Loading AI tools
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ซาโลมอน[3][4][5] (ศัพท์คริสต์ศาสนา) หรือ โซโลมอน (ศัพท์ประวัติศาสตร์)[lower-alpha 1] หรืออีกพระนามหนึ่งคือ เยดีดิยาห์[lower-alpha 2] เป็นกษัตริย์ชาวยิวแห่งอิสราเอลโบราณและพระราชโอรสกับผู้สืบทอดในพระเจ้าดาวิด ตามที่ปรากฏในคัมภีร์ฮีบรูหรือพันธสัญญาเก่า[7][8] พระองค์ได้รับการอธิบายเป็นผู้ปกครององค์สุดท้ายของอิสราเอลและยูดาห์ที่รวมกันเป็นหนึ่ง รัชสมัยของซาโลมอนได้รับการสันนิษฐานว่าอยู่ในช่วง 970 ถึง 931 ปีก่อน ค.ศ. ตามพระคัมภีร์ หลังพระองค์สวรรคต เรโหโบอัม พระราชโอรสและผู้สืบทอด ใช้นโยบายที่โหดร้ายต่อชนเผ่าทางเหนือ ซึ่งนำไปสู่การแบ่งแยกวงศ์วานอิสราเอลระหว่างราชอาณาจักรอิสราเอลทางเหนือกับราชอาณาจักรยูดาห์ทางใต้ หลังจากการแตกประเทศ รายงานพระคัมภีร์ระบุถึงผู้ที่สืบเชื้อสายซาโลมอนปกครองเหนือยูดาห์เท่านั้น[9]
ซาโลมอน שְׁלֹמֹה | |
---|---|
พระเจ้าซาโลมอน (1872) ภาพวาดโดย Simeon Solomon | |
กษัตริย์แห่งอิสราเอล | |
ครองราชย์ | ป. 970–931 ปีก่อน ค.ศ. (สันนิษฐาน) |
ก่อนหน้า | ดาวิด |
ถัดไป | เรโหโบอัม |
ฝังพระศพ | เยรูซาเลม |
คู่อภิเษก | นาอามาห์ ธิดาของฟาโรห์ มเหสี 700 องค์และนางสนม 300 องค์[1][2] |
พระราชบุตร | พระราชโอรสที่มีการบันทึก 3 พระองค์:
|
ราชสกุล | ราชวงศ์ดาวิด |
พระราชบิดา | ดาวิด |
พระราชมารดา | บัทเชบา |
พระคัมภีร์กล่าวว่าพระเจ้าซาโลมอนเป็นผู้สร้างวิหารแห่งแรกในเยรูซาเลม[8] ที่อุทิศแด่พระยาห์เวห์หรือพระผู้เป็นเจ้า[10] ซาโลมอนได้รับการพรรณาว่าเป็นผู้มีความฉลาด มั่งคั่ง และมีอำนาจมาก และเป็นหนึ่งใน 48 ศาสดาชาวยิว[11]
ความเป็นประวัติศาสตร์ของซาโลมอนเป็นประเด็นถกเถียงกันอย่างร้อนแรง โดยความเห็นพ้องในปัจจุบันยอมรับความเป็นประวัติศาสตร์ของซาโลมอน แต่ในเรื่องการเป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอลและยูดาห์ในศตวรรษที่ 10 ก่อน ค.ศ. ถือว่าไม่ชัดเจน และรายละเอียดเกี่ยวกับความฟุ่มเฟือยของราชอาณาจักรที่ชัดเจนของพระองค์ในพระคัมภีร์มีความเป็นไปได้มากที่สุดว่าเป็นการพูดเกินจริงแบบไม่เข้ากับยุคสมัย[12][13][14]
ในพันธสัญญาใหม่ พระองค์ได้รับการพรรณาเป็นสติปัญญาของโซโลมอนโดยเยซูแห่งนาซาเรธผู้ยิ่งใหญ่กว่า[15] และมีความโอ่อ่า แต่กลับไม่งามสง่าเท่า "ดอกไม้ในท้องทุ่ง"[16] ในอัลกุรอาน พระองค์ถือเป็นศาสดาหลัก ในวงการนอกพระคัมภีร์ส่วนใหญ่ ซาโลมอนเป็นที่รู้จักในฐานะจอมเวทและหมอผีที่มีเครื่องรางและเหรียญตราที่ระบุพระนามของพระองค์จากสมัยเฮลเลนิสต์[17]
ช่วงชีวิตของซาโลมอนโดยหลักอธิบายใน 2 ซามูเอล, 1 พงศ์กษัตริย์ และ 2 พงศาวดาร พระนามทั้งสองของพระองค์ตามธรรมเนียมหมายถึง "ความสงบ" และ "พระสหายของพระเจ้า" ทั้งสองพระนามถือเป็นการ "ทำนายลักษณะการครองราชย์ของพระองค์"[18]
ช่วงรัชสมัยของซาโลมอนตามแบบแผนนำมาจากวิทยาการลำดับเวลาพระคัมภีร์และระบุอยู่ในช่วงประมาณ 970 ถึง 931 ปีก่อน ค.ศ.[19] รายงานจากเส้นเวลาที่มีการใช้งานแพร่หลายสุด ซึ่งอิงจากเส้นเวลาของ Edwin R. Thiele ศาสตราจารย์พันธสัญญาเก่า การสวรรคตของซาโลมอนและการแบ่งแยกราชอาณาจักรอาจเกิดขึ้นในฤดูใบไม้ร่วงดมื่อ 931 ปีก่อน ค.ศ.[20]
ซาโลมอนเสด็จพระราชสมภพในเยรูซาเลม[21] เป็นพระราชโอรสองค์ที่ 2 ของกษัตริย์ดาวิดที่ประสูติแด่พระนางบัทเชบา (ภรรยาหม้ายของอุรียาห์ชาวฮิตไทต์) พระราชโอรสองค์แรก (ตามบันทึกไม่ได้ระบุพระนาม) มาจากการตั้งครรภ์อย่างผิดประเวณีในช่วงที่อุรียาห์ยังมีชีวิต สิ้นพระชนม์ไปหลังพระราชสมภพเพียง 7 วัน ในพระคัมภีร์เสนอแนะว่าเป็นการพิพากษาจากพระเจ้า ซาโลมอนมีพระเชษฐาและพระอนุชาร่วมพระราชบิดามารดาอยู่สามองค์ คือ: นาธัน ชัมมุวา และโชบับ[22] และมีพระเชษฐาต่างมารดาอยู่ 6 องค์[23]
รายงานพระคัมภีร์แสดงให้เห็นว่าซาโลมอนทำหน้าที่เป็นเครื่องบูชาสันติระหว่างพระเจ้ากับดาวิด เนื่องจากดาวิดมีความสัมพันธ์ล่วงประเวณีกับบัทเชบา ด้วยความพยายามที่จะซ่อนบาปของตน ดาวิดจึงส่งอุรียาห์ชาวฮิตไทต์ สามีของบัทเชบา เข้าสนามรบ และให้อยู่ในแนวหน้า โดยดาวิดสั่งให้โยอาบ ผู้บังคับบัญชา ถอนกำลังสนับสนุนแก่อุรียาห์ เพื่อให้เขาถูกศัตรูฆ่าตายในสนามรบ หลังจากที่เขาตาย ดาวิดก็สามารถอภิเษกสมรสกับบัทเชบาได้ เพื่อเป็นการลงโทษ พระราชโอรสองค์แรกที่มาจากความสัมพันธ์ชู้สาวจึงสิ้นพระชนม์[24] ซาโลมอนเสด็จพระราชสมภพหลังดาวิดได้รับการให้อภัย นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมจึงมีการเลือกพระนามของพระองค์ ซึ่งหมายถึง สันติ นักประวัติศาสตร์บางส่วนอ้างอิงว่าศาสดานาธันเลี้ยงดูซาโลมอน เนื่องจากพระราชบิดาทรงยุ่งอยู่กับการปกครองราชอาณาจักร[25] สิ่งนี้อาจเป็นผลมาจากแนวคิดที่ว่าผู้เผยพระวจนะมีอิทธิพลเหนือดาวิดอย่างมาก เนื่องจากท่านรู้เรื่องการทำชู้ของพระองค์ ซึ่งถือเป็นความผิดร้ายแรงตามกฎหมายของโมเสส[26]
หนังสือพงศ์กษัตริย์เล่ม 1 ได้ระบุว่า "กษัตริย์ดาวิดมีพระชนมายุและทรงพระชรามากแล้ว แม้จะห่มผ้าให้หลายผืน พระองค์ก็ยังไม่อบอุ่น"[27] "พวกเขาจึงเสาะหาสาวงามทั่วทั้งดินแดนอิสราเอล แล้วได้พบอาบีชากหญิงชาวชูเนม จึงได้นำเธอมาเฝ้าพระราชา หญิงสาวคนนั้นงามยิ่งนัก เธอได้เป็นผู้ดูแลพระราชาและอยู่ปรนนิบัติพระองค์ แต่พระราชาไม่ได้ทรงมีเพศสัมพันธ์กับเธอ"[28]
เมื่อกษัตริย์ดาวิดทรงอยู่ในสภาพเช่นนี้จึงทำให้เกิดการชิงอำนาจขึ้นในราชสำนัก อาโดนียาห์ ทายาทผู้มีสิทธิโดยตรงของดาวิด ประกาศตนขึ้นเป็นกษัตริย์องค์ใหม่ แต่ก็แพ้แก่กลอุบายของพระนางบัทเชบาและนาธันผู้เผยพระวจนะ ซึ่งได้โน้มน้าวให้กษัตริย์ดาวิดทรงประกาศให้เจ้าชายซาโลมอนเป็นกษัตริย์องค์ใหม่ตามที่เคยปฏิญาณไว้เมื่อก่อนหน้านั้น (ไม่ปรากฏบันทึกในพระคัมภีร์)[29] ถึงแม้ว่าซาโลมอนจะไม่ใช่โอรสองค์ใหญ่ก็ตาม
ซาโลมอนได้ขึ้นครองราชย์ตามพระบัญชาของกษัตริย์ดาวิด หลังครองราชย์แล้วซาโลมอนก็เริ่มกำจัดฝ่ายตรงข้าม เช่น แม่ทัพโยอาบ และคนื่น ๆ และรวมตำแหน่งของพระองค์เพิ่มเติมด้วยการ แต่งตั้งให้เพื่อนฝูงญาติมิตรมีอำนาจในราชสำนัก ซึ่งรวมถึงตำแหน่งทางศาสนา เช่นเดียวกันกับทั้งฝ่ายพลเรือนและทหาร[30] กล่าวกันว่าซาโลมอนขึ้นครองราชย์ตอนมีพระชนมพรรษาประมาณ 15 พรรษาเท่านั้น[31]
หลังครองราชย์ได้สี่ปีพระองค์ก็ได้สร้างวิหารหลังแรกขึ้นคือวิหารแห่งซาโลมอน การค้าขายระหว่างประเทศดำเนินไปอย่างรุ่งเรืองในรัชสมัยพระองค์ พระองค์ได้รับการกล่าวถึงว่าเป็นกษัตริย์อิสราเอลที่มั่งคั่งที่สุดที่ถูกกล่าวถึงในพระคัมภีร์
ซาโลมอนเป็นบุคคลที่ทรงพระสติปัญญาที่สุดในพระคัมภีร์ ในหนังสือพงศ์กษัตริย์ฉบับ 1 ซาโลมอนได้ทรงอุทิศพระองค์เองต่อพระยาห์เวห์ และพระองค์ปรากฏในความฝันของซาโลมอน[32] ซาโลมอนทูลขอพระสติปัญญา พระยาห์เวห์ทรงตอบรับคำอธิษฐานของพระองค์ ทรงให้สัญญาแก่ซาโลมอนว่าจะประทานสติปัญญาชั้นเลิศที่สุดแก่ซาโลมอน เนื่องจากพระองค์ไม่ได้ทูลขอสิ่งที่เห็นแก่ตัวอย่างความเป็นอมตะหรือความพินาศของอริศัตรู
เรื่องราวที่มีชื่อเสียงที่สุดในด้านพระสติปัญญาของซาโลมอนคือคำพิพากษาของซาโลมอน เป็นคดีที่มีสตรีสองคนอ้างสิทธิว่าเป็นแม่ที่แท้จริงของเด็กทารกคนหนึ่งและขอให้ซาโลมอนทรงตัดสิน ซาโลมอนพิพากษาคดีอย่างง่าย ๆ โดยให้ตัดเด็กทารกออกเป็นสองส่วนแบ่งให้สตรีผู้กล่าวอ้างทั้งสองคนเสีย ทันใดนั้นมีสตรีคนหนึ่งยอมถอนตัวทันที เธอกล่าวว่าเธอขอยอมแพ้เสียดีกว่าให้เด็กถูกฆ่าตาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นซาโลมอนจึงประกาศให้สตรีผู้ที่ถอนตัวเป็นแม่ของเด็กทารก[33]
ตามธรรมเนียม ซาโลมอนถือเป็นผู้เขียนหนังสือในพระคัมภีร์หลายเล่ม เช่น หนังสือสุภาษิต หนังสือปัญญาจารย์ และพระธรรมเพลงสดุดี โดยได้รับการกำหนดให้เป็นผู้เขียนตามธรรมเนียมของสติปัญญาของซาโลมอน ซึ่งถูกรวมเข้าในคัมภีร์ของออร์ทอดอกซ์ตะวันออกและคาทอลิก แต่ฝั่งโปรเตสแตนต์ถือเป็นคัมภีร์นอกสารบบ[34]
ตามรายงานจากคัมภีร์ฮีบรู ราชอาณาจักรอิสราเอลโบราณได้รับความรุ่งโรจน์และความมั่งคั่งสูงสุดในช่วงรัชสมัยซาโลมอนที่กินเวลา 40 ปี 1 Kings 10:14 ระบุว่าในปีเดียว ซาโลมอนรับเครื่องบรรณาการทองคำถึง 666 ตะลันต์ (18,125 กิโลกรัม) ซาโลมอนได้รับการบรรยายว่ารายล้อมไปด้วยสิ่งฟุ่มเฟือยและความยิ่งใหญ่ของกษัตริย์ตะวันออก และรัฐบาลของพระองค์เจริญรุ่งเรือง พระองค์จัดตั้งพันธมิตรกับฮิรัมที่ 1 กษัตริย์แห่งไทร์ที่ช่วยเหลือพระองค์ในกิจการอันมากมายหลายประการ
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
พระคัมภีร์ระบุว่า ซาโลมอนมีมเหสี 700 องค์ และนางสนม 300 คน[35] มเหสีเหล่านี้ได้รับการอธิบายเป็นเจ้าหญิงต่างอาณาจักร เช่น ธิดาของฟาโรห์[36] และสตรีจากโมอับ, อัมโมน, เอโดม, ไซดอน และฮิตไทต์ การอภิเษกสมรสกับธิดาของฟาโรห์ดูเหมือนจะเชื่อมความเป็นพันธมิตรทางการเมืองกับอียิปต์ ในขณะที่การยึดติดกับมเหสีและนางสนมคนอื่น ๆ ของพระองค์นั้นเนื่ิองด้วยความ "รักใคร่"[37][38] มเหสีองค์เดียวที่ระบุด้วยพระนามคือนาอามาห์ชาวอัมโมน พระราชมาดาของเรโหโบอัม ผู้สืบทอดของซาโลมอน
คำบรรยายในพระคัมภีร์ตั้งข้อสังเกตถึงความไม่เห็นชอบที่ซาโลมอนอนุญาตให้มเหสีชาวต่างชาตินำเทพเจ้าประจำชาติของตนเข้ามา สร้างวิหารให้แก่อัชโทเรทและมิลโคม[39]
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
อาลักษณ์ชาวยิวกล่าวว่าครูของซาโลมอนคือ Shimei ben Gera และเขาห้ามซาโลมอนแต่งงานกับมเหสีต่างชาติตราบเท่าที่เขายังมีชีวิตอยู่ ซึ่งปรากฏในทัลมุดที่ Ber. 8a ว่า: "ตราบเท่าที่ Shimei บุตร Gera ยังมีชีวิตอยู่ ซาโลมอนจะไม่มีวันอภิเษกสมรสกับธิดาของฟาโรห์" (ดูเพิ่มใน Midrash Tehillim ที่ Ps. 3:1) การประหารชีวิต Shimei ของซาโลมอนเป็นการดำดิ่งสู่บาปครั้งแรก[18]
รายงานจาก 1 Kings 11:4 "เหล่าภรรยาของท่านทำให้ใจของท่านหันไปเชื่อในบรรดาเทพเจ้า" ซึ่งคือเทพเจ้าของบรรดาพระนางที่ซาโลมอนสร้างวิหารให้ ทำให้พระผู้เป็นเจ้าทรงโกรธกริ้วและลงโทษในรูปแบบแบ่งอาณาจักรหลังซาโลมอนสวรรคต (1 Kings 11:9–13) 1 Kings 11 กล่าวถึงการที่ซาโลมอนหันเหไปสู่การบูชารูปปั้น โดยเฉพาะการหันไปบูชาอัชโทเรท เทพีของชาวไซดอน และมิลโคม เทพเจ้าของชาวอัมโมน ใน Deuteronomy 17:16–17 ระบุว่า "ขอเพียงอย่าให้กษัตริย์มีม้าศึกจำนวนมากเป็นของตนเอง...อย่ามีภรรยามาก...อย่าสะสมเงินทองส่วนของตนให้งอกเงยมากเกินไปนัก" ซาโลมอนละเมิดทั้งสามข้อ นอกจากนี้ พระองค์ยังเก็บทองคำในแต่ละปีถึง 666 ตะลันต์ (1 Kings 10:14) ถือว่ามีจำนวนมากสำหรับชาติขนาดเล็กอย่างอิสราเอล พระองค์ทรงรวบรวมม้าและรถม้าไปไกลถึงอียิปต์ และ "ถูกชักจูงออกห่างไป" ตามที่เตือนไว้ใน Deuteronomy 17
รายงานจาก 1 Kings 11:30–34 และ 1 Kings 11:9–13 ด้วยบาปกรรมเหล่านี้ทำให้พระผู้เป็นเจ้าลงโทษซาโลมอนด้วยการถอนชนเผ่าอิสราเอลส่วนใหญ่ไปจากการปกครองของราชวงศ์ซาโลมอน[40]
พระผู้เป็นเจ้าโกรธกริ้วซาโลมอน เพราะจิตใจของท่านหันเหไปจากพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอล ผู้ได้ปรากฏแก่ท่านถึง 2 ครั้งแล้ว และได้บัญชาท่านในเรื่องนี้ คือท่านไม่ควรติดตามบรรดาเทพเจ้า แต่ท่านก็ไม่ได้ปฏิบัติตามที่พระผู้เป็นเจ้าได้บัญชาไว้ ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับซาโลมอนว่า “ในเมื่อเจ้าประพฤติเช่นนี้ และไม่ได้รักษาพันธสัญญาและกฎเกณฑ์ของเราที่เราบัญชาเจ้า เราจะฉีกอาณาจักรที่เจ้าครอบครองอย่างแน่นอน และยกให้กับผู้รับใช้ของเจ้า แต่เพราะเห็นแก่ดาวิดบิดาของเจ้า เราจะไม่ทำเช่นนั้นในชั่วอายุของเจ้า แต่เราจะทำกับบุตรของเจ้า อย่างไรก็ตาม เราจะไม่ฉีกอาณาจักรทั้งหมด แต่เราจะให้บุตรของเจ้าปกครอง 1 เผ่า เพราะเห็นแก่ดาวิดผู้รับใช้ของเรา และเห็นแก่เยรูซาเล็มที่เราได้เลือกไว้
ในคัมภีร์ฮีบรูระบุว่า พระเจ้าซาโลมอนเป็นบุคคลสำคัญในพระคัมภีร์ที่สร้างพระวิหารแห่งแรกในเยรูซาเลม และผู้ปกครององค์สุดท้ายของสหราชาธิปไตยอิสราเอล หลังครองราชย์ 40 ปี (1 พงศ์กษัตริย์ 11:42) พระองค์สวรรคตจากสาเหตุตามธรรมชาติ[41] ด้วยพระชนมพรรษาประมาณ 55 พรรษา
ก่อนที่ซาโลมอนสวรรคต เรโหโบอัม พระราชโอรส ขึ้นครองราชย์ แต่ชนเผ่าอิสราเอล 10 กลุ่มไม่ยอมรับพระองค์เป็นกษัตริย์ แล้วแยกดินแดนออกเป็นราชอาณาจักรอิสราเอลทางเหนือ ภายใต้การปกครองของเยโรโบอัม ส่วนเรโหโบอัมยังคงปกครองราชอาณาจักรยูดาห์ขนาดเล็กกว่าทางใต้ ทำให้สองอาณาจักรนี้ไม่มีวันรวมกันเป็นหนึ่งอีกต่อไป
ซาโลมอนมีความเกี่ยวโยงกับ"ยุคทอง"สูงสุดของราชอาณาจักรอิสราเอลอันเป้นเอกราช และเป็นแหล่งตำนานภูมิปัญญาด้านตุลาการและศาสนา
คำว่า לשלמה ในภาษาฮีบรู ปรากฏในชื่อบทของหนังสือเพลงสดุดีเพียง 2 บท (72 และ 127) คำนี้มีความหมายว่า "ถึงซาโลมอน" แต่ก็สามารถแปลได้เป็น "โดยซาโลมอน" ทำให้บางคนเสนอแนะว่าซาดลมอนเป็นผู้เขียนหนังสือเพลงสดุดีสองบทนั้น[42][43][44]
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
ตามธรรมเนียมอิสลาม ซาโลมอนเป็นรู้จักกันในชื่อ ซุลัยมาน อิบน์ ดาวูด และถือเป็นศาสดาและศาสนทูตของอัลลออ์ เช่นเดียวกันกับการเป็นกษัตริย์ที่พระเจ้าแต่งตั้ง[45] ซาโลมอนดำรงตำแหน่งถัดจากพระราชบิดาในฐานะกษัตริย์ศาสดาแห่งวงศ์วานอิสราเอล สิ่งที่ต่างจากพระคัมภีร์คือ พระองค์ไม่สักการะรูปเคารพใด ๆ ทั้งสิ้น[46]
อัลกุรอานกำหนดให้ซาโลมอนมีสติปัญญา ความรู้ และอำนาจในระดับที่ดีเยี่ยม[47] พระองค์รู้ภาษาของนก (อาหรับ: منطق الطير, อักษรโรมัน: manṭiq al-ṭayr)[47]
ซาโลมอนในศาสนาอิสลามยังเป็นที่รู้จักจาดการมีความสามารถเหนือธรรมชาติที่พระผู้เป็นเจ้าประทานมา เช่น ควบคุมลม ปกครองเหนือญิน และได้ยินการสื่อสารของมด:
และเราได้ให้มีลมพัดแก่สุลัยมาน ซึ่งมันจะพัดไปในยามเช้าเป็นเวลาหนึ่งเดือน และมันจะพัดกลับในยามเย็นเป็นเวลาหนึ่งเดือน และเราได้ให้ไหลมาแก่เขาซึ่งตาน้ำทองเหลือง (คือให้ทองเหลืองที่หลอมตัวเป็นตาน้ำไหลมาสำหรับสุลัยมาน) ในหมู่ญินนั้น มีผู้ทำงานอยู่เบื้องหน้าเขาด้วยอนุมัติแห่งพระเจ้าของเขา และผู้ใดในหมู่พวกเขาหันเหจากพระบัญชาของเรา เราจะให้เขาลิ้มรสการลงโทษที่มีไฟลุกโชติช่วง
จนกระทั่งเมื่อพวกเขาได้มาถึงทุ่งที่มีมดมาก มดตัวหนึ่งได้พูดว่า “โอ้พวกมดเอ๋ย! พวกเจ้าจงเข้าไปในรังของพวกเจ้าเถิด เพื่อว่าสุลัยมานและไพร่พลของเขาจะได้ไม่บดขยี้พวกเจ้า โดยที่พวกเขาไม่รู้ตัว” เขา (สุลัยมาน) ยิ้มแกมหัวเราะต่อคำพูดของมันและกล่าวว่า “ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์ ขอพระองค์ทรงโปรดประทานแกข้าพระองค์ เพื่อให้ข้าพระองค์ขอบคุณต่อความโปรดปรานของพระองค์ท่าน ซึ่งพระองค์ท่านได้ทรงโปรดปรานแก่ข้าพระองค์ และบิดามารดาของข้าพระองค์ และให้ข้าพระองค์กระทำความดีเพื่อให้พระองค์ทรงพอพระทัยมัน และทรงให้ข้าพระองค์เข้าอยู่ในความเมตตาของพระองค์ ในหมู่ปวงบ่าวของพระองค์ที่ดีทั้งหลาย”
อัลกุรอานได้ระบุว่า:
และพวกเขาได้ปฏิบัติตามสิ่งที่บรรดาชัยฏอน ในสมัยสุลัยมานอ่านให้ฟัง และสุลัยมานหาได้ปฏิเสธการศรัทธาไม่ แต่ทว่าชัยฏอนเหล่านั้นต่างหากที่ปฏิเสธการศรัทธา โดยสอนประชาชนซึ่งวิชาไสยศาสตร์และสิ่งที่ถูกประทานลงมาแก่มะลาอิกะฮ.ทั้งสอง คือ ฮารูต และมารูต ณ เมืองบาบิล และเขาทั้งสองจะไม่สอนให้แก่ผู้ใดจนกว่าจะกล่าวว่า แท้จริงเราเพียงเป็นผู้ทดสอบเท่านั้นท่านจงอย่าปฏิเสธการศรัทธาเลย แล้วเขาเหล่านั้นก็ศึกษาจากเขาทั้งสอง สิ่งที่พวกเขาจะใช้มันยังความแตกแยกระหว่างบุคคลกับภรรยาของเขาและพวกเขาไม่อาจทำให้สิ่งนั้นเป็นอันตรายแก่ผู้ใดได้นอกจากด้วยการอนุมัติของอัลลอฮฺเท่านั้น และพวกเขาก็เรียนสิ่งที่เป็นโทษแก่พวกเขา และมิใช่เป็นคุณแก่พวกเขา และแท้จริงนั้นพวกเขารู้แล้วว่า แน่นอนผู้ที่ซื้อมันไว้นั้น ในปรโลกก็ย่อมไม่มีส่วนได้ใด ๆ และแน่นอนเป็นสิ่งที่ชั่วช้าจริง ๆ ที่พวกเขาขายตัวของพวกเขาด้วยสิ่งนั้น หากพวกเขารู้
ซาโลมอนมีแหวนมนตราวงหนึ่งที่เรียกว่า ดวงตราแห่งซาโลมอน (Seal of Solomon) เชื่อกันว่าซาโลมอนได้รับมอบแหวนวงนี้และมีอำนาจเหนือญินและปิศาจ กล่าวกันว่าสัญลักษณ์มนตราบนแหวนเป็นสัญลักษณ์เดียวกับ ดาราแห่งดาวิด (บ้างเรียก โล่แห่งดาวิด) แม้ว่าดาราแห่งดาวิดจะเป็นสัญลักษณ์ของศาสนายูดาห์ซึ่งเริ่มปรากฏในคริสต์ศตวรรษที่ 2 ถึง 4 ก็ตาม บันทึกของรับบีระบุว่า ครั้งหนึ่งราชาแห่งเหล่ามารแอสโมเดียส (Asmodeus) ถูกจับกุมโดยเบไนอา (Benaiah) ที่สวมแหวนอยู่ และถูกบังคับให้อยู่ใต้อาณัติของซาโลมอน
ในอีกตำนานระบุว่าแอสโมเดียสนำชายผู้หนึ่งซึ่งมีสองหัวขึ้นมาจากโลกบาดาลเพื่อให้ซาโลมอนทอดพระเนตร ชายผู้นั้นไม่สามารถกลับไปโลกบาดาลได้ จึงได้อยู่กินกับสตรีนางหนึ่งในกรุงเยรูซาเลม และมีลูกชายด้วยกันเจ็ดคน หกในจำนวนเจ็ดคนนั้นมีลักษณะเช่นมารดา ส่วนอีกหนึ่งคนมีสองหัวเช่นบิดา เมื่อบิดาเสียชีวิต นายสองหัวได้เรียกร้องมรดกในส่วนสำหรับสองคน ซาโลมอนตัดสินว่านายสองหัวเป็นเพียงบุคคลเดียว
ดวงตราแห่งซาโลมอนเปรียบได้ดั่งแหวนแห่งอำนาจ ในหลายตำนานระบุว่า มีหลายกลุ่มคณะบุคคลเคยพยายามชิงหรือขโมยแหวนด้วยทางใดทางหนึ่งเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจมนตรา
อีกหนึ่งวัตถุมาตราหนึ่งของซาโลมอนคือโต๊ะและกุญแจแห่งซาโลมอน เป็นที่กล่าวว่าโต๊ะแห่งซาโลมอนตั้งอยู่ในเมืองโตเลโดในช่วงที่ชาววิซิกอทปกครอง ก่อนที่จะถูกชิงไปโดยนายทหารฝ่ายมุสลิมในช่วงอาณาจักรอุมัยยะฮ์พิชิตดินแดนไอบีเรีย[48] ส่วนกุญแจแห่งซาโลมอนปรากฏอยู่ในหนังสือที่ชื่อว่า กุญแจย่อยของซาโลมอน ซึ่งเป็นตำราไสยเวทมีโครงเรื่องที่ซาโลมอนจับกุมปิศาจต่างๆด้วยแหวน และบังคับให้ปิศาจพวกนั้นแนะนำชื่อเสียงเรียงนามแก่ตน
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.