหาร | |
ประธานสภาแห่งชาติ | |
รองประธานสภาแห่งชาติ | สูนทอน ไซยะจัก จะเลิน เยียปาวเฮอ คำใบ ดำลัด สมมาด พนเสนา พลโท สุวอน เลืองบุนมี, พรรคประชาชนปฏิวัติลาว ตั้งแต่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2564 |
โครงสร้าง | |
สมาชิก | 164 |
กลุ่มการเมือง | พรรคประชาชนปฏิวัติลาว (158) อิสระ (6) |
การเลือกตั้ง | |
การเลือกตั้งครั้งล่าสุด | 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 |
เว็บไซต์ | |
www |
ลาวเป็นรัฐพรรคการเมืองเดียว โดยมีพรรคปฏิวัติประชาชนลาวเป็นพรรคที่ชอบด้วยกฎหมายเพียงพรรคเดียวในประเทศ
ประวัติ
สภาแห่งชาติก่อตั้งขึ้นตามรัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1991 เพื่อแทนที่สภาประชาชนสูงสุด[3]
ในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 20 มีนาคม ค.ศ. 2016 พรรคประชาชนปฏิวัติลาวได้ที่นั่ง 144 ที่จากทั้งหมด 149 ที่ ที่เหลือเป็นของผู้สมัครอิสระ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เปิดให้เลือกตั้งสมาชิกสภามากถึงราวร้อยละ 73[4]
ใน ค.ศ. 2017 สำนักงานแห่งใหม่ของสภาเริ่มก่อสร้างด้วยการอุดหนุนทางการเงินจากเวียดนาม[5]
องค์ประกอบ
สภา ประกอบด้วย สมาชิกสภา ประธานสภา รองประธานสภา คณะประจำสภา คณะกรรมาธิการ ห้องว่าการสภา
สมาชิก
สมาชิกสภาอยู่ในตำแหน่งคราวละ 5 ปี ต้องเป็นพลเมืองลาวที่ได้รับเลือกตั้งมาตามกฎหมาย การเลือกตั้งสมาชิกชุดใหม่ต้องเสร็จสิ้นใน 60 วันก่อนชุดเก่าจะหมดวาระ
ในคราวสงคราม หรือเมื่อมีสาเหตุอื่นซึ่งทำให้เลือกตั้งไม่สะดวก สภาอาจต่อวาระของตนได้ แต่ต้องจัดการเลือกตั้งภายใน 6 เดือนหลังสภาพการณ์เป็นปรกติ และในกรณีที่มีความจำเป็น จะจัดการเลือกตั้งก่อนสมาชิกหมดวาระดำรงตำแหน่งก็ได้ แต่ต้องได้รับความเห็นชอบจากสภาไม่น้อยว่าสองในสาม
สมาชิกเลือกประธานและรองประธานติ และสมาชิกเลือกคณะกรรมาธิการที่ตนจะสังกัดได้โดยความเห็นชอบของที่ประชุมสภา จากนั้นสมาชิกแต่ละคณะกรรมาธิการเลือกและแต่งตั้งหัวหน้าและรองหัวหน้าคณะกรรมาธิการ สมาชิกสภาแห่งชาติเลือกและแต่งตั้งสมาชิก 1 คน เพื่อทำหน้าที่หัวหน้าห้องว่าการสภาแห่งชาติ ส่วนรองหัวหน้าห้องว่าการสภาแห่งชาตินั้นอาจแต่งตั้งจากสมาชิกสภาแห่งชาติหรือไม่ก็ได้ ประธานสภาแห่งชาติ รองประธานสภาแห่งชาติ หัวหน้าคณะกรรมาธิการ และหัวหน้าห้องว่าการสภาแห่งชาติ (หรืออาจแต่งตั้งเพิ่มเติมได้ แต่โดยปกติมักไม่แต่งตั้งเพิ่มเติม) โดยตำแหน่งประกอบกันเป็นคณะประจำ สภาแห่งชาติ เพื่อทำหน้าที่แทนสภาแห่งชาติเต็มองค์คณะในระหว่างนอกสมัยประชุมสภาแห่งชาติ โดยศักดิ์ของตำแหน่งแล้ว ในทางการบริหารนั้น ประธานสภาแห่งชาติ ศักดิ์เทียบเท่ากับตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะกรรมาธิการหรือหัวหน้าห้องว่าการสภาแห่งชาติ ศักดิ์เทียบเท่ากับตำแหน่ง รัฐมนตรี ซึ่งสะท้อนบทบาททางการบริหารและอำนาจที่ค่อนข้างสูงของตำแหน่งทางการเมืองของสภาแห่งชาติ
คณะประจำสภา
คณะประจำสภาแห่งชาติ (หรือคณะกรรมการประจำสภาแห่งชาติ) คือ คณะสมาชิกสภาแห่งชาติจำนวนหนึ่งซึ่งสมาชิกสภาแห่งชาติแต่งตั้งขึ้นเพื่อปฏิบัติงานประจำของสภาแห่งชาติ โดยเฉพาะระหว่างที่มิได้เปิดสมัยประชุมเป็นโครงสร้างและระบบเฉพาะพิเศษของสภาแห่งชาติลาว ซึ่งจัดองค์ประกอบและโครงสร้างตามแบบของประเทศสังคมนิยม - คอมมิวนิสต์ ระบบของไทยไม่มีหน่วยงานหรือสถาบันหรือองค์กรระดับนี้หรือองค์การเทียบเท่า เหตุผลหนึ่งเพราะสมัยประชุมของรัฐสภาไทยค่อนข้างยาว (สมัยประชุมสามัญรัฐสภาไทย 120 วัน 1 ปี มี 2 สมัยประชุมสามัญ) จึงไม่จำเป็นต้องมีหน่วยงานขึ้นมาเพื่อปฏิบัติหน้าที่แทนที่มีศักดิ์และสิทธิ (เกือบ) เทียบเท่า สภาแห่งชาติ แต่สภาแห่งชาติลาวมีสมัยประชุมค่อนข้างสั้น (หนึ่งปีมีสมัยประชุมสามัญ 2 สมัย ระยะเวลา 1 สมัยประชุม ประมาณ 7 - 15 วัน ทั้งนี้เปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสม) จึงจำเป็นต้องมีองค์กรที่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของสภาแห่งชาติในช่วงเวลาดังกล่าวได้ ซึ่งสภาแห่งชาติก็ได้ทำการเลือกตั้งคณะประจำสภาแห่งชาติของตน ขึ้นมา
คณะประจำสภาแห่งชาติ ประกอบด้วย ประธาน รองประธาน และกรรมการจำนวนหนึ่งประธานและรองประธานสภาแห่งชาติ เป็นประธานและรองประธานคณะประจำสภาแห่งชาติโดยตำแหน่ง[6] และกรรมการอื่นประกอบด้วยหัวหน้าคณะกรรมมาธิการทุกคณะกรรมาธิการและหัวหน้าห้องว่าการสภาแห่งชาติ ซึ่งกรรมการคณะประจำสภาแห่งชาติ ต้องเป็นสมาชิกสภาแห่งชาติในวาระนั้นด้วย (ตามกฎหมายประธานและรองประธานสภาแห่งชาติเป็นประธานและรองประธานคณะประจำสภาแห่งชาติโดยตำแหน่ง ส่วนกรรมการอื่นแต่งตั้งจากสมาชิกสภาแห่งชาติโดยที่ประชุมสภาแห่งชาติ แต่โดยธรรมเนียมของสภาแห่งชาติลาวโดยเฉพาะในชุดหลัง ๆ นั้น มักแต่งตั้งจากหัวหน้าคณะกรรมาธิการทุกคณะกรรมาธิการและหัวหน้าห้องว่าการสภาแห่งชาติเท่านั้น)[7] โดยปกติคณะประจำสภาแห่งชาติประกอบด้วยประธาน รองประธาน หัวหน้าคณะกรรมาธิการ และ หัวหน้าห้องว่าการสภาแห่งชาติ ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากการจัดองค์กรและบทบาท อำนาจ และหน้าที่คณะประจำสภาแห่งชาติจึงมีฐานะเป็น “รัฐบาลเงา” ของสภาแห่งชาติ เพื่อคอยตรวจสอบและติดตามการปฏิบัติงานของรัฐบาลอย่างใกล้ชิดด้วยในที่สุด
คณะประจำสภาแห่งชาติเป็นองค์กรประจำการหรือคณะสมาชิกผู้ปฏิบัติงานของสภาแห่งชาติเป็นงานประจำ ซึ่งปฏิบัติหน้าที่แทนสภาแห่งชาติในระยะเวลาที่สภาแห่งชาติมิได้เปิดสมัยประชุม
คณะประจำสภาแห่งชาติมีอำนาจหน้าที่[8] ดังนี้
- เตรียมการประชุมและเรียกสมาชิกเพื่อร่วมประชุมสภาแห่งชาติ
- วินิจฉัยตีความและอธิบาย รัฐธรรมนูญและกฎหมาย
- ให้การศึกษา อบรมประชาชน เพื่อให้ตระหนักถึงและพัฒนาความรู้ ความเข้าใจ ตลอดจน เคารพต่อรัฐธรรมนูญและกฎหมาย
- เสนอให้ประธานประเทศออกรัฐบัญญัติหรือรัฐดำรัส
- กำกับและตรวจสอบ การดำเนินงานและการปฏิบัติงานของ องค์การบริหารและองค์การตุลาการ
- พิจารณาข้อตัดสินใจและปัญหาสำคัญของประเทศ (ในเวลาที่สภาแห่งชาติมิได้เปิดสมัยประชุม)
- แต่งตั้งหรือถอดถอน รองประธานศาลประชาชนสูงสุด รองอัยการประชาชนสูงสุด และผู้พิพากษาของศาลประชาชน
- ชี้นำและนำพา การปฏิบัติงานของ คณะกรรมาธิการ
- รับรองให้การปฏิบัติหน้าที่ของสภาแห่งชาติ ครบสมบูรณ์ตามที่กำหนดไว้ในกฎหมาย
- สนับสนุน ให้สมาชิกสภาแห่งชาติได้ดำเนินงานตามภารกิจ บทบาท และหน้าที่
- ปฏิบัติตามสิทธิและหน้าที่อื่นตามที่ได้กำหนดไว้ในกฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับของสภาแห่งชาติ
อย่างไรก็ตาม ในระยะเวลาที่มิได้อยู่ในสมัยการประชุม คณะประจำสภาแห่งชาติมีสิทธิตัดสินใจและดำเนินการทุกประการได้เหมือนกับสภาแห่งชาติเต็มองค์คณะ (ถือว่าเป็นผู้แทนที่สมาชิกสภาแห่งชาติทั้งหมดไว้วางใจเลือกตั้งให้มาดำรงตำแหน่งดังกล่าวเพื่อให้สามารถปฏิบัติหน้าที่แทนสภาแห่งชาติเต็มองค์คณะได้ในระยะเวลาและกิจการตามที่กฎหมายกำหนด) และให้ถือเป็นตัวแทนของสภาแห่งชาติในกิจการทั้งปวงในช่วงระยะเวลาตามกล่าวข้างต้น
คณะกรรมาธิการ
สภาแห่งชาติ ชุดที่ 4 มีคณะกรรมาธิการ 6 คณะ[9] (จำนวนคณะกรรมาธิการของสภาแห่งชาติเป็นไปตาม กฎหมายว่าด้วยสภาแห่งชาติ ส่วนของไทยกำหนดจำนวนตามข้อบังคับการประชุมสภาจึงเปลี่ยนแปลงจำนวนเพิ่ม ลดได้ง่าย) ดังนี้
- คณะกรรมาธิการกฎหมาย
- คณะกรรมาธิการเศรษฐกิจ แผนงาน และการเงิน
- คณะกรรมาธิการวัฒนธรรม - สังคม
- คณะกรรมาธิการกิจการชนเผ่า
- คณะกรรมาธิการป้องกันชาติ - ป้องกันความสงบ
- คณะกรรมาธิการการต่างประเทศ
คณะกรรมาธิการ (ต่าง ๆ) มีสิทธิและหน้าที่ ดังนี้
- ติดตาม ตรวจสอบ และสนับสนุนการปฏิบัติ ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจ - สังคม และแผนงบประมาณแห่งรัฐ
- ค้นคว้าเพื่อเสนอความเห็นประกอบ ร่างแผนพัฒนาเศรษฐกิจ - สังคม และแผนงบประมาณแห่งรัฐ
- ค้นคว้าเพื่อเสนอความเห็นประกอบ ร่างกฎหมาย ร่างรัฐบัญญัติ ร่างดำรัส และร่างนิติกรรม ที่รัฐบาลและองค์การจัดตั้งเสนอต่อคณะประจำสภาแห่งชาติ
- ติดตาม ตรวจสอบ และสนับสนุนการปฏิบัติ ตามรัฐธรรมนูญและระเบียบกฎหมาย
- ประสานความร่วมมือ กับองค์การจัดตั้งพรรค รัฐ องค์การจัดตั้งมหาชน และภาคส่วนอื่นที่เกี่ยวข้องเพื่อรวบรวมข้อมูล
ในกรณีจำเป็นอาจเชิญภาคส่วนดังกล่าวมาเพื่อให้ข้อมูลเพิ่มเติมหรือเข้าตรวจสอบการปฏิบัติงานได้
- สร้างความสัมพันธ์กับต่างประเทศและองค์การระหว่างประเทศ ภายใต้ความเห็นชอบของคณะประจำสภาแห่งชาติ
- เสนอปัญหาอันเกี่ยวกับงาน ต่อสภาแห่งชาติหรือคณะประจำสภาแห่งชาติเพื่อพิจารณา
- ปฏิบัติตามสิทธิและหน้าที่อื่นตามการมอบหมายของประธานสภาแห่งชาติหรือคณะประจำสภาแห่งชาติ
ห้องว่าการสภาแห่งชาติ
ห้องว่าการสภาแห่งชาติเป็นองค์การฝ่ายธุรการ สำนักงาน และเลขานุการของสภาแห่งชาติและคณะประจำสภาแห่งชาติห้องว่าการสภาแห่งชาติจัดตั้ง (องค์การและคณะบริหาร) ขึ้นในที่ประชุมปฐมฤกษ์ของสภาแห่งชาติแต่ละชุด[10] (พร้อมกับคณะประจำสภาแห่งชาติและคณะกรรมาธิการ) ห้องว่าการสภาแห่งชาติมีหน้าที่ค้นคว้า สรุป วิเคราะห์ ตลอดจนบริหาร วางแผน งานการเงิน - การงบประมาณ และอำนวยความสะดวกให้แก่คณะกรรมาธิการของสภาแห่งชาติในการดำเนินงานและปฏิบัติหน้าที่ของตนปัจจุบัน หัวหน้าห้องว่าการสภาแห่งชาติ คือ ท่าน ทองเติน ไซยะเสม เป็นผู้บังคับบัญชาพนักงานของห้องว่าการสภาแห่งชาติ
อำนาจหน้าที่ของห้องว่าการสภาแห่งชาติ
ห้องว่าการสภาแห่งชาติมีอำนาจหน้าที่ ดังนี้
- บังคับบัญชาพนักงาน - รัฐกร ให้รับผิดชอบงานการเมือง แนวคิด - อุดมการณ์ และการบริหารงานของห้องว่าการสภาแห่งชาติ ปฏิบัติงานตามนโยบายและการมอบหมายของสภาแห่งชาติต่อสมาชิกสภาแห่งชาติพนักงาน และรัฐกรของสภาแห่งชาติ
- จัดตั้งและปฏิบัติงานโครงการประจำเดือน ไตรมาส ครึ่งปี และ ประจำปี ของสภาแห่งชาติและคณะประจำสภาแห่งชาติ สรุปและวิเคราะห์สถานการณ์และการปฏิบัติงาน ของสภาแห่งชาติและคณะประจำสภาแห่งชาติในแต่ละช่วงเวลา
- สรุปและวิเคราะห์เกี่ยวกับการปฏิบัติ ตามระเบียบกฎหมาย แผนพัฒนาเศรษฐกิจ - สังคมและงบประมาณแห่งรัฐ เพื่อรายงานให้สภาแห่งชาติและคณะประจำสภาแห่งชาติ
- จัดเตรียมการประชุม (ทุกด้าน) ของการประชุมสภาแห่งชาติและคณะประจำสภาแห่งชาติ
- จัดทำและบริหารงานงบประมาณและงานพัสดุ ของสภาแห่งชาติ
- บริหารงาน เอกสาร - ธุรการ งานสำนักงาน งานเลขานุการ งานห้องสมุด งานพิธีการ งานการบริหารยานพาหนะ งานเทคโนโลยีการพิมพ์ งานอาคารสถานที่
- บริหารงาน ป้องกันความสงบและรักษาความปลอดภัย ของ (อาคารและบริเวณของ) สำนักงานสภาแห่งชาติ
- ติดตาม ตรวจสอบ และสนับสนุนการปฏิบัติงาน ของ ห้องว่าการสภาแห่งชาติประจำเขตเลือกตั้ง
- ประชาสัมพันธ์ข่าวสาร ของสภาแห่งชาติ
- สร้างความสัมพันธ์และประสานความร่วมมือ กับ คณะกรรมาธิการแต่ละคณะของสภาแห่งชาติ
- สร้างความสัมพันธ์และประสานความร่วมมือ กับ ห้องว่าการศูนย์กลางพรรค ห้องว่าการประธานประเทศ ห้องว่าการนายกรัฐมนตรี และองค์กรอื่น ที่เกี่ยวข้อง
- สร้างความสัมพันธ์กับต่างประเทศและองค์การระหว่างประเทศ โดยความเห็นชอบของคณะประจำสภาแห่งชาติ
- ปฏิบัติตามสิทธิและหน้าที่อื่นตามการมอบหมายของประธานสภาแห่งชาติหรือคณะประจำสภาแห่งชาติ
รายนามประธานสภาแห่งชาติลาว
รายพระนาม/รายนามประธานคณะกรรมาธิการสามัญของสมัชชาประชาชนสูงสุด
ลำดับ | ประธานสภา | ระยะเวลา | พรรคการเมือง | ||||
---|---|---|---|---|---|---|---|
ภาพ | ชื่อ (อายุขัย) |
เริ่ม | สิ้นสุด | รวมระยะเวลา | |||
1 | เจ้า สุภานุวงศ์ ສຸພານຸວົງ (1909–1995) |
2 ธันวาคม 1975 |
25 พฤศจิกายน 1986 |
10 ปี 358 วัน | พรรคประชาชนปฏิวัติลาว | ||
2 | สีสมพอน ลอวันไช ສີສົມພອນ ລອວັນໄຊ (1916–1993) |
25 พฤศจิกายน 1986 |
1988 | 2 ปี 5 วัน | พรรคประชาชนปฏิวัติลาว | ||
3 | หนูฮัก พูมสะหวัน ໜູຮັກ ພູມສະຫວັນ (1910–2008) |
1 มิถุนายน 1986 |
25 พฤศจิกายน 1992 |
3 ปี 177 วัน | พรรคประชาชนปฏิวัติลาว |
รายนามประธานสภาแห่งชาติลาว
ลำดับ | ประธานสภา | ระยะเวลา | พรรคการเมือง | ||||
---|---|---|---|---|---|---|---|
ภาพ | ชื่อ (อายุขัย) |
เริ่ม | สิ้นสุด | รวมระยะเวลา | |||
1 | สะหมาน วิยาเกด ສະໝານ ວິຍາເກດ (1927–2016) |
25 กุมภาพันธ์ 1993 |
2005 | 12 ปี 279 วัน | พรรคประชาชนปฏิวัติลาว | ||
2 | ทองสิง ทำมะวง ທອງສິງ ທຳມະວົງ (เกิดใน ค.ศ.1944) |
8 มิถุนายน 2006 |
23 ธันวาคม 2010 |
4 ปี 198 วัน | พรรคประชาชนปฏิวัติลาว | ||
3 | ปานี ยาท่อตู้ ປານີ ຍາທໍ່ຕູ້ (เกิดใน ค.ศ. 1951) |
23 ธันวาคม 2010 |
22 มีนาคม 2021 |
10 ปี 89 วัน | พรรคประชาชนปฏิวัติลาว | ||
4 | ไซสมพอน พมวิหาน ໄຊສົມພອນ ພົມວິຫານ |
22 มีนาคม 2021 |
ดำรงตำแหน่ง | 3 ปี 230 วัน | พรรคประชาชนปฏิวัติลาว |
การเงิน
สภาแห่งชาติได้รับงบประมาณแยกต่างหากจากรัฐบาลและหน่วยงานอื่น
โครงสร้างของห้องว่าการสภาแห่งชาติ
ห้องว่าการสภาแห่งชาติ มีหัวหน้าห้องว่าการและรองหัวหน้าห้องว่าการสภาแห่งชาติเป็นผู้บังคับบัญชาพนักงานและรัฐกรของสภาแห่งชาติโครงสร้างระบบการบริหารงานและการปฏิบัติงานของห้องว่าการสภาแห่งชาติ ประกอบด้วย กรมแผนก และห้องว่าการสภาแห่งชาติประจำเขตเลือกตั้ง
หัวหน้าห้องว่าการสภาแห่งชาติเป็นสมาชิกสภาแห่งชาติที่ได้รับการเลือกตั้งจากที่ประชุมปฐมฤกษ์ของสภาแห่งชาติ ส่วนรองหัวหน้าห้องว่าการสภาแห่งชาติได้รับการแต่งตั้งจากคณะประจำสภาแห่งชาติ (ซึ่งรองหัวหน้าห้องว่าการอาจจะเป็นสมาชิกสภาแห่งชาติด้วยหรือไม่ก็ได้)
ข้อสังเกตเกี่ยวกับกรมฝ่ายวิชาการและข้อมูลทั้ง 6 กรม นั้น คือ ทุกกรมมีรายชื่อตรงกับคณะกรรมาธิการทั้ง 6 คณะ เพราะกรมฝ่ายวิชาการและข้อมูลนั้นถือเป็นกรมที่สนับสนุนการดำเนินงานของคณะกรรมาธิการแต่ละคณะโดยตรง และในทางการบริหารกรมฝ่ายวิชาการและข้อมูลขึ้นตรง 2 ส่วน คือ แต่ละคณะกรรมาธิการและห้องว่าการสภาแห่งชาติ โดยในทางการบริหารขึ้นตรงต่อห้องว่าการสภาแห่งชาติ แต่ในทางการปฏิบัติงานนั้นขึ้นตรงต่อคณะกรรมาธิการแต่ละคณะ[11]
สมาชิกและฐานะของสมาชิกสภาแห่งชาติ
คุณสมบัติของสมาชิกสภาแห่งชาติ
- มีน้ำใจรักชาติ รักระบอบประชาธิปไตยประชาชน มีความจงรักภักดีตามแนวทางการเปลี่ยนแปลงใหม่ของพรรค มีความตั้งใจที่ดีต่อประเทศชาติอย่างบริสุทธิ์ใจและรับใช้ผลประโยชน์ของประชาชนอย่างเต็มความสามารถ[12]
- มีความรู้ความเข้าใจต่อแนวทางและผลประโยชน์ของพรรคและข้อระเบียบกฎหมายของรัฐ สามารถเผยแพร่ ปลุกระดม ให้ความรู้ และอบรมประชาชนให้เข้าร่วมกันสร้างประโยชน์ต่อส่วนรวมและสังคมอย่างแท้จริง
- มีทัศนะต่อส่วนรวมและสังคมอันถูกต้อง เป็นสัญลักษณ์แห่งความสามัคคีของประชาชนทุกเผ่าชน มีแนวทางในการปฏิบัติงานที่ใกล้ชิดและร่วมมือกับประชาชน (โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ชนบท) ตลอดจนต้องได้รับความไว้วางใจจากประชาชน
- มีความรู้ความสามารถทางวิชาการเพื่อให้สามารถค้นคว้าและเสนอความเห็นประกอบการปฏิบัติหน้าที่ตามสิทธิและหน้าที่ของสมาชิกสภาแห่งชาติ
- มีสุขภาพแข็งแรงเพื่อให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายด้วยดีสิทธิและหน้าที่ของสมาชิกสภาแห่งชาติ
สมาชิกสภาแห่งชาติมีสิทธิและหน้าที่ดังนี้
- เป็นบุคคลตัวอย่าง (ใน) การค้นคว้าใฝ่รู้และปฏิบัติหน้าที่ตามแนวทางและแผนนโยบายของพรรคระเบียบกฎหมายของรัฐ และมติที่ประชุมของสภาแห่งชาติ
- เผยแพร่ นโยบายของพรรค ระเบียบกฎหมายของรัฐ และมติที่ประชุม ของสภาแห่งชาติ ปลุกระดมประชาชน (ใน) การปกป้องคุ้มครองรัฐ เศรษฐกิจ และสังคม
- เข้าร่วมการประชุมของสภาแห่งชาติ เสนอความเห็นและลงคะแนนเสียงอย่างเสมอภาพต่อข้อพิจารณาหรือ “บันหา” หรือญัตติหรือการขอมติของสภาแห่งชาติในกรณีที่สมาชิกท่านใดไม่สามารถเข้าร่วมการประชุมได้ สมาชิกท่านนั้นจะต้องแจ้งให้คณะประจำสภาแห่งชาติทราบก่อนที่จะเปิดการประชุม
- เข้าร่วมงานการพัฒนา (ในระดับชุมชนชนบท) อย่างใกล้ชิดกับประชาชน ภายใต้การติดตามประเมินผล และตรวจสอบ (สุขทุกข์ของ) ประชาชน สรุปความคิดเห็นและแนวความคิดของประชาชน (ต่อกรณีต่าง ๆ) เสนอต่อที่ประชุมสภาแห่งชาติ
- รับคำเสนอหรือคำร้องของประชาชน เพื่อปรึกษากับองค์กรที่เกี่ยวข้องพิจารณาและแก้ไข อย่างเหมาะสมต่อไป
- รายงานการปฏิบัติงาน ของตน ต่อประชาชนอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง
- รายงานการปฏิบัติงาน ของตน ต่อคณะประจำสภาแห่งชาติอย่างสม่ำเสมอ
- เข้าร่วมการประชุมและพิธีการสำคัญ ขององค์การจัดตั้งพรรค องค์การจัดตั้งรัฐ และองค์การจัดตั้งมหาชนในเขตเลือกตั้งของตน
- ปฏิบัติตามสิทธิและหน้าที่อื่นตามที่ได้กำหนดไว้ในระเบียบและข้อบังคับของสภาแห่งชาติ
ฐานะทางด้านนิติบัญญัติของสมาชิกสภาแห่งชาติ
สมาชิกสภาแห่งชาติเป็นตัวแทนแห่งจิตปรารถนาและความมุ่งมั่นตั้งใจของประชาชนลาวทุกเผ่าชน โดยพลเมืองลาวเป็นผู้เลือกตั้งสมาชิกสภาแห่งชาติตามหลักการที่ได้กำหนดไว้ในกฎหมายการเลือกตั้งสมาชิกสภาแห่งชาติสมาชิกสภาแห่งชาติได้รับ เอกสิทธิ์ ที่จะไม่ถูกดำเนินคดีหรือกักขัง หากไม่ได้รับความเห็นชอบจากสภาแห่งชาติหรือคณะประจำสภาแห่งชาติ (ในเวลาที่สภาแห่งชาติมิได้เปิดสมัยการประชุม) ในกรณีที่มีการกระทำผิดซึ่งหน้าหรือรีบด่วน หน่วยงานที่กักขังสมาชิกสภาแห่งชาติต้องรายงานต่อสภาแห่งชาติหรือคณะประจำสภาแห่งชาติ (ในเวลาที่สภาแห่งชาติมิได้เปิดสมัยการประชุม) เพื่อพิจารณาอนุมัติการจับกุมทันที การสืบสวน - สอบสวนไม่อาจเป็นสาเหตุให้สมาชิกสภาแห่งชาติที่ถูกดำเนินคดีนั้นขาดการประชุมสภา แห่งชาติได้[13]
อำนาจหน้าที่ของสภาแห่งชาติ
อำนาจหน้าที่ของสภาแห่งชาติ
รัฐแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวเป็นรัฐประชาธิปไตยประชาชน อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน สภาแห่งชาติเป็นองค์การอำนาจรัฐที่มีสิทธิ อำนาจ พิจารณาและรับรองข้อตัดสินใจหรือปัญหาพื้นฐานของประเทศ ตลอดจนเป็นองค์การนิติบัญญัติและองค์การกำกับตรวจสอบการดำเนินงานของคณะรัฐบาลและองค์การตุลาการ (ศาลประชาชนและองค์การอัยการประชาชน) สภาแห่งชาติจัดตั้งและดำเนินงานตามหลักการประชาธิปไตยประชาชนแบบรวมศูนย์อำนาจ สภาแห่งชาติดำเนินงานตามระเบียบการประชุมและพิจารณาข้อตัดสินใจหรือ “บันหา” หรือญัตติตามหลักการเสียงข้างมาก (Majority Vote)
สิทธิและหน้าที่[14] ของสภาแห่งชาติตามรัฐธรรมนูญ มีดังนี้
- จัดทำ รับรอง หรือแก้ไข รัฐธรรมนูญ
- พิจารณา รับรอง แก้ไข หรือยกเลิก กฎหมาย
- พิจารณา รับรอง กำหนด แก้ไข หรือยกเลิก ภาษีและส่วยอากร
- พิจารณา รับรอง แผนยุทธศาสตร์แห่งการพัฒนาเศรษฐกิจ - สังคม (แผนพัฒนาเศรษฐกิจ - สังคมแห่งรัฐ) และ แผนงบประมาณแห่งรัฐ
- แต่งตั้งหรือถอดถอน ประธานประเทศ และ รองประธานประเทศ ตามการเสนอของคณะประจำสภาแห่งชาติ
- พิจารณารับรองการเสนอแต่งตั้งหรือถอดถอน สมาชิกคณะรัฐบาล (นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี รัฐมนตรีช่วย หัวหน้าองค์การเทียบเท่ากระทรวง เจ้าแขวง และเจ้าผู้ครองนคร) ตามการเสนอของประธานประเทศ
- แต่งตั้งหรือถอดถอน ประธานศาลประชาชนสูงสุด และ อัยการประชาชนสูงสุด ตามการเสนอของประธานประเทศ
- พิจารณาจัดตั้งหรือยุบ กระทรวง องค์การเทียบเท่ากระทรวง แขวง และ นคร รวมทั้ง พิจารณาเขตของ แขวงและนคร ตามการเสนอของนายกรัฐมนตรี
- พิจารณา นิรโทษกรรม
- พิจารณารับรองสัตยาบันหรือลบล้าง สนธิสัญญา หรือ สัญญาที่รัฐบาลได้ลงนามกับต่างประเทศตามกฎหมาย
- พิจารณา ประกาศสงครามหรือประกาศยุติสงคราม
- ติดตามตรวจสอบการปฏิบัติและดำเนินการตามรัฐธรรมนูญและกฎหมาย
- พิจารณาข้อตัดสินใจและปัญหาสำคัญอื่นที่มีความสำคัญต่อประเทศหรือผลประโยชน์สำคัญของประชาชน
- ดำเนินงานตามสิทธิและหน้าที่อื่นตามที่ได้กำหนดไว้ในกฎหมาย
อำนาจหน้าที่ของประธานและรองประธานสภาแห่งชาติ
อำนาจหน้าที่ของประธานสภาแห่งชาติ
ประธานสภาแห่งชาติ เป็น “ผู้ชี้นำและนำพา” การปฏิบัติงานตามภารกิจของสภาแห่งชาติ ตลอดจน เป็น “ผู้แทน” ของสภาแห่งชาติ ในการปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องทั้งภายในและระหว่างประเทศ[15]
ประธานสภาแห่งชาติมีสิทธิและหน้าที่[16] ดังนี้
- เป็นประธานการประชุมของสภาแห่งชาติ
- “ชี้นำ” และตรวจสอบการดำเนินงานของสภาแห่งชาติ
- รักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อยของสภาแห่งชาติ
- “ชี้นำและนำพา” การปฏิบัติงานด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
- ลงนามนิติกรรม หนังสือ เอกสาร หรือกฎหมาย ที่ได้รับรองแล้วในที่ประชุมสภาแห่งชาติ
- ปฏิบัติตามสิทธิและหน้าที่อื่นตามที่กำหนดไว้ในกฎหมาย
อำนาจหน้าที่ของรองประธานสภาแห่งชาติ
รองประธานสภาแห่งชาติ มีหน้าที่ช่วยเหลือประธานสภาแห่งชาติในการปฏิบัติงานทั่วไป และอาจรับผิดชอบการปฏิบัติงานด้านหนึ่งด้านใดตามการมอบหมายของประธานสภาแห่งชาติกรณีที่ประธานสภาแห่งชาติไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้รองประธานสภาแห่งชาติปฏิบัติหน้าที่แทนตามการมอบหมายของสภาแห่งชาติ[17]
การดำเนินงานของสภาแห่งชาติ
การประชุมของสภาแห่งชาติ
สภาแห่งชาติมีการประชุม 4 ประเภท[18] ดังนี้
- การประชุมปฐมฤกษ์
- การประชุมสมัยสามัญ
- การประชุมสมัยวิสามัญ
- การประชุมสมัยพิเศษ[19]
การประชุมปฐมฤกษ์ คือ การประชุมครั้งแรกของสภาแห่งชาติชุดใหม่ จะมีขึ้นไม่เกิน 60 วัน หลังการเลือกตั้งสมาชิกสภาแห่งชาติชุดนั้น ประธานสภาแห่งชาติชุดเดิมจะทำหน้าที่ประธานการประชุมปฐมฤกษ์จนกว่าจะได้เลือกตั้งประธานสภาแห่งชาติชุดใหม่
ที่ประชุมปฐมฤกษ์มีภารกิจ[20] ดังนี้
- รับรองรายงานของประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ผลการเลือกตั้ง และสมาชิกภาพของสมาชิกสภาแห่งชาติชุดใหม่
- แต่งตั้งประธานและรองประธานสภาแห่งชาติ กรรมการคณะประจำสภาแห่งชาติ หัวหน้า รองหัวหน้าและกรรมาธิการประจำคณะกรรมาธิการ หัวหน้าห้องว่าการสภาแห่งชาติ และผู้แทนประจำคณะรัฐสภาระหว่างประเทศของสภาแห่งชาติ
- แต่งตั้งประธานและรองประธานประเทศ กำหนดองค์คณะของรัฐบาล แต่งตั้ง โยกย้าย หรือถอดถอนสมาชิกคณะรัฐบาล
- แต่งตั้งประธานศาลประชาชนสูงสุดและอัยการประชาชนสูงสุด[21]
- พิจารณาและรับรองโครงการดำเนินงานของสภาแห่งชาติ
สภาแห่งชาติเปิด การประชุมสมัยสามัญ ปีละ 2 ครั้ง โดยมีคณะประจำสภาแห่งชาติเป็นผู้เรียกประชุม[22]ครั้งที่ 1 มีขึ้นระหว่างเดือนกุมภาพันธ์และครั้งที่ 2 ระหว่างเดือนกันยายน หนึ่งสมัยประชุมของสภาแห่งชาติมีระยะเวลาประมาณ 1 - 2 สัปดาห์ โดยมีการกำหนดวาระที่ชัดเจนก่อนจะเริ่มการประชุมแล้วการประชุมสมัยสามัญ ครั้งที่ 1 พิจารณากฎหมาย ข้อตัดสินใจหรือปัญหาทั่วไปของสภาแห่งชาติ ส่วนการประชุมสมัยสามัญ ครั้งที่ 2 นั้น มีหน้าที่รับฟังคำนำเสนอและพิจารณาบทรายงาน (ผลการปฏิบัติงาน) ประจำปีของรัฐบาล พิจารณารับรองแผนพัฒนาเศรษฐกิจ - สังคมและแผนงบประมาณแห่งรัฐ รับฟังคำนำเสนอและพิจารณาบทรายงาน (ผลการปฏิบัติงาน) ประจำปีของประธานศาลประชาชนสูงสุดและอัยการประชาชนสูงสุดนอกจากนี้ อาจพิจารณากฎหมาย ข้อตัดสินใจ หรือปัญหาสำคัญอื่นเพิ่มเติมได้สภาแห่งชาติอาจเปิด การประชุมสมัยวิสามัญ หรือ การประชุมสมัยพิเศษ ได้ ตามมติของคณะประจำสภาแห่งชาติโดยการเสนอของประธานประเทศหรือนายกรัฐมนตรีหรือสมาชิกสภาแห่งชาติจำนวน 1 ใน 4 ของสมาชิกทั้งหมดการประชุมสมัยวิสามัญ ของสภาแห่งชาติเปิดขึ้นในระหว่างที่มิได้มีการประชุมสมัยสามัญ เพื่อพิจารณาตัดสินและรับรองปัญหาที่มีความจำเป็นการประชุมสมัยพิเศษ ของสภาแห่งชาติอาจเปิดขึ้นเพื่อพิจารณาตัดสินและรับรองปัญหาเฉพาะหน้าหรือ ปัญหาเร่งด่วนที่สำคัญของประเทศการประชุมของสภาแห่งชาติให้ดำเนินงานอย่างเปิดเผย โดยในกรณีจำเป็นคณะประจำสภาแห่งชาติจะตกลงให้ประชุมลับตามการเสนอของประธานประเทศหรือนายกรัฐมนตรีก็ได้การประชุมของสภาแห่งชาติจะเปิดประชุมได้ก็ต่อเมื่อมีสมาชิกเข้าร่วมการประชุมมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมด และมติของที่ประชุมสภาแห่งชาติจะบังคับใช้ได้ก็ต่อเมื่อได้รับคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกที่เข้าร่วมการประชุม (เว้นแต่กรณีที่ได้กำหนดไว้ในมาตรา 54, 66 และ 97 ของรัฐธรรมนูญ)[23]
แผน โครงการ และการดำเนินงานของสภาแห่งชาติ
การดำเนินงานของในสภาแห่งชาติแต่ละชุดนั้นจะเป็นไปตามแผนการปฏิบัติงาน 5 ปี และแผนปฏิบัติงานประจำปีของสภาแห่งชาติองค์ประกอบของแผนการปฏิบัติงาน 5 ปี และแผนปฏิบัติงานประจำปี นั้น มีองค์ประกอบเนื้อหาด้านต่าง ๆ อาทิ การตราหรือการปรับปรุงกฎหมาย การพัฒนาทรัพยากรบุคคลและองค์กร ความสัมพันธ์กับรัฐสภาต่างประเทศและองค์การรัฐสภาระหว่างประเทศ นโยบายและแผนหรือ ทิศทางการดำเนินงาน การบริหารและการเงิน ตลอดจนการมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาสำคัญของชาติ ซึ่งแผนการปฏิบัติงาน 5 ปีนี้ จะได้มีการจัดทำร่างขึ้นก่อนที่สภาแห่งชาติชุดเดิมจะหมดวาระ และรับรองในที่ประชุมการประชุมปฐมฤกษ์ของสภาแห่งชาติชุดใหม่ซึ่งถือเป็นการส่งต่อและส่งมอบงานที่เป็นระบบ ถ่ายทอดและสืบทอดงานอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งจากแผนการปฏิบัติงาน 5 ปี ข้างต้น คณะประจำสภาแห่งชาติจะเป็นผู้ “ผันขยาย” (ปรับ) แผนปฏิบัติงาน 5 ปี ไปสู่แผนการปฏิบัติงานประจำปี ซึ่งในด้านกฎหมาย (รวมทั้งด้านอื่นด้วยนั้น) จะมีวาระว่าแต่ละปีนั้นจะมีกฎหมายใดเข้าสู่การพิจารณาของสภาแห่งชาติบ้างซึ่งแผนการทั้ง 2 ระดับนั้น คือ ทั้งแผนปฏิบัติงาน 5 ปี และแผนการปฏิบัติงานประจำปี จะจัดทำขึ้นโดย
- ตามความต้องการและนโยบายการพัฒนาประเทศด้านต่าง ๆ ของรัฐบาล ศาลประชาชน องค์การอัยการ ประชาชน และสภาแห่งชาติ
- ตามรัฐธรรมนูญ และ
- ตามหลักกฎหมายสากล
เฉพาะในด้านการตรากฎหมายนั้น ให้พิจารณาตามแผนการปฏิบัติงานประจำปี โดยองค์การและบุคคลผู้มีสิทธิเสนอร่างกฎหมายจะได้ค้นคว้าข้อมูลประกอบพร้อมกับจัดทำร่างกฎหมายเสนอต่อสภาแห่งชาติ ซึ่งรัฐบาลจะเป็นผู้รวบรวมความเห็นเสนอ (ปกติร่างกฎหมายที่จะผ่านที่ประชุมสภาแห่งชาติชุดนั้น จะต้องเสนอความเห็นผ่านที่ประชุมปฐมฤกษ์ของสภาแห่งชาติชุดนั้นก่อนเท่านั้น ดังนั้น ขั้นรับร่างกฎหมายตามกระบวนการพิจารณากฎหมายไทย จึงอาจนับว่าเริ่มมีขึ้นตั้งแต่การประชุมปฐมฤกษ์ของสภาแห่งชาติชุดนั้น)
การตรากฎหมาย
ลำดับขั้นหรือศักดิ์ของกฎหมายของ สปป.ลาว นั้น ประกอบด้วย ดังนี้
- รัฐธรรมนูญ (Constitution)
- “กฎหมาย” (Law)
- รัฐบัญญัติ (Decree) (เทียบเท่ากับ พระราชกำหนด ลาวเรียก “กฎหมายน้อย”)
- รัฐดำรัส (หรือดำรัสประธานประเทศ) (Presidential Edict) (กฎหมายซึ่งประกาศบังคับใช้โดยประธานประเทศ และนายกรัฐมนตรี โดยมิต้องผ่านการพิจารณาของสภาแห่งชาติ ศักดิ์ของกฎหมายเทียบเท่ากับ พระราชกฤษฎีกา[24]) ซึ่งการศึกษานี้จะกล่าวถึงเฉพาะ “กฎหมาย” เท่านั้น เนื่องจากกระบวนการตราและการบังคับใช้ “กฎหมาย” เป็นกระบวนการบังคับใช้กฎหมายหลักของลาว ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับระบบกฎหมายของไทยแล้ว “กฎหมาย” นี้ อาจเทียบกับศักดิ์กฎหมายได้กับ “พระราชบัญญัติ”
ตามรัฐธรรมนูญและกฎหมาย สปป.ลาว องค์การจัดตั้งและบุคคลที่มีสิทธิเสนอร่างกฎหมายเพื่อให้สภาแห่งชาติพิจารณา[25] มีดังนี้
- ประธานประเทศ
- คณะประจำสภาแห่งชาติ
- รัฐบาล
- ศาลประชาชนสูงสุด
- องค์การอัยการประชาชนสูงสุด และ
- แนวลาวสร้างชาติหรือองค์การจัดตั้งมหาชนขั้นศูนย์กลางอื่น (ศูนย์กลางชาวหนุ่มลาวสหพันธ์กรรมบาลลาว ศูนย์กลางสหพันธ์แม่หญิงลาว)
งานระบบกฎหมายและการออกกฎหมายของ สปป.ลาว นั้น แบ่งพิจารณาได้เป็น 2 ด้านหลัก ซึ่งหลักการนี้ได้ถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดและให้ความสำคัญมากเท่า ๆ กันทั้ง 2 ด้าน และเป็นหลักการที่ประเทศซึ่งปกครองตามระบอบประชาธิปไตยประชาชนหรือสังคมนิยม - คอมมิวนิสต์ถือปฏิบัติ แบ่งได้ดังนี้
- การตราและปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย
- งานประชาสัมพันธ์และเผยแพร่การบังคับใช้กฎหมาย
การตราและปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย
กระบวนการตราและปรับปรุงแก้ไขกฎหมายจะดำเนินการตามแผนการปฏิบัติงาน 5 ปี ของสภาแห่งชาติ ซึ่งจะกำหนดว่าจะมีการตราหรือปรับปรุงแก้ไขกฎหมายใดบ้าง ทั้งในรอบ 5 ปี ซึ่งครบตามวาระของสภาแห่งชาติชุดนั้นและโครงการในแต่ละปีเมื่อจะมีการพิจารณาเสนอกฎหมายใด รัฐบาลโดยหน่วยงานหลักที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้กฎหมายนั้นหรือหน่วยงาน (เจ้าของ) ผู้รักษาการตามกฎหมายนั้นจะมีการประสานงานรวบรวมความเห็นและข้อมูลเพื่อประกอบความเห็นต่อร่างกฎหมายนั้นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อร่วมกันจัดทำร่างกฎหมายนั้นขึ้น เมื่อได้จัดทำร่างกฎหมายเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงเสนอกระทรวงยุติธรรมเพื่อพิจารณารับรอง แล้วจึงเสนอต่อรัฐบาล เมื่อคณะรัฐบาลลงมติรับรองแล้วจึงเสนอต่อสภาแห่งชาติก่อนที่สมัยประชุมสภาแห่งชาติจะเปิดขึ้นไม่น้อยกว่า 60 วันต่อไป
เมื่อสภาแห่งชาติรับร่างกฎหมายไว้พิจารณาแล้ว สภาแห่งชาติจะมอบหมายให้คณะกรรมาธิการกฎหมายและคณะกรรมาธิการที่เกี่ยวข้องพิจารณาร่วมกันเพื่อทำความเห็น ตลอดจนตรวจสอบข้อมูลเพื่อนำเสนอต่อ “การประชุมเปิดกว้าง” (เป็นการประชุมที่หน่วยงานทั้งภาครัฐ เอกชน ตลอดจน ตัวแทนประชาชน รวมทั้งสมาชิกสภาแห่งชาติ และส่วนท้องถิ่น สามารถเข้าร่วมแสดงความคิดเห็นต่าง ๆ ในที่ประชุมได้ ซึ่งประเด็นในที่ประชุมเปิดกว้างนั้นก็เป็นประเด็นเปิดกว้างที่เกี่ยวข้องกับนโยบายและการบริหารงานภาพรวมทั้งหมดของชาติด้วย) เพื่อนำความเห็นมาประกอบการพิจารณาปรับปรุงร่างกฎหมาย เมื่อปรับปรุงแล้วจึงเสนอให้คณะประจำสภาแห่งชาติอนุมัติ กรณีเป็นร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ (ได้เสีย) ของประชาชนหรือผลประโยชน์แห่งชาติก่อนเสนอเพื่อให้คณะประจำสภาแห่งชาติพิจารณาอนุมัติ ต้องมีการขอความเห็นหรือ “ประชาพิจารณ์” จาก ประชาชนก่อนด้วย (กระบวนการเสนอความเห็นและประชาพิจารณ์กฎหมายลาวนั้น เรียกว่า “การทาบทาม”กระบวนการนี้ สมาชิกสภาแห่งชาติจะลงพื้นที่เพื่อขอความเห็นจากประชาชนในพื้นที่ตามแขวงต่าง ๆ แล้วสรุปความเห็นที่เกี่ยวข้องเสนอต่อคณะกรรมาธิการกฎหมายและคณะกรรมาธิการที่เกี่ยวข้องต่อไป เพื่อนำมาปรับปรุงอีกครั้งตามความเหมาะสม เมื่อปรับร่างกฎหมายแล้วจึงเสนอเข้าสู่การพิจารณาของคณะประจำสภาแห่งชาติ)
เมื่อคณะประจำสภาแห่งชาติเห็นเหมาะสมแล้วจึงเสนอเข้าสู่ที่ประชุมสภาแห่งชาติ ถ้าคณะประจำสภาแห่งชาติเห็นว่ายังไม่ครบถ้วนเพียงพออาจเสนอให้คณะกรรมาธิการกฎหมายและคณะกรรมาธิการที่เกี่ยวข้องรวบรวมข้อมูลเพื่อปรับปรุงให้ครบถ้วนสมบูรณ์และเสนอใหม่อีกครั้งได้
ขั้นตอนการพิจารณาร่างกฎหมายในการประชุมสภาแห่งชาตินั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงที่เกี่ยวข้องเป็นผู้รับผิดชอบนำเสนอร่างกฎหมายร่วมกับคณะกรรมาธิการกฎหมายและคณะกรรมาธิการที่เกี่ยวข้อง โดยรัฐมนตรีทำหน้าที่เสนอจุดประสงค์ของกฎหมายต่อที่ประชุมสภาแห่งชาติ กรรมาธิการผู้รับผิดชอบร่างกฎหมายนั้นนำเข้าสู่การพิจารณารายมาตรา (อ่านและพิจารณาเรียงตามรายมาตรา) ถ้ามีข้อคิดเห็นหรือมีการขอแปรญัตติเพิ่มเติมให้ประธานสภาแห่งชาติหรือสมาชิกเสนอต่อที่ประชุม คณะกรรมาธิการกฎหมายและคณะกรรมาธิการที่เกี่ยวข้องหรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงที่เกี่ยวข้องทำหน้าที่ชี้แจง กรณีกฎหมายใดพิจารณาได้ง่าย คือ ไม่ซับซ้อนหรือเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติอาจผ่านความเห็นหรือขอมติเป็นรายหมวดหรือรายภาค ถ้ากฎหมายฉบับใดยากหรือซับซ้อนหรือเกี่ยวข้องกับสิทธิและผลประโยชน์ของประชาชน อาจพิจารณาผ่านความเห็นหรือขอมติเป็นรายมาตราการลงคะแนนเสียงให้ลงคะแนนเสียงแบบปิดลับ (ลงคะแนนเสียงโดยลับ) การผ่านความเห็นหรือมติจะมีผลบังคับใช้เมื่อได้รับคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกที่เข้าร่วมการประชุมเมื่อกฎหมายนั้นได้รับมติเห็นชอบจากสภาแห่งชาติแล้ว ให้คณะกรรมาธิการกฎหมายปรับปรุงตามความเห็นและคำนำเสนอ แล้วนำกลับเข้าที่ประชุมสภาแห่งชาติอีกครั้งในวันสุดท้ายของสมัยการประชุมนั้นเพื่อรับรองให้ประกาศบังคับใช้ต่อไป
งานประชาสัมพันธ์และเผยแพร่กฎหมาย
เมื่อกฎหมายใดได้รับการลงมติบังคับใช้จากสภาแห่งชาติแล้ว กระทรวงผู้รับผิดชอบบังคับใช้กฎหมายจะต้องเสนอให้ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายนั้นต่อหน่วยงานขึ้นตรงและเกี่ยวข้องของตนก่อนจากตั้งแต่ส่วนกลางถึงท้องถิ่น ซึ่งเป็นการให้ความรู้เพื่อการบังคับใช้กฎหมายและปฏิบัติงานได้
กระบวนการประชาสัมพันธ์และเผยแพร่กฎหมายนั้นมีความหลากหลายนับแต่การประชาสัมพันธ์และโฆษณาทางสื่อ ตลอดจน การจัดทำเอกสารทางวิชาการ อาทิ วิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ เอกสาร หนังสือ นอกจากนี้ อาจมีการจัดสอนในชั้นเรียนหรือสัมมนาตามสถาบันการศึกษาด้วย กฎหมายบางฉบับอาจจะจัดเข้าไปอยู่ในหลักสูตรการเรียนการสอนภาคบังคับด้วย ซึ่งทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับความสำคัญของกฎหมายนั้นเป้าหมายของงานประชาสัมพันธ์และเผยแพร่กฎหมาย คือ จะเร่งให้เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบมีความรู้เกี่ยวกับกฎหมายนั้นก่อน จึงขยายสู่กลุ่มพนักงาน (ข้าราชการ) ทั่วไป และสู่ภาคประชาชน เป็นการกระจายสู่ทุกระดับตั้งแต่จากศูนย์กลางสู่ท้องถิ่นตามลำดับ
ในการพิจารณาร่างกฎหมายและร่างรัฐบัญญัติ สภาแห่งชาติจะแต่งตั้งกรรมาธิการเพื่อจัดทำความเห็นเสนอต่อคณะประจำสภาแห่งชาติและประธานประเทศ[26] นอกจากนี้ คณะกรรมาธิการแต่ละคณะยังมีหน้าที่สนับสนุนสภาแห่งชาติและคณะประจำสภาแห่งชาติเพื่อดำเนินการตามอำนาจในการตรวจสอบการดำเนินงานของคณะรัฐบาล ศาลประชาชน และองค์การอัยการประชาชน อันจะเป็นการรวบรวมข้อมูลเพื่อสนับสนุนการจัดทำร่างกฎหมายในอนาคตด้วย (รายละเอียดเกี่ยวกับคณะกรรมาธิการโปรดพิจารณาตามหัวข้อ “คณะกรรมาธิการของสภาแห่งชาติ” หน้า 28 - 29) กฎหมายที่สภาแห่งชาติได้รับรองแล้วนั้นประธานประเทศต้องประกาศบังคับใช้ภายในไม่เกินสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับรอง
ในระยะเวลาดังกล่าวนั้น ประธานประเทศมีสิทธิเสนอกลับคืนให้สภาแห่งชาติพิจารณาใหม่ได้ กฎหมายที่พิจารณาใหม่นั้น ถ้าหากสภาแห่งชาติมีมติยืนยันตามเดิมแล้ว ประธานประเทศต้องประกาศใช้ภายในกำหนดสิบห้าวัน[27]โดยปกติ 1 ปี สภาแห่งชาติจะผ่านกฎหมายประมาณ 12 ฉบับ (มากสุดอาจถึง 14 ฉบับ) สมัยประชุมละประมาณ 6 - 7 ฉบับ
ญัตติ
“ญัตติ[28]” หรือข้อพิจารณา ในภาษาลาวหรือตามกฎหมายของลาวนั้น เรียกว่า “บันหา” หรือ “ปัญหา” “บันหา” คือ ข้อเสนอที่มีความมุ่งหมายเพื่อให้สภาแห่งชาติลงมติหรือวินิจฉัยว่าจะปฏิบัติอย่างไร ซึ่งการเสนอเรื่องหรือข้อพิจารณาเพื่อให้ที่ประชุมสภาแห่งชาติพิจารณานั้นจะต้องเสนอเป็น “ญัตติ” หรือ “บันหา” “บันหา” จึงเป็นกลไกหนึ่ง ในการดำเนินงานของสภาแห่งชาติ เพราะ “บันหา” ทุกเรื่องย่อมมีจุดมุ่งหมาย อันทำให้รู้ถึงประโยชน์หรือผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น “บันหา” จึงมีความสำคัญต่อการดำเนินงานของสภาแห่งชาติ 3 ประการ ดังนี้
- เป็นกลไกในการตรากฎหมาย
- เป็นกลไกในการควบคุมการบริหาร
- เป็นกลไกในการประชุมสภา
โดยทั่วไปลักษณะการเสนอ “บันหา” แบ่งออก 2 ประเภท คือ 1. “บันหา” ที่เสนอด้วยวาจา และ 2. “บันหา” ที่เสนอเป็นหนังสือ
“บันหา” ที่เสนอโดยถูกต้องแล้วประธานสภาแห่งชาติจะต้องนำเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมตามกระบวนการพิจารณา กระบวนการพิจารณา “บันหา” มี 3 ขั้นตอน คือ 1. การอภิปราย 2. การแปร “ญัตติ” หรือการอภิปราย “บันหา”และ 3. การลงมติ “บันหา” หรือ “ญัตติ” หรือข้อตัดสินใจที่เกี่ยวกับ “ชะตากรรม” ของชาติและผลประโยชน์อันสำคัญของประชาชนต้องผ่านการพิจารณาของสภาแห่งชาติหรือคณะประจำสภาแห่งชาติกรณีสภาแห่งชาติมิได้เปิดการประชุม[29] เท่านั้น
กระทู้ถาม
การทู้ถาม[30] คือ คำถามที่สมาชิกสภาแห่งชาติตั้งเพื่อถามนายกรัฐมนตรีหรือสมาชิกรัฐบาล (รัฐมนตรีและหัวหน้าองค์กรเทียบเท่ากระทรวง) ประธานศาลประชาชนสูงสุด และอัยการประชาชนสูงสุด ในเรื่องอันเกี่ยวกับงานในหน้าที่หรือนโยบายการบริหารงาน
สมาชิกสภาแห่งชาติมีสิทธิตั้งกระทู้ถามนายกรัฐมนตรีหรือสมาชิกรัฐบาล ประธานศาลประชาชนสูงสุด และอัยการประชาชนสูงสุด บุคคลที่ถูกซักถามนั้น ต้องชี้แจงต่อที่ประชุมสภาแห่งชาติด้วยวาจาหรือเป็นลายลักษณ์อักษร[31]แต่นายกรัฐมนตรีหรือสมาชิกรัฐบาล ประธานศาลประชาชนสูงสุด อัยการประชาชนสูงสุด หรือผู้ที่เกี่ยวข้องมีสิทธิที่จะยังไม่ตอบกระทู้นั้นก็ได้ ถ้าผู้เกี่ยวข้องนั้นเห็นว่าเรื่องหรือกรณีนั้นยังไม่ควรเปิดเผย เพราะอาจเกี่ยวกับความปลอดภัย หรือประโยชน์สำคัญของประเทศกระทู้ถามที่สมาชิกตั้งถามนายกรัฐมนตรีหรือสมาชิกรัฐบาล ประธานศาลประชาชนสูงสุด และอัยการประชาชนสูงสุด มีอยู่ 2 ลักษณะ คือ
- คำถามเกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับงานในหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีหรือสมาชิกรัฐบาล ประธานศาลประชาชนสูงสุด และอัยการประชาชนสูงสุด ซึ่งส่วนใหญ่จะถามเกี่ยวกับปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบนั้น
- คำถามเกี่ยวกับนโยบายการบริหารของนายกรัฐมนตรีหรือสมาชิกรัฐบาล ประธานศาลประชาชนสูงสุด และอัยการประชาชนสูงสุด ซึ่งเป็นคำถามที่สมาชิกสภาแห่งชาติตั้งขึ้น เมื่อเห็นว่าการบริหารงานแผ่นดินของนายกรัฐมนตรีหรือสมาชิกรัฐบาล ประธานศาลประชาชนสูงสุด และอัยการประชาชนสูงสุด ไม่เป็นไปตามนโยบายที่ได้แถลงไว้ต่อสภาแห่งชาติ หรือดำเนินการบริหารงานผิดพลาดไม่ตรงตามนโยบาย
กระทู้ถามนับเป็นวิธีการควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินที่สำคัญอย่างหนึ่งของสภาแห่งชาติ เพราะทำให้ฝ่าย ปฏิบัติงานมีความระมัดระวังในการปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดียิ่งขึ้น มิฉะนั้น อาจถูกสมาชิกสภาแห่งชาติตั้งกระทู้ถามอันแสดง ให้เห็นถึงความผิดพลาดหรือบกพร่องในการปฏิบัติงานได้ กระทู้ถามมี 2 ประเภท คือ 1. กระทู้ถามสด และ 2. กระทู้ถามทั่วไป
การเปิดอภิปรายทั่วไป
การเปิดอภิปราย[32]ทั่วไปเป็นมาตรการควบคุมการบริหารงานวิธีหนึ่ง ซึ่งถือเป็นมาตรการที่สำคัญและมีประสิทธิภาพมาก เพราะสามารถเป็นเครื่องมือเหนี่ยวรั้ง ถ่วงดุลอำนาจ และควบคุมการบริหารงานของฝ่ายต่าง ๆ จากสภาแห่งชาติให้อยู่ในภาวะสมดุลได้ดีที่สุด แม้สภาแห่งชาติจะมิได้มีการใช้มาตรการการเปิดอภิปรายทั่วไปนี้มากนัก (ตามสถิติสภาแห่งชาติลาวเปิดอภิปรายทั่วไปทั้งกรณีการลงมติและไม่ลงมติน้อยมาก ระบอบการปกครองของลาว คือ ระบอบประชาธิปไตยประชาชนหรือ “สังคมนิยม-คอมมิวนิสต์” นั้น เป็นระบบที่เน้นทั้ง “พรรค” และ “รัฐ” “พรรค-รัฐ” ควบคู่และเป็นหนึ่งเดียวกัน ซึ่งเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นมักแก้ปัญหากันเสร็จเรียบร้อยตั้งแต่ภายใน “พรรค” แล้ว ซึ่งถือเป็น “หลังฉาก” ขณะที่ระดับ “รัฐ” หรือ “หน้าฉาก” นั้น การบริหารงานมักเป็นไปด้วยความเป็นระเบียบเรียบร้อย “ใสสะอาด” และปราศจากความขัดแย้ง)
ลักษณะของการอภิปรายทั่วไปแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ 1. การเปิดอภิปรายทั่วไปโดยมีการลงมติ และ 2. การเปิดอภิปรายทั่วไปโดยไม่มีการลงมติกรณีการเปิดอภิปรายทั่วไปโดยมีการลงมตินั้น รัฐบาลหรือสมาชิกคณะรัฐบาลอาจถูกสภาแห่งชาติ “พิจารณา”และ “ลงมติ” ไม่ไว้วางใจได้ตามการเสนอของคณะประจำสภาแห่งชาติหรือสมาชิกสภาแห่งชาติอย่างน้อยหนึ่งในสี่ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดในระยะเวลายี่สิบสี่ชั่วโมงหลังจากที่สภาแห่งชาติได้ลงมติไม่ไว้วางใจ ประธานประเทศมีสิทธิเสนอให้สภาแห่งชาติพิจารณาใหม่การพิจารณาครั้งที่สองต้องห่างจากการพิจารณาครั้งที่หนึ่งสี่สิบแปดชั่วโมง ถ้าการลงมติครั้งใหม่ไม่ได้รับความไว้วางใจ รัฐบาลหรือสมาชิกคณะรัฐบาลผู้นั้นต้องลาออก[33]
ความสัมพันธ์ระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร
ภารกิจและบทบาท
รัฐแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวเป็นรัฐประชาธิปไตยประชาชน อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชนสภาแห่งชาติเป็นองค์การอำนาจรัฐที่มีอำนาจพิจารณาและรับรองข้อตัดสินใจหรือปัญหาพื้นฐานของประเทศ ตลอดจนเป็นองค์การนิติบัญญัติและองค์การกำกับตรวจสอบการดำเนินงานทั้งขององค์การบริหารและองค์การตุลาการ
เชิงความสัมพันธ์ระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารนั้น ตามระบอบของ สปป.ลาว สมาชิกสภาแห่งชาติกับสมาชิกคณะรัฐบาลนั้นเป็นคนละส่วนที่แยกต่างหากออกจากกัน ประชาชนทำหน้าที่เลือกตั้งสมาชิกสภาแห่งชาติ สมาชิกสภาแห่งชาติทำหน้าที่เลือกตั้งรัฐบาล ตลอดจน โครงสร้างการบริหารงานของประเทศในองค์กรอื่นด้วย อาทิ ประธานและรองประธานประเทศ ประธานศาลประชาชนสูงสุด อัยการประชาชนสูงสุด
ตามกฎหมายของ สปป.ลาว นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี หรือตำแหน่งสำคัญอื่นของรัฐบาลและของประเทศไม่จำเป็นต้องมาจากสมาชิกสภาแห่งชาติ เพียงแต่ต้องได้รับการแต่งตั้งหรือรับรองการแต่งตั้งจากสมาชิกสภาแห่งชาติเท่านั้นสภาแห่งชาติกับรัฐบาล (ในเชิงโครงสร้างและองค์ประกอบ) จึงแยกจากกันโดยเด็ดขาดโดยมิได้มีความสัมพันธ์กัน (แต่ทั้งหมดอยู่ภายใต้ความสัมพันธ์เดียวกัน คือ พรรคประชาชนปฏิวัติลาว) โดยนัยยะทางการตรวจสอบการบริหารงานแล้ว (ตลอดจนนัยยะทางการบริหารงานด้วย) คล้ายสภาแห่งชาติจะมีอำนาจกว่ารัฐบาล[34] เนื่องจากเป็นฝ่ายตรวจสอบที่มีอำนาจอนุมัติ อนุญาต เปลี่ยนแปลง ระงับ หรือสั่งยุติการปฏิบัติงานของฝ่ายบริหาร หรือ รัฐบาลได้
นอกจากนี้ ยังมีการจัดองค์กรที่มีลักษณะควบคู่กันกับฝ่ายบริหารเพื่อให้สามารถตรวจสอบการปฏิบัติงานได้อย่างทั่วถึง อาทิ ส่วนกลางมี รัฐบาล - คณะประจำสภาแห่งชาติ ห้องว่าการคณะรัฐบาล - ห้องว่าการสภาแห่งชาติ ระดับแขวงมีคณะแขวง (เจ้าแขวง) - คณะสมาชิกสภาแห่งชาติประจำเขตเลือกตั้ง (แขวง) (หัวหน้าหน่วยคณะสมาชิกสภาแห่งชาติประจำเขตเลือกตั้ง) ห้องว่าการแขวง - ห้องว่าการคณะสมาชิกสภาแห่งชาติประจำเขตเลือกตั้ง (แขวง) ตลอดจน การจัดโครงสร้างในรายละเอียดที่ค่อนข้างสอดคล้องกัน รวมทั้ง การตรวจสอบการบริหารงานในด้านต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด จึงทำให้สภาแห่งชาติโดยคณะประจำสภาแห่งชาตินั้น (รวมตลอดทั้ง โครงสร้างในระดับแขวง) ทำหน้าที่เสมือน “รัฐบาลเงา” ไปในตัวด้วย
นอกจากนี้ วาระของรัฐบาลยังเท่ากับวาระของสภาแห่งชาติด้วย ดังนั้น สภาแห่งชาติแต่ละชุดจึงมีหน้าที่ทำงานควบคู่กับรัฐบาลแต่ละชุดเท่านั้น โดยกลุ่มบุคคลแยกจากกันเด็ดขาดปกติแล้วคณะรัฐบาลและคณะประจำสภาแห่งชาติจะประชุมร่วมกันอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง ประมาณช่วงก่อนเปิดสมัยประชุมสภาแห่งชาติ เพื่อเป็นการพูดคุยทำความเข้าใจกันก่อนในเรื่องต่าง ๆ อาทิ ร่างกฎหมายหรือข้อพิจารณาต่าง ๆ ก่อนที่จะเข้าสู่ที่ประชุมของสมาชิกสภาแห่งชาติ
เชิงความสัมพันธ์กับฝ่ายบริหารนั้น สภาแห่งชาติมีอำนาจหน้าที่ ดังนี้
- พิจารณารับรอง กำหนด เปลี่ยนแปลง หรือยกเลิกอัตราภาษีและส่วยอากร
- พิจารณารับรองแผนยุทธศาสตร์แห่งการพัฒนาเศรษฐกิจ - สังคม (แผนพัฒนาเศรษฐกิจ - สังคมแห่งรัฐ) และแผนงบประมาณแห่งรัฐแผนยุทธศาสตร์แห่งการพัฒนาเศรษฐกิจ - สังคม หรือแผนพัฒนาเศรษฐกิจ - สังคมแห่งรัฐนั้น แต่ละฉบับมี ระยะเวลาการปฏิบัติ 5 ปี ซึ่งจะสอดคล้องกับวาระหรืออายุการของคณะรัฐบาลและสภาแห่งชาติแต่ละชุด แผนพัฒนา เศรษฐกิจ - สังคมแห่งรัฐนั้นจะถูกปรับให้เป็นแผนปฏิบัติงาน 5 ปี ของรัฐบาลและสภาแห่งชาติ เพื่อให้การปฏิบัติงานในทุก ๆ ด้านสอดคล้องกันและเป็นไปตามแผนที่ได้กำหนดไว้ แผนพัฒนาเศรษฐกิจ - สังคมแห่งรัฐนี้จะถูกร่างและเสนอเข้าสู่ที่ประชุมสภาแห่งชาติก่อนที่สมาชิกสภาแห่งชาติชุด เดิมจะหมดวาระและให้สภาแห่งชาติชุดเดิมเป็นผู้รับรองแผนสำหรับอนาคต 5 ปี ข้างหน้า (ก่อนที่จะหมดวาระ) เพื่อให้ รัฐบาลและสภาแห่งชาติชุดใหม่ได้มีทิศทางเบื้องต้นอันจะปรับไปสู่การปฏิบัติงานของรัฐบาลและสภาแห่งชาติชุดใหม่นั้น ซึ่งแผนนี้เป็นความร่วมมือกันอย่างสอดคล้องและเป็นระบบยิ่งระหว่างรัฐบาล สภาแห่งชาติ และภาคส่วนอื่น ๆ ของสังคม และระหว่างคณะผู้ปฏิบัติงานทุกภาคส่วนชุดเก่าและคณะผู้ปฏิบัติงานทุกภาคส่วนชุดใหม่ ซึ่งทั้งนี้ทั้งนั้น สมาชิกสภาแห่งชาติมีบทบาทอย่างยิ่งทั้งในการให้ความเห็นและการตรวจสอบนับแต่การจัดทำแผนจนถึงการบริหารงาน นอกจากนี้ รัฐบาลยังต้องแถลงนโยบายการบริหารงาน แผนปฏิบัติงาน 5 ปี และแผนปฏิบัติงานประจำปี รวมทั้งแผนงบประมาณแห่งรัฐ ชุดของตน ให้สมาชิกสภาแห่งชาติรับทราบเพื่อเป็นทิศทางและกำกับทิศทางในการบริหารงานร่วมกันทั้งก่อนเข้ารับตำแหน่งและระหว่างแต่ละปีอีกด้วย
- พิจารณาแต่งตั้งหรือถอดถอนนายกรัฐมนตรีตามการเสนอของประธานประเทศ รวมทั้ง รับรองการแต่งตั้ง โยกย้าย หรือถอดถอนสมาชิกคณะรัฐบาลตามการเสนอของนายกรัฐมนตรี รัฐบาลประกอบด้วย นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี หัวหน้าองค์กรเทียบเท่ากระทรวง รัฐบาลมีวาระ เท่ากับวาระของสภาแห่งชาติ[35] ประธานประเทศเป็นผู้แต่งตั้งนายกรัฐมนตรีภายหลังที่สภาแห่งชาติได้รับรองแล้ว[36]รัฐบาลหรือสมาชิกรัฐบาลอาจถูกสภาแห่งชาติพิจารณาและลงมติไม่ไว้วางใจได้ ถ้าคณะประจำสภาแห่งชาติหรือ สมาชิกสภาแห่งชาติอย่างน้อยหนึ่งในสี่ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเสนอเพื่อขอให้อภิปรายและลงมติไม่ไว้วางใจ ถ้าการลงมติไม่ได้รับความไว้วางใจ รัฐบาลหรือสมาชิกรัฐบาลนั้นต้องลาออก[37]
- พิจารณาจัดตั้งหรือยุบกระทรวง องค์การเทียบเท่ากระทรวง แขวง นคร หรือเขตพิเศษ พิจารณาเขตของแขวงนคร หรือเขตพิเศษ ตามการเสนอของนายกรัฐมนตรีในกรณีจำเป็นจะต้องตั้งเขตพิเศษ (เขตพิเศษมีฐานะเทียบเท่าแขวง) หรือปรับเปลี่ยนเขตแดนของแขวง ให้เป็นไปตามการพิจารณาของสภาแห่งชาติ[38]
- พิจารณาให้นิรโทษกรรม
- พิจารณาให้สัตยาบันหรือลบล้างสนธิสัญญา สัญญา ที่ได้ลงนามกับต่างประเทศตามกฎหมาย
- พิจารณาประกาศสงครามหรือยุติสงคราม
นอกจากนี้ สภาแห่งชาติอาจมีหน้าที่อื่น อาทิ จัดตั้งศาลเฉพาะด้านขึ้นตามการพิจารณาของคณะประจำสภาแห่งชาติ[39] รวมทั้ง การแต่งตั้งประธานและรองประธานประเทศ การแต่งตั้งบุคคลผู้ดำรงตำแหน่งทางตุลาการ ซึ่งประธานประเทศจะเป็นผู้แต่งตั้งหรือถอดถอนรองประธานศาลประชาชนสูงสุดตามการเสนอของประธานศาลประชาชนสูงสุด คณะประจำสภาแห่งชาติเป็นผู้แต่งตั้ง โยกย้าย หรือถอดถอนผู้พิพากษาประจำศาลประชาชนสูงสุด ประธาน รองประธาน และผู้ พิพากษาประจำศาลอุทธรณ์ ประธาน รองประธาน และผู้พิพากษาประจำศาลประชาชนแขวง นคร เมือง หัวหน้า รองหัวหน้าและผู้พิพากษาประจำศาลทหารตามการเสนอของประธานศาลประชาชนสูงสุด[40] ซึ่งตำแหน่งเหล่านี้ต่างเป็นตำแหน่งที่ตรวจสอบและ “ถ่วงดุลอำนาจ” กับฝ่ายบริหาร ซึ่งเป็นองค์กรทางอำนาจหลักของ สปป.ลาว ทั้งสิ้น
หน้าที่ของสภาแห่งชาติต่อรัฐบาลนั้นสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ด้านหลัก ดังนี้
การสนับสนุนการบริหารงานของรัฐบาล
เพื่อให้เป็นไปตามแผนและนโยบาย สภาแห่งชาติโดยสมาชิกสภาแห่งชาติจะต้อง
- ค้นคว้า ประสานงาน จัดตั้ง การปฏิบัติ สร้างแนวทางปฏิบัติ ระเบียบ กฎหมาย ที่สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาของพรรค - รัฐ
- โฆษณา ประชาสัมพันธ์ แนวทางการบริหารและนโยบายของพรรค ระเบียบกฎหมายของรัฐให้ประชาชนได้รับรู้และเข้าใจ
- “ปลุกระดม” ให้ประชาชนเข้าร่วมการปฏิบัติงานและกิจกรรมของรัฐ
- เข้าร่วมกับองค์การภาครัฐทุกระดับตั้งแต่ส่วนกลางถึง ท้องถิ่นเพื่อให้ความเห็นประกอบการจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจ - สังคมแห่งรัฐ และแผนงบประมาณแห่งรัฐ
- เข้าร่วมการ ประชุม อาทิ การประชุมสภาแห่งชาติ การประชุมเปิดกว้าง เพื่อร่วมให้ความเห็นในการจัดตั้งปฏิบัติงานของรัฐ
การตรวจสอบการบริหารงานของรัฐบาล
เพื่อกำกับมิให้รัฐบาลปฏิบัติงานคลาดเคลื่อนจากแผนและนโยบายที่ได้กำหนดไว้ สภาแห่งชาติโดยสมาชิกสภา แห่งชาติสามารถ
- ตั้งกระทู้ถามประธานประเทศ รองประธานประเทศ ประธานศาลประชาชนสูงสุด อัยการประชาชนสูงสุด นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐบาล
- การอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีหรือสมาชิกคณะรัฐบาล
- จัดทำรายงานความเห็นเกี่ยวกับการปฏิบัติงานและการตรวจสอบการปฏิบัติงาน (ด้านต่าง ๆ) ต่อสภาแห่งชาติอย่างสม่ำเสมอ
ทั้งนี้ สภาแห่งชาติถือเป็นองค์กรที่มีอำนาจยิ่งในการบริหารงานและตรวจสอบการบริหารภาครัฐของ สปป.ลาวและถือเป็น “ต้นทาง” ของการบริหารงานของประเทศในทุกด้าน
การเลือกตั้งสมาชิกสภาแห่งชาติ
หลักการของการเลือกตั้งสมาชิกสภาแห่งชาติ
พลเมืองลาวหญิงชายต่างมีสิทธิเท่าเทียมกันทั้งในด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม - วัฒนธรรม และครอบครัว ซึ่ง หมายรวมถึง สิทธิในการเลือกตั้งด้วยผู้มีสิทธิเลือกตั้งและมีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง คือ พลเมืองลาวทุกคนโดยไม่จำแนกเพศ เผ่าชน ศาสนา ฐานะทางสังคม ภูมิลำเนา อาชีพ[41] ที่มีอายุตั้งแต่ สิบแปดปีขึ้นไปล้วนมีสิทธิเลือกตั้ง และพลเมืองลาวอายุ ยี่สิบเอ็ดปีขึ้นไปล้วนมีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง เป็นสมาชิกสภาแห่งชาติ
ผู้ที่ถูกตัดสิทธิเลือกตั้งและสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง[42] มีดังนี้
- ผู้ที่เป็นบ้าหรือวิกลจริต
- ผู้ที่ถูกศาลประชาชนถอดถอนสิทธิเลือกตั้งหรือสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือตัดอิสรภาพ (ถูกจับกุม คุมขัง โดยชอบด้วยกฎหมาย)
การเลือกตั้งสมาชิกสภาแห่งชาติในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวเป็นการปฏิบัติตามหลักการ 4 ประการ[43] ดังนี้
- หลักการทั่วไป (เป็นการกว้างขวางและเปิดให้มีส่วนร่วมอย่างทั่วถึง)
- หลักการเสมอภาพ
- หลักการโดยตรง
- หลักการ (ลงคะแนนเสียง) โดยลับ
การเลือกตั้งของลาว
การเลือกตั้งในลาวนั้นจัดขึ้นทุก 5 ปี ตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายการเลือกตั้งสมาชิกสภาแห่งชาติ โดยให้พลเมืองทุก 50,000 คน (ในแต่ละแขวง) สามารถมีผู้แทนหรือสมาชิกสภาแห่งชาติได้ 1 คน แขวงที่มีพลเมืองน้อยกว่า150,000 คน ให้มีผู้แทนหรือสมาชิกสภาแห่งชาติ 3 คน ตามนโยบายของพรรค - รัฐ การจัดการเลือกตั้งนั้นจะต้องรับประกันได้ว่า สมาชิกสภาแห่งชาติจะต้องประกอบด้วยกลุ่มบุคคลทุกชนชั้น เพศ และเผ่าชน ในอัตราส่วนและจำนวนที่เหมาะสม[44]การเลือกตั้งของลาวนั้น ดังจะสอดคล้องกับสโลแกนที่ว่า “พรรคเลือกคน คนเลือกพรรค” อย่างมาก พรรคประชาชนปฏิวัติลาว ซึ่งเป็นพรรคการเมืองพรรคเดียวของลาว[45] จะทำหน้าที่คัดเลือกผู้สมัครของพรรคซึ่งเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งส่วนใหญ่มาเสนอให้ประชาชนเป็นผู้ลงคะแนนเลือกตั้ง ซึ่งผู้สมัครรับเลือกตั้งในนามพรรคนี้มักมีโอกาสจะได้รับการเลือกตั้งมากกว่ามาก
ผู้สมัครรับเลือกตั้งในนามของพรรคนั้นจะไม่มีสิทธิเสนอชื่อของตนเองเป็นผู้สมัคร แต่จะต้องได้รับการเสนอชื่อจากองค์การจัดตั้งพรรค[46] หรือองค์การจัดตั้งอื่น ๆ เท่านั้น เมื่อองค์การจัดตั้งนั้นเสนอรายชื่อผู้สมัครในนามองค์การจัดตั้งของตน แล้ว (โดยไม่จำกัดจำนวน ทั้งนี้ ย่อมขึ้นอยู่กับการพิจารณาตามความเหมาะสม) คณะกรรมการคัดเลือกผู้สมัครของพรรคจะทำหน้าที่คัดเลือกและคัดสรรผู้ได้รับการเสนอชื่อเหล่านั้นให้เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งในนามของพรรคนอกจากนั้น อาจมีผู้สมัครอิสระที่เสนอตนเองเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งด้วย แต่มักไม่ได้รับความสนใจจากประชาชนนัก อย่างไรก็ตาม ผู้สมัครอิสระนี้จะสมัครในนามอิสระได้ก็ต่อเมื่อได้รับอนุญาตจากพรรคแล้วเท่านั้น[47] (ถ้าคุณสมบัติไม่โดดเด่นพอ อาจไม่ได้รับอนุญาตให้เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้ง) และมักไม่ค่อยมีใครกล้าจะลงเป็นผู้สมัครอิสระเนื่องจากเสี่ยงต่อการตรวจสอบและการเสื่อมเสียชื่อเสียงถ้าไม่ได้รับการเลือกตั้งสูง (อาทิ ข้อหา “อยากดัง” หรือต้องการแสวงหาผลประโยชน์) ผู้สมัครรับเลือกตั้งในลาว (ทั้งผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อให้เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งในนามพรรคและผู้สมัครอิสระ) จึงมักจะต้องถูกตรวจสอบประวัติอย่างละเอียดและเข้มงวด หลักคิดเกี่ยวกับประเด็นนี้ของลาวนั้น ลาวมองว่าผู้จะลงสมัครรับเลือกตั้งนั้นควรจะเป็นผู้ที่มีความสามารถสูง มีความซื่อสัตย์ และแสดงให้เห็นเป็นที่ประจักษ์จนผู้คนยอมรับและร่วมกันเสนอให้เป็นผู้สมัครเพื่อรับการคัดเลือกและ กลั่นกรองจากพรรค ผู้ได้รับการเสนอชื่อเข้ารับการคัดเลือกเป็นผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งของพรรคนี้จึงเป็นผู้ที่มีฐานต้นทุนทางสังคมสูงและมีผู้รับรองการเสนอชื่อจำนวนมาก มิใช่ใครจะมาสมัครหรือได้รับการเสนอชื่อก็ได้ ทัศนคติของคนลาวต่อผู้ที่มาสมัครโดยที่ไม่มีใครเสนอชื่อ ไม่มีผู้ชื่นชมในความรู้ความสามารถหรือความซื่อสัตย์ ไม่มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ ย่อมสันนิษฐานเป็นอย่างอื่นไม่ได้ว่าอาจเข้ามาเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน ดังนั้น ผู้สมัครอิสระจึงมักไม่ได้รับความสนใจและมักไม่ได้รับการเลือกตั้ง ทั้งนี้ หลักคิดนี้เป็นเพียงข้อสันนิษฐานเท่านั้น ดังนั้น จึงอาจมีผู้สมัครอิสระบางท่านที่สามารถพิสูจน์ความสามารถได้เมื่อได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาแห่งชาติแล้ว และมักแสดงความคิดเห็นได้อิสระโดยไม่ขึ้นต่อพรรค
การเลือกตั้งในลาวเป็น “การกาออก” (กาหมายเลขที่จะไม่เลือก) ซึ่งผู้ที่ได้รับคะแนนมากที่สุดและถัดลงไปจนครบจำนวนที่ต้องเลือกออกจะเป็นผู้ที่ไม่ได้รับการเลือกตั้ง ซึ่งการเลือกแบบนี้ถือเป็นเอกลักษณ์ของลาว แม้อาจสร้างความสับสนบ้างในเขตที่มีผู้สมัครจำนวนมากแต่มีผู้แทนน้อย (อาทิ เขตเลือกตั้งที่ 1 กำแพงนครเวียงจันทน์ มีผู้แทน 15 ท่าน แต่มีผู้สมัคร 21 ท่าน จึงจำเป็นจะต้องกาออก 6 ท่าน) แต่ก็นับว่าสมเหตุผล เพราะบางครั้งการตัดสินใจกาออกก็ตัดสินใจง่ายกว่าเลือกเข้า โดยเฉพาะเขตที่มีจำนวนผู้สมัครใกล้เคียงกับจำนวนผู้แทน
คณะกรรมการการเลือกตั้ง
คณะกรรมการการเลือกตั้งของ สปป.ลาว เป็นคณะกรรมการที่ได้รับการจัดตั้งขึ้นชั่วคราวเพื่อจัดการเลือกตั้ง ก่อนวัน (ที่คาดว่าจะมีการ) เลือกตั้งไม่น้อยกว่า 120 วัน และอายุการหรือวาระของคณะกรรมการการเลือกตั้งจะสิ้นสุดลงหลังการประชุมปฐมฤกษ์ของสภาแห่งชาติชุดใหม่ (เมื่อได้จัดการเลือกตั้งเสร็จเรียบร้อย รวมทั้ง รายงานผลการเลือกตั้งต่อสภาแห่งชาติชุดเก่า และสภาแห่งชาติชุดเก่าได้รับรองผลการเลือกตั้งนั้นแล้ว) คณะกรรมการการเลือกตั้งจัดตั้งขึ้นโดยอาศัยอำนาจตามมติของกรมการเมืองศูนย์กลางพรรค[48] และกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาแห่งชาติ ประธานสภาแห่งชาติ โดยตำแหน่ง ประธานคณะประจำสภาแห่งชาติ เป็นผู้ลงนามแต่งตั้งคณะกรรมการการเลือกตั้งระดับชาติ และมีผลภายหลังประกาศรัฐดำรัสของประธานประเทศคณะกรรมการการเลือกตั้งมีหน้าที่ในการเตรียม จัดตั้ง ปฏิบัติ แบ่งภาระความรับผิดชอบ จัดตั้งองค์กรและบุคลากรช่วยดำเนินงาน เพื่ออำนวยการและควบคุมการเลือกตั้งให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย เป็นองค์กรกลางที่เข้ามาประสานงานให้หน่วยงานต่าง ๆ ทั้งองค์การจัดตั้งพรรค องค์การจัดตั้งรัฐ องค์การจัดตั้งมหาชน และภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเข้ามาร่วมมือกันในการจัดการเลือกตั้งให้เป็นไปด้วยความเป็นระเบียบเรียบร้อยเพื่อเป็นการรับประกันว่าการเตรียมและการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาแห่งชาติจะเป็นไปด้วยความเป็นระเบียบเรียบร้อย ประธานคณะประจำสภาแห่งชาติจะแต่งตั้งคณะกรรมการการเลือกตั้งในการเลือกตั้งแต่ละครั้ง จำนวนประมาณ15 - 17 คน[49] ประกอบด้วยประธาน 1 คน และรองประธาน 2 - 3 คน[50] คณะกรรมการการเลือกตั้งเป็นผู้ทรงคุณวุฒิที่เป็นผู้แทนจากหน่วยงานซึ่งรับผิดชอบเกี่ยวกับการเลือกตั้งต่าง ๆ ทั้งด้านการอำนวยการและการจัดการ งบประมาณ การรักษาความสงบ การประสานงาน งานประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ความรู้ งานมวลชนและชุมชนสัมพันธ์ อาทิ ประธานสภาแห่งชาติ รองประธานประเทศ รองประธานสภาแห่งชาติ หัวหน้ากรรมาธิการ (ที่เกี่ยวข้อง) หัวหน้าห้องว่าการสภาแห่งชาติ ประธานคณะกำกับและตรวจสอบกลางแห่งรัฐ ประธานศูนย์กลางสหพันธ์แม่หญิงลาว หัวหน้าคณะโฆษณาและอบรมศูนย์กลางพรรค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการเงิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแถลงข่าวและวัฒนธรรม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงป้องกันความสงบ (ทั้งนี้อาจมีหน่วยงานอื่นเพิ่มเติมอีกตามความเหมาะสม) โดยองค์ประกอบและลักษณะการดำเนินงานสะท้อนให้เห็นได้ว่า คณะกรรมการการเลือกตั้งของลาวมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับสภาแห่งชาติอย่างยิ่ง นอกจากกรรมการส่วนใหญ่จะมาจากสภาแห่งชาติแล้ว พนักงานผู้ปฏิบัติงาน (ในองค์กรชั่วคราวนี้) ส่วนใหญ่ยังมาจากสภาแห่งชาติด้วย (ประกอบกับพนักงานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่น)[51]
คณะกรรมการการเลือกตั้ง (สมาชิกสภาแห่งชาติ) ของ สปป.ลาว ประกอบด้วย[52] ดังนี้
- คณะกรรมการการเลือกตั้งระดับชาติ
- คณะกรรมการการเลือกตั้งระดับแขวง กำแพงนคร และเขตพิเศษ
- คณะกรรมการการเลือกตั้งระดับเมือง
- คณะกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้ง
องค์ประกอบของคณะกรรมการการเลือกตั้งแต่ละระดับนั้น ให้มีตัวแทนจากคณะพรรค ฝ่ายอำนาจการปกครอง (เจ้าแขวง เจ้าเมือง นายบ้าน) และองค์การจัดตั้งมหาชนด้วย นอกจากนี้ คณะกรรมการการเลือกตั้งระดับชาติ ระดับแขวงกำแพงนคร เขตพิเศษ และระดับเมืองจะต้องมีผู้แทน (ตัวแทน) จากสภาแห่งชาติหรือห้องว่าการสภาแห่งชาติด้วยเสมอ ทั้งนี้ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งแต่ละระดับนี้สามารถจัดองค์กรและแต่งตั้งบุคลากรเพื่อช่วยการดำเนินงานตามความเหมาะสม
องค์ประกอบของคณะกรรมการการเลือกตั้งแต่ละระดับนั้น ให้มีตัวแทนจากคณะพรรค ฝ่ายอำนาจการปกครอง (เจ้าแขวง เจ้าเมือง นายบ้าน) และองค์การจัดตั้งมหาชนด้วย นอกจากนี้ คณะกรรมการการเลือกตั้งระดับชาติ ระดับแขวงกำแพงนคร เขตพิเศษ และระดับเมืองจะต้องมีผู้แทน (ตัวแทน) จากสภาแห่งชาติหรือห้องว่าการสภาแห่งชาติด้วยเสมอ ทั้งนี้ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งแต่ละระดับนี้สามารถจัดองค์กรและแต่งตั้งบุคลากรเพื่อช่วยการดำเนินงานตามความเหมาะสม
คณะกรรมการการเลือกตั้ง (ระดับชาติ) มีอำนาจหน้าที่[53] ดังนี้
- แนะนำต่อแขวง กำแพงนคร และเขตพิเศษ ให้แต่งตั้งคณะกรรมการการเลือกตั้งตามระดับขั้นนั้น[54]
- จัดการศึกษาอบรมเกี่ยวกับความคิดทางการเมืองให้ประชาชนเพื่อยกระดับความเข้าใจต่อสิทธิประชาธิปไตยของประชาชน รวมทั้ง เพื่อสร้างเอกภาพเกี่ยวกับการปฏิบัติงานการเลือกตั้งให้ประสบความสำเร็จด้วยดี
- จัดตั้งการปฏิบัติงานเกี่ยวกับการเลือกตั้ง สนับสนุน และประชาสัมพันธ์กระบวนการต่าง ๆ เกี่ยวกับการเลือกตั้งรวมทั้ง แนะนำให้ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายเคารพกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาแห่งชาติ ตลอดจน กฎหมายเกี่ยวข้องอื่น
- จัดเตรียมและจ่ายเอกสารเกี่ยวกับการเลือกตั้ง
- ตรวจสอบ ค้นคว้า และพิจารณา (ประวัติ) แบบคำร้องขอสมัครรับเลือกตั้ง เพื่ออนุมัติและประกาศรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ
- ตรวจสอบ ค้นคว้า และพิจารณาแก้ไขข้อร้องเรียนของผู้มีสิทธิเลือกตั้งและผู้สมัครรับเลือกตั้ง (อันอาจเกิดจากความบกพร่องหรือผิดพลาด) เกี่ยวกับการดำเนินงานของคณะกรรมการการเลือกตั้ง
- “ชี้นำ นำพา” และติดตามตรวจสอบการดำเนินงานของคณะกรรมการการเลือกตั้งระดับต่าง ๆ
- รวบรวมและประกาศผลการเลือกตั้ง
- ออกใบรับรอง (ชั่วคราว) ให้ผู้ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาแห่งชาติ
- สรุป ประเมินผล และ “ถอดบทเรียน” เกี่ยวกับการเลือกตั้ง รวมทั้ง ประกาศเกียรติคุณต่อองค์การจัดตั้ง[55] และบุคคลที่มีผลงาน (ช่วยเหลือการเลือกตั้ง) ดีเด่น
- รายงานผลการเลือกตั้งและผลการจัดการเลือกตั้งต่อที่ประชุมปฐมฤกษ์ของสภาแห่งชาติชุดใหม่
ดูเพิ่ม
- รายชื่อประธานสภาแห่งชาติลาว
- รัฐสภาราชอาณาจักรลาว
- การเมืองลาว
อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น
Wikiwand in your browser!
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.