Loading AI tools
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
การกลืนลำบาก[1][2][3] (อังกฤษ: Dysphagia) ซึ่งแม้ ICD-10 จะจัดว่าเป็น "อาการและอาการปรากฏ" ของโรคต่าง ๆ[4] แต่บางครั้งก็ใช้หมายถึงภาวะโดยเฉพาะของตนเอง[5][6][7] และผู้ที่มีภาวะนี้ก็อาจไม่สำนึกว่าตนมี[8][9] มันอาจจะเป็นความรู้สึกว่าอาหารแข็งหรือเครื่องดื่มดำเนินผ่านปากไปจนถึงท้องได้ยาก[10] หรืออาจไม่มีความรู้สึกที่คอหอย หรืออาจเป็นความบกพร่องในการกลืนอื่น ๆ การกลืนลำบากต่างกับอาการอื่น ๆ รวมทั้งอาการกลืนเจ็บ[11] และอาการเหมือนมีก้อนในลำคอ เพราะบุคคลอาจกลืนลำบากโดยที่ไม่มีอาการกลืนเจ็บ หรือกลืนเจ็บโดยไม่ได้กลืนลำบาก หรือมีทั้งสองอย่างร่วมกัน ส่วนอาการนี้ที่เกิดจากจิตใจเรียกว่า โรคกลัวการกิน (phagophobia)
คนไข้บางคนสำนึกถึงอาการนี้ได้อย่างจำกัด ดังนั้น การไม่มีอาการไม่ได้หมายความว่าไม่ได้มีโรคที่เป็นเหตุ[12] ถ้าอาการไม่ได้วินิจฉัยและรักษา คนไข้มีโอกาสเสี่ยงสูงในการสูดอาหารและน้ำเข้าปอด (pulmonary aspiration) แล้วเป็นปอดบวมเพราะเหตุนั้น คนไข้บางคนอาจสูดอาหารและน้ำเข้าปอดแต่ก็ไม่มีอาการไอหรืออาการอื่น ๆ ที่เนื่องกัน (silent aspiration) อาการที่ไม่ได้รักษาอาจทำให้ขาดน้ำ ขาดอาหาร และไตวาย
อาการของการกลืนลำบากที่ปากและคอหอย (oropharyngeal dysphagia) รวมจัดการอาหารในปากได้ยาก ควบคุมอาหารและน้ำลายในปากได้ยาก เริ่มกลืนลำบาก ไอ สำลัก ปอดบวมบ่อย ๆ น้ำหนักลดโดยไม่มีเหตุ เสียงเปลี่ยนหลังกลืน การสำลักออกทางจมูก และกลืนลำบาก[12] เมื่อถามว่าอาหารไปติดที่ตรงไหน คนไข้บ่อยครั้งจะชี้ไปที่คอ จุดที่อาหารติดจะอยู่ตรงที่คนไข้ชี้หรือต่ำกว่านั้น
อาการสามัญที่สุดของการกลืนลำบากในหลอดอาหาร (esophageal dysphagia) ก็คือ กลืนอาหารแข็งได้ยาก ซึ่งคนไข้บอกว่าอาหารติดก่อนที่จะเข้าไปถึงท้อง หรือจะขย้อนขึ้น อาการกลืนเจ็บจะต่างกันโดยเป็นตัวบ่งชี้ว่าอาจมีมะเร็งเยื่อบุ แต่ก็มีเหตุอื่น ๆ อีกมากมายเช่นกันที่ไม่เกี่ยวกับมะเร็ง
ภาวะกล้ามเนื้อเรียบไม่คลาย (achalasia) เป็นข้อยกเว้นในเรื่องอาการทั่วไปของการกลืนลำบาก เพราะจะกลืนน้ำได้ยากกว่ากลืนอาหารแข็ง ภาวะนี้มีเหตุจากความเสียหายต่อปมประสาทพาราซิมพาเทติกของข่ายประสาท (myenteric plexus) ที่ควบคุมการบีบตัวของหลอดอาหาร ทำให้หลอดอาหารส่วนล่างแคบลง และทำให้หลอดอาหารไม่บีบตัวทั่วทั้งหลอด
ภาวะแทรกซ้อนของการกลืนยากอาจรวมการสูดอาหารและน้ำเข้าปอด ปอดบวม ขาดน้ำ และน้ำหนักลด
อาการสามารถแบ่งออกเป็น[13]
ตารางต่อไปนี้แสดงเหตุต่าง ๆ ที่เป็นไปได้
ตำแหน่ง | เหตุ |
---|---|
ปาก |
|
คอหอย |
|
หลอดอาหาร |
|
ความลำบากหรือความไม่สามารถกลืนอาจมีเหตุจากหรือทำให้แย่ลงโดยยาฝิ่นและ/หรือยาโอปิออยด์[17]
มาตรฐานในการวินิจฉัยการกลืนลำบากก็คือใช้เครื่องมือตรวจ เพราะบริเวณที่เป็นประเด็นไม่สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่า และคนไข้อาจจะไม่รู้สึกถึงการกลืนลำบากหรือสามารถกำหนดตำแหน่งที่เป็นปัญหาได้อย่างแม่นยำ
มาตรฐานอย่างหนึ่งเพื่อวินิจฉัยการกลืนลำบากที่ปากและคอหอยก็คือการให้กลืนเม็ดยาถ่ายเอ็กซ์เรย์ (MBSS/VFSS) ซึ่งช่วยให้เห็นโครงสร้างและสรีรภาพเกี่ยวกับการกลืนด้วยภาพเอกซ์เรย์เคลื่อนไหว โดยได้มุมมองจากด้านข้าง (lateral) และจากหน้าไปหลัง (AP) ผู้ชำนาญการจะวิเคราะห์การกลืนโดยแบ่งเป็นช่วง ๆ สำหรับช่วงปาก สิ่งที่ประเมินก็คือ การปิดปาก การจัดการควบคุมก้อนอาหาร การเริ่มขยับลิ้น การเคี้ยว การเคลื่อนย้ายก้อนอาหาร และสิ่งที่เหลืออยู่ในปากเมื่อกลืน สำหรับช่วงคอหอย สิ่งที่ประเมินคือ การปิดคอหอยด้วยเพดานปาก (velopharyngeal closure) การเริ่มกลืนที่คอหอย การยกคอหอยขึ้น การขยับกระดูกไฮออยด์ด้านหน้า การปิดฝากล่องเสียง การปิดโพรงคอหอยและความเร็วในการตอบสนอง การหดโคนลิ้นออก การบีบตัวของคอหอย และสิ่งที่เหลืออยู่ในคอยหอยเมื่อกลืนแล้ว
ส่วนหลอดอาหารจะวิเคราะห์การเคลียร์เทียบกับการเหลืออาหาร น้ำ และยา สิ่งที่เหลือก็จะตรวจดูว่ามันกลับขึ้นมายังหลอดอาหารส่วนบนหรือเข้าไปในคอหอยและหลอดลมหรือไม่ เจ้าหน้าที่จะตรวจอาหารและน้ำประเภทต่าง ๆ รวมทั้งเม็ดยาที่ให้กลืน เป็นเรื่องสำคัญที่จะทดสอบสิ่งที่กลืนซึ่งมีความหนืดและปริมาณขนาดต่าง ๆ กัน สิ่งที่ทดสอบปกติจะรวมน้ำเปล่า น้ำผลไม้ที่หนืดขึ้น น้ำผึ้งที่หนืดขึ้นอีก น้ำผักผลไม้บด ขนมปังกรอบ (หรือคุกกี้) ของที่มีความหนืดข้นไม่เท่ากัน และเม็ดยาที่กลืนกับน้ำหรือน้ำผักผลไม้บด (โดยขึ้นอยู่กับวิธีการวัดค่าพื้นฐาน)
เจ้าหน้าที่จะตรวจดูว่าการกลืนปลอดภัยหรือไม่ (คือไม่สูดเข้าทางลมหายใจ) และมีประสิทธิภาพหรือไม่ (คือไม่มีอะไรเหลือ) จุดประสงค์ก็เพื่อตรวจว่า ทำไมจึงกลืนลำบากและว่า จะทำอะไรได้เพื่อปรับปรุงความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการกลืน บางครั้งการดื่มน้ำธรรมดาอาจทำให้สูดเข้าทางลมหายใจได้ง่าย ดังนั้น เจ้าหน้าที่ก็อาจตรวจท่าทาง อิริยาบถ และวิธีการกลืนเพื่อป้องกันไม่ให้สูดเข้าทางลมหายใจ โดยจะขึ้นอยู่กับร่างกายและการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ของบุคคลนั้น วิธีการหนึ่งที่อาจเพิ่มความปลอดภัยในการกลืนของเหลว ก็คือเปลี่ยนความหนืด เช่นทำให้ข้นขึ้น ไม่ว่าจะในระดับต้น กลาง หรือข้นสุด ๆ ถ้ามีของเหลือมากหลังจากกลืน ก็จะมีเทคนิคเพื่อลดปัญหานี้ ดูเรื่องการรักษาต่อไปสำหรับกลยุทธ์การกลืนเพื่อแก้ปัญหาหรือวิธีการเพื่อฟื้นฟูสภาพ
มาตรฐานอีกอย่างเพื่อวินิจฉัยการกลืนยากก็คือการส่องกล้องต่อเส้นใยนำแสงผ่านจมูก (FEES) ซึ่งทำโดยให้กลืนอาหารและน้ำเช่นเดียวกัน บวกกับการหาว่าทำไมจึงกลืนยากและสามารถทำอะไรเพื่อแก้ปัญหาได้ การตรวจนี้ดีกว่าตรงที่ไม่ต้องจำกัดการถูกกับรังสีเอ็กซ์เรย์ ดังนั้น จึงสามารถดูคนไข้ในสถานการณ์ที่เป็นธรรมชาติมากกว่าเมื่อทานอาหาร กล้องส่องจะบางมากและปกติจคนไข้จะอดทนได้ดีแม้เมื่อไม่ใช้ยาชาที่จมูก
อย่างไรก็ดี การกลืนแป้งถ่ายเอ็กซเรย์ (barium swallow study/esophagram/upper GI study) จะช่วยให้ตรวจหลอดอาหารทั้งหมดได้ดีที่สุด โดยอาจต้องทานเป็นจำนวนมากเพื่อให้ขยายช่องหลอดอาหารเพื่อตรวจ เป็นการตรวจที่สามารถประเมินกรดไหลย้อนเป็นบางส่วนด้วย ซึ่งไม่เหมือนเมื่อตรวจด้วย VFSS แต่วิธีการตรวจทั้งสองก็สามารถช่วยให้เห็นอาการ Zenker's diverticulum[upper-alpha 3]ได้ ความเสี่ยงอย่างหนึ่งก็คือ แป้งที่กลืนอาจล้นช่อง ทำให้ย้อนขึ้นไปสู่คอหอยแล้วสูดเข้าปอดหลังกลืน
ภาวะกล้ามเนื้อเรียบไม่คลายจะตรวจได้ดีที่สุดโดยวิธีนี้ ซึ่งสามารถแสดงปลายหลอดอาหารอันแคบลงเหมือนกับจะงอยปากนก หรือเหมือนกับหางหนู เมื่อหลอดอาหารตีบ น้ำแป้งที่ทานเข้าไปอาจจะเหลืออยู่ด้านบนของส่วนที่ตีบแล้วค่อย ๆ ไหลลง ซึ่งก็สามารถเห็นได้เหมือนกันด้วย VFSS ถ้าแพทย์สงสัยว่ามีหลอดอาหารตีบหรือไม่บีบตัวตั้งแต่แรก คือสามารถดูตามหลอดอาหารเมื่อได้ทานอาหารแข็งเช่นขนมปังหรือคุกกี้ การตามดูหลอดอาหารด้วย VFSS จะมีประโยชน์มากเพราะสามารถตรวจเมื่อกลืนสิ่งต่าง ๆ ที่ทดสอบได้ ส่วนการกลืนแป้งหรือเม็ดยาปกติจะตามดูได้แต่แป้งและเม็ดยาเท่านั้น
วิธีการตรวจอื่น ๆ รวมทั้ง
เหตุของการกลืนลำบากทั้งหมดต่างก็เป็นวินิจฉัยแยกแยะโรคของอาการนี้ เหตุที่สามัญรวมทั้ง
การกลืนลำบากในหลอดอาหารมีเหตุเกือบทั้งหมดจากโรคในหลอดอาหารหรืออวัยวะข้างหลอดอาหาร แต่บางครั้งก็เกิดจากแผลที่คอหอยหรือกระเพาะอาหารเหมือนกัน ในโรคที่ก่อการกลืนลำบากหลายอย่าง ช่องหลอดอาหารจะแคบลงและขยายออกไม่ได้โดยเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตอนแรกเพียงแค่อาหารแข็งที่มีใยอาหารจะก่อปัญหา แต่ตอนหลังอาจเป็นอาหารแข็งทุกอย่าง และหลังจากนั้นแม้น้ำก็อาจก่อปัญหา คนไข้ที่มีปัญหากลืนลำบากอาจได้ประโยชน์จากน้ำที่ทำให้หนืดขึ้ดถ้าทานแล้วรู้สึกสบาย แต่ก็ยังไม่มีหลักฐานพิสูจน์ว่า น้ำเช่นนี้มีประโยชน์จริง ๆ
การกลืนลำบากอาจเป็นผลของความผิดปกติของระบบประสาทอิสระ เช่น ที่เกิดจากโรคหลอดเลือดสมอง[20] และ ALS[21] หรือเกิดจากการรักษาภาวะไม่สมดุลของอิเล็กโทรไลต์ที่ทำเร็วเกินไป[22]
มีวิธีการรักษาการกลืนลำบากหลายอย่าง เช่นบำบัดการกลืน เปลี่ยนอาหาร ใช้หลอดป้อนอาหาร ยา และการผ่าตัด การรักษาการกลืนลำบากอาจจะต้องอาศัยผู้ชำนาญการในด้านต่าง ๆ รวมทั้งผู้บำบัดการพูด-ภาษาที่ชำนาญการในเรื่องปัญหาการกลืน แพทย์หลัก แพทย์โรคทางเดินอาหาร พยาบาล ผู้บำบัดในเรื่องการหายใจ นักชำนาญการในเรื่องอาหาร ผู้บำบัดเรื่องทางอาชีพ ผู้บำบัดทางกายภาพ และรังสีแพทย์[12] โดยบทบาทของผู้ชำนาญการเหล่านี้จะต่าง ๆ กันขึ้นอยู่กับรูปแบบปัญหาการกลืน ยกตัวอย่างเช่น ผู้บำบัดเรื่องการกลืนจะเป็นผู้รักษาคนไข้ที่กลืนลำบากในปากและคอหอย ส่วนแพทย์โรคทางเดินอาหารจะเป็นผู้บำบัดโรคหลอดอาหารโดยตรง
วิธีการรักษาควรจะขึ้นกับการตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียดของผู้ชำนาญการด้านต่าง ๆ กลยุทธ์การรักษาจะต่าง ๆ กันขึ้นอยู่กับคนไข้ และควรจะทำตามความจำเป็นของคนไข้ โดยเลือกตามปัจจัยต่าง ๆ เช่น วินิจฉัย พยากรณ์โรค การตอบสนองของคนไข้ต่อวิธีการชดเชยปัญหา ความรุนแรงของอาการ สภาพทางจิตใจ/ประชาน การทำงานของระบบหายใจ ผู้ช่วยดูแลคนไข้ และแรงจูงใจและความต้องการของคนไข้[12]
แผนการรักษาต้องให้อาหารและน้ำแก่คนไข้อย่างเพียงพอ จุดประสงค์หลักของการรักษาก็เพื่อให้คนไข้ทานอาหารและน้ำทางปากได้ โดยต้องให้ได้พอและทำได้อย่างปลอดภัยด้วย (คือไม่สูดเข้าปอด)[12] ถ้าการทานอาหารทางปากทำให้ใช้เวลาทานนานขึ้นและต้องใช้ความพยายามมากขึ้นแล้วทำให้ได้อาหารไม่เพียงพอเพื่อดำรงน้ำหนัก อาจจะต้องให้อาหารคนไข้โดยวิธีอื่น ๆ อนึ่ง ถ้าคนไข้สูดอาหารหรือน้ำเข้าปอดแม้ใช้วิธีการชดเชยปัญหาแล้ว ทำให้ทานอาหารได้อย่างไม่ปลอดภัย อาจจะต้องได้อาหารทางอื่นที่ไม่ผ่านปาก เช่นผ่านหลอดส่งผ่านจมูกเข้าไปยังกระเพาะอาหาร การผ่าตัดทำรูเปิดกระเพาะ หรือการผ่าตัดทำรูเปิดลำไส้เล็กส่วนกลาง[12]
วิธีการชดเชยจะเปลี่ยนการไหลของอาหารและน้ำเข้าไปในท้อง แต่ไม่ได้เปลี่ยนสรีรภาพในการกลืน ซึ่งอาจรวม[12]
วิธีการรักษาเพื่อเปลี่ยนหรือปรับปรุงสรีรภาพในการกลืนอาจรวม[12]
อาจจะต้องรักษาด้วยวิธีต่าง ๆ ร่มกันเพื่อให้กลืนอาหารได้อย่างปลอดภัยและได้อาหารอย่างเพียงพอ เช่น อาจต้องเปลี่ยนอิริยาบถร่วมกับการฝึกการกลืน
ความผิดปกติในการกลืนอาจเกิดในกลุ่มอายุใดก็ได้ และอาจเกิดจากความผิดปกติแต่กำเนิด ความเสียหายต่ออวัยวะ หรือโรคอื่น ๆ[12] ปัญหาการกลืนเป็นเรื่องสามัญสำหรับผู้สูงอายุ โดยการกลืนลำบากก็มีความชุกที่สูงกว่าในผู้สูงอายุ[23][24] ในคนไข้โรคหลอดเลือดสมอง[25] และในคนไข้ที่เข้ารักษาในแผนกฉุกเฉินหรือแผนกโรคเรื้อรัง การกลืนลำบากมีเหตุต่าง ๆ หลายอย่าง ซึ่งสามารถรู้ได้โดยการสอบประวัติคนไข้[26]
คำภาษาอังกฤษว่า "dysphagia" มาจากคำกรีกโบราณ คือ dys ซึ่งแปลว่าไม่ดีหรือผิดปกติ และรากศัพท์ว่า phag- ซึ่งหมายถึงการกิน
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.