Remove ads
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
สตีฟ ออสติน (Steve Austin)[3] เดิมชื่อ สตีเวน เจมส์ แอนเดอร์สัน (Steven James Anderson) ต่อมาได้เปลี่ยนเป็น สตีเวน เจมส์ วิลเลียม (Steven James Williams) เกิด 18 ธันวาคม ค.ศ. 1964 เป็นนักแสดงและนักมวยปล้ำอาชีพที่เกษียณอายุชาวอเมริกัน เป็นที่รู้จักกันอย่างดีในสังเวียนมวยปล้ำมีชื่อว่า สโตน โคลด์ สตีฟ ออสติน (Stone Cold Steve Austin)[1] ปล้ำให้กับหลายสมาคม ได้แก่ เวิลด์แชมเปี้ยนชิพเรสต์ลิง (WCW) เอ็กซ์ตรีม แชมเปี้ยนชิพ เรสต์ลิง (ECW) และ เวิลด์เรสต์ลิงเอ็นเตอร์เทนเมนต์ (WWE)[4][5][6][7][8] ในปี 2009 ออสตินได้ขึ้นรับรางวัล หอเกียรติยศดับเบิลยูดับเบิลยูอี[9]
สตีฟ ออสติน | |
---|---|
เกิด | Steven James Anderson 18 ธันวาคม พ.ศ. 2507 Edna, Texas, United States |
ศิษย์เก่า | University of North Texas |
อาชีพ | Professional wrestler, actor, television host |
ปีปฏิบัติงาน | 1989–2003 (wrestler) 1998–present (actor) |
คู่สมรส | Kathryn Burrhus (สมรส 1990; หย่า 1992) Lady Blossom (สมรส 1992; หย่า 1999) Debra Marshall (สมรส 2000; หย่า 2003) Kristin Feres (สมรส 2009) |
บุตร | 3 |
ชื่อบนสังเวียน | Steve Austin The Ringmaster |
ส่วนสูง | 6 ft 2 in (1.88 m)[1] |
น้ำหนัก | 252 lb (114 kg)[1] |
มาจาก | Victoria, Texas[1] |
ฝึกหัดโดย | Chris Adams[2][3] |
เปิดตัว | พ.ศ. 2532 |
รีไทร์ | 31 มีนาคม พ.ศ. 2546 |
เว็บไซต์ | BrokenSkullRanch.com |
ออสติน เกิดในเมืองเล็กๆชื่อ Edna ในรัฐเท็กซัส เป็นที่นิยมของสาวๆในโรงเรียนมาตั้งแต่สมัยเป็นหนุ่ม จนได้รับตำแหน่ง มิสเตอร์ คาว์บอย ในปี 1983 หรือที่เรียกอีกอย่างว่า "คิง" ในงานเลี้ยงอำลารุ่น และยังได้ทุนอเมริกันฟุตบอลไปศึกษาต่อใน Wharton County Junior College อีกด้วย หลังจากนั้นก็ได้ทุนย้ายไปเรียนที่ University of North Texas โดยเขาเล่นในตำแหน่ง defensive end และหันมาสนใจทางด้านมวยปล้ำจึงสมัครเข้าไปเรียนในโรงเรียนของ คริส อดัมส์
ในปี 1989 นั้น ออสติน ปล้ำครั้งแรกและเอาชนะ Frogman Lablanc โดย ออสติน ใช้ชื่อจริงของเขาในการปล้ำว่า สตีฟ วิลเลียม แต่เนื่องจากชื่อนี้ " ดร. เดท " สตีฟ วิลเลียม นั้นได้ใช้อยู่ก่อนแล้ว เขาจึงเปลี่ยนชื่อมาเป็น ออสติน ออสติน และ คริส อดัมส์ ได้จับคู่กับเขาปล้ำใน USWA แต่อยู่ได้ไม่นาน ออสติน ก็หักหลัง เขาปล้ำเจอกับ อดัมส์ หลายครั้ง ต่อมา ออสติน ได้นำ Jeannie Clarke อดีตภรรยาของ อดัมส์ มาเป็นผู้ติดตาม ทำให้ อดัมส์ ต้องนำ โทนี่ ภรรยาคนปัจจุบันออกมา และนำไปสู่การปล้ำแทคทีมคู่ผสม ออสติน ยังได้จ้าง Percy Pringle (พอล แบเรอร์) มาเป็นผู้จัดการให้เขาด้วย
หลังจากนั้น ออสตินออกมาปล้ำที่ Texas Wrestling Federation และจับคู่กับ ร็อด พรีช ได้เข็มขัดแท็กทีมของ TWF ในเดือนพฤศจิกายน 1990 เขาครองเข็มขัดจนกระทั่งสมาคมปิดตัวลงในเดือนพฤษภาคม 1991 เขาและ Jeannie ย้ายไปยัง Tennessee กลับไปยังสมาคม USWA เขาชนะ เจฟฟ์ จาเรตต์ ได้เข็มขัด Southern แต่หลังจากนั้นก็โดนปลดเพราะ ออสติน เอาขาพาดเชือกขณะกด สองอาทิตย์ถัดมา ออสตินแพ้ให้กับจาเรตต์ ในทัวร์นาเมนต์หาผู้ครองเข็มขัดคนใหม่ สามเดือนต่อมาเขาก็ย้ายไป WCW
ออสติน มาใน WCW เขามีผู้ติดตามคนใหม่ชื่อ Vivacious Veronica และได้สมยานามว่า "Stunning" แต่อยู่ได้ไม่นาน เขาก็นำตัว Jeannie มาเป็นผู้ติดตามเหมือนเคย ไม่นาน 3 มิถุนายน 1991 ออสติน ก็เอาชนะ Bobby Eaton ได้เข็มขัด แชมป์TV มาครอง หลังจากนั้นเขาก็เริ่มมีปัญหากับ ดัสติน โรดส์ ออสติน เกือบได้ แชมป์ยูเอส แต่ไปแพ้ให้กับ สติง ในทัวร์นาเมนต์ชิงเข็มขัดในรอบชิง
ออสติน แยกทางกับ Jeannie หลังจากที่ Paul E. Dangerously ซื้อสัญญาของ ออสติน และนำ ออสติน ไปอยู่ในกลุ่ม Dangerous Alliance ซึ่งตอนนั้นมี อาร์น แอนเดอร์สัน, Rick Rude, Larry Zbyzsko, Bobby Eaton และ Madusa Austin เขายังคงป้องกันเข็มขัดไว้ได้จากผู้ท้าชิงอย่าง Ron Simmons (Faarooq), ดัสติน โรดส์, Scott Steiner และ Van Hammer แต่ในที่สุด ปลายเดือนเมษายน 1992 เขาก็เสียเข็มขัดให้ Barry Windham เขาชิงเข็มขัดกลับคืนมาได้ ในวันที่ 23 พฤษภาคม 1992 โดยเอาชนะ Windham ได้ ในศึก WrestleWar ออสติน เป็นส่วนหนึ่งใน War Games Match และเขาได้สู้กับ ดัสติน โรดส์ อย่างดุเดือด
ออสติน ได้มามีเรื่องกับ ริคกี้ สตีมโบ๊ต หลังจากที่ Paul E. Dangerously ช่วยเขาไว้หลายครั้ง WCW จึงสั่งให้จับ Paul E. ใส่กรงไว้ในการปล้ำที่ Clash of Champions XX 2 กันยายน 1992 ออสติน จึงแพ้ให้กับ สตีมโบ๊ต หลังจากที่ Paul E. Dangerously ย้ายออกจาก WCW จึงทำให้กลุ่ม Dangerous Alliance แยกทางกัน ออสติน เป็นฝ่ายจับกด Barry Windham ได้แต่เวลาหมดเสียก่อนจึงเสมอกันไป หลังจากนั้นไม่นาน
ต้นปี 1993 ออสติน ก็มาปล้ำในนามแทคทีม Hollywood Blonds โดยจับคู่กับ ไบรอัน พิลล์แมน วันที่ 2 มีนาคม 1993 เขาได้เข็มขัดแทคทีมมาครองเป็นสมัยแรก หลังจากเอาชนะ ริกกี้ สตีมโบ๊ต และ เชน ด๊อกลาส ต่อมา The Blonds ก็เอาชนะ สตีมโบ๊ต และ ด๊อกลาส ได้อีกใน Slamboree หลังจากนั้น The Blonds ก็ออกมาล้อเลียน ริก แฟลร์ โดยสร้างโชว์ที่ชื่อ Flair for the Old โดยมี พิลล์แมน รับบทเป็น แฟลร์ และ ออสติน เล่นเป็น อาร์น แอนเดอร์สัน โดยออกมายืนเป็นรูปปั้น จึงนำไปสู่การปล้ำกับ แฟลร์ และ อาร์น ก็ยังคงป้องกันเข็มขัดไว้ได้ 18 สิงหาคม 1993 The Blonds มาเสียเข็มขัดให้ อาร์น แอนเดอร์สัน และ พอล โรม่า หลังจากที่ พิลล์แมน บาดเจ็บ จึงให้ ลอร์ด สตีเว่น รีกัล มาปล้ำแทน ในศึก Clash of Champions
ช่วงที่ พิลล์แมน ได้รับบาดเจ็บ ออสติน หันมาปล้ำเดี่ยวอีกครั้ง โดยคราวนี้มี Colonel Parker มาเป็นผู้จัดการให้ ออสติน ได้ขึ้นปล้ำกับ ดัสติน โรดส์ ชิงแชมป์ยูเอส ในศึก Halloween Havoc และ ออสติน เป็นฝ่ายกด ดัสติน แต่เนื่องจากใช้เชือกช่วย จึงต้องปล้ำกันต่อไป ขณะที่ ออสติน กำลังเถียงกรรมการอยู่ เขาโดนลวบกดและแพ้ไป ออสติน โกรธจัดจึงเล่นงาน ดัสติน และเอาเข็มขัดไป และเขาเอาชนะ พิลล์แมน ได้ใน Clash of the Champions XXV จึงได้โอกาสเจอกับ ดัสติน อีกครั้ง ในศึก Starrcade 1993 โดยเจอกันในแบบใครกดได้สองครั้งก่อนชนะ ออสติน ได้คะแนนแรกหลังจาก ดัสติน เหวี่ยง ออสติน ข้ามเชือกซึ่งผิดกติกา คะแนนที่สอง ออสติน เป็นฝ่ายกด ดัสติน ทำให้ ออสติน ได้ครอง แชมป์ยูเอส ไปในที่สุด ในศึก SuperBrawl IV ออสติน จะต้องเจอกับ ไบรอัน พิลล์แมน โดย ออสติน จับคู่กับ ริก รู๊ด และ พอล ออร์นดอรฟฟ์ เจอกับทีมของ สติง, ดัสติน โรดส์ และ พิลล์แมน ในกรงเหล็ก และ พิลล์แมน ก็แก้แค้นได้ โดยจับกด ออสติน และช่วยให้ทีมชนะไปในที่สุด ในศึก เรสเซิลเมเนีย ครั้งที่ 19 ออสติน ได้ปล้ำในแมตช์สุดท้าย แต่ก็พ่ายแพ้ให้กับ เดอะ ร็อก ในปี 2009 สโตน โคลด์ ได้ขึ้นรับรางวัล Hall of Fame Class of 2009
ในปี 2011 สโตน โคลด์ ได้เป็นกรรมการพิเศษในแมตท์ระหว่าง เจอร์รี ลอว์เลอร์ พบกับ ไมเคิล โคล ในศึก เรสเซิลเมเนีย ครั้งที่ 27 และในวันที่ 4 เมษายน 2011 ในศึกรอว์ นั้น สโตน โคลด์ ได้ทำการต่อสู้หลังจากโดนท้าทายจาก เดอะมิซ โดย สโตน โคลด์ ก็ไม่ทำให้แฟนๆผิดหวังในการโชวสไตล์การปล้ำจนทำให้ อเล็กซ์ ไรลีย์ คู่หูของ เดอะ มิซ ต้องจดจำไปอีกนาน และท้ายที่สุดยังได้เป็น Host ของรายการเรียลลิตี้ของ WWE รายการ ดับเบิลยูดับเบิลยูอี ทัฟ อีนัฟ และในปี 2011 นี้ ออสติน ยังบอกถึงความเป็นไปได้ที่เขาจะกลับมาปล้ำ ซึ่งบอกกลับสื่อว่าเขาสามารถปล้ำ Full Time ได้อีก 2 ปีเป็นอย่างน้อย และถ้าได้กลับมาครั้งนี้เขาเองก็อยากเปิดศึกกับนักมวยปล้ำรุ่นน้องอย่าง ซีเอ็ม พังก์
ในศึก เรสเซิลเมเนีย ครั้งที่ 30 ฮัลค์ โฮแกน ออกมาเปิดรายการ และ สโตน โคลด์ ได้กลับมาอีกครั้ง และบอกว่ารู้สึกดีจังที่ได้กลับมาที่ซูเปอร์โดมอีกครั้ง และเขาก็รู้สึกว่าอยากจะเตะก้นใครซักคน ใครก็ได้ที่อยู่บนเวทีเดียวกัน เมื่อคืนนี้เขากับ โฮแกน นั่งใกล้ๆ กันในงาน Hall of Fame และเขาก็เห็น โฮแกน ปล้ำในเรสเซิลเมเนีย มาหลายปี ปราบคนมาก็เยอะ และเขาก็นับถือสิ่งที่ โฮแกน ทำ จากนั้น สโตน โคลด์ ก็ขอจับมือกับ โฮแกน และขอให้แฟน ๆ ช่วย Hell Yeah! ให้ โฮแกน เดอะ ร็อก ออกมาอีกคน และบอกว่าในที่สุดเขาก็ได้กลับมาเยือนนิวออร์ลีนส์อีกครั้ง และก็กลับมาที่ซูเปอร์โดมด้วย เดอะ ร็อก บอกว่า สโตน โคลด์ กับ โฮแกน เป็นสองตำนานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดใน WWE และเขาก็เคยเจอกับทั้งคู่มาแล้วใน เรสเซิลเมเนีย ตอนนี้เรามารวมกันเกือบครบแล้ว ขาดแต่พระเอกยุคปัจจุบันซึ่งมันคงไม่กล้าออกมาหรอกนอกจาก โฮแกน จะเชิญมันออกมา จากนั้นทั้ง 3 พระเอกก็พูดประโยคฮิตของตัวเอง โดย เดอะ ร็อก บอกว่า If you smell what the rock is cooking!?, สโตน โคลด์ บอก and that's the bottom line cause Stone Cold said so! และ โฮแกน ปิดท้ายว่า Watcha gonna do brothers when Hulk Hogan, Stone Cold Steve Austin, The Rock, and Superdome run wild on you!? สโตน โคลด์ เอาเบียร์มาเลี้ยงทุกคนและก็แยกย้ายกันกลับ
ในรอว์ (19 ตุลาคม 2015) สโตน โคลด์กลับมาเยือนรอว์เป็นครั้งแรกในรอบ 4 ปี ออสตินทักทายแฟนๆ ชาวดัลลัสในสนาม และก็พูดถึงเรสเซิลเมเนีย ครั้งที่ 32ที่จะมาจัดที่เมืองนี้ด้วย ออสตินบอกว่า บร็อก เลสเนอร์ จะมาเป็นแขกรับเชิญในรายการ Stone Cold Podcast ของเขา[10]
ในเรสเซิลเมเนีย ครั้งที่ 32 ออสตินกลับมาพร้อมกับชอว์น ไมเคิลส์ และมิค โฟลีย์ ออกมาจัดการแจกท่าไม้ตายใส่พวก เดอะลีกออฟเนชันส์ (เชมัส, อัลเบร์โต เดล รีโอ, รูเซฟ และคิง บาร์เร็ตต์) จากนั้น เดอะนิวเดย์ (เซเวียร์ วูดส์, บิ๊กอี และโคฟี คิงส์ตัน) ขึ้นมาเต้นบนเวทีและวูดส์ชวนออสตินเต้นด้วยกัน แต่สุดท้ายโดน Stunner เข้าไป[11]
ในรอว์ตอนครบรอบ 25 ปี วันที่ 22 มกราคม 2018 ออตินได้ออกมาใส่ Stone Cold Stunner เล่นงานพ่อลูกเชนและวินซ์ แม็กแมน[12]
ในช่วงท้ายรายการ เรสเซิลเมเนีย ครั้งที่ 38 ออสตินได้เป็นแขกรับเชิญรายการ KO Show ของ เควิน โอเวนส์ ก่อนที่โอเวนส์จะขอท้าเจอกับออสตินรูปแบบไม่มีกฎกติกาเป็นคู่เอกและออสตินก็เอาชนะไปได้ โดยเป็นแมตช์แรกของออสตินในรอบ 19 ปีนับตั้งแต่เรสเซิลเมเนีย ครั้งที่ 19 ปี 2003[13][14]
ปี | เรื่อง | รับบท | หมายเหตุ |
---|---|---|---|
2005 | The Longest Yard | Guard Dunham | Film debut First work with Adam Sandler, Terry Crews and Chris Rock |
2007 | The Condemned | Jack Conrad | |
2009 | Damage | John Brickner | |
2010 | The Expendables | Paine | Austin's last widely released movie until 2013 First work with Dolph Lundgren, Eric Roberts and Gary Daniels Second work with Terry Crews |
2013 | Grown Ups 2 | Dennis "Tommy" Cavanaugh | Austin's first widely released movie since 2010 Second work with Adam Sandler and Chris Rock |
ปี | เรื่อง | รับบท | หมายเหตุ |
---|---|---|---|
2010 | The Stranger | The Stranger | Direct-to-video |
2010 | Hunt to Kill | Jim Rhodes | Direct-to-video Second work with Eric Roberts and Gary Daniels |
2011 | Recoil | Ryan Varrett | Direct-to-video |
2011 | Knockout | Dan Barnes | Direct-to-video |
2011 | Tactical Force | Tate | Direct-to-video First work with Michael Jai White and Darren Shahlavi |
2012 | Maximum Conviction | Manning | Direct-to-video |
2012 | The Package | Tommy Wick | Direct-to-video Second work with Dolph Lundgren and Darren Shahlavi |
2015 | Chain of Command | Ray Peters | Second work with Michael Jai White |
ปี | เรื่อง | รับบท |
---|---|---|
1999 | Beyond The Mat | Himself |
2015 | Smosh: The Movie | Himself |
ซีรีส์ | รับบท | ปี |
---|---|---|
Celebrity Deathmatch | Himself | 1998–2002 |
Nash Bridges | Detective Jake Cage | 1999–2000 |
Dilbert | Himself | 2000 |
The Bernie Mac Show | Himself | 2005 |
Chuck | Hugo Panzer | 2010 |
Tough Enough | Host/Trainer | 2011 |
Redneck Island | Host | 2012–present |
Steve Austin's Broken Skull Challenge[15][16] | Host | 2014–present |
Stone Cold Podcast | Host | 2015–present |
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.