Remove ads
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
โผน กิ่งเพชร (12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2478 – 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2525) แชมป์โลกชาวไทยคนแรกในประวัติศาสตร์ โผนเป็นนักมวยรูปร่างผอมบาง มีช่วงขาที่ยาว ถนัดขวา และเป็นแชมป์โลกชาวไทยคนแรกที่ได้ครองแชมป์โลกถึง 3 สมัย แต่ด้วยปัญหาส่วนตัว ทำให้โผนติดสุราจนการชกตกต่ำลง จนเสียแชมป์ไปและไม่มีโอกาสชิงแชมป์คืนได้อีก โผนถือเป็นตำนานของวงการมวยสากลคนหนึ่งของไทย วันที่โผนชิงแชมป์โลกได้ถูกกำหนดให้เป็นวันนักกีฬาไทย และมีการสร้างอนุสรณ์สถานของโผนที่หัวหินหลังจากที่โผนเสียชีวิตไปแล้ว 10 ปี
โผน กิ่งเพชร (Pone Kingpetch) | |
---|---|
เกิด | มานะ สีดอกบวบ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2478 หัวหิน ประเทศสยาม |
เสียชีวิต | 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2525 (47 ปี) โรงพยาบาลรามาธิบดี กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย |
สถิติ | |
น้ำหนัก | ฟลายเวท |
ส่วนสูง | 169 cm (5 ft 6½ in)[1] |
เทรนเนอร์ | {{{trainer}}} |
สถิติขึ้นชก | |
ชกทั้งหมด | 35 |
ชนะ | 28 |
ชนะน็อก | 9 |
แพ้ | 7 ( แพ้น็อก 3 ) |
โผนเป็นบุตรคนที่ 7 ในจำนวน 9 คน ของนายห้อย และนางริ้ว สีดอกบวบ มีชื่อจริงว่า มานะ สีดอกบวบ มีชื่อเล่นว่า แกละ เข้าเรียนที่โรงเรียนมัธยมสาธุการจนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 แล้วจึงเรียนต่อที่โรงเรียนประจำอำเภอหัวหินจนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จากนั้น จึงไปเรียนที่โรงเรียนหัวหินวิทยาลัยจบการศึกษาระดับมัธยมปีที่ 6[2] ด้วยความเป็นคนรักกีฬา ชอบเล่นกีฬาทุกประเภท แต่ที่ชอบมากที่สุด คือ มวยสากล ถึงขนาดเคยลั่นวาจาต่อหน้าเพื่อน ๆ ว่า เขาจะเป็นแชมป์โลกคนแรกของไทยให้ได้[2] (เนื่องด้วยก่อนหน้านั้น จำเริญ ทรงกิตรัตน์ เคยชิงแชมเปี้ยนโลกมาแล้วถึง 3 ครั้ง แต่ไม่ประสบความสำเร็จเลย)
หลังจากนั้นโผนหันมาชกมวยสากลอาชีพอย่างจริงจัง จนได้ครองแชมป์ OPBF รุ่นฟลายเวท และได้ขึ้นชิงแชมป์โลกรุ่นฟลายเวทกับ ปัสกวล เปเรซ เจ้าของตำแหน่งแชมป์โลก NBA เดอะริงและไลนีลในขณะนั้นชาวอาร์เจนตินา ซึ่งโผนชนะคะแนนได้เป็นแชมป์โลกคนแรกของไทยตามที่ตั้งใจไว้ แม้จะเสียตำแหน่งไป โผนก็ยังชิงแชมป์คืนกลับมาได้ ได้เป็นแชมป์โลกถึงสามสมัยก่อนจะแขวนนวมไป
หลังจากได้เป็นแชมป์โลกแล้ว โผนจึง รู้จักกับ นางสาว มณฑา เพ็ชร์ไทย (นาง มณฑา สีดอกบวบ) ซึ่งเป็นบุตรสาวของ พันตำรวจตรี พยุง เพชรไทย แต่งงานกันเมื่อ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2505 ก่อนที่โผนจะไปป้องกันแชมป์โลกกับไฟติ้ง ฮาราด้า โผนมีบุตรสาว 2 คน คือ นางสาวโชติมา สีดอกบวบ และ นางสาวพัชรัช สีดอกบวบ (ปัจจุบันบุตรสาวทั้ง 2 คนเสียชีวิตแล้ว) โดยนางสาวโชติมา มีบุตรเพียงคนเดียว คือ นางจียอง ปาร์ค ขณะที่นางสาวพัชรัชไม่มีทายาทสืบเชื้อสาย [2]
หลังจากแขวนนวม ทรัพย์สินเงินทองเมื่อครั้งได้จากการชกมวยได้เอาไปทำกิจการอื่น แม้แต่โรงเรียนมานะวิทยา ที่เคยสร้างไว้ที่บ้านเกิด เมื่อครั้งรุ่งเรือง ก็ต้องขายทิ้ง ประกอบอาชีพค้าขายก็ขาดทุน เพราะไม่เจนจัดเล่ห์เหลี่ยมการค้า ส่วนตัวโผนเองก็มีโรคประจำตัวเรื้อรังคือ โรคเบาหวาน ท้ายที่สุด ขณะรับประทานอาหารกับครอบครัวที่บ้านหัวหิน อาหารเกิดสำลักเข้าไปติดอยู่ในหลอดลม ทำให้เกิดการบูดเน่าและโลหิตเป็นพิษ อาการของโผนทรุดหนัก เพราะเป็นหวัดอยู่ด้วยและเป็นโรคปอดแทรกซ้อนเข้ามา ครอบครัวต้องนำส่งโรงพยาบาลรามาธิบดีเป็นการด่วน อาการก็ไม่ดีขึ้น จนในที่สุด เวลา 5 ทุ่ม ของคืนวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2525 โผนก็ได้เสียชีวิตลง ด้วยวัยเพียง 47 ปี 3 เดือน 20 วัน [2] และได้มีพิธีพระราชทานเพลิงศพที่วัดตรีทศเทพ
โผนมีความฝันที่อยากจะเป็นนักมวยตั้งแต่เด็ก แต่ด้วยสภาพร่างกายที่อ่อนแอ จึงถูกพ่อแม่และพี่น้องกีดกัน แต่โผนก็ได้ชกมวยตามใจหมาย ซึ่ง สง่า สีดอกบวบ พี่ชายคนโต ไม่เห็นชอบด้วย จึงนำโผนมาฝากไว้กับ นายห้างทองทศ อินทรทัต เจ้าของบริษัทเทวกรรม โอสถ ซึ่งเป็นเจ้าของค่าย "กิ่งเพชร" ในซอยชื่อเดียวกับค่าย ย่านถนนเพชรบุรี (ซอยเพชรบุรี 10) เมื่อ พ.ศ. 2497[2] ซึ่งโผนได้รับการฝึกสอนและขึ้นชกสม่ำเสมออย่างจริงจัง โดยที่มาของชื่อ "โผน" นั้น เป็นชื่อของน้องชายนายห้างทองทศ ซึ่งเสียชีวิตในเหตุการณ์กบฏวังหลวง พ.ศ. 2492 ก่อนหน้านี้ (โผน อินทรทัต อดีตเสรีไทย และผู้อำนวยการโรงงานยาสูบ ในขณะนั้น)
โผนขึ้นชกมวยสากลครั้งแรกประมาณ พ.ศ. 2498 ชนะน็อก นกนิด ท.ส. ยก 2 และพบกับความพ่ายแพ้เป็นครั้งแรกในการชกครั้งที่ 3 โดยเป็นฝ่ายแพ้คะแนนสุวรรณ นภาพล [3] จากนั้นการชกของโผนดีขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการชนะน็อก กู้น้อย วิถีชัย แชมป์ฟลายเวทของเวทีราชดำเนิน ได้อย่างงดงามเมื่อ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2499 ทั้ง ๆ ที่โผนมีประสบการณ์น้อยกว่าอย่างเทียบไม่ติด และเคยชกแพ้มาก่อนในการเจอกันครั้งแรก ต่อมาเมื่อมีการแก้มือกันเป็นครั้งที่สาม โผนก็ชนะคะแนนไปได้อีกครั้งเมื่อ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2499 ก่อนจะขึ้นครองแชมป์เวทีราชดำเนิน โผนชกชนะนักมวยชื่อดังในรุ่นฟลายเวตและแบนตัมเวทในยุคนั้นมาแล้วหลายคน เช่น บุญธรรม วิถีชัย พร พัลธุมเกียรติ สมยศ สิงหพัลลภ ประยุทธ ยนตรกิจ เป็นต้น[4] โผนขึ้นชกกับนักมวยต่างชาติครั้งแรกเมื่อ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2499 ชนะน็อคมินธัม กัมพุช แชมป์รุ่นแบนตัมเวทของกัมพูชา[3] ต่อมา โผนได้ขึ้นชิงแชมป์ภาคตะวันออกไกลฯ (OPBF) โดยชนะคะแนน แดนนี่ คิด เจ้าของตำแหน่งชาวฟิลิปปินส์ โผนจึงได้มีชื่อติดอันดับโลก และเป็นการกรุยทางสู่การชิงแชมป์โลก
หลังจากที่โผนชนะแดนนี่ คิด ก็ได้เข้าสู่อันดับโลก แต่โผนก็กรามหักจนต้องหยุดชกไป 6 เดือน หลังจากนั้น จึงขึ้นชิงแชมป์ภาครุ่นแบนตัมเวทแต่เป็นฝ่ายแพ้คะแนน เลโอ เอสปิโนซ่า โผนจึงกลับมาชกในรุ่นฟลายเวทดังเดิม ป้องกันแชมป์ภาคได้สองครั้งก่อนจะสละตำแหน่งเพื่อรอชิงแชมป์โลก แต่หลังจากที่โผนชกชนะคะแนน มานูเอล อาร์เมนตรอส นักมวยระดับรองแชมป์โลกเมื่อ เดือน กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2502 โผนขับรถชนท้ายรถบรรทุก ต้องเข้าโรงพยาบาลอาการสาหัส ต้องหยุดชกไปทั้งปี[5] เมื่อขึ้น พ.ศ. 2503 โผนกลับมาชกชนะนักมวยฟิลิปปินส์อีกครั้ง ก็ได้กำหนดชิงแชมป์โลกกับปัสกวล เปเรซ
การชิงแชมป์โลกของโผนกับปัสกวล เปเรซ เจ้าของแชมป์โลก NBA เดอะริงและไลนีลชาวอาร์เจนตินา ณ สนามมวยเวทีลุมพินี เมื่อคืนวันเสาร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2503 ในครั้งนั้น พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรด้วย โดยมีการจัดที่ประทับที่ชั้น 2 ของอัฒจันทร์ด้านทิศใต้[6] การชกในวันนั้นไม่มีการถ่ายทอดทางโทรทัศน์ เนื่องจากประเทศไทยขณะนั้นยังไม่มีสถานีโทรทัศน์ แต่มีการถ่ายทอดทางวิทยุกระจายเสียง และมีการบันทึกการชกเป็นหนังสารคดีฉายตามโรงภาพยนตร์ในภายหลังแทน[7][2] ในตอนแรกกำหนดการชิงแชมป์โลกของโผน คือ 2 เมษายน แต่เลื่อนออกมาเป็น 16 เมษายน มีการแต่งเพลงออกอากาศทางวิทยุกระจายเสียงด้วยทำนองเพลงกราวกีฬาว่า[8]
วันที่ 2 เมษามหาฤกษ์ ชาวไทยเอิกเกริกกันทั่วหน้า โผนจะได้ชิงมงกุฏสุดโสภา เป็นมิ่งขวัญประชาชาติไทย
ก่อนถึงวันชก มีการโปรโมตตามสถานที่ต่าง ๆ เช่น แต่งเพลงเชียร์โผนเป็นทำนองเพลงมาร์ช ปลุกใจ ตามวิทยุ หรือ รถกระจายเสียง ซึ่งผู้แต่ง คือ สุรพล โทณะวณิก และผู้ขับร้อง คือ มีศักดิ์ นาครัตน์ มีเนื้อร้องบางช่วงว่า
เราเชียร์โผน...เราเชียร์โผน...เราเชียร์โผน..โผน...โผน...โผน...โผน เปเรซจะแข็งอย่างไร แต่โผนเลือดไทย....ต้องเชียร์ไว้ดีกว่า.....
แต่ก็มีเด็ก ๆ ไปแปลงเนื้อเป็น[9]
โผน กิ่งเพชร เปเรซ กิ่งไผ่ โผน มือไวต่อยไข่ เปเรซ
สำหรับ เปเรซ นั้น เคยครองเหรียญทองโอลิมปิกมาแล้ว จากการแข่งขันมวยสากลสมัครเล่นที่กรุงลอนดอน ในปี พ.ศ. 2491 และก่อนหน้าจะมาป้องกันตำแหน่งกับโผนนั้นได้ป้องกันตำแหน่งได้แล้วถึง 10 ครั้ง ครองแชมป์อย่างต่อเนื่องยาวนานถึง 5 ปี โดยอายุของเปเรซขณะนั้นได้ 33 ปี ขณะที่โผนอายุเพียง 25 ปี ผ่านการชกมาแค่ 22 ไฟท์ เมื่อมาถึงคนไทยก็ให้ฉายาเปเรซว่า "ยักษ์แคระ" เพราะเป็นนักมวยรูปร่างเล็ก แต่มีช่วงแขนที่ใหญ่บึกบึน
ผลการแข่งขันในการชกในครั้งนั้น ปรากฏว่าโผนชนะคะแนนอย่างไม่เป็นเอกฉันท์ โดยกรรมการ โลเรนโซ โตร์เรโออัลบา กรรมการห้ามบนเวทีชาวอาร์เจนตินา ชาติเดียวกับเปเรซ ให้เปเรซชนะ 145 - 143 กรรมการชาวไทย วงศ์ หิรัญยเลขา ให้โผนชนะ 148 - 137 และ แน็ต ฟลายเชอร์ กรรมการจากเดอะริง ให้โผนชนะ 146 - 140 ได้ครองแชมป์โลกของ NBA สถาบันเดอะริง (The Ring) และไลนีล รุ่นฟลายเวทเป็นแชมป์โลกคนแรกของไทย ภายหลังการรู้ผลการชกที่อำเภอหัวหินบ้านเกิดของโผนได้มีการจุดพลุฉลองทั่วทั้งเมืองทันที ต่อมา สมาคมผู้สื่อข่าวกีฬาแห่งประเทศไทย ได้กำหนดให้วันที่ 16 เมษายน ของทุกปี เป็น วันนักกีฬายอดเยี่ยมของสมาคมผู้สื่อข่าวกีฬาแห่งประเทศไทย หรือ วันนักกีฬาไทย[10] โดยมีการมอบรางวัลถ้วยพระราชทานเป็นประจำทุกปี (คนละวันกับ วันกีฬาแห่งชาติ 16 ธันวาคม ที่กำหนดตามวันที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงได้เหรียญทองกีฬาซีเกมส์)
ในชกในครั้งนี้ ราคาค่าเข้าชมอยู่ที่ 60 บาท 150 บาท และ 350 บาท และเก็บค่าเข้าชมได้ถึง 1,600,000 บาท ถือว่าเป็นรายได้ที่สูงมากในสมัยนั้น[6]
ในการชกครั้งต่อ ๆ มา เมื่อโผน กิ่งเพชร เสียตำแหน่งไปก็สามารถชิงกลับมาได้ถึง 3 ครั้ง โดยมีหลายไฟท์ในความทรงจำ เช่น การแก้มือกับ ปัสกวล เปเรซ ที่ลอสแอนเจลิส โดยชนะทีเคโอไปอย่างหายสงสัย และชนะคะแนน "เสือหมัดซ้าย" มิตสึโนริ เซกิ ถึงกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น โผนเสียแชมป์สมัยแรกให้กับไฟติง ฮาราดะ นักมวยดาวรุ่งจากญี่ปุ่น ก่อนการชก โผนเป็นฝ่ายได้เปรียบทั้งในด้านประสบการณ์และฝีมือ และการชกในครั้งนี้เป็นการชกชิงแชมป์โลก WBA ครั้งแรกในเอเชีย (สมาคมมวยแห่งชาติสหรัฐ (NBA) ได้เปลี่ยนมาเป็นสมาคมมวยโลก (WBA) แทน) แต่เมื่อชกกันจริง ปรากฏว่าฮาราดะใช้ความหนุ่มแน่นบุกตะลุยเข้าชกตั้งแต่ยกแรกจนโผนตั้งตัวไม่ติด อ่อนแรงลงจนถูกชกลงไปให้กรรมการนับถึงสิบและเป็นฝ่ายแพ้น็อกไปในที่สุด[11]
โผนได้ชกแก้มือกับฮาราดะอีกครั้งที่กรุงเทพฯ เมื่อ 11 มกราคม พ.ศ. 2506 ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชได้เสด็จมาทอดพระเนตรด้วย การชกครั้งนั้นจัดที่อาคารยิมเนเซียม 1 (อาคารกีฬานิมิบุตรในปัจจุบัน) เป็นศึกชิงแชมป์โลกครั้งที่ 4 ที่จัดในเมืองไทย ในวันนั้นคนดูเข้าซื้อตั๋วที่สนามจนแน่น ตั้งแต่เวลา 17.00 น. และมีคนดูที่ซื้อตั๋วแล้วแต่เข้าสนามไม่ได้อีกมาก[12] การชกในยกแรก ๆ โผนใช้เชิงชกที่เหนือกว่าและหมัดแย็ป เก็บคะแนนไปเรื่อย ๆ ส่วนฮาราดะยังบุกตะลุยเข้ามาในแบบเดิม จนโผนเริ่มหมดแรง ยืนขาตายหนีไม่ออก ถูกฮาราด้าไล่ถลุง ขณะนั้นพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเสด็จถึงสนามมวยพอดี เมื่อโผนทราบว่าพระองค์เสด็จมาถึงก็เกิดกำลังใจออกไปชกกับฮาราดะได้ในรูปแบบเดิมใช้จังหวะฝีมือที่เหนือกว่าหลอกล่อฮาราดะ แทบจะเป็นฝ่ายชกข้างเดียวครบ 15 ยก โผนจึงเป็นฝ่ายชนะคะแนน ได้ครองแชมป์โลกสมัยที่ 2[11]
หลังจากชิงแชมป์คืนมาจากฮาราดะ โผนว่างเว้นจาการชกไปนานเนื่องจากโผนไม่ยอมเข้าค่ายซ้อม แม้จะมีผู้ท้าชิงจากญี่ปุ่น คือ ฮิโรยูกิ เอบิฮาระ ติดต่อมา แต่ก็ต้องเลื่อนกำหนดการชกออกไปหลายครั้ง ระหว่างนี้ นิยม ทองชิตร ถอนตัวจากการเป็นเทรนเนอร์ หิรัญ สีดอกบวบ พี่ชายเข้ามาเป็นผู้จัดการแทน ในที่สุดกำหนดการชกระหว่างโผนกับเอบิฮาระมีขึ้นเมื่อ 18 กันยายน พ.ศ. 2506 และโผนเป็นฝ่ายแพ้น็อกแค่ยกแรกเท่านั้น[13]
แต่ก็สามารถชกแก้มือ ชิงแชมป์โลกคืนจากเอบิฮาระ เป็นสมัยที่สาม หลังจากนั้น ชื่อเสียงของโผนเริ่มตกต่ำลง การชกมวยของโผนไม่เป็นที่ราบรื่น เพราะขัดแย้งกับเทรนเนอร์ และผู้จัดการเสมอ ๆ จนต้องมีการเปลี่ยนตัวบ่อยครั้ง ประกอบกับโผนเองก็ติดสุราอย่างหนัก จนเกือบเป็นสุราเรื้อรัง หนีซ้อม ผลการชกก็ตกลงเรื่อย ๆ จนเสียแชมป์ให้กับซัลวาโตเร บูร์รูนี ที่อิตาลี จากนั้น โผนไม่มีโอกาสชิงแชมป์โลกอีกเลย กลับมาชกไต่อันดับก็แพ้คะแนน เบบี โรโรน่า (ฟิลิปปินส์) เมื่อ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2509[3] โผนจึงแขวนนวมในปี พ.ศ. 2509 เมื่ออายุได้ 31 ปี
ชนะ 35 ครั้ง (ชนะน็อก 9 ครั้ง, ชนะคะแนน 26 ครั้ง), แพ้ 7 ครั้ง (แพ้น็อก ครั้ง, แพ้คะแนน ครั้ง) | ||||||||
ครั้งที่ | ผลการชก | สถิติ | ผู้ท้าชิง | ประเภท | ยก., เวลา | วันที่ | สถานที่ | หมายเหตุ |
แชมป์ประเทศไทยรุ่นฟลายเวท | ||||||||
ชิง | ชนะ | 5-5-0 | กู้น้อย วิถีชัย | ชนะคะแนน | 15 | 1956-10-14 | สนามมวยราชดำเนิน | ขึ้นชกมวยสากลครั้งแรก |
สละแชมป์ | ||||||||
แชมป์ OPBF รุ่นฟลายเวท (2500) | ||||||||
ชิง | ชนะ | 18-10-5 | แดนนี่ คิด | ชนะคะแนน | 15 | 1956-01-06 | สนามมวยราชดำเนิน | ขึ้นชิงแชมป์ในระดับนานาชาติครั้งแรก. |
ป้องกันแชมป์ครั้งที่ 1 | ชนะ | 29-12-5 | ฮิโตชิ มิซาโกะ | ชนะคะแนน | 15 | 1957-09-14 | สนามมวยราชดำเนิน | |
แชมป์โลก NBA เดอะริงและไลนีลรุ่นฟลายเวท (2503–2505) | ||||||||
ชิง | ชนะ | 54-1-1 | ปัสกวล เปเรซ | ชนะคะแนน | 15 | 1960-04-16 | ( สนามมวยเวทีลุมพินี | |
ป้องกันครั้งที่ 1 | ชนะ | 54-2-1 | ปัสกวล เปเรซ | ชนะน็อกโดยเทคนิค | 8 (15) | 1960-09-22 | ( โอลิมปิก ออดิทอเรียม ลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย | |
ป้องกันครั้งที่ 2 | ชนะ | 21-2-1 | มิตสึโนริ เซกิ | ชนะคะแนน | 15 | 1961-06-27 | () สนามกีฬาแห่งชาติคูรามาเอะ โตเกียว | |
ป้องกันครั้งที่ 3 | ชนะ | 36-6-5 | เคียว โนงูจิ | ชนะคะแนน | 15 | 1962-05-30 | () สนามกีฬาแห่งชาติคูรามาเอะ โตเกียว | |
เสียแชมป์ | แพ้ | 26-1-0 | ไฟติง ฮาราดะ | แพ้น็อก | 11 (15) | 1962-10-10 | () สนามกีฬาแห่งชาติคูรามาเอะ โตเกียว | [14] ชิงแชมป์โลก WBA ที่ว่างไม่สำเร็จ |
แชมป์โลก WBA รุ่นฟลายเวท สมัยที่ 1 แชมป์โลกเดอะริงและไลนีลรุ่นฟลายเวท สมัยที่ 2 (2506) | ||||||||
ชิง | ชนะ | 27-1-0 | ไฟติง ฮาราดะ | ชนะคะแนน | 15 | 1963-01-12 | ( อาคารกีฬานิมิบุตร ภายในกรีฑาสถานแห่งชาติ เขตปทุมวัน | [15] |
เสียแชมป์ | แพ้ | 36-1-1 | ฮิโรยูกิ เอบิฮาระ | แพ้น็อก | 1 (15) | 1963-09-18 | () ศูนย์กีฬาในร่มโตเกียว โตเกียว | [16] ชิงแชมป์โลก WBC ที่ว่างไม่สำเร็จ |
แชมป์โลก WBA สมัยที่ 2 แชมป์โลก WBC รุ่นฟลายเวท สมัยที่ 1 แชมป์โลกเดอะริงและไลนีลรุ่นฟลายเวท สมัยที่ 3 (2507–2508) | ||||||||
ชิง | ชนะ | 38-1-1 | ฮิโรยูกิ เอบิฮาระ | ชนะคะแนน | 15 | 1964-01-23 | ( เวทีราชดำเนิน | |
เสียแชมป์ | แพ้ | 76-3-1 | ซัลวาโตเร บูร์รูนี | แพ้คะแนน | 15 | 1965-04-23 | () พาลาสโซเดลโลสปอร์ต แคว้นลัตซีโย โรม | |
เคยชิงแชมป์ต่อไปนี้แต่ไม่สำเร็จ | ||||||||
ชิงแชมป์ OPBF รุ่นแบนตัมเวท | แพ้ | 17-3-2 | เลโอ เอสปีโนซา | แพ้คะแนน | 15 | 1965-04-23 | () สนามมวยราชดำเนิน |
เมื่อยังเป็นแชมป์โลกอยู่นั้น โผน กิ่งเพชร เคยแสดงภาพยนตร์เรื่อง "เทพบุตรนักเลง" ในปี พ.ศ. 2508 ด้วย นำแสดงโดย มิตร ชัยบัญชา และ เพชรา เชาวราษฎร์ โดยโผนแสดงเป็นตัวประกอบ เนื่องจากเป็นบุคคลที่โด่งดังอยู่ในเวลานั้น และมี อภิเดช ศิษย์หิรัญ นักมวยไทยชื่อดังร่วมสมัยแสดงด้วย นอกจากนี้ เมื่อโผนเสียชีวิตไปแล้ว ในปี พ.ศ. 2529 กันตนาจึงได้ผลิตละครชีวประวัติของโผน กิ่งเพชร ออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5[17][18]นำแสดงโดย โกวิท วัฒนกุล
โผนเป็นนักมวยที่มีจุดเด่นที่หมัดแยปรวดเร็ว ฟุตเวิร์กคล่องแคล่ว หาจังหวะชกฉาบฉวยได้ดี และมีปฏิภาณไหวพริบในการชก ไม่ใช่มวยหมัดหนักแบบ "โป้งเดียวจอด"[8] เมื่อโผนเลิกชกมวยแล้ว เคยมีนักมวยรุ่นหลังมาฝึกมวยกับโผนหลายคน รวมทั้ง พเยาว์ พูนธรัตน์ ส่วน ชาติชาย เชี่ยวน้อย แชมป์โลกคนที่ 2 เคยมาเป็นคู่ซ้อมของโผนอยู่ระยะหนึ่ง เมื่อราว พ.ศ. 2519 - 2520 มีชาวญี่ปุ่นมาเชิญโผนไปสอนมวยสากลที่ญี่ปุ่น แต่โผนปฏิเสธ โดยกล่าวว่าเขาไม่ต้องการให้วิชามวยนี้ไปอยู่ต่างประเทศ แต่ไม่มีหน่วยงานใด ๆ ในไทยมาเชิญโผนไปสอนมวยสากลอย่างจริงจัง ในขณะที่ประเทศญี่ปุ่นมีฟิล์มภาพยนตร์บันทึกภาพการชกของโผนไว้ศึกษาในพิพิธภัณฑ์[2]
เมื่อโผนได้เป็นแชมป์โลก และเก็บเงินได้จำนวนหนึ่ง โผนได้สร้างโรงเรียนที่อำเภอหัวหินชื่อ "โรงเรียนมานะวิทยา" เพื่อเปิดโอกาสให้คนจนได้เรียน โดยเซ้งกิจการต่อจากโรงเรียนจีนที่ใกล้จะปิดกิจการ เปิดสอนตั้งแต่ชั้นอนุบาลจนถึง ม.3 แต่เปิดอยู่ได้ไม่นาน ก็ซบเซาจนต้องปิดกิจการ และถูกกระทรวงศึกษาธิการสั่งปิดเมื่อ พ.ศ. 2520[2]
แนวคิดเกี่ยวกับการสร้างอนุสรณ์สถานของโผน กิ่งเพชรเริ่มขึ้นตั้งแต่โผนเสียชีวิต แต่ยังไม่เป็นรูปเป็นร่างมากนัก ต่อมา เมื่อ พ.ศ. 2532 หอภาพยนตร์แห่งชาติ กรมศิลปากร ได้จัดฉายภาพยนตร์การชกระหว่างโผนกับเปเรซ เก็บเงินบริจาคได้จำนวนหนึ่ง แต่ยังไม่มีการสร้างอนุสรณ์สถาน จนกระทั่ง พ.ศ. 2534 สมาคมกิจวัฒนธรรมได้เคลื่อนไหวเพื่อสร้างอนุสรณ์สถานอีกครั้ง และได้เสนอให้สร้างอนุสาวรีย์ของโผนที่หาดหัวหิน เทศบาลตำบลหัวหินได้จัดงานแสดงดนตรีเพื่อระดมทุนก่อสร้างเมื่อ 20 เมษายน พ.ศ. 2534 จากนั้น จึงเริ่มการสร้างและมีพิธีเปิดเมื่อ 16 เมษายน พ.ศ. 2535[10] ลักษณะรูปปั้น สูง 2 เมตร 20 เซนติเมตร อยู่ในท่ายืน มือขวาชูกำปั้น มือซ้ายถือเข็มขัดแชมป์โลก[19] โดยประติมากรผู้ปั้นรูปโผน คือ นนทิวรรธน์ จันทนะผะลิน ศิลปินแห่งชาติ พ.ศ. 2549[20]
นอกจากนี้ ยังมีสถานที่ที่ตั้งชื่อให้เกียรติกับโผน คือ "น้ำตกโผนพบ" ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติภูกระดึง จังหวัดเลย โดยโผนได้เคยมาฟิตซ้อมบนภูกระดึงเพื่อให้เคยชินกับอากาศของต่างประเทศ ก่อนเดินทางไปแข่งขัน จึงได้ตั้งชื่อนี้เพื่อเป็นเกียรติแก่โผน กิ่งเพชร[21]
ทั้งนี้ ภาพยนตร์การชกมวยชิงแชมเปี้ยนโลกระหว่างโผน กิ่งเพชร-ปาสคาล เปเรซ พ.ศ. 2503 เวทีมวยลุมพินี กรุงเทพ ยังเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ 25 เรื่อง ที่กระทรวงวัฒนธรรม เลือกให้เป็นมรดกของชาติ เนื่องในวันอนุรักษ์ภาพยนตร์ไทย ประจำปี 2555 ด้วยเช่นกัน[22]
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.