Loading AI tools
กลุ่มดนตรีร็อกสัญชาติอเมริกัน จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ลิงคินพาร์ก (อังกฤษ: Linkin Park) เป็นวงดนตรีร็อกชาวอเมริกันจากอะกูราฮิลส์ รัฐแคลิฟอร์เนีย ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2539 เป็นศิลปินแนวนูเมทัล ประกอบไปด้วยบทเพลงที่น่าสนใจ และเต็มไปด้วยความหลากหลายของดนตรี ได้แก่ เมทัล ฮิปฮอป อิเล็กทรอนิกส์ อินดัสเตรียล มีกลิ่นอายของฮิปฮอป และมีความเป็นป็อปอยู่ด้วย[1][2][3] ประสบความสำเร็จกับอัลบั้มเปิดตัวของวง ไฮบริดทีโอรี ทำให้วงมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก ด้วยยอดจำหน่าย 24 ล้านแผ่น โดยอัลบั้มชุดแรกนี้ได้รับการรับรองระดับเพชรโดย อาร์ไอเอเอ ในปี พ.ศ. 2548 และในระดับทองคำขาวในอีกหลายประเทศ[4] สตูดิโออัลบั้มชุดต่อมา เมทีโอรา ที่ประสบความสำเร็จ ด้วยการติดอันดับ 1 ในชาร์ต บิลบอร์ด 200 ในปี พ.ศ. 2546 และตามด้วยการออกงานแสดงคอนเสิร์ตทัวร์และการกุศลทั่วโลก[5] ในปี พ.ศ. 2546 เอ็มทีวี 2 ได้จัดให้ลิงคินพาร์กเป็นหนึ่งในหกวงดนตรีที่ดีที่สุดของยุคมิวสิกวิดีโอ และเป็นหนึ่งในสามวงดนตรียอดเยี่ยมแห่งสหัสวรรษใหม่[6] บิลบอร์ด จัดอันดับให้ลิงคินพาร์กอยู่ในอันดับที่ 19 ในชาร์ตศิลปินยอดเยี่ยมแห่งทศวรรษ[7] ลิงคินพาร์กได้รับการคัดเลือกให้เป็นศิลปินที่ดีที่สุดในยุคปี 2543 ของแบรกเกตแมดเนสโพลล์ในวีเอชวัน[8] ในปี พ.ศ. 2557 ลิงคินพาร์กได้รับการประกาศโดย เคอร์แรง! ว่าเป็น วงดนตรีที่ใหญ่ที่สุดในโลกในขณะนี้[9][10]
บทความนี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ปัจจุบัน ข้อมูลอาจเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็วตามสถานการณ์ |
ลิงคินพาร์ก | |
---|---|
ลิงคินพาร์กใน ค.ศ. 2024: (จากซ้าย) เดฟ ฟาร์เรล, แบรด เดลสัน, โจ ฮาห์น, เอมิลี อาร์มสตรอง, โคลิน บริตเตน, และไมก์ ชิโนดะ | |
ข้อมูลพื้นฐาน | |
รู้จักในชื่อ |
|
ที่เกิด | อะกูราฮิลส์ รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐ |
แนวเพลง | |
ช่วงปี | 1996–2017 (พักวง), 2024–ปัจจุบัน |
ค่ายเพลง | |
สมาชิก |
|
อดีตสมาชิก |
|
เว็บไซต์ | linkinpark |
ลิงคินพาร์กได้ทดลองแนวเพลงในแบบอื่นในสตูดิโออัลบั้มชุดถัดมา มินิตส์ทูมิดไนต์ ในปี พ.ศ. 2550[11][12] อัลบั้มนี้ได้อันดับหนึ่งในชาร์ต บิลบอร์ด และเป็นอัลบั้มยอดเยี่ยมที่เปิดตัวในสัปดาห์แรกในปีนั้น[13][14] และได้ทดลองเปลี่ยนแปลงแนวเพลงในการสร้างเสียงรูปแบบใหม่ ๆ ในอัลบั้มชุดที่สี่ อะเทาซันด์ซันส์ ในปี พ.ศ. 2553 ด้วยเสียงดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ที่มากขึ้น ในอัลบั้มชุดที่ห้า ลิฟวิงทิงส์ ในปี พ.ศ. 2555 ประกอบด้วยองค์ประกอบหลายอย่างจากอัลบั้มที่ผ่านมาทั้งหมด และอัลบั้มชุดที่หก ซึ่งเป็นอัลบั้มชุดล่าสุด เดอะฮันติงปาร์ตี ในปี พ.ศ. 2557 ได้กลับมาทำผลงานที่มีแนวเพลงแบบฮาร์ดร็อก และได้ทำงานร่วมกับศิลปินรับเชิญหลายท่าน ที่โดดเด่นที่สุดคือการทำผลงานกับนักร้องแร็ป เจย์-ซี เมื่อปี พ.ศ. 2547 โดยการนำเพลงมาผสมกันในอีพี คอลลิชันคอร์ส และมีผลงานรีมิกซ์อัลบั้ม ได้แก่ รีแอนิเมชัน และ รีชาจด์[2] ลิงคินพาร์กได้คว้ารางวัลแกรมมีมาแล้วสองครั้งเมื่อปี พ.ศ. 2545 และ พ.ศ. 2549 และทำยอดจำหน่ายอัลบั้มได้มากกว่า 68 ล้านชุดทั่วโลก[15][16][17] รวมทั้งยังก่อตั้งองค์กรมิวสิกฟอร์รีลีฟ ร่วมกับสภากาชาดสากลเมื่อต้นปี พ.ศ. 2548 เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากเหตุการณ์สึนามิเมื่อปลายปี พ.ศ. 2547 และต่อต้านภาวะโลกร้อน
ไมก์ ชิโนดะ ได้ชมคอนเสิร์ตของวงแอนแทรกซ์และพับลิกเอเนมี ในช่วง พ.ศ. 2532-2533 และการแสดงในช่วงที่แฟนเพลงเรียกร้องให้ขึ้นเวทีอีกครั้ง ทั้งสองวงลุกขึ้นมาแสดงดนตรีร่วมกันในบทเพลง "บริงเดอะนอยส์" ซึ่งเป็นการจุดประกายให้ไมค์อยากทำงานในทิศทางเพลงนูเมทัล ลิงคินพาร์กจึงเริ่มต้นจากไมก์ ชิโนดะ ผู้คลั่งไคล้ในวัฒนธรรมดนตรีฮิปฮอป กับแบรด เดลสัน มือกีตาร์สมัครเล่น ทั้งสองคนเป็นเพื่อนสนิทกันมาตั้งแต่สมัยเรียนอยู่เกรด 7 (ประมาณ 13 ปี) ที่โรงเรียนมัธยมอะกูราฮิลส์ ในเมืองอะกูราฮิลส์ ชานเมืองของลอสแอนเจลิส[18] โดยในช่วงแรก ไมค์รับหน้าที่ทำจังหวะบีทให้วงฮิปฮอป หลังจากนั้นจึงได้พบกับร็อบ บัวร์ดอน มือกลองในโรงเรียนใกล้ ๆ ในแถบซานเฟอร์นานโดวัลเลย์ และได้โจ ฮาห์น ดีเจผู้รู้จักกับไมค์ขณะศึกษาที่อาร์ตเซ็นเตอร์คอลเลจในแพซาดีนา รวมถึงเดฟ ฟีนิกซ์ ฟาร์เรล และมาร์ก เวกฟีลด์ มาเป็นหนึ่งในสมาชิกด้วย แล้วร่วมตั้งวงดนตรีชื่อ ซีโร (Xero) ในปี พ.ศ. 2539 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเปิดการแสดงดนตรีเล็ก ๆ สร้างความครื้นเครงและความสนุกสนาน ในงานเลี้ยงสังสรรค์ที่บ้านเพื่อน และเริ่มบันทึกผลงานเพลงด้วยสตูดิโอชั่วคราวเล็ก ๆ ในห้องนอนของไมค์ในปี พ.ศ. 2539 ด้วยผลงานเทปเดโมที่มีชื่อว่า ซีโร[18][19] ในเวลานั้นนักร้องนำของวง มาร์ก เวกฟีลด์ ได้ออกจากวงเพื่อหาโครงการอื่นทำ[18][19] และเดฟ ฟาร์เรลก็ได้ออกจากวงเพื่อออกทัวร์กับวงอื่น ๆ[20][21]
เมื่อซีโรมีโอกาสได้ไปแสดงดนตรีที่วิสกีอะโกโก คลับดังของลอสแอนเจลิส และด้วยฝีมือการแสดงดนตรีอันโดดเด่น จึงเป็นที่ถูกใจ เจฟฟ์ บลู แห่งซอมบามิวสิกพับลิชชิง[22][23] และได้เซ็นสัญญาในที่สุด ซึ่งนับเป็นเหตุการณ์สำคัญและผลักดันให้ซีโรมีโอกาสในวงการดนตรีมากขึ้น เนื่องจากเจฟฟ์มีส่วนผลักดันให้ผลงานเพลงตัวอย่างของซีโร ให้เป็นที่รู้จักของผู้คนในวงการเพลงมากขึ้น[22] ต่อมาซีโรได้เซ็นสัญญากับวอร์เนอร์บราเธอร์สเรเคิดส์อย่างเป็นทางการ ภายหลังจากนั้นไม่นาน เจฟฟ์ได้ย้ายตามไปทำงานร่วมกันโดยดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการผลิตด้วย ขณะนั้นซีโรต้องการสมาชิกเพิ่มในตำแหน่งนักร้องนำ เชสเตอร์ เบนนิงตัน จากรัฐแอริโซนาจึงเข้ามาเป็นสมาชิกคนต่อไปในฐานะนักร้องนำ โดยเชสเตอร์ได้รับเทปตัวอย่างที่ซีโรทำขึ้นจากสตูดิโอในห้องนอนของไมค์ นอกจากนี้ทั้งเชสเตอร์และไมค์รู้จักกันผ่านทางสำนักทนาย ไมเนียตเฟลปส์แอนด์เฟลปส์ ที่ทั้งคู่ใช้บริการ เชสเตอร์สนใจที่จะร่วมงานกับซีโรมาก จนถึงกับแอบหนีงานเลี้ยงฉลองวันเกิดครบรอบ 23 ปีของตนไปอย่างหน้าตาเฉย เพื่อรีบไปบันทึกเสียงร้องของตนลงเทปตัวอย่างกลางดึก จากนั้นได้โทรศัพท์เปิดเทปตัวอย่างให้กับทางวงฟัง ซึ่งทุกคนชอบมาก จึงรับเชสเตอร์เป็นสมาชิกใหม่ทันที[20]
จากนั้นสมาชิกซีโรทั้งหมดตกลงใจเปลี่ยนชื่อวงเป็น ไฮบริดทีโอรี (Hybrid Theory)[24] แต่บังเอิญไปซ้ำกับชื่อวงดนตรีของศิลปินกลุ่มอื่น จนในที่สุดจำต้องเปลี่ยนชื่อมาเป็นวง ลิงคินพาร์ก (Linkin Park) ซึ่งเป็นชื่อที่แผลงตัวสะกดมาจาก ลินคอล์นพาร์ก (Lincoln Park) ซึ่งมีที่มาที่ไปจากการมองการณ์ไกลไปถึงการสร้างเว็บไซต์ประจำวง เนื่องจากมีการจดทะเบียนซื้อขายชื่อโดเมน ลินคอล์นพาร์ก.คอม (lincolnpark.com) ก่อนที่ทางวงจะไปขึ้นทะเบียนวงดนตรีของพวกตนไปเรียบร้อยแล้ว และหากยังคงต้องการใช้ชื่อนั้น ก็ต้องเตรียมจ่ายเงินจำนวนมหาศาลแน่นอน[25] นอกจากนี้ในสหรัฐอเมริกามีสวนสาธารณะชื่อลินคอล์นพาร์กอยู่หลายแห่ง ดังนั้นหากไปเปิดการแสดงดนตรีที่ใดก็ตาม จะกลายเป็นเหมือนกับวงดนตรีท้องถิ่นทั่วไป ที่สำคัญคือทุกคนชอบชื่อ ลินคอล์นพาร์ก และยังเป็นสถานที่ที่เชสเตอร์ขับรถผ่านภายหลังจากซ้อมดนตรีเสร็จเป็นประจำ ลินคอล์นพาร์กเป็นสถานที่แห่งหนึ่งของชนชั้นกลาง และคนจรจัดของเมืองแซนตามอนิกา และต่อมาลิงคินพาร์กได้ร่วมงานกับโปรดิวเซอร์ชื่อดังอย่างดอน กิลมอร์ ผู้เคยร่วมงานกับศิลปินชื่อดังมาแล้วมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเพิร์ล แจม, เอเพ็กซ์ ทีโอรี, ชูการ์ เรย์
ลิงคินพาร์กออกจำหน่ายผลงานอัลบั้มชุดแรกในวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2543[26][27] จะใช้ชื่ออะไรไปไม่ได้นอกจากชื่อที่ยังคาใจทุกคนอยู่ นั่นก็คือ ไฮบริดทีโอรี (Hybrid Theory) ทุกคนยอมรับว่าเป็นวลีที่สรุปจุดมุ่งหมายของวงได้ดีที่สุด และต้องมีการใส่วงเล็บเพิ่มลงไปด้วย ซึ่งอัลบั้มนี้แสดงให้เห็นถึงความคุ้มค่าของการทำผลงานของวงมาครึ่งทศวรรษ ไฮบริดทีโอรี ได้ประสบความสำเร็จในเชิงการค้าอย่างมาก โดยออกจำหน่ายได้มากกว่า 4.8 ล้านแผ่นภายในปีแรกที่ออกวางขาย จัดอยู่ในอันดับอัลบั้มเพลงที่มียอดขายสูงสุดในปี พ.ศ. 2544 ซิงเกิลในอัลบั้มนี้ เช่น "ครอว์ลิง" (Crawling) และ "วันสเต็ปโคลเซอร์" (One Step Closer) ได้เป็นที่ยอมรับกันว่าเป็นเพลงเด่นของนักจัดรายการวิทยุเพลงอัลเทอร์เนทีฟร็อกทั่วโลกในปีนั้น[20] นอกจากนี้ ซิงเกิลอื่น ๆ จากอัลบั้มนี้ได้นำไปเป็นเพลงประกอบให้กับภาพยนตร์ในหลาย ๆ เรื่อง เช่น Dracula 2000, Little Nicky, และ Valentine[20] ไฮบริดทีโอรี ได้ชนะรางวัลแกรมมีในผลงานเพลง "ครอว์ลิง" และได้ถูกเสนอชื่อเข้าชิงอีก 2 รายการ คือ ศิลปินหน้าใหม่ยอดเยี่ยม และอัลบั้มเพลงร็อกยอดเยี่ยม[28] เอ็มทีวีได้มอบรางวัลให้กับลิงคินพาร์ก ในสาขาวิดีโอเพลงร็อกยอดเยี่ยม และรางวัลงานกำกับยอดเยี่ยมในผลงานเพลง "อินดิเอ็นด์"[18] และผ่านเข้าไปเป็นผู้ชนะรางวัลแกรมมีในสาขาการแสดงดนตรีฮาร์ดร็อกยอดเยี่ยมในปี พ.ศ. 2544 ความสำเร็จโดยรวมของอัลบั้ม ไฮบริดทีโอรี ได้ทำให้ลิงคินพาร์กเป็นวงดนตรีที่หลาย ๆ คนรู้จัก
ในช่วงเวลานี้ ลิงคินพาร์กได้รับเชิญให้ไปแสดงดนตรีอีกมากมาย และออกทัวร์ในเทศกาลดนตรี แฟมิลีแวลูส์ (Family Values) ออซเฟสต์ (Ozzfest) และออลโมสต์อะคูสติกคริสต์มาส (KROQ Almost Acoustic Christmas)[20][29] วงได้ทำงานด้วยกันกับ เจสซิกา สกลาร์ เพื่อก่อตั้งกลุ่มแฟนคลับของวงอย่างเป็นทางการ "ลิงคินพาร์กอันเดอร์กราวด์" ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2544[30][31] ลิงคินพาร์กยังได้ก่อตั้งทัวร์ของวงเอง พรอเจกต์เรโวลูชัน (Projekt Revolution) ซึ่งร่วมกับศิลปินที่โดดเด่นอื่น ๆ เช่น ไซเพรสส์ฮิลล์ (Cypress Hill) อะดีมา (Adema) และสนูป ด็อกก์ (Snoop Dogg)[22] ลิงคินพาร์กได้ออกแสดงทัวร์คอนเสิร์ตมากกว่า 320 คอนเสิร์ต[18] ประสบการณ์และการแสดงของวงนี้ได้บันทึกลงในผลงานดีวีดีแรก แฟรตปาร์ตีแอตเดอะแพนเค้กเฟสติวัล ซึ่งเปิดตัวในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2544 และได้ชักชวนให้ฟีนิกซ์ (Pheonix) มือกีตาร์เบสของวงกลับเข้าร่วมงานด้วยกันอีกครั้ง ในฐานะสมาชิกคนที่ 6 ของลิงคินพาร์ก[20][21] (แต่ในปกผลงานชุด ไฮบริดทีโอรี ลงเครดิตเพียงแค่ 5 คนเท่านั้น) ลิงคินพาร์กได้เริ่มทำผลงานอัลบั้มรีมิกซ์ชุดแรก ชื่อว่า รีแอนิเมชัน ซึ่งจะรวมผลงานเพลงรวมถึงโบนัสแทร็กจากอัลบั้ม ไฮบริดทีโอรี มารีมิกซ์[20] รีแอนิเมชัน ออกจำหน่ายในวันที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2545 ร่วมกับศิลปินรับเชิญ ได้แก่ แบล็ก ทอต โจนาธาน เดวิส แอรอน ลูอิส และอื่น ๆ อีกมากมาย[32] รีแอนิเมชัน เข้าสู่อันดับสองใน บิลบอร์ด 200 และมียอดจำหน่ายได้เกือบ 270,000 แผ่นภายในสัปดาห์แรก[33] ไฮบริดทีโอรี ยังได้ถูกจัดอันดับใน ยอดอัลบั้ม 100 อันดับ ของสมาคมผู้ประกอบกิจการเพลงของสหรัฐอเมริกา อีกด้วย[34]
หลังจากที่ประสบความสำเร็จกับ อัลบั้ม ไฮบริดทีโอรี และ รีแอนิเมชัน ลิงคินพาร์กได้ใช้เวลาออกแสดงคอนเสิร์ตทัวร์รอบสหรัฐอเมริกา สมาชิกวงได้เริ่มทำงานโดยใช้เวลาว่างที่อยู่ในสตูดิโอของรถบัสทัวร์คอนเสิร์ตในการทำผลงานอัลบั้มใหม่[35] และประกาศอย่างเป็นทางการที่จะมีสตูดิโออัลบั้มใหม่ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2545 แสดงให้เห็นถึงแรงบันดาลใจที่มาจากยอดเขาเมทีโอราในประเทศกรีซ ซึ่งมีวัดหรืออารามจำนวนมากที่ตั้งอยู่บนยอดของภูเขาหิน เปรียบเหมือนเพลงร็อกในอัลบั้ม เมทีโอรา[36] โดยมีการผสมผสานของแนวเพลงนูเมทัล และแร็ป ด้วยเสียงใหม่ ๆ รวมถึงเสียงจากเครื่องดนตรีที่ชื่อว่าชากุฮะชิ (ฟลุตญี่ปุ่นทำมาจากไม่ไผ่) และอื่น ๆ[18] อัลบั้มที่สองของลิงคินพาร์กนี้ได้ออกจำหน่ายในวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2546 และได้รับการยอมรับจากผู้ฟังทั่วโลก[18] เข้าสู่อันดับ 1 ในสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักร และอันดับ 2 ในออสเตรเลีย[19]
เมทีโอรา จำหน่ายได้มากกว่า 800,000 แผ่นภายในสัปดาห์แรก และถูกจัดให้เป็นอัลบั้มที่มียอดจำหน่ายสูงสุดในชาร์ตบิลบอร์ดในเวลานั้น[37] ซิงเกิลในอัลบั้มนี้ ประกอบด้วย "ซัมแวร์ไอบีลอง", "เฟนต์", "นัมบ์", "ฟรอมดิอินไซด์" และ "เบรกกิงเดอะแฮบิต"[38] โดยในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2546 เมทีโอรา ใกล้จำหน่ายได้ 3 ล้านชุด[39] ลิงคินพาร์กจึงจัดพรอเจกต์เรโวลูชัน หรืองานเทศกาลดนตรีของลิงคินพาร์ก ซึ่งรวมวงดนตรีและศิลปินอื่นมาในงานนี้ด้วย ได้แก่ มัดเวน, ไบลนด์ไซด์ และเอกซ์ซิบิต[18] นอกจากนี้ เมทัลลิกาได้เชิญลิงคินพาร์กมาเล่นที่งานซัมเมอร์แซนนิเทเรียมทัวร์ ในปี พ.ศ. 2546 ซึ่งรวมการแสดงจากศิลปินที่เป็นที่รู้จักอย่าง ลิมป์บิซกิต, มัดเวน และเดฟโทนส์[40] ลิงคินพาร์กออกจำหน่ายอัลบั้มบันทึกการแสดงสดชื่อว่า ไลฟ์อินเท็กซัส ซึ่งประกอบด้วยแทร็กออดิโอและวิดีโอจากการแสดงดนตรีบางส่วนของวงที่เท็กซัสระหว่างการออกทัวร์[18] ในต้นปี พ.ศ. 2547 ลิงคินพาร์กได้เริ่มทัวร์ที่มีชื่อว่า เมทีโอราเวิลด์ทัวร์ รวมถึงวงดนตรีที่สนับสนุนการทัวร์ครั้งนี้ ได้แก่ ฮูบาสแตงก์, พี.โอ.ดี., สตอรีออฟเดอะเยียร์ และวงเพีย[41]
เมทีโอรา ทำให้วงได้รับรางวัลในหลายรายการ โดยได้ชนะในรางวัลเอ็มทีวีในสาขาวิดีโอเพลงร็อกยอดเยี่ยมสำหรับเพลง "ซัมแวร์ไอบีลอง" และสาขาวิดีโอขวัญใจผู้ชมสำหรับเพลง "เบรกกิงเดอะแฮบิต"[42] ลิงคินพาร์กยังได้รับการยอมรับในงานเรดิโอมิวสิกอะวอดส์ในปี พ.ศ. 2547 ชนะรางวัลศิลปินแห่งปีและรางวัลเพลงแห่งปีสำหรับเพลง "นัมบ์"[42] ถึงแม้ว่า เมทีโอรา จะไม่ประสบความสำเร็จเท่ากับ ไฮบริดทีโอรี แต่ก็ได้เป็นอัลบั้มที่มียอดจำหน่ายสูงที่สุดอันดับสามในสหรัฐอเมริกาในช่วงปี พ.ศ. 2546[20] ลิงคินพาร์กใช้เวลาสองสามเดือนแรกในปี พ.ศ. 2547 ในการทัวร์คอนเสิร์ตรอบโลก โดยครั้งแรกได้จัดทัวร์พรอเจกต์เรโวลูชันครั้งที่ 3 และอีกหลายคอนเสิร์ตต่อมาในยุโรป[20] ในเวลาเดียวกัน ความสัมพันธ์ของวงกับวอร์เนอร์บราเธอร์สเรเคิดส์ได้เสื่อมถอยลงด้วยปัญหาทางการเงิน[43] หลังจากปัญหาที่เกิดขึ้น วงก็ได้เจรจาต่อรองข้อตกลงในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2548
หลังจากความสำเร็จของอัลบั้ม เมทีโอรา ลิงคินพาร์กได้เลื่อนการทำผลงานอัลบั้มใหม่ และเริ่มงานไซด์พรอเจกต์[44] เชสเตอร์ได้ร่วมงานกับดีเจลีทัล (DJ Lethal) ในผลงานเพลง "สเตตออฟเดอะอาร์ต" และร่วมงานกับวงเดดบายซันไรส์ ส่วนไมค์ได้ร่วมงานกับดีเพชเชโมด[20] ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2547 ลิงคินพาร์กได้ทำอัลบั้ม คอลลิชันคอร์ส ที่นำเพลงจากอัลบั้มเก่ามาผสมร่วมกับผลงานเพลงของเจย์-ซี นอกจากนี้ ไมค์ยังได้ก่อตั้งไซด์พรอเจกต์ใหม่ของเขา ฟอร์ตไมเนอร์ (Fort Minor) พร้อมกับออกจำหน่ายอัลบั้มชุดแรก เดอะไรซิงไทด์[45][46]
ลิงคินพาร์กยังได้มีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมการกุศลเป็นจำนวนมาก โดยที่โดดเด่นที่สุดคือการบริจาคเงินเพื่อผู้ประสบภัยจากเหตุการณ์พายุเฮอร์ริเคนชาร์ลีย์ ในปี พ.ศ. 2547 และเหตุการณ์พายุเฮอร์ริเคนแคทรีนา ซึ่งเกิดขึ้นต่อมาในปี พ.ศ. 2548[20] ลิงคินพาร์กทำเงินบริจาคได้ 75,000 ดอลลาร์สหรัฐให้กับมูลนิธิหน่วยรบปฏิบัติการพิเศษ ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2547[47] และยังได้ช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ผู้ประสบภัยจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิในมหาสมุทรอินเดีย พ.ศ. 2547 โดยการจัดคอนเสิร์ตเพื่อการกุศล และจัดตั้งกองทุนที่เรียกว่า มิวสิกฟอร์รีลีฟ อย่างไรก็ตามวงก็ได้มีส่วนร่วมในงานคอนเสิร์ตไลฟ์เอท ชุดการแสดงคอนเสิร์ตเพื่อการกุศลที่จัดตั้งขึ้นเพื่อสร้างจิตสำนึกที่ดีให้กับโลก[48] ซึ่งได้ทำการแสดงคอนเสิร์ตไลฟ์เอทด้วยกันกับเจย์-ซี ที่ฟิลาเดลเฟีย รัฐเพนซิลเวเนีย[48] ต่อมาวงได้กลับมารวมตัวกับเจย์-ซีที่งานมอบรางวัลแกรมมีปี พ.ศ. 2549 ในการแสดงในผลงานเพลง "นัมบ์/อานคอร์" ซึ่งเป็นผู้ชนะรางวัลในสาขาแร็ป/ร้องยอดเยี่ยม[49] และได้ร่วมขึ้นแสดงกับพอล แม็กคาร์ตนีย์ ซึ่งได้เพิ่มเนื้อร้องจากเพลง "เยสเตอร์เดย์" ต่อมาพวกเขาก็ได้ไปแสดงคอนเสิร์ตที่งานเทศกาลดนตรีซัมเมอร์โซนิกในปี พ.ศ. 2549 ซึ่งจัดโดยเมทัลลิกาที่ประเทศญี่ปุ่น[50]
ในปี พ.ศ. 2549 ลิงคินพาร์กได้กลับเข้าสตูดิโออีกครั้ง และเปลี่ยนแนวเพลง สำหรับโปรดิวเซอร์ของอัลบั้มนี้ คือ ริก รูบิน ถึงแม้จะมีการกล่าวว่าอัลบั้มใหม่จะออกในปี พ.ศ. 2549 แต่ก็ได้เลื่อนไปจนถึงปี พ.ศ. 2550[11] ไมค์ได้กล่าวว่าอัลบั้มเสร็จไปแล้วครึ่งทาง ในขณะที่ลิงคินพาร์กบันทึกเพลงได้สามสิบถึงห้าสิบเพลงในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2549[51] ต่อมาเชสเตอร์ได้กล่าวเพิ่มว่าอัลบั้มใหม่นั้นจะมีการเปลี่ยนแปลงให้แตกต่างออกไปจากอัลบั้มที่แล้วที่เป็นแนวนูเมทัล[52] วอร์เนอร์บราเธอร์สเรเคิดส์ได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่าสตูดิโออัลบั้มชุดที่สามของลิงคินพาร์ก จะมีชื่อว่า มินิตส์ทูมิดไนต์ และจะออกจำหน่ายในประเทศสหรัฐอเมริกาในวันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2550[53] หลังจากที่ใช้เวลาไปสิบสี่เดือนในการทำผลงานอัลบั้ม สมาชิกในวงได้ปรับอัลบั้มโดยการคัดเลือกเพลงออกให้เหลือเพียงสิบสองเพลงจากเดิมที่มีอยู่สิบเจ็ดเพลง ชื่ออัลบั้มนั้นได้แนวคิดมาจากนาฬิกาโลกาวินาศซึ่งมาจากนักวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยชิคาโก หลังจากสหรัฐอเมริกาทิ้งระเบิดปรมาณูใส่ญี่ปุ่นก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 จะสิ้นสุดลง แสดงให้เห็นถึงเนื้อหาในเพลงในรูปแบบใหม่ของวง[54] มินิตส์ทูมิดไนต์ มียอดจำหน่ายมากกว่า 625,000 แผ่นภายในสัปดาห์แรก ทำให้เป็นหนึ่งในอัลบั้มที่เปิดตัวในสัปดาห์แรกที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดแห่งปี นอกจากนี้อัลบั้มนี้ยังติดอันดับหนึ่งในชาร์ตบิลบอร์ดอีกด้วย[14]
ซิงเกิลแรกของอัลบั้ม "วอตไอฟ์ดัน" ออกจำหน่ายในวันที่ 2 เมษายน และออกเผยแพร่เป็นครั้งแรกในเอ็มทีวีและฟิวส์ทีวีภายในสัปดาห์เดียวกัน[55] ซิงเกิลนี้ได้รับการชื่นชมจากผู้ฟัง และเป็นเพลงที่อยู่ในอันดับหนึ่งในชาร์ตเพลงอัลเทอร์เนทีฟและเพลงเมนสตรีมร็อกของบิลบอร์ด[56] เพลงนี้ยังได้เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ในปี พ.ศ. 2550 ในเรื่อง ทรานส์ฟอร์มเมอร์ส มหาวิบัติจักรกลสังหารถล่มจักรวาล ไมก์ ชิโนดะยังได้เป็นศิลปินรับเชิญให้กับวงสไตลส์ออฟบียอนด์ ในผลงานเพลง "เซคันด์ทูนัน" ซึ่งได้รวมเป็นเพลงประกอบของภาพยนตร์นี้อีกด้วย ในปีต่อมา ลิงคินพาร์กได้ชนะในรางวัล "ศิลปินแนวอัลเทอร์เนทีฟร็อกยอดเยี่ยม" ในงานอเมริกันมิวสิกอะวอร์ด[57] ลิงคินพาร์กได้ประสบความสำเร็จจากซิงเกิลที่เหลือในอัลบั้ม ได้แก่ "บลีดอิตเอาต์" "แชโดว์ออฟเดอะเดย์" "กิฟเวนอัป" และ "ลีฟเอาต์ออลเดอะเรสต์" ซึ่งได้ออกจำหน่ายในช่วงปี พ.ศ. 2550 และต้นปี พ.ศ. 2551 และยังได้ทำงานเป็นศิลปินรับเชิญร่วมกับบัสตา ไรมส์ ในซิงเกิล "วีเมดอิต" ซึ่งออกจำหน่ายในวันที่ 29 เมษายน[58]
ลิงคินพาร์กได้เริ่มจัดงานคอนเสิร์ตทัวร์รอบโลก ในชื่อว่า "มินิตส์ทูมิดไนต์เวิลด์ทัวร์" ได้โปรโมตการออกจำหน่ายของอัลบั้มนี้โดยจัดทัวร์พรอเจกต์เรโวลูชันครั้งที่สี่ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งได้รวมการแสดงจากนักดนตรีและวงดนตรีหลาย ๆ ท่านด้วยกันอย่าง มายเคมิคอลโรแมนซ์ เทกกิงแบ็กซันเดย์ ฮิม พลาซีโบ และอื่น ๆ อีกมากมาย และยังได้เล่นในโชว์เป็นจำนวนมากในยุโรป เอเชีย และออสเตรเลีย ซึ่งรวมการแสดงที่ไลฟ์เอิร์ทเจแปนในวันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2550[59] และงานดาวน์โหลดเฟสติวัล ในดอนิงตันพาร์ก ประเทศอังกฤษ และงานเอดจ์เฟสต์ ในดาวส์วิวพาร์ก ที่โทรอนโต ประเทศแคนาดา ลิงคินพาร์กเสร็จสิ้นการทัวร์ในพรอเจกต์เรโวลูชันครั้งที่สี่ ก่อนที่จะจัดงานทัวร์รอบสหราชอาณาจักรในเมืองต่าง ๆ ได้แก่ นอตทิงแฮม เชฟฟีลด์ และแมนเชสเตอร์ ก่อนที่จะเสร็จงานที่จัดสองคืนที่ดิโอทูอาเรนาในลอนดอน เชสเตอร์ได้กล่าวว่าลิงคินพาร์กวางแผนที่จะออกผลงานชุดต่อมาจาก มินิตส์ทูมิดไนต์[60] อย่างไรก็ตาม เขาก็ได้กล่าวว่าวงจะเริ่มจัดทัวร์ที่สหรัฐอเมริกาเพื่อรวบรวมแรงบันดาลใจที่จะทำอัลบั้ม[60] ลิงคินพาร์กเริ่มจัดทัวร์พรอเจกต์เรโวลูชันอีกในปี พ.ศ. 2551 เป็นทัวร์ครั้งแรกของพรอเจกต์เรโวลูชันที่จัดขึ้นในยุโรปด้วยการแสดงสามครั้งที่เยอรมนีและหนึ่งครั้งที่สหราชอาณาจักร โปรเจ็คต์เรโวลูชันทัวร์ยังได้จัดในสหรัฐอเมริกาอีกด้วย ซึ่งร่วมกับ คริส คอร์เนลล์, เดอะเบรเวอรี, แอชเชสดิไวด์, สตรีตดรัมคอปส์ และอื่น ๆ อีกมากมาย ลิงคินพาร์กได้สำเร็จการออกทัวร์ด้วยการแสดงครั้งสุดท้ายที่เท็กซัส ไมก์ ชิโนดะได้ประกาศออกอัลบั้มบันทึกการแสดงสด ชื่อว่า โรดทูเรโวลูชัน: ไลฟ์แอตมิลตันคีนส์ ซึ่งเป็นวิดีโอบันทึกการแสดงสดจากพรอเจกต์เรโวลูชันที่จัดขึ้นในมิลตันคีนส์ ในวันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2551 ซึ่งออกจำหน่ายอย่างเป็นทางการในวันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551[61]
ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2552 ลิงคินพาร์กได้ประกาศว่ากำลังทำผลงานสตูดิโออัลบั้มชุดที่สี่ ซึ่งวางแผนว่าจะออกจำหน่ายภายในปี พ.ศ. 2553 ไมค์ได้บอกกับไอจีเอ็นว่าอัลบั้มใหม่จะเป็นการดัดแปลงแนวเพลง โดยองค์ประกอบโดยรวมของเพลงยังคงคล้าย ๆ กับอัลบั้ม มินิตส์ทูมิดไมต์[62] นอกจากนี้เขายังกล่าวว่าอัลบั้มนี้จะเป็นการทดลองที่ทำให้เพลงมีลักษณะที่ทันสมัยมากขึ้นและ[63] เชสเตอร์ยังได้พูดถึงสื่อที่จะยืนยันว่า ริก รูบิน จะกลับเป็นโปรดิวเซอร์ให้กับอัลบั้มใหม่นี้ด้วย ต่อมาลิงคินพาร์กได้ประกาศว่าอัลบั้มนี้จะมีชื่อว่า อะเทาซันด์ซันส์[64] ขณะกำลังทำผลงานอัลบั้มใหม่ ลิงคินพาร์กก็ได้ทำงานกับนักแต่งดนตรีประกอบภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จ ฮันส์ ซิมเมอร์ เพื่อที่จะผลิตดนตรีประกอบให้กับภาพยนตร์เรื่อง ทรานส์ฟอร์มเมอร์ส อภิมหาสงครามแค้น และออกซิงเกิล "นิวดิไวด์" ประกอบภาพยนตร์นี้อีกด้วย อีกทั้งโจ ฮาห์น ก็ได้กำกับมิวสิกวิดีโอให้กับเพลงนี้อีกด้วย ซึ่งจะมีภาพจากภาพยนตร์ปรากฏอยู่ในมิวสิกวิดีโอ[65] ในวันที่ 22 มิถุนายน หลังจากที่ภาพยนตร์นี้ออกฉายครั้งแรกแล้ว ลิงคินพาร์กได้แสดงดนตรีเล็ก ๆ ที่เวสต์วูดวิลเลจ ลอสแอนเจลิส[66] และหลังจากนั้นลิงคินพาร์กก็กลับมาทำผลงานอัลบั้มต่อจนเสร็จ[67]
ในวันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2553 ลิงคินพาร์กได้ออกเกม "8-บิตรีเบลเลียน!" (8-Bit Rebellion!) สำหรับไอพอด ไอโฟน และไอแพด จุดเด่นของเกมคือมีตัวละครในเกมเป็นสมาชิกในวง ภายในเกมประกอบด้วยเพลง "แบล็กเบิร์ดส" จะถูกปลดล็อกเมื่อผู้เล่นเล่นเกมจบ ต่อมาเพลงนี้ได้รวมอยู่ในโบนัสแทร็กในอัลบั้ม อะเทาซันด์ซันส์ อีกด้วย และในวันที่ 6 มิถุนายน ลิงคินพาร์กเปิดเผยว่าอัลบั้มใหม่ใกล้เสร็จแล้ว จนในวันที่ 8 กรกฎาคม ลิงคินพาร์กประกาศกำหนดวันออกอัลบั้มอย่างเป็นทางการ รวมทั้งประกาศรายชื่อเพลงในอัลบั้ม นอกจากนี้ยังมีการกำหนดการจัดคอนเสิร์ตครั้งแรกของปี พ.ศ. 2553 ที่เบอร์ลิน ประเทศเยอรมัน
อะเทาซันด์ซันส์ ออกจำหน่ายในวันที่ 8 กันยายน และออกซิงเกิลแรก "เดอะแคทาลิสต์" ในวันที่ 2 สิงหาคม ลิงคินพาร์กได้โปรโมตอัลบั้มใหม่โดยการเปิดตัวทัวร์คอนเสิร์ต ซึ่งได้เริ่มในลอสแอนเจลิสในวันที่ 7 กันยายน[68][69][70] ลิงคินพาร์กยังได้ใช้มายสเปซในการโปรโมตอัลบั้ม และได้ออกเพลงอีกสองเพลง ได้แก่ "เวตติงฟอร์ดิเอ็นด์" ซึ่งเป็นซิงเกิลที่สองของอัลบั้ม และ "แบล็กเอาต์" ในวันที่ 8 กันยายน[71][72][73][74] นอกจากนี้ ยังได้ทำสารคดีเกี่ยวกับการผลิตอัลบั้มนี้ มีชื่อว่า เดอะมีตติงออฟอะเทาซันด์ซันส์ อยู่ในหน้ามายสเปซของลิงคินพาร์ก โดยในวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2553 มีการประกาศว่าลิงคินพาร์กจะทำการแสดงสดซิงเกิลในอัลบั้มเป็นครั้งแรกที่งานเอ็มทีวีวิดีโอมิวสิกอะวอดส์ 2010 ในวันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2553[75] สถานที่จัดงานของการเปิดตัวการแสดงสดนี้อยู่ที่หอดูดาวกริฟฟิท สถานที่อันเป็นสัญลักษณ์ของภาพยนตร์ฮอลลีวูด[76][77][78]
ลิงคินพาร์กได้เข้าสู่อันดับ 8 ใน บิลบอร์ด โซเชียล 50 ซึ่งเป็นอันดับชาร์ตของศิลปินที่ทำผลงานอย่างต่อเนื่องในเครือข่ายสังคมชั้นนำของโลก[79] ลิงคินพาร์กได้ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลบิลบอร์ดหกรางวัลในปี พ.ศ. 2554 ได้แก่ ยอดกลุ่มดนตรี อัลบั้มเพลงร็อกยอดเยี่ยมสำหรับอัลบั้ม อะเทาซันด์ซันส์ ยอดศิลปินร็อก ยอดศิลปินอัลเทอร์เนทีฟ ยอดเพลงอัลเทอร์เนทีฟสำหรับเพลง "เวตติงฟอร์ดิเอ็นด์" และยอดอัลบั้มเพลงอัลเทอร์เนทีฟสำหรับอัลบั้ม อะเทาซันด์ซันส์ แต่ก็ไม่ได้เป็นผู้ชนะรางวัล[80]
ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2554 เชสเตอร์บอกกับ โรลลิงสโตน ว่าลิงคินพาร์กตั้งเป้าหมายที่จะผลิตอัลบั้มใหม่ในทุก 18 เดือน และเขาจะตกใจถ้าอัลบั้มใหม่ไม่ได้ออกในปี พ.ศ. 2555 หลังจากที่เขาเปิดเผยในการให้สัมภาษณ์อื่น ๆ ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2554 ว่าวงยังคงอยู่ในช่วงเริ่มทำผลงานอัลบั้ม เขาบอกว่า "เราเพิ่งจะเริ่มต้น เราอยากจะเก็บสิ่งสร้างสรรค์ต่าง ๆ ที่เราคิด เราจึงพยายามที่จะเก็บมันซึ่งมันจะหายไปจากความคิดเราตลอดเวลา...เราจะไปในทิศทางที่เรากำลังจะไป"[81] ต่อมา ในวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2555 ไมค์ได้ยืนยันว่าวงกำลังถ่ายทำมิวสิกวิดีโอของเพลง "เบิร์นอิตดาวน์"[82][83] โดยมี โจ ฮาห์น เป็นผู้กำกับมิวสิกวิดีโอ[84] ไมค์บอกกับ โค.ครีเอต เกี่ยวกับภาพหน้าปกอัลบั้ม เขาบอกว่า "มันจะทำให้แฟนคลับประทับใจ...ในแบบที่คนทั่วไปจะไม่สามารถทำได้แค่มองดูภาพแล้วก็ไป ผมเข้าใจว่ามันเพิ่งเสร็จสมบูรณ์ มันจะไม่เป็นเพียงแค่รูป แต่การสร้างรูปนี้ขึ้นมามันจะเป็นวิธีที่ใหม่โดยสิ้นเชิง มันจะเป็นแบบนั้น"[85]
ในวันที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2555 ไมค์ได้ประกาศว่า ลิฟวิงทิงส์ จะเป็นชื่อของอัลบั้มที่ห้าของลิงคินพาร์ก[86] ไมค์ได้กล่าวว่าพวกเขาเลือกชื่อ ลิฟวิงทิงส์ ก็เพราะว่าเป็นอัลบั้มที่เกี่ยวกับเรื่องราว ความสัมพันธ์ของบุคคล และใช้บุคคลมากกว่าอัลบั้มที่แล้ว[87] ลิงคินพาร์กได้โปรโมตอัลบั้มนี้ในงาน ฮอนด้าซีวิกทัวร์ ด้วยกันกับวงอินคูบัส โดยเล่นเพลง "เบิร์นอิตดาวน์" ที่งานประกาศผลรางวัลบิลบอร์ดมิวสิกอะวอร์ดประจำปี 2555 โดยในวันที่ 24 พฤษภาคม ได้ออกเผยแพร่มิวสิกวิดีโอของเพลง "เบิร์นอิตดาวน์" และเปิดตัวเพลง "ไลส์กรีดมิสเซอรี" อีกเพลงจาก ลิฟวิงทิงส์ ออกทางบีบีซีเรดิโอ 1 และเพลง "พาวเวอร์เลส" เพลงลำดับที่สิบสองและลำดับสุดท้ายของอัลบั้ม ได้นำไปเป็นเพลงปิดของภาพยนตร์ อับราฮัม ลินคอล์น: แวมไพร์ฮันเตอร์[88]
ลิฟวิงทิงส์ ออกจำหน่ายได้มากกว่า 220,000 แผ่นภายในสัปดาห์แรก ติดอันดับ 1 ในชาร์ตอัลบั้มสหรัฐอเมริกา[89] ซิงเกิลของลิงคินพาร์ก "คาสเซิลออฟกลาส" ได้ถูกเสนอชื่อเข้าชิงใน 'เพลงประกอบเกมยอดเยี่ยม' ในงานประกาศผลรางวัลสไปก์วิดีโอเกมอะวอร์ดประจำปี 2555 และยังแสดงดนตรีในงานมอบรางวัลในวันที่ 7 ธันวาคม อีกด้วย แต่ได้พลาดรางวัล และผู้ชนะคือเบ็ก ในผลงานเพลง "ซิตีส์"[90] ลิงคินพาร์กยังได้เล่นเพลงที่งานซาวด์เวฟ (Soundwave) เทศกาลดนตรีในออสเตรเลีย โดยได้ร่วมเวทีกับเมทัลลิกา, พาร์อะมอร์, สเลเยอร์ และซัม 41[91]
ในวันที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2556 ลิงคินพาร์กได้ร่วมงานกับนักดนตรีชาวอเมริกัน สตีฟ อะโอะกิ ในผลงานเพลง "อะไลต์แดตเนเวอร์คัมส์" ประกอบเกมออนไลน์แนวปริศนาผจญภัยของลิงคินพาร์ก แอลพีรีชาร์จ (LP Recharge, ย่อมาจาก Linkin Park Recharge) ซึ่งเปิดตัวให้เล่นในเฟซบุ๊ก และเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของ แอลพีรีชาร์จ ในวันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2557 ในวันที่เกมนี้ออก ลิงคินพาร์กก็ได้โพสต์ในเฟซบุ๊กว่าเพลงที่ใช้ในเกมนี้จะรวมอยู่ในอัลบั้มรีมิกซ์ชุดใหม่ของวง มีชื่อว่า รีชาจด์ ซึ่งออกจำหน่ายในวันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2556 ในรูปแบบแผ่นซีดี, ไวนิล และดิจิตอลดาวน์โหลด คล้ายกันกับ รีแอนิเมชัน โดยอัลบั้ม รีชาจด์ นี้จะใช้ผลงานเพลงจากอัลบั้ม ลิฟวิงทิงส์ นำมารีมิกซ์ และได้ทำงานร่วมกับศิลปินอื่น เช่น ริว จากสไตลส์ออฟบียอนด์, พุชาที, แดตซิก, คิลล์โซนิก, บันบี, มันนีมาร์ก และริก รูบิน[92][93] ลิงคินพาร์กยังได้ทำผลงานเพลงประกอบภาพยนตร์ มอลล์ (Mall) ซึ่งเป็นภาพยนตร์ที่กำกับโดยโจ ฮาห์น[94]
ในระหว่างการสัมภาษณ์กับฟิวส์ ไมค์ได้ยืนยันว่าลิงคินพาร์กจะเริ่มบันทึกสตูดิโออัลบั้มชุดที่ 6 ของวงในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2557[95] และได้ออกซิงเกิลแรกจากอัลบั้มที่กำลังจะออกจำหน่าย ในผลงานเพลง "กิลตีออลเดอะเซม" ในวันที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2557 ผ่านทางชาแซม[96] ในวันต่อมาได้ออกจำหน่ายซิงเกิลโดยผ่านวอร์เนอร์บราเธอร์สเรเคิดส์ และเข้าสู่อันดับที่ 28 ในบิลบอร์ดร็อกแอร์เพลย์ชาร์ต (Billboard Rock Airplay charts) ก่อนที่จะติดอันดับ 1 ในชาร์ตเมนสตรีมร็อก ในสัปดาห์ต่อมา[97][98] ในเวลาไม่นานหลังจากซิงเกิลนี้ได้ออกจำหน่าย ลิงคินพาร์กก็ได้ประกาศชื่ออัลบั้มใหม่ในชื่อว่า เดอะฮันติงปาร์ตี อัลบั้มนี้มีไมก์ ชิโนดะ และแบรด เดลสัน เป็นโปรดิวเซอร์ ผู้ที่มีส่วนสำคัญในการสร้างองค์ประกอบทางดนตรีในสตูดิโออัลบั้มชุดแรก ไฮบริดทีโอรี ซึ่งจะนำแนวเพลงจากอัลบั้มชุดแรกกลับมาอยู่ในอัลบั้มนี้ด้วย[99] ไมค์ได้ออกความเห็นว่าอัลบั้มนี้เป็น "การบันทึกเพลงร็อกแบบยุค 90" เขาอธิบายว่า "มันคือการบันทึกเพลงร็อก มันเสียงดังและมันร็อก แต่มันไม่ใช่ความรู้สึกในแบบที่คุณเคยได้ยินมาก่อน ซึ่งมันจะเหมือนกับ 'ฮาร์ดคอร์-พังก์-แทรชในยุค 90' "[100] อัลบั้มนี้มีศิลปินรับเชิญมาทำงานร่วมกันกับลิงคินพาร์ก ได้แก่ ราคิม, เพจ แฮมิลตัน จากเฮลเมต, ทอม โมเรลโล จากเรจอะเกนสต์เดอะแมชชีน และดารอน มาลาเคียน จากซิสเตมออฟอะดาวน์[101][102] อัลบั้ม เดอะฮันติงปาร์ตี ออกจำหน่ายในวันที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2557 ในประเทศส่วนใหญ่ และต่อมาได้ออกจำหน่ายในสหรัฐอเมริกาในวันที่ 17 มิถุนายน[103]
ลิงคินพาร์กแสดงคอนเสิร์ตที่งานดาวน์โหลดเฟสติวัล (Download Festival) ในวันที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2557 โดยเล่นเพลงทั้งหมดจากอัลบั้มแรกของวง ไฮบริดทีโอรี ซึ่งเป็นครั้งแรกที่เล่นเพลงครบทุกเพลงในอัลบั้มนี้[17][104][105][106] ลิงคินพาร์กได้ออกแสดงคอนเสิร์ตร็อกแอมริงและร็อกอิมพาร์ก (Rock am Ring and Rock im Park) ในปี พ.ศ. 2557 พร้อมกับเมทัลลิกา คิงส์ออฟลีออน และไอเอิร์นเมเดน[107][108] และจะออกคอนเสิร์ตกับไอเอิร์นเมเดนอีกครั้งในงานกรีนฟีลด์เฟสติวัล (Greenfield Festival) ในปี พ.ศ. 2557[109] ในวันที่ 22 มิถุนายน ลิงคินพาร์กได้ออกงานอย่างเงียบ ๆ และเซอร์ไพรส์ที่งานแวนส์วาปด์ทัวร์ (Vans Warped Tour) โดยเล่นกับสมาชิกวงอิสชูส์ เดอะเดวิลแวรส์พราดา อะเดย์ทูรีเมมเบอร์ เยลโล่คาร์ด เบรทแคโรลินา ฟินช์ และแมชชีน กัน เคลลี[110] ในเดือนกรกฎาคม พวกเขาได้ประกาศออกทัวร์คอนเสิร์ตว่าจะจัดในยุโรปในเดือนพฤศจิกายน และจะมีวงดนตรีเมทัลคอร์อย่างออฟไมซ์แอนด์เมนมาเป็นผู้สนับสนุนหลักของวงด้วย[111] ลิงคินพาร์กยังมีกำหนดที่จะเริ่มดำเนินการออกทัวร์ ชื่อว่า คาร์นิวอรส์ทัวร์ (Carnivores Tour) กับวงดนตรีร็อกชาวอเมริกัน เทอร์ตีเซคันส์ทูมาส์ ซึ่งจะใช้เวลา 25 วันในเดือนสิงหาคมและกันยายน พ.ศ. 2557 ในอเมริกาเหนือ[112]
ลิงคินพาร์กมีการแสดงที่ เดอะวิลเทิร์น ในลอสแอนเจลิส เพื่อเป็นอนุสรณ์ถึงการฉลองครบรอบ 50 ปีของ กีตาร์เซ็นเตอร์ ซึ่งเป็นเครือข่ายของร้านค้าขายปลีกเครื่องดนตรีที่ใหญ่ที่สุดในโลก จัดขึ้นในวันที่ 24 ตุลาคม[113] และมีการแสดงที่งานร็อกอินริโอยูเอสเอเฟสติวัลในวันที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2558 ด้วยกันกับเมทัลลิกา, โนเดาต์, เทย์เลอร์ สวิฟต์, จอห์น เลเจนด์, และเดฟโทนส์[114]
ลิงคินพาร์กเริ่มทำงานเพลงใหม่สำหรับสตูดิโออัลบั้มที่เจ็ดในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2558[115] เชสเตอร์ เบนนิงตันให้ความเห็นเกี่ยวกับทิศทางดนตรีของอัลบั้มว่า "เรามีเพลงดี ๆ มากมายที่ผมหวังว่าจะท้าทายแฟนเพลงของเราและบันดาลใจพวกเขามากเท่ากับที่เพลงเหล่านั้นท้าทายและบันดาลใจพวกเรา"[116] ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 ลิงคินพาร์กออกวิดีโอส่งเสริมลงทางบัญชีผู้ใช้สื่อสังคมของพวกเขา แสดงชิโนดะและเบนนิงตันกำลังเตรียมงานเพลงใหม่สำหรับอัลบั้มใหม่อยู่[117] ไมก์ ชิโนดะกล่าวว่าวงกำลังทำตามขั้นตอนใหม่ขณะผลิตอัลบั้ม แบรด เดลสันเสริมว่า "เราอัดเพลงไว้มากมายเหลือเกิน และเรารู้แน่ชัดว่าเราทำเพลงอย่างไร และครั้งนี้เราไม่ได้เลือกวิธีที่ง่ายเลย"[118]
ซิงเกิลแรกจากอัลบั้มชื่อว่า "เฮวี" มีนักร้องรับเชิญคือ คีเอรา [119] ซึ่งเป็นครั้งแรกที่วงได้นักร้องหญิงมาร้องรับเชิญบนเพลงฉบับดั้งเดิมในสตูดิโออัลบั้ม เนื้อเพลงแต่งโดยลิงคินพาร์ก ร่วมด้วยจูเลีย ไมเคิลส์ และจัสติน แทรนเตอร์[120] ซิงเกิลออกให้ดาวน์โหลดในวันที่ 16 กุมภาพันธ์[121][122] ลิงคินพาร์กมีข้อความลับออนไลน์ที่เกี่ยวกับอัลบั้มใหม่อย่างที่เขาเคยทำในอดีต ปกอัลบั้มเปิดเผยผ่านปริศนาดิจิทัลในสื่อสังคม ปกแสดงให้เห็นเด็กหกคนกำลังเล่นน้ำในมหาสมุทร[123] ชิโนดะให้สัมภาษณ์กับรายการเดอะแซกแซงโชว์ และเผยว่าอัลบั้มใหม่มีชื่อว่า วันมอร์ไลต์ และออกจำหน่ายในวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2560[124]
เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2560 เบนนิงตันเสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายด้วยการแขวนคอ[125][126] สาเหตุในการแขวนคอของเบนนิงตันคาดว่าน่าจะมาจากอาการ โรคซึมเศร้า ที่เบนนิงตันต่อสู้กับโรคนี้มาอย่างยาวนาน ชิโนดะยืนยันข่าวดังกล่าวผ่านทางทวิตเตอร์ว่า "รู้สึกตกใจและใจสลาย แต่มันเป็นเรื่องจริง จะมีการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการในภายหลัง"[127] ก่อนหน้านั้นในวันเดียวกัน วงออกมิวสิกวิดีโอสำหรับซิงเกิล "ทอล์กกิงทูมายเซลฟ์"[128] หลังจากเบนนิงตันเสียชีวิตได้หนึ่งวัน วงยกเลิกทัวร์วันมอร์ไลต์ทัวร์ในอเมริกาเหนือ[129]
เดือนเมษายน พ.ศ. 2567 บิลบอร์ดรายงานว่าวงมีโอกาสกลับมารวมตัวและจัดทัวร์คอนเสิร์ตในปีถัดจากนั้น โดยประกอบด้วยสมาชิกชุดก่อตั้งและนักร้องนำหญิงคนใหม่[130] สี่เดือนถัดมาวงได้กำหนดประกาศสำคัญพร้อมจัดงานในวันที่ 5 กันยายน ซึ่งจำกัดให้เฉพาะสมาชิกลิงคินพาร์กอันเดอร์กราวด์เข้างานได้เท่านั้น[131][132][133]
ในงานดังกล่าววงได้เปิดตัวเอมิลี อาร์มสตรอง เป็นนักร้องนำร่วมคนใหม่ ซึ่งเธอเคยเป็นนักร้องนำวงเดดซารามาก่อน และโคลิน บริตเตน เป็นมือกลองแทนที่ร็อบ บัวร์ดอน[134][135][136] วงได้เปิดตัวซิงเกิล "ดิเอ็มทิเนสแมชชีน" ซึ่งอยู่ในอัลบั้มที่แปด "ฟรอมซีโร" อันมีกำหนดวางจำหน่ายในวันที่ 15 พฤศจิกายน[134][135][136] อีกทั้งประกาศทัวร์คอนเสิร์ตประชาสัมพันธ์อัลบั้มดังกล่าวจำนวนหกวัน[136] ชิโนดะกล่าวว่าวงจะเริ่มการ "ทัวร์คอนเสิร์ตอย่างจริงจัง" ในปีถัดไป[134][135]
ในวันที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2553 ลิงคินพาร์กได้ออกซิงเกิลใหม่ในชื่อว่า "นอตอะโลน" เป็นส่วนหนึ่งของอัลบั้มรวมเพลงโดยองค์การมิวสิกฟอร์รีลีฟ ซึ่งมีชื่ออัลบั้มว่า ดาวน์โหลดทูโดเนตฟอร์เฮติ เพื่อสนับสนุนการช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวในเฮติ และในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 ลิงคินพาร์กได้ออกเผยแพร่มิวสิกวิดีโออย่างเป็นทางการของเพลงนี้ที่หน้าแรกของเว็บลิงคินพาร์ก ซิงเกิลนี้ออกจำหน่ายเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2554
ในวันที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2554 ได้ออกจำหน่ายอัลบั้มที่เป็นภาคต่อของ ดาวน์โหลดทูโดเนตฟอร์เฮติ ในชื่อว่า ดาวน์โหลดทูโดเนตฟอร์เฮติ เวอร์ชัน 2.0 ด้วยเพลงที่มากขึ้น และลิงคินพาร์กได้รวมผลงานรีมิกซ์ของเพลง "เดอะแคทาลิสต์" ซึ่งรีมิกซ์โดย คีตัน ฮะชิโมะโตะ จากการประกวด "ลิงคินพาร์กฟีเจอร์ริงยู" (Linkin Park featuring YOU) รวมเข้าไปในอัลบั้มรวมเพลงฉบับปรับปรุงใหม่นี้ด้วย[137]
ไมก์ ชิโนดะได้ออกแบบเสื้อเชิ้ตจำหน่าย ซึ่งเงินที่ได้นำไปให้กับองค์กรมิวสิกฟอร์รีลีฟ เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิในโทโฮะกุ พ.ศ. 2554[138][139] มิวสิกฟอร์รีลีฟได้ออกจำหน่ายอัลบั้มรวมเพลง ดาวน์โหลดทูโดเนต: สึนามิรีลีฟเจแปน ซึ่งเงินที่ได้นำไปบริจาคให้กับมูลนิธิเซฟเดอะชิลเดรน (Save the Children)[140] และลิงคินพาร์กได้ออกเพลงที่มีชื่อว่า "Issho Ni" ซึ่งมีความหมายว่า "เราอยู่ด้วยกันที่นี่" ในวันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2554 รวมอยู่ในอัลบั้ม ดาวน์โหลดทูโดเนต: สึนามิรีลีฟ
หลังจากเหตุการณ์พายุไต้ฝุ่นไห่เยี่ยนที่พัดเข้าโจมตีฟิลิปปินส์ ลิงคินพาร์กได้แสดงคอนเสิร์ต "Music for Relief: Concert for the Philippines" ในลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย เพื่อนำยอดบริจาคไปช่วยเหลือผู้ประสบภัย โดยคอนเสิร์ตได้ออกอากาศในช่องแอกเซสทีวี (AXS TV) ในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ และมีศิลปินอื่นเข้ามาร่วมคอนเสิร์ตในครั้งนี้ด้วย ได้แก่ ดิออฟสปริง (The Offspring), Bad Religion, ฮาร์ต (Heart) และ The Filharmonic[141][142]
อัลบั้ม ไฮบริดทีโอรี และ เมทีโอรา ทั้งคู่เป็นแนวเพลงอัลเทอร์เนทีฟเมทัล[3][143] นูเมทัล[144][145][146] แร็ปร็อก[147][148] และมีกลิ่นอายของป็อป ฮิปฮอป อัลเทอร์เนทีฟ[149] และอิเล็กทรอนิกา และเพิ่มโปรแกรมคอมพิวเตอร์แต่งเสียงและใช้เครื่องสังเคราะห์เสียงช่วยเพิ่มรูปแบบเสียงที่มีความแปลกใหม่และสนุกยิ่งขึ้น ทำให้เป็นแนวเพลงที่ไม่ซ้ำแบบใครและมีสไตล์เป็นตัวของตัวเองอีกด้วย[150][151]
อัลบั้ม มินิตส์ทูมิดไนต์ ได้ทดสอบเสียงหลายรูปแบบและค้นหารูปแบบเสียงเพลงแบบใหม่ ๆ และได้รับอิทธิพลจากผลงานเพลงของศิลปินวงยูทู[12] และในผลงานชิ้นนี้มีจังหวะเพลงส่วนใหญ่ที่เป็นเพลงแนวอัลเทอร์เนทีฟร็อก มากกว่าที่จะเป็นแนวเพลงนูเมทัลและแร็ปร็อก ซึ่งมีเพียงสองเพลงเท่านั้นที่มีท่อนแร็ป และในผลงานชิ้นนี้เป็นอัลบั้มแรกที่มีจังหวะโซโลกีต้าซึ่งไม่เคยมีมาก่อนในอัลบั้มอื่น ๆ[152][153] เอ็นเอ็มอี นิตยสารดนตรีที่วิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับแนวทางของวงได้บอกว่า "เสียงของวงนั้นกำลังพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงเอกลักษณ์ใหม่"[154]
การร้องเพลงประสานเสียงคู่กันระหว่างเชสเตอร์ เบนนิงตัน และไมก์ ชิโนดะเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญในดนตรีของลิงคินพาร์ก ด้วยเชสเตอร์เป็นนักร้องนำ และไมค์เป็นนักร้องแร็ป โดยในอัลบั้มที่สามของลิงคินพาร์ก มินิตส์ทูมิดไนต์ ไมค์ได้ทำหน้าที่เป็นนักร้องนำแทนเชสเตอร์ในเพลง "อินบีทวีน", "แฮนส์เฮลด์ไฮ" และเพลงบีไซด์ "โนโรดส์เลฟต์" ในหลายเพลงจากอัลบั้มที่สี่ของวง อะเทาซันด์ซันส์ เช่น ซิงเกิลทั้งสี่ของอัลบั้มนี้ที่ทั้งคู่ได้ร้อง โดยเพลงส่วนใหญ่ที่อยู่ในอัลบั้มนั้น มีจุดเด่นคือการใช้จังหวะกลองอิเล็กทรอนิกส์ ได้มีความคิดเห็นโดยนักวิจาร์ณที่มีชื่อเสียงว่าอัลบั้มนี้เป็นจุดหักเหแนวดนตรีของวง และอธิบายว่าเป็นอัลบั้มแบบอิเล็กทรอนิกส์ร็อก[155][156] เจมส์ มอนต์กอเมอรี จากเอ็มทีวี ได้เปรียบเทียบผลงานอัลบั้มชุดนี้ว่าคล้ายคลึงกับอัลบั้ม คิดเอ ของเรดิโอเฮด[157] ในขณะที่จอร์ดี คาสโก จาก รีวิว, รินส์, รีพีต ได้เปรียบเทียบอัลบั้มว่าคล้ายกับ คิดเอ และอัลบั้ม เดอะดาร์กไซด์ออฟเดอะมูนของพิงก์ ฟลอยด์[158] ไมค์กล่าวว่าเขาและสมาชิกวงคนอื่น ๆ ได้รับอิทธิพลอย่างแท้จริงจากชักดี และพับลิกเอเนมี โดยที่แนวเพลงในอัลบั้นนี้ได้ทำแนวเพลงที่ต่างไปจากอัลบั้มก่อน ๆ เนื้อหาเพลงและจังหวะดนตรียังมีความเป็นนูเมทัล และมีเนื้อหาด้านการเมืองอยู่ในหลาย ๆ เพลงของอัลบั้ม[159] ซึ่งมีเพลงหนึ่งในผลงานที่มีเนื้อหาด้านการเมืองมีคำกล่าวสุนทรพจน์โดยนักการเมืองชาวอเมริกันด้วย[160]
อัลบั้มชุดที่ห้า ลิฟวิงทิงส์ เป็นอัลบั้มแนวเพลงอิเล็กทรอนิกส์ร็อก ที่รวมแนวเพลงจากองค์ประกอบหลายอย่างจากอัลบั้มที่ผ่านมาทั้งหมดในการสร้างเสียงรูปแบบใหม่ ๆ[161][162] และได้กลับไปสร้างแนวเพลงที่หนักหน่วงอีกครั้ง เมื่อเทียบกับอัลบั้มสามชุดที่แล้ว ในผลงานอัลบั้ม เดอะฮันติงปาร์ตี ซึ่งในอัลบั้มชุดนี้มีแนวเพลงเป็นแบบอัลเทอร์เนทีฟเมทัลและฮาร์ดร็อก[163][164]
ลิงคินพาร์กยอมรับว่าได้รับอิทธิพลดนตรีมาจากเดฟโทนส์, ไนน์อินช์เนลส์, เอเฟ็กซ์ ทวิน และเดอะรูตส์[165]
ลิงคินพาร์กเป็นวงดนตรีร็อกวงแรกที่ประสบความสำเร็จจากยอดการเข้าชมที่มากกว่าหนึ่งพันล้านในยูทูบ[166] นอกจากนี้ ลิงคินพาร์กยังเป็นหนึ่งในสิบห้าหน้าในเฟซบุ๊กที่มีการกดถูกใจมากที่สุด ตามหลัง เลดี้ กาก้า และนำหน้าวง แบล็กอายด์พีส์[167]
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.