Loading AI tools
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เศรษฐยาธิปไตย[1] หรือ ธนาธิปไตย (กรีก: πλοῦτος, ploutos, 'ความมั่งคั่ง' + κράτος, kratos, 'ปกครอง' - อังกฤษ: plutocracy, plutarchy) เป็นระบอบการปกครองที่คนมีเงินเป็นผู้ถือครองอำนาจทางการเมือง[2] โดยเป็นรูปแบบหนึ่งของคณาธิปไตย และสามารถนิยามด้วยว่า เป็นสังคมที่ปกครองหรือควบคุมโดยประชาชนที่มั่งคั่งที่สุดส่วนน้อย เป็นการเมืองเพื่ออำนาจ เพื่อผลประโยชน์ และสิทธิพิเศษ ของกลุ่มคนที่มีอำนาจทางการเมือง โดยต้องใช้เงินเป็นองค์ประกอบหลัก[3] มีการใช้คำทำนองนี้เป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2195[4] โดยไม่เหมือนกับระบบประชาธิปไตย สังคมนิยม หรืออนาธิปไตย เศรษฐยาธิปไตยไม่มีมูลฐานจากปรัชญาการเมือง และชนมั่งคั่งในสังคมอาจสนับสนุนให้ใช้เศรษฐยาธิปไตยโดยไม่ได้ทำตรง ๆ หรือทำอย่างปกปิด คำนี้จึงมักใช้ในทางลบ[5]
ผู้มีอำนาจในระบอบนี้อาจก่อปัญหาหลายอย่างรวมทั้ง
คำนี้มักใช้ในทางลบเพื่ออธิบายหรือเตือนให้สำนึกถึงสถานการณ์ที่ไม่พึงประสงค์[7][8] ตลอดประวัติศาสตร์ นักคิดทางการเมืองชาวตะวันตกทั้งหลายรวมทั้งวินสตัน เชอร์ชิล, นักสังคมวิทยาและประวัติศาสตร์ชาวฝรั่งเศส Alexis de Tocqueville (คริสต์ทศวรรษที่ 19), ผู้นิยมระบอบราชาธิปไตยชาวสเปน Juan Donoso Cortés, และในปัจจุบัน นักปฏิบัติการผู้ชื่นชอบสังคมนิยมแบบอิสรนิยม โนม ชอมสกี ได้ตำหนิผู้ครองอำนาจเช่นนี้เพราะ[6][9]
ธนาธิปไตยยุคใหม่ถูกสื่อความหมายในทางลบ โดยเป็นการประสานกันของอำนาจทางการเงินและทางการเมือง การใช้เงินเพื่อได้ผลทางอำนาจบริหารรัฐกิจ หรือหมายถึงการให้สินบนแก่เจ้าหน้าที่ภาครัฐ การมีส่วนร่วมกับพรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาลเพื่อผลประโยชน์ตนเอง บุคคลร่ำรวย หรือธนาธิปัตย์ (plutocrat) การผลักดันให้รัฐออกนโยบายเพื่อเอื้อประโยชน์ต่อธุรกิจตัวเอง อาจส่งผลต่อนโยบายระดับต่างประเทศ เช่น นโยบายสนับสนุนสงครามเพื่อขายอาวุธ เครื่องบินรบ เรือรบ[10]
ในศัพท์เฉพาะและโฆษณาชวนเชื่อทางการเมืองของฟาสซิสต์อิตาลี ของนาซีเยอรมนี และขององค์การคอมมิวนิสต์สากล รัฐประชาธิปไตยแบบตะวันตกจะถูกเรียกว่า เศรษฐยาธิปไตย โดยนัยว่า คนที่ร่ำรวยสุดจะควบคุมประเทศต่าง ๆ และจับประเทศไว้เพื่อเรียกค่าไถ่[11][12] ในลัทธิฟาสซิสต์ คำว่า เศรษฐยาธิปไตย เป็นหลัก จะแทนคำว่า ประชาธิปไตย และ ทุนนิยม เมื่อใช้กับสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักรในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2[12][13] สำหรับพวกนาซี คำนี้มักใช้เป็นรหัสเรียกพวกชาวยิว[12]
ตามประวัติแล้ว คนหรือองค์กรที่ร่ำรวยได้มีอิทธิพลทางการเมืองมานานแล้ว ในยุคปัจจุบัน รัฐประชาธิปไตยหลายรัฐอนุญาตให้นักการเมืองระดมเงินทุน ผู้บ่อยครั้งอาศัยรายได้เช่นนี้เพื่อโฆษณาการสมัครรับเลือกตั้งของตนต่อประชาชนผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียง
ไม่ว่าจะผ่านบุคคล บริษัท หรือกลุ่มสนับสนุน การบริจาคเงินเพื่อการนี้บ่อยครั้งเชื่อว่า สร้างปัญหาการเล่นพรรคเล่นพวกหรือระบบอุปถัมภ์ ที่ผู้ให้เงินทุนรายใหญ่จะได้สิ่งตอบแทน แม้ว่าการให้ทุนเลือกตั้งอาจจะไม่มีผลโดยตรงต่อการออกฎหมายของผู้แทน แต่ความคาดหวังตามธรรมดาของผู้บริจาคก็คือ จะได้สิ่งที่ต้องการผ่านคนที่ตนให้เงิน ไม่เช่นนั้นแล้ว การให้เงินทุนแก่ผู้อื่นหรือองค์กรการเมืองอื่นอาจได้ประโยชน์กว่า
แม้ว่า การให้สิ่งตอบแทนตรง ๆ โดยทั่วไปจะผิดกฎหมายรัฐประชาธิปไตยโดยมาก แต่ก็เป็นเรื่องพิสูจน์ได้ยาก ถ้าไม่มีเอกสารเป็นลูกโซ่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจน หลักสำคัญอย่างหนึ่งของระบอบประชาธิปไตย ก็คือนักการเมืองสามารถสนับสนุนนโยบายอันให้ประโยชน์กับประชาชนในเขตของตน ซึ่งก็ทำให้พิสูจน์ได้ยากขึ้นว่าการกระทำเยี่ยงนั้นเป็นอาชญากรรม แม้แต่การตั้งคนที่ชัดเจนว่าให้เงินทุนขึ้นมาประจำตำแหน่งก็อาจยังไม่ผิดกฎหมาย โดยเฉพาะถ้าผู้ที่ได้ปรากฏว่ามีคุณสมบัติที่ดีสำหรับตำแหน่งนั้น บางรัฐแม้แต่มีกฎหมายอนุญาตให้ใช้การอุปถัมภ์เยี่ยงนี้
ตัวอย่างของเศรษฐยาธิปไตยในอดีตรวมทั้งจักรวรรดิโรมัน, นครรัฐบางรัฐในกรีซโบราณ, อารยธรรมคาร์เธจ, นครรัฐ/สาธารณรัฐวาณิชต่าง ๆ ในอิตาลีรวมทั้ง สาธารณรัฐเวนิส สาธารณรัฐฟลอเรนซ์ (โดยตระกูลเมดีชี) กับสาธารณรัฐเจนัว, และจักรวรรดิญี่ปุ่นก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 (โดยกลุ่มไซบัตสึ) ตามนักปฏิบัติการทางการเมืองโนม ชอมสกี และอดีตประธานาธิบดีสหรัฐ จิมมี คาร์เตอร์ สหรัฐอเมริกาในปัจจุบันมีการปกครองคล้ายกับเศรษฐยาธิปไตย แม้จะมีรูปแบบของประชาธิปไตย[14][15]
ตัวอย่างปัจจุบันที่ชัดเจนตามผู้วิพากษ์วิจารณ์บางท่านก็คือนครลอนดอน[16] คือ นครลอนดอน (ซึ่งไม่ใช่กรุงลอนดอนทั้งหมด แต่เป็นเขตนครโบราณ ใหญ่ประมาณ 2.5 ตาราง กม. ซึ่งปัจจุบันเป็นเขตการเงิน) มีระบบการเลือกตั้งพิเศษเพื่อบริหารจัดการท้องที่ ผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงกว่า 2 ใน 3 ไม่ใช่เป็นผู้อยู่อาศัยในพระนคร แต่เป็นผู้แทนธุรกิจและองค์กรอื่น ๆ ที่อยู่ในนคร โดยมีคะแนนเสียงตามจำนวนลูกจ้างที่มี เหตุผลหลักก็คือ ธุรกิจเป็นผู้ใช้บริการของนครโดยมาก คือ มีบุคคลที่เข้ามาทำงานในเมืองประมาณ 450,000 คน มากกว่าผู้อาศัยอยู่ในเมืองเพียงแค่ 7,000 คน[17]
บล็อกประชาไทอ้างว่า ประเทศไทยก็มีรูปแบบบางอย่างของธนาธิปไตย รวมทั้งการเลือกตั้งนายกเทศมนตรีของนครเชียงใหม่ล่าสุดก่อนบล็อก ที่อาศัยเงิน และคนชนะได้มาจากตระกูลเดียวที่มั่งคั่งของจังหวัดเชียงใหม่[2]
ในประเทศจีนก่อนการปฏิวัติโดยพรรคคอมมิวนิสต์ในปี พ.ศ. 2492 กล่าวกันว่าอำนาจการเมือง การปกครอง เศรษฐกิจ อยู่ใต้อำนาจของชนสี่ตระกูล ได้แก่ ตระกูลเจียง (Jiang) ตระกูลซ่ง (Song) ตระกูลคุง (Kung) และตระกูลเชน (Chen) ทั้งนี้สามตระกูลแรกจะเกี่ยวดองกันโดยการแต่งงานกัน และมีบทบาทอย่างสูงต่อการเมืองจีนในยุคนั้น
นักประวัติศาสตร์ นักการเมือง และนักเศรษฐศาสตร์ปัจจุบันบางคนอ้างว่า สหรัฐอเมริกาเท่ากับเป็นเศรษฐยาธิปไตยอย่างน้อยก็บางส่วนในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1870 จนถึง 1900 (Gilded Age) และในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1890 ถึง 1920 (Progressive Era) ภายหลังสงครามกลางเมืองอเมริกาจนกระทั่งถึงเริ่มภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่[18][19][20][21][22][23] ประธานาธิบดีธีโอดอร์ โรสเวลต์ กลายมามีชื่อเสียงฐานมือปราบผู้ผูกขาดทางการค้า (หรือที่เรียกว่าทรัสต์) โดยใช้กฎหมายต่อต้านทรัสต์ แตกบริษัทรถไฟ (Northern Securities Company) และบริษัทน้ำมันที่ใหญ่ที่สุด (Standard Oil)[24] ตามนักประวัติศาสตร์คนหนึ่ง "ในเรื่องการเมืองในประเทศ สิ่งที่ธีโอดอร์ โรสเวลต์ เกลียดที่สุดก็คือเศรษฐยาธิปไตย"[25] ในอัตชีวประวัติเรื่องการจัดการบริษัทผูกขาดในฐานะประธานาธิบดี โรสเวลต์เล่าว่า
…เราได้มาถึงเวลาที่เพื่อประโยชน์ประชาชน สิ่งที่จำเป็นก็คือประชาธิปไตยที่แท้จริง และในบรรดารูปแบบทรราชย์ทั้งหลาย ที่น่าพิสมัยน้อยที่สุด ที่สามานย์มากที่สุด ก็คือทรราชย์ที่อาศัยความมั่งคั่ง ระบอบทรราชย์ของเศรษฐยาธิปไตย
เมื่อกฎหมายต่อต้านทรัสต์เชอร์แมนได้ผ่านเป็นกฎหมายในปี 2433 อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ได้ถึงระดับการผูกขาดหรือใกล้การผูกขาดในเรื่องการผลิตและเงินทุน โดยรวบรวมบริษัทเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมทั้งคนมั่งคั่งมากผู้เป็นประธานบริษัทยักษ์ใหญ่ไม่กี่คน ก็เริ่มมีอิทธิพลเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เหนืออุตสาหกรรม มติมหาชน และการเมืองหลังสงครามการเมือง ตามนักปฏิบัติการหัวก้าวหน้าและนักข่าวคนหนึ่งในเวลานั้น
เงินเป็น 'ปูนของตึกใหญ่นี้' โดยความแตกต่างทางคตินิยมระหว่างนักการเมืองก็กำลังเลือนไป และวงการเมืองก็กำลังกลายเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของธุรกิจที่ใหญ่กว่า ที่ผสมผสานกันดีกว่า โดยผ่านพรรคการเมืองที่ขายผลประโยชน์ให้กับบริษัทยักษ์อย่างเป็นรูปธรรม รัฐก็กลายเป็นเพียงแค่แผนกหนึ่งของบริษัท
— Walter Weyl - นักปฏิบัติการหัวก้าวหน้าและนักข่าว[27]
ในหัวข้อเรื่อง การเมืองแห่งเศรษฐยาธิปไตย (The Politics of Plutocracy) นักเศรษฐศาสตร์ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ พอล ครุ๊กแมน กล่าวว่า[28] เศรษฐยาธิปไตยในสหรัฐอเมริกาเกิดขึ้นได้ในเวลานั้นอาศัยปัจจัยสามอย่าง คือ
แม้สหรัฐจะได้เริ่มเก็บภาษีอัตราก้าวหน้าตั้งแต่ปี 2456 แล้ว แต่ตามนักสังคมศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบียคนหนึ่ง เริ่มตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ 1970 อภิสิทธิชนได้ใช้อำนาจทางการเมืองที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อลดภาษีของตน และปัจจุบันได้ใช้ "อุตสาหกรรมป้องกันรายได้" เพื่อลดภาษีของตนได้อย่างมหาศาล[29]
ในปี 2541 นักข่าวคนหนึ่งของหนังสือพิมพ์เดอะนิวยอร์กไทมส์ เรียกเศรษฐีทรงอำนาจ (plutocrat) ชาวอเมริกันว่า "คนชั้นบริจาค"[30][31] และนิยามคนชั้นนี้เป็นครั้งแรกว่าเป็น[32]
คนกลุ่มเล็กมาก เพียง 1 ใน 4 ของคนเปอร์เซ็นต์เดียว (คือ 0.25%) และเป็นกลุ่มประชากรที่ไม่ได้เป็นตัวแทนของคนทั้งชาติที่เหลือ แต่เงินของพวกเขาสามารถซื้อการเข้าถึงผู้แทนได้อย่างสบาย
ในยุคปัจจุบัน คำนี้บางครั้งใช้ในทางลบโดยหมายถึงสังคมที่มีรากในทุนนิยมที่รัฐร่วมมือกับธุรกิจ หรือสังคมที่ให้ความสำคัญกับการสั่งสมความมั่งคั่งมากกว่าประโยชน์อื่น ๆ[33][34][35][36][37][38][39][40][41] ตามนักเขียนที่เป็นกุนซือทางการเมืองของริชาร์ด นิกสัน สหรัฐเป็นเศรษฐยาธิปไตยที่เป็น "การหลอมรวมของเงินและรัฐบาล"[42]
ส่วนนักเขียนและรัฐมนตรีของแคนาดา Chrystia Freeland[43] กล่าวว่า แนวโน้มไปสู่เศรษฐยาธิปไตยในปัจจุบันเกิดขึ้นเพราะเศรษฐีรู้สึกว่าผลประโยชน์ของตนก็เป็นประโยชน์ต่อสังคมด้วย[44][45] คือ
คุณไม่ทำอย่างนี้โดยหัวเราะอย่างถูกใจ สูบซิการ์ แล้วสมรู้ร่วมคิด คุณทำโดยกล่อมตัวเองว่า สิ่งที่เป็นประโยชน์ของตัวเองก็เป็นประโยชน์ต่อคนอื่น ๆ ดังนั้น คุณย่อมกล่อมตัวเองว่า ในที่สุดแล้ว การบริการของรัฐบาล อะไร ๆ เช่นงบประมาณเพื่อการศึกษา ซึ่งเป็นสิ่งที่สร้างสมรรถภาพการเปลี่ยนสถานภาพทางสังคมประการแรก ต้องตัดออกเพื่อการขาดดุลจะได้ลดลง เพื่อภาษีของคุณจะได้ไม่เพิ่มขึ้น และสิ่งที่ดิฉันเป็นห่วงมากก็คือ คนระดับสูงสุดมีเงินและมีอำนาจมากจริง ๆ และช่องว่างระหว่างชนเหล่านั้นกับคนอื่น ๆ ใหญ่โตมาก จนกระทั่งเราจะเริ่มเห็น สมรรถภาพการเปลี่ยนสถานภาพทางสังคมถูกบีบจนหายใจไม่ออก แล้วสังคมก็จะเปลี่ยนไป
เมื่อนักเศรษฐศาสตร์ที่ได้รับรางวัลโนเบล โจเซฟ สติกลิตส์ เขียนบทความในนิตยสารปี 2554 ชื่อว่า "ของประชาชน 1% โดยประชาชน 1% และสำหรับประชาชน 1%" (เลียนสุนทรพจน์ที่เกตตีสเบิร์กปี 2406 ของอับราฮัม ลินคอล์นเกี่ยวกับรัฐบาลของประชาชนเป็นต้น) เขาได้ให้ข้อมูลว่า สหรัฐอเมริกากำลังถูกควบคุมโดยคนที่รวยที่สุด 1% เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ[46][47] นักวิจัยบางท่านได้กล่าวว่า สหรัฐอาจจะกำลังระเหเร่ร่อนไปสู่รูปแบบหนึ่งของคณาธิปไตย เพราะประชาชนแต่ละคนมีอิทธิพลน้อยกว่าอภิสิทธิชนทางเศรษฐกิจและกลุ่มผลประโยชน์ในเรื่องนโยบายของรัฐ[48]
งานศึกษาทางรัฐศาสตร์ปี 2557 ที่มหาวิทยาลัยพรินซ์ตันและมหาวิทยาลัยนอร์ทเวสเทิร์น[49] กล่าวว่า "งานวิเคราะห์แสดงว่า ประชาชนอเมริกันส่วนมากความจริงมีอิทธิพลต่อนโยบายที่รัฐออกน้อยมาก" แม้นักวิชาการทั้งสองท่านจะไม่ได้ระบุสหรัฐว่าเป็นระบอบคณาธิปไตย หรือเศรษฐยาธิปไตย โดยตัวเอง แต่ก็ยังเรียกสหรัฐว่า คณาธิปไตยแบบศิวิไลซ์ (civil oligarchy) ดังที่นิยามโดยนักรัฐศาสตร์อีกท่านหนึ่งที่มหาวิทยาลัยนอร์ทเวสเทิร์น[50]
รายงานปี 2556 ของธนาคารสวิสที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโลก (Credit Suisse) กล่าวว่า
รัสเซียมีความไม่เสมอภาคทางทรัพย์สินระดับสูงสุดในโลก นอกเหนือจากประเทศแคริบเบียนเล็ก ๆ ที่มีผู้อยู่อาศัยเป็นอภิมหาเศรษฐี (billionaire) ทั่วโลก จะมีอภิมหาเศรษฐีคนหนึ่งทุก ๆ 170,000 ล้านเหรียญสหรัฐของทรัพย์สินประชาชน (แต่) รัสเซียมีหนึ่งคนทุก ๆ 11,000 ล้านเหรียญ ทั่วโลก อภิมหาเศรษฐีรวมกันมีทรัพย์สิน 1%-2% ของทรัพย์สินประชาชนทั้งหมด (แต่) ในรัสเซียทุกวันนี้ อภิมหาเศรษฐี 110 คนมีทรัพย์สิน 35% ของประชาชนทั้งหมด
— รายงานความมั่งคั่งทั่วโลก ของธนาคาร Credit Suisse [51]
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.