Loading AI tools
นักแสดงชาวฮ่องกง จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เหมียว เฉียวเหว่ย์ (จีนตัวย่อ: 苗侨伟; จีนตัวเต็ม: 苗僑偉; พินอิน: Miáo Qiáowěi; กวางตุ้ง: หมิ่ว ขิ่วไหว) มีชื่อภาษาอังกฤษว่า ไมเคิล หมิ่ว (อังกฤษ: Michael Miu) สื่อฮ่องกงมักเรียกเขาว่า พี่สาม(พี่ชายคนที่สาม) ปัจจุบันด้วยใบหน้าที่ดูอ่อนกว่าอายุที่สุดในอดีตกลุ่ม 5 พยัคฆ์ทีวีบี ผู้ชมต่างชื่นชมเขาว่าหล่อที่สุดในกลุ่มตอนช่วงที่มีอายุมากแล้ว เขาเป็นนักแสดงชายชาวฮ่องกงที่อดีตเคยมีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่รู้จักระดับเอเชียอีกคนหนึ่ง เขามีชื่อเสียงเป็นอย่างมากจากการเป็นนักแสดงนำในสังกัดของสถานีโทรทัศน์ทีวีบี โดยเฉพาะในช่วงทศวรรษที่ 80 และยังเป็นอดีตหนึ่งในนักแสดงชายกลุ่มดาวรุ่ง 5 พยัคฆ์ทีวีบี ซึ่งประกอบด้วย หวง เย่อหัว, เหมียว เฉียวเหว่ย์, หลิว เต๋อหัว, ทัง เจิ้นเยี่ย และเหลียง เฉาเหว่ย์ เขามีผลงานการแสดงมากมาย ถึงแม้บทบาทของเขาที่ผู้คนทั่วเอเชียประทับใจมากที่สุดและยังคงเป็นที่จดจำมาจนถึงทุกวันนี้คือ บทบาทตัวร้าย เอี๊ยคัง ใน มังกรหยก ภาค1 1983 (The Legend of the Condor Heroes) แต่ผู้ชมชาวฮ่องกงกลับชื่นชอบเขากับบทพระเอก "ซื่อถูหวังหวู่" ในละครเรตติ้งเฉลี่ยถล่มทลายสูงถึง 61 จุดเปิดในฮ่องกงเรื่อง เทพอาจารย์จอมอิทธิฤทธิ์ (天師執位) ที่เขาเล่นประกบคู่กับ องเหม่ยหลิง (翁美玲) มากกว่า
เหมียว เฉียวเหว่ย์ | |
---|---|
สารนิเทศภูมิหลัง | |
เกิด | 18 มิถุนายน พ.ศ. 2501 |
คู่สมรส | ชี เหม่ยเจิน (พ.ศ. 2533-ปัจจุบัน) |
คู่ครอง | เหมย เยี่ยนฟาง (พ.ศ. 2526-2527) |
อาชีพ | -นักแสดง -นักธุรกิจ |
ปีที่แสดง | พ.ศ. 2523-ปัจจุบัน |
ผลงานเด่น | -บทโอวหยังกัง ใน เหยี่ยวถลาลม (พ.ศ. 2524) -บทเอี๊ยคัง ใน มังกรหยก 1983 (พ.ศ. 2526) -บท "ซื่อถูหวังหวู่" ใน เทพอาจารย์จอมอิทธิฤทธิ์ (พ.ศ. 2527) -บทชอลิ้วเฮียง ใน ชอลิ้วเฮียง ตอน ถล่มวังค้างคาว (พ.ศ. 2527) -บทกังปัง ใน เดชเซียวฮื้อยี้ (พ.ศ. 2531) |
ฐานข้อมูล | |
IMDb |
เหมียว เฉียวเหว่ย์ เป็นชาวจีนโดยกำเนิด เขาเกิดที่ท่าเรือโจวชาน(舟山港) มณฑลเจ้อเจียง เมื่อปี พ.ศ. 2501 และเป็นบุตรคนสุดท้องในครอบครัวที่มีฐานะดี ต่อมาได้ย้ายตามครอบครัวไปอยู่ที่ฮ่องกง และได้ศึกษาต่อที่นั้น แต่แล้วในช่วงที่กำลังศึกษาในระดับชั้นมัธยมปลายเขาต้องออกจากการเรียนกลางคัน เพราะพ่อของเขาป่วยหนักเป็นโรคมะเร็งจนต้องออกจากงานประจำที่ทำอยู่และค่าใช้จ่ายในการรักษาที่มากมายเป็นผลให้ทางครอบครัวได้ประสบปัญหาด้านการเงินอย่างหนัก และเขาต้องหางานทำเพื่อช่วยเหลือครอบครัวโดยไปเป็นลูกจ้างในร้านเฟอร์นิเจอร์โบราณแห่งหนึ่งเป็นระยะเวลาเกือบสามปี แต่เนื่องจากเงินเดือนที่ไม่เยอะทำให้เขาเริ่มมองหาลู่ทางอื่น จนได้มีโอกาสเข้าสู่วงการบันเทิงโดยการสมัครเข้าอบรมเป็นนักแสดงกับสถานีโทรทัศน์ทีวีบีในรุ่นที่ 9 เมื่อปี พ.ศ. 2523 และเรียนจบการแสดงในปีถัดมา โดยเริ่มงานทางด้านการแสดงเป็นตัวประกอบในซีรีส์ดัง ๆ หลายต่อหลายเรื่อง จนมาแจ้งเกิดอย่างเต็มตัวในฐานะดารานำกับบทบาทตัวร้าย ในบทโอวหยังกัง จากละครเรื่อง เหยี่ยวถลาลม (พ.ศ. 2524) และนับตั้งแต่นั้นเขาก็มีผลงานออกมาให้ชมมากมาย แต่บทบาทการแสดงทางด้านละครที่เป็นที่จดจำของผู้ชมได้มากที่สุด คือ บทบาทเอี๊ยคัง ในละครเรื่อง มังกรหยก (ฉบับปี พ.ศ. 2526) และ บทบาทชอลิ้วเฮียง ในละครเรื่อง ชอลิ้วเฮียง ตอน ถล่มวังค้างคาว (พ.ศ. 2527)
ในช่วงที่เขาโด่งดังเคยคบหาดูใจกับดารานักร้องชื่อดัง เหมยเยี่ยนฟาง ในช่วงระยะสั้น ๆ แต่ไม่นานทั้งสองก็เลิกกัน และเขายังเคยมีข่าวลือว่าได้มีความสัมพันธ์รักกับดาราสาวชื่อดัง องเหม่ยหลิง แต่นั้นเป็นแค่ข่าวลือ
ในปี พ.ศ. 2530 ในขณะที่เขายังคงโลดแล่นอยู่ในวงการ แต่แล้ว เหมียว เฉียวเหว่ย์ได้ตัดสินใจทำธุรกิจแว่นตากับหุ้นส่วนโดยมีแบรนด์แว่นตาเป็นของตัวเอง ต่อมาเมื่อเขาหมดสัญญาการแสดงกับสถานีโทรทัศน์ทีวีบีในราวกลางปี พ.ศ. 2531 เขาได้ตัดสินใจหยุดรับงานแสดงทางด้านละครเพื่อหันไปทุมเทให้กับธุรกิจแว่นตาอย่างเต็มที่ ทำให้ความนิยมในตัวเขาลดลง แต่ทว่าเขายังคงรับงานแสดงทางด้านภาพยนตร์อยู่บ้างประปรายซึ่งบทบาทของเขาในภาพยนตร์เหล่านั้นกลับไม่ได้นำพาชื่อเสียงให้กับเขาเหมือนงานละคร จนในที่สุดเขาก็ถอนตัวออกจากวงการบันเทิงอย่างเต็มตัวเมื่อปี พ.ศ. 2539 สวนทางกับธุรกิจแว่นตาของเขาที่กลับประสบความสำเร็จรุ่งเรืองเป็นอย่างมากจนมีสาขาน้อยใหญ่มากมายทั้งในฮ่องกงและต่างประเทศต่อมาเขาได้ตัดสินใจเซ็งธุรกิจแว่นตาไปเมื่อปี พ.ศ. 2545 ให้กับชาวออสเตรเลียและได้กำไรเป็นกอบเป็นกำจนทำให้เขากลายเป็นเศรษฐีผู้มั่งคั่งคนหนึ่งและกลับเข้าสู่วงการบันเทิงอีกครั้งในปี พ.ศ. 2547 มาจนถึงปัจจุบัน โดยรับบทนำเป็นทั้งตัวเอก, รับเชิญ และตัวประกอบเนื่องจากอายุที่มากขึ้นนั้นเอง
ผลงานระยะหลังของเขาที่พอจะเป็นที่รู้จัก กลับเป็นผลงานทางด้านภาพยนตร์ ได้แก่ "เกิดมาโหดตามพินัยกรรม ภาค 2"(Brothers 2007) ในปี พ.ศ. 2550 ซึ่งเป็นโปรเจกต์ของ หลิวเต๋อหัว ที่นำนักแสดงอดีตกลุ่มห้าพยัคฆ์ทีวีบี ทั้ง 4คน (ขาดแค่เหลียง เฉาเหว่ย์) กลับมาแสดงร่วมกันอีกครั้ง โดยมีเหมียว เฉียวเหว่ย์ รับบทเป็นพี่ชายคนโต
ชีวิตส่วนตัว สมรสกับ ชี เหม่ยเจิน ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2533 ซึ่งภรรยาของเขาก็เป็นนักแสดงในสังกัดของสถานีโทรทัศน์ทีวีบีด้วยเช่นกัน ทั้งคู่มีบุตรด้วยกันทั้งหมด 2 คน เป็นชาย (คนเล็ก) และหญิง (คนโต)
เหมียว เฉียวเหว่ย์ เกิดเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2501 เขามีชื่อเล่นว่า อาหมิ่ว (A Miao) และชื่อภาษาอังกฤษว่า ไมเคิล หมิ่ว (Michael Miu) เขาเกิดในครอบครัวฐานะดี ที่ท่าเรือโจวชาน(舟山港)ซึ่งเป็นท่าเรือที่ตั้งอยู่ในเมืองหนิงโป มณฑลเจ้อเจียง ประเทศจีน และเป็นลูกคนสุดท้องในครอบครัว พ่อของเขาทำงานเป็น นักเดินเรือ ของ บริษัท ขนส่งทางทะเลของฮ่องกง ซึ่งต้องเดินทางในทะลนานหลายเดือนไปมาระหว่างจีนและฮ่องกง ต่อมาเมื่อเขาอายุได้ห้าขวบแม่ได้พาเขาย้ายไปอยู่ฮ่องกง โดยอาศัยอยู่กับปู่และย่า ด้วยอาชีพนักเดินเรือที่เป็นอยู่ทำให้พ่อของเขาไม่มีโอกาสดูแลและอยู่กับเขานาน ๆ ได้เลย จึงทำให้เขาเติบโตมากับคุณแม่เป็นหลัก
แต่แล้วทุกอย่างก็พลิกผันเมื่อพ่อของเขาป่วยเป็นมะเร็งและสูญเสียความสามารถจนต้องออกจากงานประจำที่ทำอยู่เป็นผลให้นับตั้งแต่นั้นทางครอบครัวเริ่มประสบปัญหาทางการเงินขึ้นมาเพราะหมดเงินไปกับการรักษาคุณพ่อเป็นจำนวนมาก ต่อมา เหมียวเฉียวเหว่ย์ ในวัย 17 ปีได้ตัดสินใจลาออกกลางคันจากโรงเรียนมัธยมศึกษา เซียงต้าว (香島中學) ในระดับชั้นม.5 (มศ. 4) และได้ออกไปหางานทำเพื่อช่วยเหลือครอบครัวของเขาพร้อมทั้งส่งตัวเองเรียนต่อ โดยไปสมัครงานที่ร้านเฟอร์นิเจอร์โบราณแห่งหนึ่งใกล้บ้าน หลังจากฝึกหัดแบบงานไม้เฟอร์นิเจอร์ จนชำนาญก็ได้ทำงานที่นั้นเป็นระยะเวลาสามปี[1][2][3]
ต่อมาในราวปลายปี พ.ศ. 2522 ในขณะที่เหมียว เฉียวเหว่ย์ยังคงทำงานเป็นลูกจ้างที่ร้านเฟอร์นิเจอร์โบราณอยู่นั้น แต่แล้วเขาก็เกิดมีปัญหาขัดแย้งกับหัวหน้างานในที่ทำงานขึ้นมาเลยขอลาพักงานเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ซึ่งเป็นช่วงที่ประจวบเหมาะพอดีกับที่ทางสถานีโทรทัศน์ทีวีบี กำลังเปิดรับสมัครนักเรียนการแสดงใหม่ในรุ่นที่ 9 เพราะความอยากรู้อยากลองเขาจึงกรอกแบบฟอร์มการลงทะเบียนและยื่นใบสมัครดู เมื่อผลออกมาว่าเขาได้ผ่านการคัดเลือกให้เข้าอบรมเป็นนักเรียนการแสดงกับทางช่องทีวีบี จึงได้ตัดสินใจลาออกจากงานร้านเฟอร์นิเจอร์ทันที และต้องใช้เวลาเรียนการแสดงประมาณ 1 ปี โดยในรุ่นที่ 9 มีเพื่อนนักเรียนการแสดงร่วมรุ่นที่ต่อมากลายเป็นดาราดัง ได้แก่ หวงเย่อหัว ในห้องเรียนเขากับหวงเย่อหัว ทั้งสองสนิทกันมากและกลายมาเป็นเพื่อนซี้จนถึงปัจจุบัน ในช่วงที่เขากำลังเรียนการแสดงอยู่นั้นทางช่องก็ลองให้เขาประเดิมรับบทตัวประกอบในละครกึ่งสากลสุดฮิตเรื่อง เจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ ภาค1-3 โดยในเรื่องนี้เขาได้รับบทตัวประกอบเป็นนักศึกษากับหวงเย่อหัวนับได้ว่าเป็นละครเรื่องแรกในชีวิตการแสดงของเขาและยังแสดงเป็นตัวประกอบในละครดัง ๆ ตามมา เช่น ละครดราม่าเรื่อง ฝันสลาย (Yesterday's Glitter 1980) เป็นต้น ซึ่งในปีเดียวกันเขาก็ได้ขยับจากตัวประกอบขึ้นมาเป็นนักแสดงสมทบในละครเรื่อง รักพยาบาท (The Adventurer's 1980) ซึ่งบทบาทการแสดงเป็นตัวละครสมทบในเรื่องนี้ทำให้เขาได้รับคำชื่นชมและถูกจับตามองเป็นอย่างมาก ต่อมาในปี พ.ศ. 2524 (1980) หลังจากเรียนจบทางด้านการแสดงกับทางช่อง เขาก็ได้ถูกคัดเลือกจากฝ่ายผลิตละครโทรทัศน์ของค่ายทีวีบี ให้รับบทนำเป็นครั้งแรกกับบทบาทตัวร้าย "โอวหยังกัง" โดยร่วมแสดงนำกับดาราร่วมรุ่นเพื่อนสนิท อย่าง "หวงเย่อหัว" ที่ได้แสดงเป็นพระเอกในบท "หลี่ถัง" ในละครกึ่งสากลยอดนิยมเรื่อง เหยี่ยวถลาลม โดยมีดาราสาวรุ่นพี่ชื่อดังในขณะนั้นอย่าง เจิ้งอวี้หลิงเป็นนางเอก ซึ่งถือได้ว่าเขาใช้เวลาในการไต่เต้าจากตัวประกอบมารับบทนำในระยะเวลาอันรวดเร็ว หลังจากละครเรื่องนี้ได้ออนแอร์ออกอากาศ ทั้งเหมียว เฉียวเหว่ย์และหวงเย่อหัว ต่างก็แจ้งเกิดในทันที และละครเรื่อง เหยี่ยวถลาลม ก็ได้รับความนิยมทั้งในฮ่องกงและประเทศเพื่อนบ้านในแถบเอเชียเป็นอย่างมาก ส่วนผลงานละครเด่นเรื่องอื่น ๆ ที่เขาได้ร่วมแสดงในปีเดียวกัน ได้แก่ "เพชรตัดเพชร" (火鳳凰 1981), จอมทรนง (The Fate 1981), มรสุ่มสายรุ่ง (風雨晴 1981), นางพญาปาฎิหาริย์ (无双谱 1981), "ประกาศิตเหยี่ยวพญายม" (飛鷹 1981) และ "วีรบุรุษเส้าหลิน" (The Young Heroes of Shaolin 1981)
ในปี พ.ศ. 2525 หลังจากแจ้งเกิดในบทตัวร้ายจากละครเรื่อง "เหยี่ยวถลาลม" แล้ว ตั้งแต่นั้นทางสถานีโทรทัศน์ทีวีบี ก็ได้ผลักดันส่งเสริมเขาเป็นอย่างมากเคียงข้าง หวงเย่อหัว เพื่อนดาราร่วมรุ่นอีกคน โดยให้เขารับบทนำและบางเรื่องก็ได้เป็นพระเอกเต็มตัว เช่นละครซิทคอมเรื่อง ฮ่องกง82 (Hong Kong 82), รักลอยฟ้า (Ladies of the House), ไอ้หนุ่มตะลุย 10 ทิศ (A Kid Troupe), ยาจกซูไอ้หนุ่มหมัดเมา (The Legend of Master So Ma) และ เรื่อง "เขย่าเหลี่ยมเซียน" (You only live twice 1982) ซึ่งเรื่องหลังนี้เขาได้เล่นเป็นพระเอกเต็มตัวประกบกับดาราสาวดาวรุ่งดวงใหม่ อย่าง ชีเหม่ยเจิน และทำให้เขาได้พบรักกลางกองถ่ายกับเธอซึ่งเป็นนางเอกของเรื่องนี้อีกด้วย จนทั้งคู่ได้เป็นแฟนกันในเวลาต่อมา และในช่วงเวลานี้เองที่ทางฝ่ายการผลิตของสถานีโทรทัศน์ทีวีบี ได้คัดเลือกเขาให้รับบทนำเป็นเอี้ยคัง คู่กับหยาง พ่านพ่าน ในบท มกเนี่ยมชื้อ โดยได้หวงเย่อหัว มารับบทก๊วยเจ๋ง คู่กับดาราสาวดาวรุ่งมาแรง องเหม่ยหลิง ที่ผ่านการคัดเลือกให้เข้ามารับบทนำเป็น อึ้งย้ง กับผลงานละครกำลังภายในฟอร์มใหญ่ที่กำลังจะสร้างเรื่อง มังกรหยก เมื่อมีการประกาศรายชื่อนักแสดงที่จะเข้ามาสวมบทบาทต่าง ๆ ให้ผู้คนได้รับทราบ ซึ่งสร้างความฮือฮาในตอนนั้น เป็นอย่างมาก
ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2526 ถือเป็นการเริ่มเข้าสู่ยุครุ่งเรืองของเขาเลยก็ว่าได้ เมื่อผลงานละครกำลังภายในฟอร์มใหญ่เรื่อง มังกรหยก ภาค1 ได้ออนแอร์ลงสู่หน้าจอทีวี โดยมีเรตติ้งคนดูสูงสุดตลอดกาลอยู่ที่ 99% [4][5]ทำให้นักแสดงนำทั้ง 4 คนคือ หวงเย่อหัว, องเหม่ยหลิง หยางพ่านพ่าน และเขา ดังเปรี้ยงปร้างสุดกู่ทันที ซึ่งเหมียว เฉียวเหว่ย์เองก็ได้รับคำชื่นชมจากสื่อต่าง ๆ ว่า เขาสามารถสวมบทบาท "เอี้ยคัง" ออกมาได้เหมือน เอี้ยคังตามบทประพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นบุคลิกลักษณะของเอี้ยคังในด้านความร้ายกาจและความสับสนในตัวเอง ซึ่งเขาถ่ายทอดอารมณ์ทั้งหมดออกมาได้ดีมาก และจากความโด่งดังในบทนี้ทำให้เขาก้าวขึ้นมาเป็นนักแสดงจอแก้วยอดนิยมแถวหน้าคนหนึ่งของทางค่ายทีวีบี พอใกล้สิ้นปีทาง สถานีโทรทัศน์ทีวีบี ก็ได้ก่อตั้งกลุ่ม 5 พยัคฆ์ทีวีบี ขึ้นมาโดยมี 5 นักแสดงชายดาวรุ่งพุ่งแรง ของทางค่ายทีวีบี 5 คนมารวมตัวกัน ซึ่งประกอบไปด้วย เหมียว เฉียวเหว่ย์, หลิวเต๋อหัว, ทัง เจิ้นเยี่ย, เหลียง เฉาเหว่ย์ และหวงเย่อหัว ส่วนผลงานละครเด่นเรื่องอื่น ๆ ในปีเดียวกัน ได้แก่ ละครแนวสากลเรื่อง "เทพบุตรเสียงทอง" (The Radio Tycoon) ที่มีโจวเหวินฟะ และจ้าวหย่าจือ แสดงนำ ตามด้วยผลงานละครแนวตำนานรักอภินิหารที่มีเขาเป็นพระเอก เรื่อง พยากรณ์ประกาศิต ภาค1 (The Fortune Teller) และ พยากรณ์ประกาศิต ภาค 2 (The Fortune Teller II) โดยละครเรื่องนี้มีนางเอก 2 คนคือ หวง เจ้าสือ และ จวง จิ้งเอ๋อ
ในปี พ.ศ. 2527 หลังจากที่เขามีชื่อเสียงโด่งดังเป็นพลุแตกกับบทบาทเอี้ยคังแล้ว พอดีกับที่ทางพระเอกชื่อดัง หวงเย่อหัว เกิดมีปัญหากับทางช่องขึ้นมาเรื่องการต่อสัญญาระยะยาว ทำให้ทางสถานีโทรทัศน์ทีวีบี หันมาผลักดันป้อนงานละครให้ เหมียวเฉียวเหว่ย์ (ที่ตอนนั้นยังไม่หมดสัญญา) แสดงเป็นพระเอกติดต่อกันถึง 7 เรื่องภายในปีเดียวกัน เช่น "ฤทธิ์ดาบหยดน้ำตา" (Hero Without Tears) คู่กับหลิวเจียหลิง, "ชะตา ชีวิต" (Summer Kisses, Winter Tears) คู่กับเหมยเยี่ยนฟาง และ 5 พยัคฆ์รโลกมายา (The Rise And Fall of a Stand-in) คู่กับ หยังพ่านพ่าน โดยเฉพาะละครที่เขาได้เล่นประกบคู่ กับ องเหม่ยหลิง ต่างได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงจนทั้งคู่กลายเป็นคู่ขวัญในตอนนั้นที่บรรดาผู้ชมต่างเชียร์ให้เป็นแฟนกันทั้งในจอและนอกจอ ซึ่งละครเหล่านั้นได้แก่เรื่อง ยุทธจักรชิงจ้าวบัลลังค์ (The Foundation), เทพอาจารย์จอมอิทธิฤทธิ์ (The Fearless Duo), เฉือนคมเจ้าพ่อ (United We Stand) และ ชอลิ้วเฮียง ตอน ถล่มวังค้างคาว (The New Adventures of Chor Lau-heung Chor Lau-heung) โดยเฉพาะ โดยเฉพาะละคร เทพอาจารย์จอมอิทธิฤทธิ์ กลายเป็นเรตติ้งสูงสุดในปี พ.ศ. 2527 (1984) ด้วยเรตติ้งคะแนนเฉลี่ย 61 จุดเปิด กลายเป็นหนึ่งในสิบละครที่มีเรตติ้งเฉลี่ยสูงสุดในรอบหลายปีที่ผ่านมาในเกาะฮ่องกง และยังเป็นหนึ่งในละครฮ่องกงสุดคลาสสิกของศตวรรษที่ 20 ที่ได้รับการคัดเลือกโดยสื่อสิงคโปร์ ส่งให้เขาและ องเหม่ยหลิง กลายเป็นคู่ขวัญที่ดังที่สุดแห่งปี
ต่อมาในช่วงละครเรื่อง "ชอลิ้วเฮียง ตอน ถล่มวังค้างคาว" นั้นประสบความสำเร็จและได้รับความนิยมทั่วเอเชีย บวกกับแรงเชียร์จากบรรดาแฟนคลับของคนทั้งคู่ที่อยากให้ทั้งสองเป็นแฟนกันจริง ๆ จนเป็นที่มาของข่าวฉาวรักสามเส้าของทั้งสองฝ่าย จนต่อมามีข่าวลือซุบซิบออกมาว่าดาราสาว ชีเหม่ยเจิน ซึ่งเป็นแฟนสาวตัวจริงของเหมียว เฉียวเหว่ย์ และเป็นเพื่อนสนิทขององเหม่ยหลิง เกิดการไม่พอใจขึ้นมาและไม่ต้องการให้เหมียว เฉียวเหว่ย์ เล่นประกบคู่กับองเหม่ยหลิงอีก หลังจากนั้นทั้งสองก็ไม่ได้เล่นประกบคู่กันอีกเลย ข่าวลือเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้สร้างความอึดอัดใจให้กับทั้งเหมียว เฉียวเหว่ย์ และองเหม่ยหลิง เป็นอย่างมากเพราะต่างฝ่ายต่างก็มีคนรักที่คบหาดูใจกันอยู่แล้ว อีกทั้งคนรักของทั้งคู่ต่างก็เป็นเพื่อนสนิทของอีกฝ่าย จนในที่สุดตัวของเหมียว เฉียวเหว่ย์ เองได้ตัดสินใจที่จะยุติข่าวลือเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า ตัวเขารัก ชีเหม่ยเจิน เพียงคนเดียว ส่วนองเหม่ยหลิง นั้นเขาเห็นเธอเหมือนน้องสาวที่แสนดีเท่านั้นเพราะเขาเองไม่เคยคิดอะไรเกินเลยกับเธอเลยและรู้ว่าเธอคบกับทังเจิ้นเยี่ยอยู่ จากข่าวลือเรื่องนี้ทำให้ในระยะหลัง เหมียว เฉียวเหว่ย์ และองเหม่ยหลิง เองต่างก็ติดต่อกันน้อยลง จนความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนสนิทก็เริ่มห่างเหินกันไปเพราะกลัวทั้งแฟนสาว (ชีเหม่ยเจิน) และแฟนหนุ่มขององเหม่ยหลิง (ทังเจิ้นเยี่ย) จะเข้าใจผิด
ในปี พ.ศ. 2528 ในปีนี้เขายังคงมีละครเด่น ๆ อยู่เช่น เพ็กฮ่วยเกี่ยม แค้นกระบี่โค่นบัลลังค์ (Sword Stained with Royal Blood Ha Suet-ye), คอนโดมิเนียม (The Condo) และผลงานละครที่รวม 5 พยัคฆ์ทีวีบีมาเล่นร่วมกันเนื่องในโอกาสพิเศษครบรอบ 18 ปีของสถานีโทรทัศน์ทีวีบี คือเรื่องขุนศึกตระกูลหยาง (The Yang's Saga) ด้วยความนิยมอย่างต่อเนื่อง ทำให้ทางสถานีโทรทัศน์ทีวีบีต้องการให้เขาเซ็นสัญญาระยะยาว 5 ปีกับทางช่อง แต่ทว่าเขากลับไม่เห็นด้วยและขอต่อร้องเซ็นสัญญาระยะสั้นลงไปแทนเป็นปีต่อปี เพราะเขาอยากหันไปรับงานทางด้านภาพยนตร์อย่างเต็มที่ ทำให้ทางช่องไม่พอใจเป็นอย่างมากพร้อมกับลดงานละครของเขาลง ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวเคยเกิดขึ้นกับหวงเย่อหัวมาก่อนหน้านั้นแล้ว จนในที่สุด เมียวเฉียวเหว่ย ก็ลงสัญญาสามปี(ค.ศ. 1985-1988)
ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2529-2531 เหมียว เฉียวเหว่ย์มีงานละครน้อยลงมาก ได้แก่ ตี้ชิง (The Legend of Dik Ching 1986), แฝดผิดฝา (Pet and Pest 1986), กระบี่มังกรหยก (The Dragon Sword 1987) และ เดชเซียวฮื้อยี้ฉบับ เหลียง เฉาเหว่ย์ นำแสดง (Two Most Honorable Knights 1988) เพราะเนื่องจากเขาเซ็นสัญญารับงานละครปีต่อปีและได้รับงานแสดงทางด้านภาพยนตร์ไปด้วย ทำให้ความนิยมในตัวเขาค่อย ๆ ลดลงไปเพราะผลงานภาพยนตร์เหล่านั้น ก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร
และในช่วงปี พ.ศ. 2530 เหมียว เฉียวเหว่ย์ ได้เปิดธุรกิจแว่นตา ที่ทำร่วมกับครอบครัวของแฟนสาว "ชี เหม่ยเจิน" โดยมียี่ห้อแว่นตาเป็นของตัวเองภายใต้ชื่อว่า เอ็มสามบีกิน (M3Begin) จนกระทั่งกลางปี พ.ศ. 2531 หลังหมดสัญญากับสถานีโทรทัศน์ทีวีบี เขาตัดสินใจหยุดรับงานแสดงทางด้านละครเพื่อหันไปทุ่มเทให้กับธุรกิจแว่นตาอย่างเต็มที่และนับตั้งแต่นั้นความนิยมในตัวเขาเริ่มค่อย ๆ ลดลง แต่อย่างไรก็ตามเขาก็ยังคงรับงานแสดงภาพยนตร์อยู่บ้างประปราย และในปลายปี พ.ศ. 2533 เขาตัดสินใจเข้าพิธีวิวาห์กับแฟนสาว ชีเหม่ยเจิน ที่ทั้งคู่คบหาดูใจกันมานานกว่า 8 ปี และในปี พ.ศ. 2539 เขาก็ประกาศหันหลังให้กับวงการภาพยนตร์ ซึ่งเขาเองก็ไม่ค่อยประสบความสำเร็จในวงการจอเงินเท่าใดนัก แต่อย่างไรก็ตามทางด้านธุรกิจแว่นตาของเขากลับประสบความสำเร็จรุ่งเรืองมากมายในเวลาต่อมาและมีการขยายสาขาน้อยใหญ่ทั้งในฮ่องกงและต่างประเทศ เช่น แคนาดาและจีนแผ่นดินใหญ่
ในขณะที่ธุรกิจแว่นตารุ่งเรืองและกำลังไปได้สวยแต่แล้วในปี พ.ศ. 2545 ครอบครัวของเขาได้ตัดสินใจขายธุรกิจแว่นตาให้กับชาวออสเตรเลียและได้กำไรเป็นกอบเป็นกำจนทำให้ครอบครัวของเขาอยู่ในระดับเศรษฐีที่ร่ำรวยมาก แล้วตัวเขาก็กลับเข้าสู่วงการบันเทิงอีกครั้งโดยกลับไปเซ็นสัญญาเป็นนักแสดงให้กับทางสถานีโทรทัศน์ทีวีบีในราวกลางปี พ.ศ. 2547 และเริ่มมีผลงานละครในปีถัดมา ซึ่งช่วงที่เขากลับเข้ามารับงานแสดงนั้นเป็นช่วงที่ละครชุดฮ่องกงอยู่ในยุคตกต่ำในตลาดเอเชียแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม...สำหรับในประเทศฮ่องกงเองแล้วความนิยมในละครของบ้านเกิดตัวเองก็ยังคงเหมือนเดิม และเขาก็ยังคงมีผลงานละครหลายเรื่องที่ได้รับความนิยมเฉพาะในประเทศฮ่องกง จนมีชื่อเข้าชิงนักแสดงชายจอแก้วยอดเยี่ยมแห่งปีถึง 5 ครั้งด้วยกันจากละครเรื่อง ผู้พิทักษ์หัวใจทรนง ภาค1และภาค3 (The Academy), สงครามชีวิต ลิขิตชะตา (The Drive of Life), ปมลวงเปลี่ยนรัก (Love Exchange) และ คู่เดือด ตำรวจเหล็ก (Gun Metal Grey) ถึงแม้ว่าละครเหล่านี้จะประสบความสำเร็จอย่างมากในฮ่องกง แต่กลับไม่ได้รับความนิยมในระดับเอเชียเหมือนในอดีตอีกเลย
ต่อมาในราวกลางปี พ.ศ. 2556 เขาก็ได้หมดสัญญากับทางช่องทีวีบี และผันตัวเองไปเป็นนักแสดงอิสระโดยรับงานทั้งที่ฮ่องกงและที่จีนแผ่นดินใหญ่ ผลงานละครกับทางจีนที่เด่น ๆ คือ มังกรหยก ฉบับปี พ.ศ. 2560 ที่เขารับเล่นบท อึ้งเอี๊ยะซือ ซึ่งก็สร้างความเกรียวกราวพอสมควร และล่าสุดกับผลงานละครที่เล่นให้กับทางค่ายทีวีบีคือ ล่าจารชน (Line Walker) และ ล่าจารชน ภาค2 (Line Walker: The Prelude)
ส่วนปัจจุบันชีวิตทางด้านครอบครัวของเขาก็มีความสุขและอบอุ่น ทั้งเหมียว เฉียวเหว่ย์และภรรยาถือได้ว่าเป็นคู่รักดาราที่น่าอิจฉาคู่หนึ่งในวงการบันเทิงฮ่องกง และเขาเองก็ยังเป็นพ่อของลูก 2 คนซึ่งเป็นชายและหญิง อีกด้วย
ในช่วงยุค 2000s เหมียวเฉียวแหว่ย์ เคยให้สัมภาษณ์ว่า บทบาทที่เขาแสดงแล้วชื่นชอบมากที่สุด คือ เรื่อง ชอลิ้วเฮียงถล่มวังค้างคาว (楚留香之蝙蝠傳奇 1984)
ส่วนละครที่เขารับบทเป็นพระเอกแล้วประสบความสำเร็จในฮ่องกงมากที่สุดในช่วงชีวิตการเป็นนักแสดงของเขาคือ เรื่อง เทพอาจารย์จอมอิทธิฤทธิ์ (天師執位 1984) ประกบ องเหม่ยหลิง ที่มีสถิติเรตติ้งเฉลี่ยต่อตอนถึง 61 จุดเปิด หรือ 3.15 ล้านคนดูต่อตอน กลายเป็นหนึ่งในสิบละครที่ทำเรตติ้งเฉลี่ยมากที่สุดในเกาะฮ่องกงมานานหลายปี
ล่าสุดเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองงานครบรอบ 55 ปีของทีวึบี (TVB) ที่ได้จัดขึ้นในวันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565 (2022) ก่อนหน้านั้นทางทีวีบี ได้ทำการเปิดตัวกิจกรรมให้ผู้ชมโหวตละครดังในอดีตในหัวข้อ "ละครที่ฉันเลือก,ละครที่ฉันอยากดู" ("I Choose, I Want to Watch") และ "ละครที่น่าจดจำมากที่สุด" (Unforgettable...)
ผลชนะในหัวข้อหลัง คือ ละครเรื่อง "เทพอาจารย์จอมอิทธิฤทธิ์ (The Fearless Duo 1984)" ที่เขาแสดงคู่กับองเหม่ยหลิง ได้ชนะผลโหวตเป็นอันดับหนึ่งด้วยคะแนนโหวต 29.8% จากคะแนนโหวตทั้งหมดของผู้ชม ทำให้ละครเรื่องนี้จะมีการรีรันซ้ำครั้งที่ 10 [6]และกลายเป็นละครที่มีการรีรันซ้ำบ่อยที่สุดในฮ่องกง แสดงให้เห็นว่า ทั้งเขาและองเหม่ยหลิง ยังคงเป็นคู่ขวัญยอดนิยมในใจผู้ชมชาวฮ่องกง ตั้งแต่ในอดีตมาจนถึงปัจจุบัน
ก่อนหน้านี้ ละครเรื่อง เทพอาจารย์จอมอิทธิฤทธิ์ มีการออกอากาศและรีรันซ้ำรวม 10 ครั้ง (ครั้งแรก+รีรัน9ครั้ง ยังไม่รวมรีรันครั้งล่าสุด) ทำให้มีผู้คนหลายรุ่นในฮ่องกงได้มีโอกาสดูและการแสดงเรื่องนี้ของ องเหม๋ยหลิงกับเหมึยวเฉียวเหว่ย ได้สร้างความประทับใจให้แก่ผู้ชมหลายรุ่นหลายช่วงอายุ, ชาวเน็ตในฮ่องกงต่างชี้ว่าฉากที่ องเหม่ยหลิงแต่งตัวเป็นตุ๊กตากระดาษและใช้แหขนาดใหญ่ไล่จับ(ผีเสื้อ)วิญญาณของพระเอก (เหมียวเฉียวเหว่ย) ที่สิงอยู่กับผีเสื้อ เรียกกลับคืนร่าง เป็นฉากละครที่คลาสสิกที่สุด และชาวเน็ตส่วนหนึ่งยกย่องว่า: "แม้ว่าละครเรื่องนี้จะมีการรีรันซ้ำกลับมาดูหลายรอบแล้ว แต่ก็ยังอยากดู เพราะมันคือละครขั้นเทพท่ามกลางละครขั้นเทพทั้งหลาย! [7] โดยทั่วไปละครเรื่องอื่น ๆ ที่มีการรีรันซ้ำบ่อย คนดูจะเบื่อ แต่กับละครเรื่องนี้ผู้ชมชาวฮ่องกงกลับยังคงอยากดูในทุกรอบที่มีการนำกลับมาออกอากาศอยู่เสมอ
ละครโทรทัศน์ | |||
---|---|---|---|
ปี | เรื่อง | รับบท | หมายเหตุ |
1980 | The Bund | (extra) | |
Yesterday's Glitter | (extra) | ||
The Invincible Medic | (extra) | ||
The Adventurer's | Yung Wing-hong | ||
1981 | The Lonely Hunter | Au-yeung Hong | |
Come Rain, Come Shine | |||
Double Fantasies | |||
The Fate | Wilson Chung Wai-shun | ||
The Hawk | Prince Har | ||
The Young Heroes of Shaolin | Wu Wai-kin | ||
1982 | Hong Kong 82 | Chow Sing-wai | |
Ladies of the House | Little Bat-leung | ||
A Kid Troupe | Yuen Wai | ||
You Only Live Twice | Wong Chau-fat / Sheung Tsan-yu | ||
The Legend of Master So | Ma Kwan | ||
1983 | The Radio Tycoon | Lui Hei | |
The Fortune Teller | Lai Bo-yee | ||
The Legend of the Condor Heroes | Yeung Hong | 3 seasons | |
1984 | The Foundation | Lee Sai-man | |
The Fearless Duo | Szeto Man-mo | ||
United We Stand | Tung Pang-fei | ||
The Rise & Fall of a Stand-In | Hung Kiu | ||
Hero Without Tears | Siu-ko | ||
The New Adventures of Chor Lau-heung | Chor Lau-heung | ||
Summer Kisses, Winter Tears | Ling Yue-sam | ||
1985 | Sword Stained with Royal Blood | Ha Suet-yee | |
The Condo | San Tin-pui | ||
The Yang's Saga | "Sei-long" Yang Yin-fai | ||
1986 | The Legend of Dik Ching | Dik Ching | |
Pet and Pest | Ko Tai-wai | ||
1987 | The Dragon Sword | Yung Chi-wan | |
1988 | Two Most Honorable Knights | Kong Fung | |
1990 | Yuhuo Fenghuang (Fire Phoenix) | Zhong Hao | |
1995 | New Justice Pao | Sung Ching Wan | |
1999 | Forrest Cat II | Wong Kar-hei | |
2548 (2005) | ผู้พิทักษ์หัวใจทรนง (The Academy) | SGT. Lee Man-sing | Nominated — TVB Anniversary Awards for Best Actor (Top 5) |
Into Thin Air | Ko Chung-ching | ||
2549 (2006) | เฉือนคมเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ (Au Revoir Shanghai) | Nip Jun | Warehoused |
Dicey Business | Kiu Ching-chor | ||
2550 (2007) | ผู้พิทักษ์หัวใจทรนง ภาค2 (The Academy II:On the First Beat) | SGT. Sunny Lee Man-sing | Guest star |
ยอดกระบี่เงาปีศาจ (Devil's Disciples) | Szema Fei-sing | Guest star | |
สงครามชีวิต ลิขิตชะตา (The Drive of Life) | Wah Man-shek | Nominated — TVB Anniversary Awards for Best Actor (Top 20) Nominated — TVB Anniversary Awards for My Favourite Male Character (Top 24) | |
หน่วยล่าไอซีเอซี (ICAC Investigators 2007) | Principal Investigator Chan Kwok-wai (DJ) | Episode 4: "Over the Line" | |
2551 (2008) | แม่ผัวจอม เฮี้ยบกับสะใภ้ซุ่มซ่าม ภาค 2 (Wars of In-Laws II) | himself | Guest star |
ปมลวงเปลี่ยนรัก (Love Exchange) | Mike Yiu Lap-tin | Nominated — TVB Anniversary Awards for Best Actor (Top 10) | |
2552 (2009) | ผู้พิทักษ์หัวใจทรนง ภาค3 (The Academy III: E.U.) | Kong Sai-hau | Nominated — TVB Anniversary Awards for Best Actor (Top 15) Nominated — TVB Anniversary Awards for My Favourite Male Character (Top 15) |
2553 (2010) | My Better Half | Ching Sum | |
คู่เดือด ตำรวจเหล็ก (Gun Metal Grey) | SIP. Mai On-ting (Mad Sir) | Nominated — TVB Anniversary Awards for Best Actor (Top 15) | |
2555 (2012) | L'Escargot | Kwan Ka-on | |
เฉือนทรชน คนอันตราย Highs and Lows | Heung Wing (Gordon) | ||
2556 2013 | A Change of Heart | Fong Chi Lik | |
Flower Pinellia (Flower Open in the Middle of Summer) | Cheng Hao | Mainland China drama on Hunan TV | |
2557 (2014) | ล่าจารชน (Line Walker) | Cheuk Hoi | |
2559 (2016) | Way Of The Dragon 2016 | Do Ying Hou | Mainland China Drama |
2560 (2017) | The Legend of the Condor Heroes (2017 TV series) | Huang Yaoshi | Mainland China version on Dragon TV |
ล่าจารชน ภาค2 (Line Walker: The Prelude) | Cheuk Hoi |
ภาพยนตร์ | |||
---|---|---|---|
ปี | เรื่อง | รับบท | หมายเหตุ |
1985 | Twinkle, Twinkle Lucky Stars | Pagoda | |
1986 | Lucky Stars Go Places | Pagoda | |
1987 | Scared Stiff | David Miu Tai-wai | |
White Cuckooflower | Li Shaonong | ||
1988 | Hero of Tomorrow | Sam Gor | |
The Dragon Family | Lung Wai | ||
1989 | Return of the Lucky Stars | Pagoda | |
City Cops | Ching Shing | ||
Proud and Confident | |||
Little Cop | Thousand-faced Man | ||
Close Escape | Lam Wai-Tung | ||
1990 | Magic Cop | Sergeant No. 2237 | |
1991 | The Tigers | Malung | |
1992 | Handsome Siblings | Kuang Yuk Long, Kuang Fung | |
1993 | Lord of East China Sea | ||
1995 | Whatever Will Be, Will Be | Peter's Dad | |
1996 | How to Meet the Lucky Stars | Pagoda / Ginseng | |
2004 | Love Is a Many Stupid Thing 2004 | Richard | |
Jiang Hu | Figo | ||
2006 | Wo Hu | SP Wai Ting-bong | |
McDull, the Alumni | Senior Superintendent of Police officer | ||
2007 | Brothers | Tam Chung-yiu | |
2010 | Black Ransom | Sam Ho | |
2011 | I Love Hong Kong | ||
2016 | New York New York | ||
2018 | แผนสังหารเกมอำมหิต (The Trough) |
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.