พาราเซตามอล

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

พาราเซตามอล

พาราเซตามอล (อังกฤษ: Paracetamol (INN) /ˌpærəˈsiːtəmɒl, ˌpærəˈsɛtəmɒl/) หรือ อะเซตามีโนเฟน (อังกฤษ: acetaminophen (USAN) /əˌsiːtəˈmɪnɵfɨn/) ทั้งหมดย่อมาจาก para-acetylaminophenol เป็นยาที่สามารถจำหน่ายได้โดยไม่ต้องมีใบสั่งแพทย์ (OTC) มีฤทธิ์แก้ปวดและลดไข้ ซึ่งเป็นยาพื้นฐานที่มักใช้เพื่อบรรเทาไข้ อาการปวดศีรษะ และอาการปวดเมื่อย และรักษาให้หายจากโรคหวัดและไข้หวัด พาราเซตามอลประกอบด้วยยาแก้อักเสบชนิดไม่ใช่สเตรอยด์ (NSAIDs) และโอปิออยด์ พาราเซตามอลมักใช้รักษาอาการปวดพื้นฐานถึงการปวดอย่างซับซ้อน [12]

ข้อมูลเบื้องต้น ข้อมูลทางคลินิก, การอ่านออกเสียง ...
พาราเซตามอล
Thumb
Thumb
ข้อมูลทางคลินิก
การอ่านออกเสียงParacetamol: /ˌpærəˈstəmɒl/
Acetaminophen: /əˌstəˈmɪnəfɪn/
ชื่อทางการค้าไทลินอล, พานาดอล, อื่น ๆ[1]
ชื่ออื่นN-acetyl-para-aminophenol (APAP), acetaminophen (USAN US)
AHFS/Drugs.comโมโนกราฟ
MedlinePlusa681004
ข้อมูลทะเบียนยา
ระดับความเสี่ยงต่อทารกในครรภ์
    ช่องทางการรับยาทางปาก, ทวาร, ารฉีดเข้าหลอดเลือดดำ (IV)
    ประเภทยาAnalgesics and antipyretics
    รหัส ATC
    กฏหมาย
    สถานะตามกฏหมาย
    • AU: S4 (Rx), OTC, and unscheduled
    • CA: OTC / Rx-only[3]
    • UK: General sales list (GSL, OTC)
    • US: OTC / Rx-only
    ข้อมูลเภสัชจลนศาสตร์
    ชีวประสิทธิผล63–89%[4]:73
    การจับกับโปรตีนน้อยถึงเกินขนาด 10–25%[5]
    การเปลี่ยนแปลงยาส่วนใหญ่ในตับ[6]
    สารซึ่งได้หลังการเปลี่ยนแปลงยาAPAP gluc, APAP sulfate, APAP GSH, APAP cys, AM404, NAPQI[7]
    ระยะเริ่มออกฤทธิ์เริ่มมีอาการบรรเทาปวดตามเส้นทาง:
    ปาก – 37 นาที[8]
    หลอดเลือดดำ – 8 นาที[8]
    ครึ่งชีวิตทางชีวภาพ1.9–2.5 hours[5]
    การขับออกปัสสาวะ[5]
    ตัวบ่งชี้
    • N-(4-hydroxyphenyl)acetamide
    เลขทะเบียน CAS
    PubChem CID
    PubChem SID
    IUPHAR/BPS
    DrugBank
    ChemSpider
    UNII
    KEGG
    ChEBI
    ChEMBL
    PDB ligand
    ECHA InfoCard100.002.870
    ข้อมูลทางกายภาพและเคมี
    สูตรC8H9NO2
    มวลต่อโมล151.165 g·mol−1
    แบบจำลอง 3D (JSmol)
    ความหนาแน่น1.263 g/cm3
    จุดหลอมเหลว169 องศาเซลเซียส (336 องศาฟาเรนไฮต์) [9][10]
    การละลายในน้ำ
    • 7.21 g/kg (0 °C)[11]
    • 8.21 g/kg (5 °C)[11]
    • 9.44 g/kg (10 °C)[11]
    • 10.97 g/kg (15 °C)[11]
    • 12.78 g/kg (20 °C)[11]
    • ~14 mg/ml (20 °C)
    SMILES
    • CC(=O)Nc1ccc(O)cc1
    InChI
    • InChI=1S/C8H9NO2/c1-6(10)9-7-2-4-8(11)5-3-7/h2-5,11H,1H3,(H,9,10) Y
    • Key:RZVAJINKPMORJF-UHFFFAOYSA-N Y
      (verify)
    สารานุกรมเภสัชกรรม
    ปิด

    โดยทั่วไปพาราเซตามอลจะปลอดภัยต่อมนุษย์หากได้รับในปริมาณที่เหมาะสม แต่หากได้รับปริมาณมากเกินไป (เกิน 1,000 มิลลิกรัมต่อโดส หรือ 4,000 มิลลิกรัมต่อวันในผู้ใหญ่ หรือเกิน 2,000 มิลลิกรัมต่อวันสำหรับผู้ดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์[13]) จะทำให้เกิดความเสียหายต่อการทำงานของตับได้ แต่ผู้ป่วยบางรายที่รับประทานในปริมาณปกติก็สามารถส่งผลต่อตับได้เช่นเดียวกับผู้ที่รับในปริมาณมากเกินไปเช่นกัน แต่หากกรณีดังกล่าวพบได้น้อยมาก อันตรายจากการใช้ยานี้จะมากขึ้นในผู้ดื่มแอลกอฮอล์ ในประเทศตะวันตกจะพบว่าการเป็นพิษจากพาราเซตามอลเป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุดของภาวะตับวายเฉียบพลัน และพบว่าเป็นการได้ยาเกินขนาดที่พบบ่อยที่สุดในสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์[14][15][16][17]

    ประวัติ

    สรุป
    มุมมอง

    ในสมัยโบราณจะใช้เปลือกต้นหลิว (willow) เป็นยาแก้ไข้ (antipyretic) ในขณะนั้นรู้กันว่าสารเคมีในเปลือกหลิว คือ ซาลิซิน (salicins) ซึ่งสามารถจะเปลี่ยนเป็นแอสไพรินได้ และทราบด้วยว่าสารเคมีที่อยู่ในเปลือก ซิงโคน่า (cinchona) ใช้เป็นยารักษามาลาเรียได้ คือ ควินนิน (quinine) และมีฤทธิ์เป็นยาแก้ไข้ได้ด้วย

    ในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1880เกิดการขาดแคลนต้น ซิงโคน่า จึงได้มีการหาทางเลือกสำหรับยาลดไข้และได้ค้นพบยาลดไข้ตัวใหม่ ดังนี้

    ในขณะที่ ฮาร์มอน นอร์ทรอป มอร์ส (Harmon Northrop Morse) สามารถสังเคราะห์ พาราเซตามอลได้ในปี ค.ศ. 1873 โดยปฏิกิริยารีดักชั่น พารา-ไนโตรฟีนอล (p-nitrophenol) กับ ดีบุกในกรดน้ำส้ม (acetic acid) พาราเซตามอลไม่ได้ถูกใช้เป็นยาเกือบยี่สิบปี จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1893ได้มีการตรวจพบพาราเซตามอล ในปัสสาวะของผู้ที่ใช้ยาฟีนาซิตินและในปีค.ศ. 1899 พบว่าพาราเซตามอลเป็นเมตาโบไลต์ ของ อะซิตานิไลด์

    ในปี ค.ศ. 1948 เบอร์นาร์ด บรอดี้ และ จูเลียส อะเซลรอด ได้ทดลองใช้ อะซิตานิไลด์ ในโรค เมตทีโมโกบินีเมีย (methemoglobinemia) เขาพบว่าฤทธิ์บรรเทาอาการปวดของอะซิตานิไลด์ เกิดจากพาราเซตามอลซึ่งเป็นเมตาโบไลต์ ของ อะซิตานิไลด์ และพาราเซตามอลมีผลข้างเคียงน้อยกว่าอะซิตานิไลด์ มาก ตั้งแต่นั้นมาพาราเซตามอลก็ถูกใช้เป็นยาแก้ไขแก้ปวดกันอย่างแพร่หลาย

    คลังภาพ

    ผลข้างเคียง

    การใช้เกินขนาด

    ผู้ป่วยที่ใช้พาราเซตามอลเกินขนาดแล้วไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสมจะเจ็บป่วยจากพิษเกินขนาดด้วยความเจ็บปวดและยาวนาน ในช่วงแรกอาจไม่มีอาการใด ๆ หรือมีอาการที่ไม่จำเพาะ อาการเริ่มแรกมักเกิดขึ้นที่หลายชั่วโมงหลังได้รับยาเกินขนาด โดยมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน เหงื่อออกมาก เจ็บปวด และเริ่มมีตับวายเฉียบพลัน การใช้พาราเซตามอลเกินขนาดไม่มีฤทธิ์ทำให้หมดสติ แม้ผู้ป่วยหลายคนจะเชื่อผิด ๆ ว่าการกินพาราเซตามอลเกินขนาดจะทำให้หมดสติก็ตาม ช่วงเวลาตั้งแต่กินยาจนถึงเสียชีวิตอยู่ที่ระหว่าง 3-5 วัน

    โครงสร้างและส่วนการทำงาน

    Thumb
    บริเวณพื้นผิวมีขั้วของโมเลกุลพาราเซตามอล

    พาราเซตามอลประกอบไปด้วยวงเบนซีน ถูกแทนที่ด้วยหมู่ไฮดรอกซิลและไนโตรเจนจากหมู่เอไมด์ในรูปแบบ para (1,4)[18] หมู่เอไมด์คืออะเซตาไมด์ (เอทามาไมด์ในระบบคอนจูเกตด์) อิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยวของหมู่ไฮดรอกซิล ณ ตำแหน่งของออกซิเจน, หมอกอิเล็กตรอนของวงเบนซีน, อิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยวของไนโตรเจน, p ออร์บิตัลหมู่หมู่คาร์บินิลของคาร์บอน และอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยวของออกซิเจนในหมู่คาร์บอนิลจะสร้างพันธะแก่กัน (conjugate) ทำให้มีหมู่กระตุ้น (activating group) 2 หมู่ทำให้วงเบนซีนจะทำปฏิกิริยากับสารจำพวกอิเล็กโตรฟิลิก อะโรมาติก (สารที่ทำปฏิกิริยากับสารที่มีอิเล็กตรอน) การแทนที่ของอะตอมเกิดขึ้นในตำแหน่งออร์โธและพาราโดยตรง ทุกตำแหน่งในวงจะมีความสามารถถูกกระตุ้นเพิ่มขึ้นหรือลดลง การทำปฏิกิรยาของสารจะทำให้เบสจากออกซิเจนและไนโตรเจนลดลง ขณะที่ทำให้ความเป็นกรดจากหมู่ไฮดรอกซิลเพิ่มขึ้นจากการย้ายตำแหน่งประจุของประจุฟีนอกไซด์

    อ้างอิง

    แหล่งข้อมูลอื่น

    Loading related searches...

    Wikiwand - on

    Seamless Wikipedia browsing. On steroids.