Remove ads
สโมสรฟุตบอลอาชีพในอังกฤษ จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
สโมสรฟุตบอลเลสเตอร์ซิตี (อังกฤษ: Leicester City Football Club) เป็นสโมสรฟุตบอลอาชีพของประเทศอังกฤษ ตั้งอยู่ในนครเลสเตอร์ ภูมิภาคอีสต์มิดแลนส์ ปัจจุบันลงเล่นในพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2024–25 ซึ่งเป็นลีกสูงสุดของฟุตบอลอังกฤษในฐานะผู้ชนะการแข่งขันอีเอฟแอลแชมเปียนชิปฤดูกาล 2023–24 มีสนามเหย้าคือ คิงเพาเวอร์สเตเดียม[1] ความจุ 32,312 ที่นั่ง
ชื่อเต็ม | สโมสรฟุตบอลเลสเตอร์ซิตี | |||
---|---|---|---|---|
ฉายา | The Foxes | |||
ก่อตั้ง | 1884 (ในชื่อ เลสเตอร์ฟอสส์) | |||
สนาม | คิงเพาเวอร์สเตเดียม | |||
ความจุ | 32,312 | |||
เจ้าของ | คิง พาวเวอร์ | |||
ประธาน | อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา | |||
ผู้จัดการ | รืด ฟัน นิสเติลโรย | |||
ลีก | พรีเมียร์ลีก | |||
2023–24 | อีเอฟแอลแชมเปียนชิป อันดับที่ 1 จาก 24 (เลื่อนชั้น) | |||
เว็บไซต์ | เว็บไซต์สโมสร | |||
| ||||
สโมสรก่อตั้งขึ้นใน ค.ศ. 1884 ในชื่อ สโมสรฟุตบอลเลสเตอร์ฟอสส์ โดยลงเล่นในสนามละแวกถนนฟอสส์ ก่อนจะย้ายไปย่านฟิลเบิร์ตใน ค.ศ. 1891 และได้รับเลือกให้ลงแข่งขันในอิงกลิชฟุตบอลลีกใน ค.ศ. 1894 และเปลี่ยนชื่อสโมสรเป็น เลสเตอร์ซิตี ใน ค.ศ. 1919 สโมสรย้ายไปเล่นที่ วอล์กเกอร์ สเตเดียม ใน ค.ศ. 2002 ซึ่งได้รับการเปลี่ยนชื่อเป็นคิงเพาเวอร์สเตเดียมเมื่อ ค.ศ. 2011[2]
เลสเตอร์ซิตีชนะเลิศพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2015–16 ซึ่งเป็นแชมป์ลีกสูงสุดเพียงครั้งเดียว พวกเขาเป็นหนึ่งในเจ็ดสโมสรที่ชนะเลิศพรีเมียร์ลีกนับตั้งแต่ก่อตั้งการแข่งขันใน ค.ศ. 1992 โดยอันดับที่ดีที่สุดของพวกเขาก่อนหน้านั้นคือการจบอันดับสองในอิงกลิชฟุตบอลลีก ฤดูกาล 1928–29 เลสเตอร์ซิตียังครองสถิติชนะเลิศการแข่งขันลีกระดับสองของฟุตบอลอังกฤษมากที่สุด 8 ครั้ง และเข้าชิงชนะเลิศเอฟเอคัพอีกห้าครั้ง โดยคว้าแชมป์ครั้งแรกใน ค.ศ. 2021 เลสเตอร์ซิตีชนะเลิศลีกคัพสามครั้งใน ค.ศ. 1964, 1997 และ 2000 และเอฟเอคอมมิวนิตีชีลด์สองครั้ง ใน ค.ศ. 1971 และ 2021 สโมสรร่วมแข่งขันฟุตบอลยุโรปเจ็ดครั้ง ผลงานดีที่สุดคือรอบก่อนรองชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2016–17 และรอบรองชนะเลิศยูฟ่ายูโรปาคอนเฟอเรนซ์ลีก ฤดูกาล 2021–22 สัญลักษณ์ของสโมสรเป็นรูปสุนัขจิ้งจอก เนื่องจากเดิมทีนั้นเมืองเลสเตอร์มีจิ้งจอกอาศัยเป็นจำนวนมาก สีประจำสโมสรคือสีน้ำเงินและสีขาว คำขวัญประจำสโมสรคือ "Foxes Never Quit" แปลว่า "จิ้งจอกไม่เคยยอมแพ้"[3]
สโมสรก่อตั้งใน ค.ศ. 1884 โดยใช้ชื่อว่า เลสเตอร์ฟอสส์ (Leicester Fosse)[4] โดยเด็กนักเรียนกลุ่มหนึ่งที่เรียนอยู่ในโรงเรียนโบสถ์ที่เคร่งครัด ลงขันกันเพื่อซื้อลูกฟุตบอลราคา 9 เพนนีมาเตะเล่น โดยการแข่งขันนัดแรกของสโมสร ตามที่บันทึกไว้ในหนังสือพิมพ์เดอะมิร์เรอร์ว่า เลสเตอร์ฟอสซี เป็นฝ่ายชนะ ซิสตันฟอสส์ (Syston Fosse) ในวันที่ 1 พฤศจิกายนปีเดียวกัน โดยเล่นในสนามละแวกถนนฟอสส์ ชื่อ วิกตอเรียพาร์ก (Victoria Park)
ต่อมาในปี ค.ศ. 1887 สโมสรมีเหตุจำเป็นที่ต้องย้ายไปสนามเบลเกรจโรดสปอร์ตส์ (Belgrave Road Sports) ก่อนที่ปีนั้นสนามแห่งนี้ได้ตกเป็นของสหพันธ์รักบี้ สโมสรจึงต้องย้ายกลับไปวิกตอเรียพาร์กอีกครั้งหนึ่ง สโมสรได้เข้าร่วมแข่งขันมิตแลนด์ฟุตบอลลีกใน ค.ศ. 1891 ก่อนจะได้รับเลือกเข้าสู่ฟุตบอลลีกเซคันด์ดิวิชันใน ค.ศ. 1894 การแข่งขันในฟุตบอลลีกนัดแรกของพวกเขาคือการแพ้ต่อสโมสรฟุตบอลกริมสบี ทาวน์ ด้วยผลประตู 3–4 ก่อนจะคว้าชัยชนะนัดแรกในลีกด้วยการเอาชนะรอเทอรัมยูไนเต็ดในย่านฟิลเบิร์ต ในฤดูกาลนั้นสโมสรยังชนะด้วยผลประตูที่มากที่สุดจนถึงปัจจุบัน หลังจากเอาชนะ สโมสรนอตส์ โอลิมปิก ในรอบคัดเลือกการแข่งขันเอฟเอคัพด้วยผลประตู 13–0[5] ถัดมาในฤดูกาล 1907–08 เลสเตอร์จบในอันดับสองในฟุตบอลดิวิชันสอง ทำให้ได้เลื่อนชั้นขึ้นสู่ฟุตบอลดิวิชันหนึ่ง แต่ก็ลงเล่นได้เพียงฤดูกาลเดียวและต้องตกชั้น ซึ่งพวกเขายังพบกับความพ่ายแพ้ที่ขาดลอยที่สุดในประวัติศาสตร์จนถึงปัจจุบันด้วยการแพ้ต่อ นอตทิงแฮมฟอเรสต์ ด้วยผลประตู 0–12[6]
ใน ค.ศ. 1919 ฟุตบอลลีกได้กลับมาแข่งขันกันต่อหลังจากระงับไปในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เลสเตอร์ฟอสส์ประสบปัญหาทางการเงินทำให้ไม่สามารถทำการค้าในตลาดซื้อขายได้ ก่อนจะเปลี่ยนชื่อสโมสรเป็น สโมสรฟุตบอลเลสเตอร์ซิตี มาถึงปัจจุบันซึ่งได้รับการยอมรับอย่างมาก เนื่องด้วยในช่วงเวลาดังกล่าว นครเลสเตอร์ได้รับการยกฐานะให้กลายเป็นเมืองอย่างเป็นทางการ ภายหลังเปลี่ยนชื่อสโมสร เลสเตอร์ซิตีเริ่มประสบความสำเร็จในทศวรรษ 1920 ภายใต้ผู้จัดการทีมอย่าง ปีเตอร์ ฮอดจ์ ผู้พาทีมชนะเลิศฟุตบอลเซคันด์ดิวิชันในฤดูกาล 1924–25 ก่อนที่เขาจะลาทีมในฤดูกาลต่อมา วิลลี ออร์ เข้ามาคุมทีมต่อ ทีมชุดนั้นมีกองหน้าคนสำคัญอย่าง อาเทอร์ แชนด์เลอร์ ซึ่งครองสถิติทำประตูสูงสุดของสโมสรจนถึงปัจจุบัน[7] เลสเตอร์ซิตียังทำอันดับดีที่สุดบนลีกสูงสุดเป็นครั้งแรก เมื่อพวกเขาคว้าอันดับสองในฤดูกาล 1928–29 โดยเป็นรองทีมแชมป์อย่างเชฟฟีลด์เวนส์เดย์เพียงคะแนนเดียว
อย่างไรก็ดี เลสเตอร์ซิตีต้องเข้าสู่ช่วงตกต่ำในทศวรรษ 1930 เมื่อพวกเขาต้องตกชั้นจากลีกสูงสุดในฤดูกาล 1934–35[8] และแม้จะเลื่อนชั้นขึ้นมาในฤดูกาล 1936–37 พวกเขาต้องตกชั้นอีกครั้งในฤดูกาล 1938–39 และจบการแข่งขันในทศวรรษนี้ด้วยการลงเล่นในเซคันด์ดิวิชัน
เลสเตอร์ซิตีเข้าชิงชนะเลิศฟุตบอลเอฟเอคัพครั้งแรกใน ค.ศ. 1949[9] แต่ก็แพ้วุลเวอร์แฮมป์ตันวอนเดอเรอส์ด้วยผลประตู 1–3 แต่สโมสรยังอยู่รอดในการแข่งขันดิวิชันสองในฤดูกาลนั้น[10] สโมสรคว้าแชมป์ดิวิชันสองได้อีกครั้งใน ค.ศ. 1954[11] จากผลงานอันโดดเด่นของกองหน้าอย่างอาเทอร์ โรว์ลีย์ ผู้ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในกองหน้าที่ดีที่สุดตลอดกาลของสโมสร และแม้พวกเขาจะตกชั้นจากฟุตบอลดิวิชันหนึ่งในฤดูกาลต่อมา ทว่าผู้จัดการทีมอย่าง เดฟ ฮาลลีเดย์ ก็พาทีมเลื่อนชั้นกลับมาใน ค.ศ. 1957[12] ซึ่งโรว์ลีย์ทำสถิติยิง 44 ประตูในหนึ่งฤดูกาล เลสเตอร์ซิตีอยู่รอดในฟุตบอลดิวิชันหนึ่งจนถึง ค.ศ. 1969 ซึ่งเป็นสถิติที่ยาวนานที่สุดในขณะนั้น
ภายใต้การคุมทีมของแมตต์ จิลลีส์ และผู้ช่วยผู้จัดการทีมอย่าง เบิร์ต จอห์นสัน สโมสรเข้าชิงชนะเลิศเอฟเอคัพได้อีกสองครั้งในฤดูกาล 1961 และ 1963 แต่ก็แพ้ไปทั้งสองครั้ง แต่จากการที่แพ้ทอตนัมฮอตสเปอร์ซึ่งคว้าแชมป์ฟุตบอลลีกและเอฟเอคัพได้ทั้งสองรายการใน ค.ศ. 1961 ส่งผลให้เลสเตอร์ซิตีได้สิทธิ์แข่งขันฟุตบอลยูโรเปียนคัพเป็นครั้งแรกในฤดูกาล 1961–62 ถัดมาในฤดูกาล 1962–63 เลสเตอร์ซิตีเป็นทีมนำในลีกในช่วงฤดูหนาว และด้วยรูปแบบการเล่นที่น่าตื่นตาตื่นใจ กอปรกับการที่สโมสรของอังกฤษต้องลงเล่นบนพื้นสนามที่เต็มไปด้วยน้ำแข็ง และภูมิอากาศที่หนาวเย็นทำให้เลสเตอร์ซิตีได้รับการขนานนามว่าเป็น "ราชาน้ำแข็ง" และสโมสรจบในอันดับที่สี่ซึ่งเป็นอันดับที่ดีที่สุดหลังสงครามโลกครั้งที่สอง จิลลีส์ยังพาทีมประสบความสำเร็จคว้าถ้วยลีกคัพเป็นครั้งแรกโดยการเอาชนะสโตกซิตีด้วยผลประตูรวมสองนัด 4–3 และยังเข้าชิงชนะเลิศได้อีกครั้งในปีถัดมา แต่แพ้เชลซีด้วยผลประตูรวมสองนัด 2–3 ก่อนที่จิลลีส์จะลาทีมในฤดูกาล 1968 หลังเริ่มต้นฤดูกาลได้ไม่ดีนัก แฟรงก์ โอฟาร์เรลล์ ไม่สามารถพาทีมรอดตกชั้นได้ แต่สโมสรเข้าชิงชนะเลิศเอฟเอคัพอีกครั้งใน ค.ศ. 1969 แต่ก็แพ้แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด 0–1
ในค.ศ. 1971 เลสเตอร์ซิตีเลื่อนชั้นกลับสู่ฟุตบอลดิวิชันหนึ่งอีกครั้ง และยังชนะการแข่งขันเอฟเอคอมมิวนิตีชีลด์ (แชริตีชีลด์ในขณะนั้น) เป็นครั้งแรก โดยเอาชนะลิเวอร์พูลไป 1–0 จากการทำประตูของนักเตะชื่อดังอย่าง สตีฟ วิตเวิร์ธ ในฤดูกาลนั้น จิมมี บลูมฟิลด์ ได้รับการแต่งตั้งเข้ามาคุมทีม และสโมสรอยู่รอดในฟุตบอลดิวิชันหนึ่งได้ต่อเนื่อง รวมทั้งเข้ารอบรองชนะเลิศเอฟเอคัพในฤดูกาล 1973–74 แฟรงค์ แมคลินท็อค อดีตผู้เล่นคนสำคัญของสโมสรในช่วงกลางทศวรรษ 1960 เข้ามาคุมทีมต่อ แต่ก็ทำผลงานย่ำแย่และพาทีมตกชั้นเมื่อสิ้นสุดฤดูกาล 1977–78 ส่งผลให้แมคลินท็อคอำลาทีม และจ็อค วอลเลซ จูเนียร์ นักฟุตบอลและผู้จัดการทีมชาวสกอตเข้ามารับหน้าที่ต่อ และพาทีมชนะเลิศฟุตบอลดิวิชันสองได้ใน ค.ศ. 1980[13] กระนั้นสโมสรก็ไม่สามารถอยู่รอดบนลีกสูงสุดได้แม้จะเข้ารอบรองชนะเลิศเอฟเอคัพใน ค.ศ. 1982 ทีมชุดนั้นยังมีผู้เล่นคนสำคัญที่ก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในกำลังหลักได้แก่ แกรี ลินิเกอร์ กองหน้าชื่อดังชาวอังกฤษ กอร์ดอน มิลเนอ สามารถพาทีมเลื่อนชั้นกลับมาได้ในฤดูกาล 1983 และกองหน้าอย่างลินิเกอร์พาทีมทำผลงานยอดเยี่ยมก่อนจะถูกขายให้แก่เอฟเวอร์ตันใน ค.ศ. 1985 ส่งผลให้เลสเตอร์ซิตีต้องตกชั้นอีกครั้งในอีกสองฤดูกาลถัดมา และยังต้องเสียกองหน้าอีกคนอย่าง อลัน สมิธ ซึ่งย้ายร่วมทีมอาร์เซนอล
เดวิด พลีท เข้ามาคุมทีมต่อ ก่อนจะถูดปลดในเดือนมกราคม ค.ศ. 1991 เมื่อสโมสรอยู่ในอันดับที่สุ่มเสี่ยงต่อการตกชั้นสู่ดิวิชันสาม กอร์ดอน ลี เข้ามารักษาการจนจบฤดูกาล และพาทีมรอดพ้นการตกชั้นได้แม้จะต้องลุ้นถึงนัดสุดท้าย ไบรอัน ลิตเทิล เข้ามาคุมทีมต่อ และในช่วงสิ้นสุดฤดูกาล 1991–92 เลสเตอร์ซิตีได้สิทธิ์แข่งขันรอบเพลย์ออฟในโควตาทีมสุดท้าย เพื่อหาผู้ชนะไปร่วมการแข่งขันพรีเมียร์ลีกซึ่งเพิ่งจัดตั้งขึ้น แต่พวกเขาก็แพ้แบล็กเบิร์นโรเวอส์จากลูกจุดโทษของอดีตกองหน้าเลสเตอร์ซิตีอย่าง ไมค์ นิวเวลล์ ก่อนจะได้ลงแข่งขันรอบเพลย์ออฟอีกครั้งในฤดูกาลต่อมาแต่ก็แพ้สวินดันทาวน์ด้วยผลประตู 3–4 แต่พวกเขาก็ยังกลับมาเล่นเพลย์ออฟได้อีกในฤดูกาล 1993–94 และครั้งนี้พวกเขาเอาชนะดาร์บีเคาน์ตีในรอบชิงชนะเลิศด้วยผลประตู 2–1 แต่ลิตเทิลได้อำลาทีมเพื่อไปเป็นผู้จัดการทีมแอสตันวิลลา เขาถูกแทนที่โดย มาร์ก แมคจี ซึ่งไม่สามารถพาทีมอยู่รอดในพรีเมียร์ลีกได้โดยจบอันดับ 21
แมคจีอำลาสโมสรอย่างกะทันหันในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1995 และถูกแทนที่โดยมาร์ติน โอนีลล์ ซึ่งพาทีมเลื่อนชั้นกลับสู่พรีเมียร์ลีกอีกครั้ง หลังจากเอาชนะคริสตัลพาเลซในรอบชิงชนะเลิศเพลย์ออฟ 2–1 ด้วยประตูชัยในช่วงต่อเวลาพิเศษของสตีฟ คลาริดจ์ และเลสเตอร์ซิตีสามารถทำผลงานในลีกสูงสุดได้ดีต่อเนื่อง ด้วยการติดหนึ่งในสิบอันดับแรกติดต่อกันสี่ฤดูกาล และโอนีลล์ยังพาสโมสรกลับมาชนะเลิศถ้วยรางวัลเป็นครั้งแรกในรอบ 33 ปี เมื่อพวกเขาคว้าแชมป์ฟุตบอลลีกคัพเพิ่มอีกสองสมัยใน ค.ศ. 1997 (ชนะมิดเดิลส์เบรอ) และ ค.ศ. 2000 (ชนะแทรนเมียร์โรเวอส์) และยังได้รองแชมป์ใน ค.ศ. 1999 (แพ้สเปอร์) ส่งผลให้สโมสรได้ร่วมแข่งขันยูฟ่าคัพในฤดูกาล 1997–98 และ 2000–01 ถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ ค.ศ. 1961 ที่พวกเขาได้ลงแข่งขันในรายการยุโรป ก่อนที่โอนีลล์จะลาทีมเพื่อไปเป็นผู้จัดการทีมเซลติก
โอนีลล์ถูกแทนที่โดย ปีเตอร์ เทย์เลอร์ อดีตผู้ฝึกสอนทีมชาติอังกฤษรุ่นอายุไม่เกิน 21 ปี ในช่วงเวลานั้นเลสเตอร์ซิตีต้องยุติเส้นทางในรายการยุโรป เมื่อพวกเขาแพ้ต่อเรดสตาร์ เบลเกรด ในวันที่ 28 ธันวาคม ค.ศ. 2000 ในยูฟ่าคัพ[14] แต่เทย์เลอร์ก็พาทีมทำผลงานในลีกได้ดี โดยเคยขึ้นเป็นทีมนำในช่วงฤดูหนาว และยังมีลุ้นพื้นที่ฟุตบอลยุโรปตลอดช่วงที่เหลือของฤดูกาล ก่อนที่ผลงานจะตกลงและจบอันดับ 13 ก่อนที่เทย์เลอร์จะถูกปลดหลังจากเริ่มต้นฤดูกาล 2001–02 เดฟ บาสเซ็ตต์ เข้ามารับช่วงต่อแต่ก็คุมทีมได้เพียงหกเดือน และ มิคกี อดัมส์ เข้ามารับช่วงต่อซึ่งสโมสรต้องตกชั้นในฤดูกาลนั้นโดยชนะได้เพียงห้านัดตลอดทั้งฤดูกาล
เข้าสู่ฤดูกาล 2002–03 เลสเตอร์ซิตีได้ย้ายสู่สนามใหม่อย่าง วอล์กเกอร์ สเตเดียม ยุติช่วงเวลากว่า 111 ปี ณ สนามฟิลเบิร์ต โดยสนามแห่งใหม่ถูกตั้งชื่อตามผู้สนับสนุนอย่างวอล์กเกอร์ บริษัทผู้ผลิตมันฝรั่งทอดชื่อดังของสหราชอาณาจักร[15] ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2002 สโมสรตกเป็นหนี้จำนวน 30 ล้านปอนด์ สาเหตุหลักมาจากการสูญเสียค่าลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสด (ไอทีวีดิจิตอลซึ่งบริหารงานเองได้ให้คำมั่นว่าจะให้เงินแก่สโมสรจากลิขสิทธิ์การถ่ายทอดดิวิชัน) รวมถึงค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและรายรับที่น้อยลง และค่าใช้จ่ายในการย้ายสู่สนามแห่งใหม่ด้วยจำนวนเงิน 37 ล้านปอนด์[16] สโมสรไม่สามารถดำเนินกิจกรรมในตลาดซื้อขายได้ แม้จะได้รับการช่วยเหลือจากกลุ่มบริษัทที่นำโดย แกรี ลินิเกอร์ แต่อดัมส์ก็สามารถพาทีมเลื่อนชั้นกลับสู่พรีเมียร์ลีกได้ด้วยการจบอันดับสองในฟุตบอลดิวิชันหนึ่ง (ลีกอันดับสองในขณะนั้น) ด้วยการทำมากกว่า 90 คะแนน แต่ก็ลงเล่นได้เพียงฤดูกาลเดียวและต้องตกชั้นสู่ฟุตบอลดิวิชันสองอีกครั้ง (ได้รับการเปลี่ยนชื่อเป็นแชมเปียนชิปในฤดูกาลต่อมา)
อดัมส์ลาออกจากตำแหน่งในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2004 เคร็ก เลเวน รับตำแหน่งต่อแต่ก็ทำผลงานย่ำแย่และโดนปลดในอีก 15 เดือนต่อมา และผู้ช่วยผู้จัดการทีมอย่าง ร็อบ เคลลี เข้ามารักษาการ และได้สัญญาชั่วคราวให้คุมทีมจนสิ้นสุดฤดูกาลหลังจากพาทีมชนะสามจากสี่นัดแรกก่อนจะได้รับการแต่งตั้งถาวรหลังพาทีมรอดตกชั้น ต่อมา ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2006 มิลาน แมนดาริช อดีตประธานสโมสรพอร์ตสมัท แสดงเจตนารมณ์ในการซื้อทีมเลสเตอร์ซิตี ก่อนที่การควบคุมกิจการจะแล้วเสร็จในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2007[17] ไนเจล เวิร์ธธิงตัน เข้ามาคุมทีมชั่วคราวต่อจากเคลลีที่ถูกปลดและสามารถพาทีมรอดตกชั้น แต่ไม่ได้รับการเสนอสัญญาถาวร มาร์ติน อัลเลน เข้ามาคุมทีมต่อด้วยสัญญาสามปี แต่ก็ถูกยกเลิกสัญญาอย่างรวดเร็วหลังจากผ่านไปเพียงสี่นัดแรก จากการขัดแย้งกับประธานสโมสรอย่างแมนดาริช แกรี เม็กสัน ได้รับการแต่งตั้งเข้ามาคุมทีม แต่ก็อยู่ได้เพียงหนึ่งเดือนก่อนจะย้ายไปคุมทีมโบลตันวอนเดอเรอส์ สองผู้จัดการทีมอย่าง แฟรงก์ เบอร์โรว์ส และ เจอร์รี แทกการ์ต เข้ามารักษาการในช่วงสั้น ๆ
ในวันที่ 22 พฤศจิกายน ค.ศ. 2007 เอียน ฮอลโลเวย์ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ และเขาเป็นผู้จัดการทีมคนแรกในรอบ 50 ปีที่พาเลสเตอร์ซิตีชนะในการคุมทีมนัดแรก หลังจากเอาชนะบริสตอลซิตีด้วยผลประตู 2–0 อย่างไรก็ตาม ผลงานของทีมก็ตกต่ำลงเรื่อย ๆ นำไปสู่การตกชั้นจากฟุตบอลแชมเปียนชิปเมื่อจบฤดูกาล 2007–08 ฮอลโลเวย์ยกเลิกสัญญาโดยสมัครใจและถูกแทนที่โดย ไนเจล เพียร์สัน
ฤดูกาล 2008–09 ถือเป็นฤดูกาลแรกที่เลสเตอร์ซิตีไม่ได้ลงเล่นในลีกสูงสุดสองอันดับแรกของฟุตบอลอังกฤษ กระนั้นพวกเขาก็ใช้เวลาเพียงหนึ่งฤดูกาลในการเลื่อนชั้นกลับสู่ฟุตบอลแชมเปียนชิป หลังจากเอาชนะเซาธ์เอ็นด์ ยูไนเต็ดด้วยผลประตู 2–0 ทั้งที่ยังเหลือการแข่งขันอีกสองนัด และเพียร์สันพาทีมจบในอันดับห้าในแชมเปียนชิปได้สิทธิ์แข่งขันรอบเพลย์ออฟเพื่อเลื่อนชั้นสู่พรีเมียร์ลีกแต่ก็แพ้ในรอบรองชนะเลิศ เพียร์สันลาทีมเพื่อไปคุมทีมฮัลล์ซิตี โดยให้เหตุผลว่าสโมสรไม่แสดงความพยายามที่จะรั้งเขาให้อยู่ในตำแหน่งต่อ ก่อนที่ เปาลู ซูซา จะเข้ามาคุมทีม[18]
ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2010 ภายหลังจากการเจรจาเพื่อเข้ามาเป็นผู้สนับสนุนบนเสื้อแข่งขันโดย กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ อินเตอร์เนชันแนล บริษัทด้านธุรกิจค้าปลีกสินค้าปลอดอากรของประเทศไทยแล้วเสร็จด้วยสัญญาสามปี แมนดาริชได้ประกาศขายทีมให้แก่ กลุ่มบริษัทชั้นนำของทวีปเอเชีย นำโดยวิชัย ศรีวัฒนประภา และบุตรชายอย่างอัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา แต่แมนดาริชซึ่งได้ร่วมลงทุนในกิจการสโมสรยังดำรงตำแหน่งประธานสโมสรอยู่ และในวันที่ 1 ตุลาคม ค.ศ. 2010 หลังจากเริ่มต้นฤดูกาลอย่างน่าผิดหวังโดยเอาชนะได้เพียงหนึ่งนัดในเก้านัดแรก ซูซาได้พ้นจากตำแหน่งไป และ สเวน-เยอราน เอริกซอน ผู้จัดการทีมชื่อดังชาวสวีเดนเข้ามาแทน หลังจากซูซาพาทีมแพ้ต่อพอร์ตสมัทอย่างขาดลอย 1–6 ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ แมนดาริชได้ก้าวลงจากตำแหน่งเพื่อไปรับบทบาทเป็นผู้บริหารสโมสรเชฟฟีลด์เวนส์เดย์ ส่งผลให้วิชัยขึ้นเป็นประธานสโมสรคนใหม่[19]
เลสเตอร์ซิตีเป็นหนึ่งในทีมที่ได้รับการคาดหมายว่าจะเลื่อนชั้นสู่พรีเมียร์ลีกได้ แต่ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2011 ในช่วงที่สโมสรทำผลงานย่ำแย่โดยชนะได้เพียง 5 นัดจาก 13 นัดแรกในลีก เอริกซอนก็ถูกยุติสัญญา ก่อนที่เพียร์สันจะกลับมารับตำแหน่งอีกครั้งในอีกสามสัปดาห์ต่อมา[20] และพาทีมจบอันดับหกในฤดูกาล 2012–13 การันตีพื้นที่เพลย์ออฟเพื่อเลื่อนชั้น แต่พวกเขาก็ต้องผิดหวังเมื่อแพ้ต่อวอตฟอร์ดในรอบรองชนะเลิศด้วยผลระตูรวม 2–3 หลังจากการพลาดจุดโทษโดย อ็องโตนี น็อคการ์ต
ใน ค.ศ. 2014 เลสเตอร์ซิตีเลื่อนชั้นสู่พรีเมียร์ลีกได้เป็นครั้งแรกในรอบสิบปี หลังจากเอาชนะเชฟฟีลด์เวนส์เดย์ และสองคู่แข่งอย่างควีนส์พาร์กเรนเจอส์ และ ดาร์บีเคาน์ตีต่างก็ไม่ชนะทั้งคู่ และพวกเขายังจบฤดูกาลด้วยการคว้าแชมป์แชมป์ฟุตบอลเปียนชิปฤดูกาล 2013–14 ทำสถิติชนะเลิศการแข่งขันลีกระดับสองของฟุตบอลอังกฤษเป็นครั้งที่ 7 ก่อนที่พวกเขาจะเริ่มต้นฤดูกาลใหม่ในพรีเมียร์ลีกได้อย่างยอดเยี่ยมในช่วงแรก เริ่มจากการเสมอเอฟเวอร์ตันในนัดเปิดฤดูกาล 2–2 และคว้าชัยชนะนัดแรกในพรีเมียร์ลีกนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2004 โดยเอาชนะสโตกซิตีด้วยผลประตู 1–0 และในวันที่ 21 กันยายน ค.ศ. 2014 พวกเขากลับมาคว้าชัยชนะได้ในนัดที่สำคัญที่สุดนัดหนึ่ง ด้วยการกลับมาชนะแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดด้วยผลประตู 5–3 ณ สนามคิงเพาเวอร์สเตเดียม หลังจากตกเป็นรองไปก่อน 1–3 โดยพวกเขาใช้เวลาเพียง 30 นาทีในการทำสี่ประตู และยังสร้างสถิติใหม่ด้วยการเป็นทีมแรกที่เอาชนะแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดได้หลังจากตามหลังสองประตู นับตั้งแต่มีการก่อตั้งพรีเมียร์ลีกใน ค.ศ. 1992[21]
เลสเตอร์ซิตีมีผลงานที่ตกลงไปในช่วงครึ่งฤดูกาลหลัง ด้วยการมีเพียง 19 คะแนนจาก 29 นัด และพวกเขาอยู่ห่างจากอันดับที่ปลอดภัยจากการตกชั้นถึงเจ็ดคะแนน และส่อแววที่จะตกชั้นอีกครั้ง กระนั้น ชัยชนะเจ็ดจากเก้านัดสุดท้ายก็เพียงพอต่อการรอดตกชั้น พวกเขาจบฤดูกาลที่อันดับ 14 และมี 41 คะแนน ลงเล่นนัดสุดท้ายของฤดูกาลด้วยการเอาชนะควีนส์พาร์กเรนเจอส์ 5–1 ทำให้ได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในการรอดพ้นการตกชั้นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของวงการฟุตบอลอังกฤษ[22] พวกเขายังถือเป็นสโมสรที่สามในยุคพรีเมียร์ลีกที่รอดพ้นจากการตกชั้นแม้จะเป็นทีมอันดับสุดท้ายในช่วงคริสต์มาส (ต่อจากเวสต์บรอมมิชอัลเบียนใน ค.ศ. 2005 และ ซันเดอร์แลนด์ ค.ศ. 2014) รวมทั้งเป็นทีมแรกที่ทำคะแนนได้น้อยกว่า 20 คะแนนในการแข่งขัน 29 นัดแรกแต่สามารถรอดพ้นการตกชั้น
ในวันที่ 30 มิถุนายน ค.ศ. 2015 เพียร์สันพ้นจากตำแหน่งสืบเนื่องจากความขัดแย้งกับผู้บริหาร นอกจากนี้ การพ้นจากตำแหน่งของเพียร์สันยังได้รับการรายงานจากสื่อว่าเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมของ เจมส์ เพียร์สัน บุตรชายของเขารวมทั้งผู้เล่นสำรองของสโมสรจำนวนสามราย ซึ่งได้อัดคลิปวิดีโอแสดงออกถึงการเหยียดผิวและเพศขณะมาทัวร์หลังจบฤดูกาล ณ ประเทศไทย[23][24][25] เกลาดีโอ รานีเอรี อดีตผู้จัดการทีมเชลซีและผู้จัดการทีมหลายสโมสรในอิตาลีได้รับการแต่งตั้ง[26] แม้จะได้รับเสียงวิจารณ์เชิงลบจากสื่อและกลุ่มผู้สนับสนุนในช่วงแรก แต่รานีเอรีก็พาทีมทำผลงานยอดเยี่ยมตั้งแต่ช่วงเปิดฤดูกาล กองหน้าตัวหลักอย่าง เจมี วาร์ดี ทำไปถึง 13 ประตูจากการลงสนาม 11 นัดติดต่อกันตั้งแต่เดือนสิงหาคมถึงพฤศจิกายน ทำลายสถิติของ รืด ฟัน นิสเติลโรย ในการทำประตู 10 นัดติดต่อกัน[27] ในวันที่ 19 ธันวาคม ค.ศ. 2015 เลสเตอร์บุกไปชนะเอฟเวอร์ตันด้วยผลประตู 3–2 ขึ้นเป็นทีมนำของลีกในช่วงคริสต์มาสและจากชัยชนะต่อซันเดอร์แลนด์ 2–0 ในวันที่ 10 เมษายน ค.ศ. 2016 ส่งผลให้พวกเขาได้รับสิทธิ์แข่งขันยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกเป็นครั้งแรก
เลสเตอร์ซิตีคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกอย่างยิ่งใหญ่ในวันที่ 2 พฤษภาคม ค.ศ. 2016 เมื่อสเปอร์ทำได้เพียงบุกไปเสมอเชลซีด้วยผลประตู 2–2 ในการแข่งขันที่ดุเดือดที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก[28][29] พวกเขายังทำลายสถิติในการใช้เวลาน้อยที่สุดหลังจากตกชั้นและกลับมาคว้าแชมป์ลีกสูงสุดได้ นับตั้งแต่อิปสวิชทาวน์ทำไว้ใน ค.ศ. 1962 บริษัทรับพนันอย่างถูกกฎหมายไม่มีใครคาดหมายว่าเลสเตอร์จะคว้าแชมป์ได้ โดยตั้งอัตราต่อรองในการคว้าแชมป์ก่อนเปิดฤดูกาลอยู่ที่ 5,000-1 นำไปสู่การจ่ายเงินรางวัลครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์การรับพนันการแข่งขันกีฬาของอังกฤษจำนวน 25 ล้านปอนด์[30][31][32] หนังสือพิมพ์หลายฉบับลงข่าวการคว้าแชมป์ครั้งนี้ว่าเป็นเรื่องเหลือเชื่อที่สุดครั้งหนึ่งในวงการกีฬาโลก[33][34]
ทีมชุดนี้ได้รับการขนานนามว่า "The Unbelievables" เพื่อให้มีความคล้ายคลึงกับชื่อเรียกของทีมอาร์เซนอลชุดที่ชนะเลิศพรีเมียร์ลีกโดยไม่แพ้ทีมใดตลอดทั้งฤดูกาล 2003–04 ซึ่งมีชื่อเรียกว่า "The Invincibles"[35] ผู้สันทัดกรณีหลายรายได้ยกย่องว่าการคว้าแชมป์ครั้งนี้อาจถือเป็นแรงบันดาลใจให้แก่สโมสรอื่น ๆ ในการทำผลงานยอดเยี่ยมแม้จะมีความคาดหวังไม่สูง ในฤดูกาลนี้เลสเตอร์ซิตียังได้รับการยกย่องในแง่ของการเล่นเกมโต้กลับได้อย่างยอดเยี่ยม รวมถึงการมีเกมรับที่แข็งแกร่ง[36] อดีตผู้จัดการทีมอย่างไนเจล เพียร์สัน ยังได้รับการยกย่องในฐานะผู้วางรากฐานให้แก่สโมสรตลอดหลายฤดูกาลหลัง
แม้จะมีฤดูกาลที่ยิ่งใหญ่ แต่เลสเตอร์ซิตีมีฤดูกาลที่ยากลำบากในปีต่อมา โดยอันดับของพวกเขามักอยู่กลางตารางค่อนไปท้ายตารางเป็นส่วนมาก ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2016 รานีเอรี และ เลสเตอร์ซิตี ได้รับรางวัลผู้จัดการทีมยอดเยี่ยม และ ทีมยอดเยี่ยมประจำปีโดยบีบีซี สปอร์ตส์ เพอร์ซันนอลลิตี[37] อย่างไรก็ดี รานีเอรีก็พ้นจากตำแหน่งในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2017 หลังทำผลงานย่ำแย่ต่อเนื่องโดยมีคะแนนนำหน้าทีมตกชั้นเพียงคะแนนเดียว ซึ่งการปลดเขาจากตำแหน่งนำไปสู่เสียงวิจารณ์เชิงลบจากสื่อและผู้สนับสนุน ท่ามกลางกระแสข่าวว่าผู้เล่นหลายรายได้เข้าพบประธานสโมสรเพื่อให้พิจารณาปลดรานีเอรีโดยที่เจ้าตัวไม่ทราบ ซึ่งจุดชนวนให้เกิดความไม่พอใจอย่างกว้างขวางในสื่อสังคมออนไลน์ แต่เรื่องนี้ก็ปราศจากหลักฐานที่แน่ชัด[38]
เคร็ก เชกสเปียร์ เข้ามารักษาการแทน และการคุมทีมนัดแรกของเขาคือการชนะทีมอันดับห้าอย่างลิเวอร์พูล 3–1 จากสองประตูของวาร์ดี[39] ตามด้วยการชนะฮัลล์ซิตี ส่งผลให้เขาได้รับความไว้วางใจให้คุมทีมไปจนจบฤดูกาล[40] ฤดูกาล 2016–17 ยังเป็นฤดูกาลแรกในรอบ 15 ปีที่เลสเตอร์ซิตีได้ลงแข่งขันฟุตบอลยุโรป พวกเขาอยู่ในกลุ่มจีร่วมกับโปร์ตู, โคเปนเฮเกน และ กลึบบรึคเคอ กาเฟ และผ่านเข้าสู่รอบต่อไปในฐานะแชมป์กลุ่ม[41] เข้าไปเอาชนะเซบิยาด้วยผลประตูรวมสองนัด 3–2 ก่อนจะเข้าไปแพ้อัตเลติโกเดมาดริดในรอบก่องรองชนะเลิศด้วยผลประตูรวม 1–2[42]
เชกสเปียร์ได้รับการแต่งตั้งถาวรด้วยสัญญาสามปี[43] แต่จากการทำผลงานย่ำแย่ในฤดูกาลใหม่ส่งผลให้เขาพ้นจากตำแหน่งในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2017 ซึ่งเลสเตอร์อยู่ในอันดับ 18 ของตาราง โกลด ปุแอล เข้ามาคุมทีมต่อและพาทีมจบอันดับ 9 แม้จะตกเป็นข่าวว่าปุแอลจะพ้นจากตำแหน่งเขายังได้รับโอกาสต่อ ต่อมา ในวันที่ 27 ตุลาคม ค.ศ. 2018 สโมสรต้องพบกับความสูญเสียครั้งใหญ่ เมื่อคุณวิชัย ประธานสโมสร ได้เสียชีวิตลงจากเหตุการณ์เฮลิคอปเตอร์ตกนอกสนาม คิง เพาเวอร์ สเตเดียม หลังจบการแข่งขันระหว่างเลสเตอร์ซิตีและเวสต์แฮมยูไนเต็ดไม่นาน โดยเฮลิคอปเตอร์ได้เสียการทรงตัวและตกกระแทกพื้นบริเวณลานจอดรถของสนามเมื่อเวลา 20.30 น. สโมสรได้ออกแถลงการณ์ยืนยันการเสียชีวิตในวันที่ 29 ตุลาคม ค.ศ. 2018 รวมทั้งได้ประกาศแผนการที่จะสร้างรูปปั้นเพื่อเป็นเกียรติและระลึกถึงคุณวิชัย และอัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา บุตรชายของเขาได้ขึ้นเป็นประธานสโมสรต่อ[44][45][46][47] ในส่วนของผลงานในสนาม แม้ปุแอลพาทีมทำผลงานดีขึ้น แต่ก็แย่ลงอีกครั้งใน ค.ศ. 2019 รวมถึงการแพ้ในบ้าน 4 นัดติดต่อกัน และหลังจากแพ้คริสตัลพาเลซ 1–4 ปุแอลถูกปลดในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2019 โดยเลสเตอร์ซิตีอยู่ในอันดับ 12 ในขณะนั้นนำไปสู่การแต่งตั้งอดีตผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลซึ่งก็คือ เบรนดัน ร็อดเจอส์ ซึ่งประคองทีมจบในอันดับ 9
ร็อดเจอส์พาทีมทำผลงานยอดเยี่ยมในฤดูกาล 2019–20 โดยทำไปถึง 38 คะแนนจากการลงเล่น 16 นัด รวมทั้งการชนะติดต่อกัน 8 นัดตั้งแต่ 19 ตุลาคม ถึง 8 ธันวาคม ค.ศ. 2019 นอกจากนี้ในวันที่ 25 ตุลาคม ค.ศ. 2019 สโมสรยังทำสถิติด้วยการบุกไปเอาชนะเซาแทมป์ตันด้วยผลประตู 9–0 ถือเป็นสถิติร่วมในการชนะมากที่สุดในพรีเมียร์ลีก และเป็นสถิติใหม่ในการชนะเกมเยือนด้วยผลประตูที่มากที่สุดของพรีเมียร์ลีก[48] และแม้จะติด 1 ใน 4 อันดับแรกของตารางเป็นส่วนมาก ทว่าพวกเขาก็มีผลงานที่ตกลงไปในช่วงท้ายฤดูกาล โดยเอาชนะได้เพียงสองจากเก้านัดหลังจากฟุตบอลอังกฤษกลับมาแข่งขันจากการหยุดพักในช่วงการระบาดทั่วของโควิด-19 และจากความพ่ายแพ้ 3 ใน 4 นัดสุดท้ายของฤดูกาลทำให้พวกเขาจบอันดับห้า ได้สิทธิ์แข่งขันยูฟ่ายูโรปาลีก[49]
เลสเตอร์ซิตีคว้าแชมป์เอฟเอคัพครั้งแรกในวันที่ 15 พฤษภาคม ค.ศ. 2021 โดยเอาชนะเชลซี 1–0 จากประตูของยูรี ตีเลอมันส์ หลังจากแพ้ในรอบชิงชนะเลิศรายการนี้มา 4 ครั้ง และพวกเขาจบในอันดับห้าเป็นปีที่สองติดต่อกันได้แข่งขันยูโรปาลีกอีกครั้ง ฤดูกาลต่อมาพวกเขาคว้าแชมป์เอฟเอคอมมิวนิตีชีลด์ 2021 ด้วยการเอาชนะแมนเชสเตอร์ซิตี 1–0 คว้าแชมป์สมัยที่สอง และในการแข่งขันฟุตบอลยุโรป พวกเขาอยู่ร่วมกลุ่มกับนาโปลี, สปาร์ตัคมอสโก และ ลีเกีย วอร์ซอว์ แต่ทำได้เพียงจบอันดับสามทำให้ต้องลงไปแข่งขันรายการใหม่ซึ่งก็คือ ยูฟ่ายูโรปาคอนเฟอเรนซ์ลีก และตกรอบรองชนะเลิศโดยแพ้โรมาด้วยประตูรวมสองนัด 1–2 และจบฤดูกาลในพรีเมียร์ลีกด้วยอันดับแปดไม่ได้แข่งขันฟุตบอลยุโรป
ในช่วงเวลานี้ ฐานะการเงินของบริษัทคิง เพาเวอร์ได้รับผลกระทบจากโควิด-19[50] ส่งผลให้สโมสรต้องจำกัดงบประมาณในการซื้อตัวผู้เล่นใน ค.ศ. 2022 กอปรกับข้อกังวลเกี่ยวกับการละเมิดกฏไฟแนนเชียล แฟร์ เพลย์ โดยผู้บริหารต้องการเน้นการลงทุนในระยาวมากขึ้น[51][52] และจากผลงานอันย่ำแย่ในพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2022–23 ส่งผลให้ร็อดเจอส์ถูกปลดในวันที่ 2 เมษายน ค.ศ. 2023 โดยสโมสรตกไปอยู่ท้ายตาราง และเหลือการแข่งขันอีกสิบนัด[53] ดีน สมิท ได้รับการแต่งตั้งให้คุมทีมจนจบฤดูกาล[54] อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 28 พฤษภาคม ค.ศ. 2023 สโมสรต้องตกชั้นโดยจบในอันดับที่ 18 แม้จะเอาชนะเวสต์แฮมในนัดสุดท้าย[55] ยุติการลงเล่นในลีกสูงสุดจำนวนเก้าฤดูกาลติดต่อกัน เลสเตอร์ถือเป็นสโมสรที่สองในยุคพรีเมียร์ลีกที่เคยคว้าแชมป์แต่ต้องตกชั้น ต่อจากแบล็กเบิร์นโรเวอส์ซึ่งคว้าแชมป์ในฤดูกาล 1994–95 ก่อนจะตกชั้นใน ค.ศ. 1999[56] ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2023 เอนโซ มาเรสกา ได้รับการแต่งตั้งเพื่อคุมทีมในอีเอฟแอลแชมเปียนชิป ฤดูกาล 2023–24[57] โดยเลสเตอร์ทำผลงานได้ยอดเยี่ยมตั้งแต่เปิดฤดูกาล ด้วยการชนะได้ถึง 9 จาก 10 นัดแรก ถือเป็นสถิติที่ดีที่สุดนับตั้งแต่เปลี่ยนชื่อการแข่งขันมาเป็นฟุตบอลแชมเปียนชิปในฤดูกาล 2004–05[58]
เลสเตอร์ได้เลื่อนชั้นกลับสู่พรีเมียร์ลีกโดยคว้าแชมป์อีเอฟแอลแชมเปียนชิปเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม ค.ศ. 2024 ถือเป็นการเลื่อนชั้นกลับมาภายในหนึ่งปี และยังเป็นการคว้าแชมป์ลีกระดับสองของอังกฤษเป็นครั้งที่แปดซึ่งเป็นสถิติสูงสุด[59] ในวันที่ 3 มิถุนายน ค.ศ. 2024 มาเรสกาอำลาทีมเพื่อไปคุมเชลซี สตีฟ คูเปอร์เข้ามารับตำแหน่งแทนแต่ก็ถูกปลดหลังผ่านไปเพียง 5 เดือน โดยทำผลงานย่ำแย่จากการชนะเพียง 3 จาก 15 นัดในทุกรายการ[60][61] สโมสรแต่งตั้งรืด ฟัน นิสเติลโรยเป็นผู้จัดการคนใหม่ในวันที่ 29 พฤศจิกายน ด้วยสัญญาจ้างถึงปี 2027[62]
ช่วงเวลา | ผู้ผลิตชุด | ผู้สนับสนุน (หน้าอก) | ผู้สนับสนุน (แขนเสื้อ) |
---|---|---|---|
1962–1964 | Bukta | none | none |
1976–1979 | Admiral | ||
1979–1983 | อัมโบร | ||
1983–1986 | Admiral | Ind Coope | |
1986–1987 | John Bull | ||
1987 | Walkers Crisps | ||
1988–1990 | Scoreline | ||
1990–1992 | Bukta | ||
1992–2000 | Fox Leisure | ||
2000–2001 | Le Coq Sportif | ||
2001–2003 | แอลจี | ||
2003–2005 | Alliance & Leicester | ||
2005–2007 | JJB Sports | ||
2007–2009 | Jako | Topps Tiles | |
2009–2010 | โจมา | LOROS | |
2010–2012 | Burrda | คิง เพาเวอร์ | |
2012–2016 | พูมา | ||
2017–2018 | ธนาคารไทยพาณิชย์ | ||
2018–2020 | อาดิดาส | Bia Saigon | |
2020–2021 | คิง เพาเวอร์ และ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย | ||
2021–2023 | FBS (international brokerage company) | ||
2023–2024 | คิง เพาเวอร์ | ||
2024– | BC.GAME |
สโมสรตั้งอยู่ในภาคมิดแลนด์สตะวันออกของอังกฤษ และถือว่าทีมคู่แข่งร่วมภูมิภาค ได้แก่ ดาร์บีเคาน์ตี และนอตติงแฮมฟอเรสต์ แต่ทีมที่ถือว่าเป็นคู่แข่งสำคัญ ดาร์บีเคาน์ตี ทุกครั้งที่พบกันนั้น จะไม่มีสโมสรใดยอมอ่อนข้อให้เป็นศึกแห่งศักดิ์ศรี ที่มันดุเดือด สนุกถูกใจแฟนบอล (ชิงชัย แข่งกันเป็นเจ้าแห่งมิดแลนด์ตะวันออก) อีกหนึ่งทีม คือโคเวนทรีซิตี ที่ถึงแม้ว่าจะอยู่ในภาคมิดแลนด์สตะวันตก ซึ่งถือว่าอยู่คนละภูมิภาคกันและอยู่ตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง แต่ก็อยู่ห่างออกไปเพียง 24 ไมล์ หรือประมาณ 38.6 กิโลเมตร และทั้งสองเมืองเชื่อมต่อกันด้วยทางหลวงสาย M69 [63] สื่อจึงมักขนานนามการแข่งขันระหว่างทั้งสองทีมว่า เอ็ม 69 ดาร์บี้แมตช์
หมายเหตุ: ธงชาติที่ปรากฏบ่งบอกให้ทราบว่าผู้เล่นคนนั้นสามารถเล่นให้กับชาติใดตามกฎของฟีฟ่าตามความเหมาะสม เพราะผู้เล่นบางคนอาจถือสองสัญชาติ
|
|
หมายเหตุ: ธงชาติที่ปรากฏบ่งบอกให้ทราบว่าผู้เล่นคนนั้นสามารถเล่นให้กับชาติใดตามกฎของฟีฟ่าตามความเหมาะสม เพราะผู้เล่นบางคนอาจถือสองสัญชาติ
|
|
สมาชิกคณะกรรมการ และ กรรมการ | |
---|---|
ตำแหน่ง | ชื่อ |
ประธาน | อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา |
รองประธาน | อภิเชษฐ์ ศรีวัฒนประภา |
ผู้บริหารระดับสูง | มารุต บีนิทรา |
กรรมการบริหาร | Malcolm Stewart-Smith |
ผู้อำนวยการฟุตบอล | จอน รัดกิน |
Football Operations Director | Andrew Neville |
Finance Director | Simon Capper |
Operations Director | Kevin Barclay |
การจัดการทีมชุดใหญ่ | |
---|---|
ตำแหน่ง | ชื่อ |
ผู้จัดการทีมชุดใหญ่ | รืด ฟัน นิสเติลโรย |
ผู้ช่วยผู้จัดการ & Goalkeeping Coach | Jelle ten Rouwelaar |
First Team Coach | Ben Dawson |
Set Piece Coach | Andrew Hughes |
Goalkeeping Coach | Danny Alcock |
Head of Fitness & Conditioning | Matt Reeves |
Head of Medicine | Dr. Simon Morris |
First Team Physiotherapist | Gary Silk |
First Team Physiotherapist | Niall Stevens |
Kit Manager | Paul McAndrew |
Head of Senior Player Recruitment | Martyn Glover |
Academy Director | จอน รัดกิน |
วัน | ชื่อ |
---|---|
1987–1992 | Ally Mauchlen |
1992–1993 | สตีฟ วอล์ช |
1993–1994 | Gary Mills |
1995–1996 | Garry Parker |
1996–1999 | สตีฟ วอล์ช |
1999–2005 | Matt Elliott |
2005–2006 | Danny Tiatto |
2006–2007 | Paddy McCarthy |
2007–2008 | Stephen Clemence |
2008–2011 | Matt Oakley |
2011–2012 | Matt Mills |
2012–2021 | เวส มอร์แกน |
2021–2022 | แคสเปอร์ สไมเกิล |
2022–2023 | จอนนี เอฟวันส์ |
2023–ปัจจุบัน | เจมี วาร์ดี |
|
|
|
|
|
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.