Remove ads
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
มุอัมมัร อัลก็อษษาฟี (อาหรับ: معمر القذافي Muʿammar al-Qaḏḏāfī) หรือ มูอัมมาร์ กัดดาฟี เป็นผู้นำประเทศลิเบียโดยพฤตินัย หลังรัฐประหารในปี พ.ศ. 2512[1] เขาได้รับการขนานนามในเอกสารทางการและสื่อของรัฐว่า "ผู้ชี้นำการมหาปฏิวัติวันที่ 1 กันยายน แห่งมหาสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาชนอาหรับลิเบีย" ("Guide of the First of September Great Revolution of the Socialist People's Libyan Arab Jamahiriya") หรือ "ภราดาผู้นำและผู้ชี้ทางแห่งการปฏิวัติ" ("Brotherly Leader and Guide of the Revolution") นับตั้งแต่การลงจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของตนเองในปี พ.ศ. 2515[2] กัดดาฟีเคยเป็นผู้นำประเทศที่ไม่ใช่กษัตริย์ที่อยู่ในตำแหน่งนานที่สุดในโลกหลังการเสียชีวิตของโอมาร์ บองโก ประธานาธิบดีแห่งประเทศกาบอง ในปี พ.ศ. 2553 และยังเป็นผู้นำลิเบียที่ครองอำนาจนานที่สุดนับตั้งแต่ลิเบียตกเป็นมณฑลหนึ่งของจักรวรรดิออตโตมัน เมื่อ พ.ศ. 2094[3] กัดดาฟีถึงแก่อสัญกรรมเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2554 หลังจากถูกประชาชนลิเบียลุกฮือต่อต้านเริ่มตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
บทความนี้ยังต้องการเพิ่มแหล่งอ้างอิงเพื่อพิสูจน์ความถูกต้อง |
มุอัมมัร มุฮัมมัด อะบู มินยัร อัลก็อษษาฟี معمر محمد أبو منيار القذافي | |
---|---|
ผู้นำสูงสุดแห่งลิเบีย | |
ดำรงตำแหน่ง 1 กันยายน พ.ศ. 2512 – 20 ตุลาคม พ.ศ. 2554 (42 ปี 49 วัน) | |
นายกรัฐมนตรี | บากห์ดาดี มาห์มู จาดัลเลาะห์ อัซซุซ แอท-ตัลหิ มูฮัมหมัด แอซ-ซารัก ราจ๊าบ จาดัลเลาะห์ อัซซุซ แอท-ตัลหิ อูมาร์ มุสตาฟา อัล-มุนตาเซอร์ อับดุฃูเซ็ด โอมาร์ ดอร์ด้า อับดุล มาจิด อัล-ควา'อัด มูฮัมหมัด อาห์หมัด อัล-แมนกอช อิมบาเร็ก ชาเม็กห์ ชูกรี กาเน็ม บากห์ดาดี มาห์มู |
ก่อนหน้า | พระเจ้าไอดริสที่ 1 แห่งลิเบีย |
ถัดไป | อับเดสซาลาม ยาลูด |
เลขาธิการสภานิติบัญญัติลิเบีย | |
ดำรงตำแหน่ง 2 มีนาคม พ.ศ. 2520 – 2 มีนาคม พ.ศ. 2522 | |
นายกรัฐมนตรี | อับดุล แอติ อัล-โอเบยดี |
ก่อนหน้า | ไม่มี |
ถัดไป | อับดุล แอติ อัล-โอเบยดี |
ประธานสภาบัญชาการปฏิวัติ | |
ดำรงตำแหน่ง 1 กันยายน พ.ศ. 2512 – 2 มีนาคม พ.ศ. 2522 | |
นายกรัฐมนตรี | Mahmud Sulayman al-Maghribi Abdessalam Jalloud Abdul Ati al-Obeidi Jadallah Azzuz at-Talhi |
ก่อนหน้า | พระเจ้าไอดริสที่ 1 แห่งลิเบีย |
ถัดไป | ตำแหน่งถูกยกเลิก |
นายกรัฐมนตรีลิเบีย | |
ดำรงตำแหน่ง 16 มกราคม พ.ศ. 2513 – 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2515 (2 ปี 181 วัน) | |
ก่อนหน้า | มาห์มุด สุไลมาน อัล-มากิบี |
ถัดไป | อับเดสซาลาม จาลลูด |
ประธานสหภาพแอฟริกา | |
ดำรงตำแหน่ง 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552 – 31 มกราคม พ.ศ. 2553 | |
ก่อนหน้า | จากายา กิกเวเต |
ถัดไป | บินกู วา มูธาริก้า |
ข้อมูลส่วนบุคคล | |
เกิด | 7 มิถุนายน พ.ศ. 2485 เซิร์ท, อิตาเลียนลิเบีย |
เสียชีวิต | 20 ตุลาคม พ.ศ. 2554 (69 ปี) เซิร์ท ประเทศลิเบีย |
ศาสนา | อิสลาม |
ลายมือชื่อ | |
เว็บไซต์ | Official website |
ยศที่ได้รับการแต่งตั้ง | |
ยศ | พลเอก |
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
กัดดาฟี เกิดใกล้กับเมืองเซิร์ตประเทศลิเบียในอิตาลีใน ครอบครัวอาหรับ เบดูอิน ที่ยากจน กลายเป็นชาตินิยมอาหรับขณะอยู่ที่โรงเรียนในเมืองซาบาต่อมาได้ลงทะเบียนเรียนในโรงเรียนนายร้อยทหารเบงกาซี ภายในกองทัพ เขาได้ก่อตั้งกลุ่มปฏิวัติซึ่งโค่นล้ม สถาบันกษัตริย์ เซนุสซีแห่งไอดริส ที่ได้รับการสนับสนุนจากตะวันตก ใน การรัฐประหาร พ.ศ. 2512เมื่อยึดอำนาจ กัดดาฟีได้เปลี่ยนลิเบียให้เป็นสาธารณรัฐที่ควบคุมโดยสภาบัญชาการการปฏิวัติ ของ เขาด้วยพระราชกฤษฎีกาเขาเนรเทศประชากรชาวอิตาลีของลิเบียและขับไล่ฐานทัพทหารตะวันตก การกระชับความสัมพันธ์กับรัฐบาลชาตินิยม อาหรับโดยเฉพาะอียิปต์ของกามาล อับเดล นัสเซอร์ เขาสนับสนุน การรวมตัวทางการเมืองทั่วอาหรับ ไม่ประสบผลสำเร็จ เขาเป็นอิสลามสมัยใหม่เขาแนะนำอิสลามเป็นพื้นฐานของระบบกฎหมายและส่งเสริมสังคมนิยมอิสลาม เขาโอนสัญชาติให้กับอุตสาหกรรมน้ำมัน และใช้รายได้ของรัฐที่เพิ่มขึ้นเพื่อสนับสนุนกองทัพให้ทุนแก่การปฏิวัติในต่างประเทศและดำเนินโครงการทางสังคมที่เน้นโครงการสร้างบ้าน การดูแลสุขภาพ และการศึกษา ในปี พ.ศ. 2516 เขาได้ริเริ่ม " การปฏิวัติประชาชน " ด้วยการจัดตั้งสภาประชาชนขั้นพื้นฐานซึ่งนำเสนอเป็นระบบประชาธิปไตยทางตรงแต่ยังคงควบคุมการตัดสินใจที่สำคัญส่วนบุคคลได้ เขาสรุปทฤษฎีนานาชาติฉบับที่สามของเขาในปีนั้นในThe Green Book
ในปี 1977 กัดดาฟีได้เปลี่ยนลิเบียให้เป็นรัฐสังคมนิยม ใหม่ ที่เรียกว่าจามาฮิริยา ("รัฐแห่งมวลชน") พระองค์ทรงรับบทบาทเชิงสัญลักษณ์อย่างเป็นทางการในการปกครอง แต่ยังคงเป็นหัวหน้าทั้งกองทัพและคณะกรรมการปฏิวัติที่รับผิดชอบในการตรวจตราและปราบปรามผู้เห็นต่าง ระหว่างทศวรรษ 1970 และ 1980 ความขัดแย้งบริเวณชายแดนของลิเบียกับอียิปต์และชาด ที่ไม่ประสบผลสำเร็จ การสนับสนุนกลุ่มติดอาวุธต่างชาติ และข้อกล่าวหาว่ามีส่วนรับผิดชอบต่อการวางระเบิดของเที่ยวบิน Pan Am เที่ยวบิน 103และUTA เที่ยวบิน 772ทำให้ลิเบียโดดเดี่ยวมากขึ้นในเวทีโลก ความสัมพันธ์ที่ไม่เป็นมิตรพัฒนาเป็นพิเศษกับอิสราเอล สหรัฐอเมริกา และสหราชอาณาจักร ส่งผลให้สหรัฐฯ ทิ้งระเบิดลิเบียในปี พ.ศ. 2529และคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจตามที่กำหนดโดยองค์การสหประชาชาติ ตั้งแต่ปี 1999 กัดดาฟีหลีกเลี่ยงกลุ่มอาหรับ และสนับสนุนกลุ่มแอฟริกันและการสร้างสายสัมพันธ์กับชาติตะวันตกเขาเป็นประธานสหภาพแอฟริกาตั้งแต่ปี 2552 ถึง 2553 ท่ามกลางอาหรับสปริง ปี 2554 การประท้วงต่อต้านการทุจริตและการว่างงานในวงกว้างได้ปะทุขึ้นในลิเบียตะวันออก สถานการณ์ดังกล่าวลุกลามไปสู่สงครามกลางเมืองซึ่งนาโต เข้าแทรกแซงทางทหารโดยอยู่ข้างสภาเปลี่ยนผ่านแห่งชาติ (NTC) ที่ต่อต้านกัดดาฟิสต์ รัฐบาลของกัดดาฟีถูกโค่นล้ม เขาถอยกลับไปยังเซิร์ตเพียงเพื่อจะถูกกลุ่มติดอาวุธ NTC จับ ทรมาน และสังหาร
กัดดาฟีเป็นบุคคลที่มีความแตกแยกอย่างมาก ครอบงำการเมืองของลิเบียมา เป็นเวลาสี่ทศวรรษ และเป็นหัวข้อของลัทธิบุคลิกภาพ ที่แพร่หลาย พระองค์ได้รับรางวัลมากมายและได้รับการยกย่องจาก จุดยืน ต่อต้านจักรวรรดินิยมการสนับสนุนเอกภาพของชาวอาหรับและชาวแอฟริกัน ตลอดจนการพัฒนาที่สำคัญของประเทศภายหลังการค้นพบน้ำมันสำรอง ในทางกลับกัน ชาวลิเบียจำนวนมากต่อต้านการปฏิรูปสังคมและเศรษฐกิจของกัดดาฟีอย่างแข็งขัน เขาถูกกล่าวหามรณกรรมว่ามีการละเมิดสิทธิมนุษยชนหลายประการ เขาถูกหลายคนประณามว่าเป็นเผด็จการที่ ฝ่ายบริหาร เผด็จการละเมิดสิทธิมนุษยชน อย่างเป็นระบบ และสนับสนุนการก่อการร้าย ทั่วโลก ในภูมิภาคและต่างประเทศ
กัดดาฟี ได้เขียนหนังสือปรัชญาการเมืองเล่มหนึ่ง ชื่อว่า "สมุดปกเขียว" พิมพ์ขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2518 (ค.ศ.1975) มีเนื้อหาเกี่ยวกับการนำประชาธิปไตยทางตรงมาใช้ และมีการวิพากษ์วิจารณ์ระบอบประชาธิปไตยแบบมีผู้แทน ว่าเป็น "ระบบที่พยายามเรียกกันว่าเป็นประชาธิปไตย" และระบอบการปกครองประชาธิปไตยส่วนใหญ่ในโลกนั้น "ถูกแก่งแย่งกันโดย ปัจเจกชน, ชนชั้น, กลุ่มคน, เผ่าต่าง ๆ, สภา หรือ พรรคการเมือง เพื่อเข้ามาปล้นเอาอธิปไตยของมวลชน และผูกขาด อำนาจการเมืองไว้เป็นของพวกเขาเอง"[4] ปัจจุบัน "สมุดปกเขียว" ได้มีการเพยแพร่และสามารถเข้าไปอ่านได้ทั้งเล่มบน เว็บไซต์ของขบวนการ International Green Charter Movement หรือ สำนักข่าวออนไลน์อิสระ MATHABA เก็บถาวร 2011-02-25 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
ประชาสมาคม และ คณะกรรมการประชาชน
การประชุมชน หรือ ประชาสมาคม เป็นวิธีการเดียวที่จะทำให้ประชาธิปไตยของปวงชนนั้นสัมฤทธิ์ผล ระบบการปกครองใด ๆ ที่ขัดแย้งกับวิธีการประชุมชนนี้นั้นถือว่าไม่เป็นประชาธิปไตย ระบบการปกครองซึ่งมีอยู่ทั่วโลกในปัจจุบันจะไม่เหลือความเป็นประชาธิปไตยอยู่ นอกเสียจากระบบเหล่านั้นจะรับเอาวิธีการนี้ไปใช้ การประชุมชน หรือ ประชาสมาคมนั้น คือจุดจบของการเดินทางค้นหาประชาธิปไตยของมวลชน
ประชาสมาคม และ คณะกรรมการประชาชน เป็นผลสัมฤทธิ์ของการดิ้นรนเพื่อประชาธิปไตยของคน ประชาสมาคม และ คณะกรรมการประชาชน ไม่ใช่ประดิษฐกรรมแห่งจินตนาการ ; มันคือผลผลิตของความคิดที่ซึมซับการทดลองเพื่อบรรลุถึงประชาธิปไตยของมนุษย์ทั้งหมดไว้
ประชาธิปไตยทางตรงนั้นไม่สามารถโต้แย้งได้เลยว่าเป็นวิธีการปกครองดีที่สุด แต่เพราะมันเป็นไปไม่ได้ที่จะรวมประชาชน ไม่ว่าจะมีจำนวนน้อยซักเท่าใด ไว้ในสถานที่แห่งหนึ่ง เพื่อที่พวกเขาจะได้ ถกเถียง ชี้แจง และตัดสิน นโยบาย, ฉะนั้นประเทศที่มิได้นำประชาธิปไตยทางตรงมาใช้ จะมองว่ามันเป็นเพียงความคิดเชิงอุดมคติที่ไม่เป็นความจริง มันจึงถูกแทนที่ด้วยทฤษฎีการปกครองอื่นมากมาย เช่น สภาผู้แทน, รัฐบาลผสม หรือ การทำประชามติ เป็นต้น โดยที่กล่าวมานั้น กีดกันและขัดขวางไม่ให้มวลชนได้จัดการกิจการการเมืองทั้งหลายของเขา
เครื่องมือการปกครองเหล่านั้นถูกแก่งแย่งกันโดย ปัจเจกชน, ชนชั้น, กลุ่มคน, เผ่าต่าง ๆ, สภา หรือ พรรคการเมือง เพื่อเข้ามาปล้นเอาอธิปไตยของมวลชน และผูกขาด อำนาจการเมืองไว้เป็นของพวกเขาเอง
สมุดปกเขียวจะนำระบบประชาธิปไตยทางตรงที่ไม่เคยนำมาประยุกต์ใช้ได้มาสู่มวลชน ไม่มีปัญญาชนคนใดที่จะโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ว่าประชาธิปไตยทางตรงนั้นมีความเหมาะสมอย่างยิ่ง แต่จวบจนปัจจุบันไม่มีการคิดค้นวิธีการนำมันมาใช้ได้เลย กระนั้นทฤษฎีสากลที่สาม (Third Universal Theory) จะทำให้เกิดประชาธิปไตยโดยตรงซึ่งสามารถนำมาใช้การจริงได้ สุดท้ายก็จะทำให้ปัญหาแห่งประชาธิปไตยถูกแก้ไข จะคงเหลือแต่การดิ้นรนในการกำจัดรูปแบบของเผด็จการที่อยู่เหนือกว่ามวลชน โดย สภา, กลุ่มคน, เผ่า, ชนชั้น, ระบบพรรคเดี่ยว, ระบบพรรคคู่ หรือ ระบบหลายพรรค ซึ่งเรียกตัวเองอย่างผิด ๆ ว่า ประชาธิปไตย
ประชาธิปไตยที่แท้จริงนั้นมีเพียงวิธีการและทฤษฎีเดียว ความแตกต่างและหลากหลายของระบบที่พยายามเรียกตนว่าประชาธิปไตยนั้นในความจริงจะแสดงให้เห็นถึงหลักฐานว่ามันไม่ใช่ อำนาจของปวงชนจะแสดงออกมาได้เพียงวิธีเดียวคือผ่านทางประชาสมาคม และ คณะกรรมการประชาชน (Popular Conferences and People’s Committees) รัฐใด ๆ จะไม่สามารถมีประชาธิปไตยได้ หากปราศจากประชาสมาคม และ คณะกรรมการประชาชน
ประการแรกประชาชนจะถูกแบ่งเป็น ประชาสมาคมย่อย (Basic Popular Conference) แต่ละสมาคมจะเลือก เลขาธิการ (Secretariat) และเลขาธิการของประชาสมาคมย่อยทั้งหมดจะรวมกันเป็น ประชาสมาคมบน (Non-Basic Popular Conferences) ในขณะเดียวกันประชาชนของประชาสมาคมย่อยจะเลือก คณะกรรมการประชาชน (People’s Committees) ขึ้นมาทำหน้าที่แทนรัฐบาลท้องถิ่น สถาบันสาธารณะทุกสถาบันจะดำเนินการโดยคณะกรรมการประชาชนซึ่งจะมีประชาสมาคมย่อยรับผิดชอบการกำหนดนโยบายและกำกับดูแล เมื่อนั้นทั้งการบริหารและการควบคุมดูแลรัฐจะกลายเป็นของประชาชน ซึ่งจะทำให้คำนิยามของประชาธิปไตยที่ว่า ประชาธิปไตยคือการกำกับดูแลของรัฐโดยประชาชน ล้าสมัย และกลายมาเป็นคำนิยามที่แท้จริงว่า ประชาธิปไตยคือการกำกับดูแลของประชาชนโดยประชาชน
ประชาชนทุกคนที่เป็นสมาชิกของแต่ละ ประชาสมาคม อาจจะเป็นสมาชิกของกลุ่มต่าง ๆ ซึ่งอาจรวมตัวกันเป็น สมาคมวิชาชีพ หรือ สมาคมเฉพาะทาง (Professional Popular Conferences) โดยในสภาพความเป็นพลเมืองแล้วนั้นจะสามารถเป็นสมาชิกของทั้ง ประชาสมาคมย่อย และ คณะกรรมการประชาชนได้ด้วย ประเด็นที่พิจารณาโดย ประชาสมาคม และคณะกรรมการประชาชน อาจไปสิ้นสุดลงใน สภาประชาชน (General People’s Congress) ซึ่งจะเป็นการนำเลขาธิการของประชาสมาคมต่าง ๆ และ คณะกรรมการประชาชน ไว้ด้วยกัน มติของสภาประชาชนซึ่งจะมีการพบปะกันในแต่ละวาระ หรือ แต่ละปี จะถูกส่งผ่านไปยัง แต่ละประชาสมาคม และ คณะกรรมการประชาชน ซึ่งจะบริหารมติเหล่านั้นผ่าน คณะกรรมการผู้รับผิดชอบ (Responsible Committees) ที่เลือกโดยประชาสมาคมย่อยนั้น ๆ
สภาประชาชน จะไม่ใช่เพียงการรวมตัวกันของบุคคล หรือ สมาชิกสภา เช่นเดียวกับรัฐสภาทั่วไป แต่จะเป็นการรวมตัวกันของ ประชาสมาคม และ คณะกรรมการประชาชน
ดังนั้นปัญหาของเครื่องมือการปกครองจะถูกแก้ไขไปโดยปริยาย และ เครื่องของเผด็จการทุกรูปแบบจะหมดไป ผู้คนจะเป็นเครื่องมือในการปกครอง และสภาพป่วยการของประชาธิปไตยจะได้รับการแก้ไขในที่สุด
— สมุดปกเขียว - ภาค 1 ; วิธีการแก้ไขปัญหาแห่งประชาธิปไตย - “อำนาจอันชอบธรรมของประชาชน”
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.