หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
หอประชุมใหญ่ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
หอประชุมใหญ่ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เรียกโดยย่อว่า หอประชุมจุฬาฯ เป็นหอประชุมใหญ่ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในพื้นที่แขวงปทุมวัน เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร มีความเป็นมาคู่กับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมาอย่างยาวนาน อีกทั้งยังมีเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์เกิดขึ้นที่อาคารแห่งนี้หลายเหตุการณ์
หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย | |
---|---|
Chulalongkorn University Auditorium | |
หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2566 | |
ข้อมูลทั่วไป | |
สถานะ | เปิดใช้งาน |
ประเภท | หอประชุม, หอจัดแสดงดนตรี |
สถาปัตยกรรม | สถาปัตยกรรมไทย |
ที่ตั้ง | จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถนนพญาไท แขวงปทุมวัน เขตปทุมวัน |
เมือง | กรุงเทพมหานคร |
ประเทศ | ประเทศไทย |
พิกัด | 13.738310°N 100.532603°E |
เริ่มสร้าง | 18 กันยายน พ.ศ. 2481 - 31 มกราคม พ.ศ. 2482[1] |
ปรับปรุง | ครั้งแรก พ.ศ. 2527 ครั้งที่สอง พ.ศ. 2557 |
ผู้สร้าง | สร้างขึ้นตามดำริของ จอมพล แปลก พิบูลสงคราม เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งอธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย |
ข้อมูลทางเทคนิค | |
โครงสร้าง | คอนกรีตเสริมเหล็ก ก่อผนังด้วยอิฐ |
การออกแบบและการก่อสร้าง | |
สถาปนิก | พระสาโรชรัตนนิมมานก์ (สาโรช สุขยางค์) พระพรหมพิจิตร (อู๋ ลาภานนท์) |
ผู้ออกแบบผู้อื่น | รองศาสตราจารย์ ดร.ภิญโญ สุวรรณคีรี สมเด็จพระเจ้าบรมวงษ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงษ์ |
รางวัล | รางวัลอนุรักษ์ศิลปสถาปัตยกรรมดีเด่น ประจำ พ.ศ. 2545 จากสมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ |
การบูรณะและปรับปรุงในปี พ.ศ. 2557 เพื่อเฉลิมฉลองในวาระ 100 ปี แห่งการสถาปนาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย |
หอประชุมจุฬาฯ เป็นสิ่งปลูกสร้างที่เป็นองค์ประกอบสำคัญของภูมิทัศน์ในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทำให้เกิดการปรับภูมิทัศน์โดยรอบ เช่น การขุดสระน้ำด้านหน้าประตูใหญ่ ตัดถนนรอบสนามรักบี้และสร้างลานพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระปิยมหาราชและสมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2545 สมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ได้มอบรางวัลอนุรักษ์ศิลปสถาปัตยกรรมดีเด่นให้แก่หอประชุมจุฬาฯ[2][3]
พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เสด็จพระราชดำเนินมาทรงดนตรีพระราชทานแก่นิสิตที่หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นแห่งแรก ก่อนที่กิจกรรมนี้จะมีขึ้นในอีกหลายมหาวิทยาลัยในเวลาต่อมา เป็นที่มาของวันทรงดนตรี หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจึงเป็นสถานที่ถือกำเนิดของ "วันทรงดนตรี"[4]
หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นสัญลักษณ์ที่โดดเด่นคู่มหาวิทยาลัยมาตั้งแต่ก่อสร้างแล้วเสร็จ ในปี พ.ศ. 2482 นิสิตและบุคลากรของจุฬาฯ ล้วนผูกพันและมีโอกาส ได้เข้าร่วมพิธีกรรมและกิจกรรมอันหลากหลายที่อาคารหลังนี้ นับตั้งแต่กิจกรรมแรกของการเป็นนิสิต คือพิธีปฐมนิเทศนิสิตใหม่ พิธีปฐมนิเทศนิสิตหอพักของหอพักนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พิธีไหว้ครู เปิดเทศกาลงานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ–ธรรมศาสตร์ จนกระทั่งเมื่อสำเร็จการศึกษา อาคารหลังนี้ก็เป็นสถานที่ประกอบพิธีพระราชทานปริญญาบัตร นอกจากนี้ยังใช้เป็นที่จัดกิจกรรมทางศิลปวัฒนธรรมในวาระสำคัญต่าง ๆ ทั้งในระดับมหาวิทยาลัยและระดับชาติ[5]
หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตั้งอยู่ด้านหลังพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระปิยมหาราชและสมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า (พระบรมราชานุสาวรีย์สองรัชกาล) ด้านหน้าของหมู่อาคารเทวาลัย หรืออาคารมหาจุฬาลงกรณ์และอาคารมหาชิราวุธ ใจกลางพื้นที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยฝั่งตะวันออกของถนนพญาไท ทำให้ที่ตั้งของอาคารหอประชุมอยู่ในแขวงปทุมวัน ไม่ใช่แขวงวังใหม่ซึ่งเป็นที่ตั้งอย่างเป็นทางการของมหาวิทยาลัย
พระสาโรชรัตนนิมมานก์ (สาโรช สุขยางค์) และพระพรหมพิจิตร (อู๋ ลาภานนท์) สถาปนิกผู้ออกแบบหอประชุมหลังนี้เป็นศิษย์ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทำให้ตัวอาคารมีลักษณะเป็นอาคารสถาปัตยกรรมไทยที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว คล้ายกับอุโบสถวัดราชาธิวาสราชวรวิหาร ที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ทรงออกแบบ กล่าวคือมีการดัดแปลงศิลปะขอมผสมผสานกับศิลปะไทย ใช้หลังคากระเบื้องเคลือบสีเช่นเดียวกับที่พบในอุโบสถวัด สีเขียว สีส้มและสีแดงอิฐ ประยุกต์เข้ากับสถาปัตยกรรมยุคคณะราษฎรทำให้หอประชุมหลังนี้มีลักษณะพิเศษที่หาได้ยากในอาคารอื่น ๆ ที่สร้างในยุคสมัยเดียวกัน
โครงสร้างและการตกแต่งภายนอกของอาคารได้รับอิทธิพลอย่างเข้มข้นจากอุดมการณ์ของคณะราษฏร ดังจะเห็นได้ว่ามีการลดการใช้วัสดุที่แสดงฐานานุศักดิ์ทางสถาปัตยกรรมไทยในการตกแต่งอาคารลงอย่างมาก เพื่อสะท้อนแนวคิดความเท่าเทียมกันของมนุษย์ เช่น ถ้วยชามกระเบื้องเคลือบ กระจกสี ลวดลายปูนปั้นที่สื่อหรือเล่าเรื่องราวถึงพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ และเน้นออกแบบโครงสร้างให้มีเส้นสายแนวตั้งและแนวนอนที่ดูแข็งและคม ดังจะเห็นได้จากเสาสี่เหลี่ยมไม่ย่อมุม ซุ้มเสาทั้งด้านหน้าอาคารและหลังอาคารที่ตัดตรง ไม่โค้งหรือไม่ประสานเป็นยอดแหลม เป็นลักษณะอันเป็นเอกลักษณ์ของอาคารที่เกิดขึ้นในช่วง 15 ปีแรกของคณะราษฎร เรียกสถาปัตยกรรมกลุ่มนี้ว่า "สถาปัตยกรรมไทยเครื่องคอนกรีต"[6]
ผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า[7] เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก มีผนังก่ออิฐ ภายในอาคารเป็นโถงชั้นเดียว ด้านหน้ายกพื้นเป็นเวที มีอัฒจันทร์อยู่ด้านหลังและด้านข้างทั้งสองด้าน ส่วนด้านตะวันตกทำเป็นมุขซ้อน ชั้นล่างเป็นห้องรับรอง ชั้นบนเป็นห้องประชุม มีบันไดขึ้น-ลง ทั้งภายในและภายนอก 4 บันได ภายในหอประชุมมีพระบรมสาทิสลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระผู้พระราชทานกำเนิดและพระผู้สถาปนาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นภาพเขียนด้วยสีน้ำมันประดิษฐานอยู่
หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยถือเป็นสถาปัตยกรรมชิ้นเอกในยุครัฐนิยมหรือยุคปลายคณะราษฎร (ก่อนรัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2500) การออกแบบและก่อสร้างหอประชุมหลังนี้เป็นสัญลักษณ์ของความพยายามในการสร้าง "ความเป็นไทย" แบบใหม่ขึ้น โดยออกแบบให้เป็นอาคารสถาปัตยกรรมไทยที่ลดทอนความอ่อนช้อยและวัสดุฟุ่มเฟือยลง ในขณะเดียวกันก็เน้นเส้นตรงที่คมชัดมากขึ้นเช่นเดียวกับที่พบในสถาปัตยกรรมคณะราษฎร ทำให้หอประชุมหลังนี้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวแตกต่างจากสถาปัตยกรรมยุคคณะราษฎรตอนต้นที่เป็นที่นิยมอย่างยิ่งในบรรดาสิ่งปลูกสร้างของรัฐนับตั้งแต่เหตุการณ์การปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475[8]
การออกแบบภูมิสถาปัตยกรรมของหอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในเชิงกายภาพของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อาคารหอประชุมแห่งนี้เป็นอาคารหลังที่สองที่ถูกสร้างขึ้นบนเส้นแกนจากทิศตะวันออกไปยังทิศตะวันตกของที่ดินมหาวิทยาลัย การที่ผู้ออกแบบได้จัดวางให้ด้านหน้าของตัวอาคารหันไปยังทิศตะวันตก ทำให้ถนนพญาไทกลายเป็น "ด้านหน้า" ของมหาวิทยาลัย[9] แทนที่ถนนอังรีดูนังต์ หรือ "ถนนสนามม้า" ที่เคยทำหน้าที่เป็นด้านหน้าเมื่อครั้งหมู่อาคารเทวาลัย หรืออาคารมหาจุฬาลงกรณ์และอาคารมหาวชิราวุธยังเป็นเพียงกลุ่มอาคารหลักแห่งเดียวบนพื้นที่ของมหาวิทยาลัย และยังได้เปลี่ยนให้ถนนพญาไทกลายเป็นถนนประธานบนอาณาเขตที่ดินของมหาวิทยาลัย ดังจะเห็นได้จากที่กลุ่มอาคารในยุคหลังที่ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของถนนพญาไท เช่น กลุ่มอาคารสำนักงานมหาวิทยาลัยทั้งหมด[10] อาคารมหาธีรราชานุสรณ์ (หอสมุดกลาง) สามย่านมิตรทาวน์ อุทยาน 100 ปี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ต่างก็ถูกจัดวางให้หันด้านหน้าไปทางทิศตะวันออก[11] ในขณะที่เสาธงชาติของมหาวิทยาลัย พระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระปิยมหาราชและสมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า สนามรักบี้ สระน้ำ รวมถึงประตูรั้วหลัก ซึ่งตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของถนนพญาไท ถูกจัดวางให้หันด้านหน้าไปทางทิศตะวันตกเข้าสู่ถนนพญาไท[2]
แนวการวางอาคารของหอประชุมจุฬาฯ ยังช่วยบังคับให้เกิดแกนแนวตะวันออก-ตะวันตกบนที่ดินของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้จริง[12] เพราะแม้ว่าจะไม่มีแผนพัฒนาภูมิทัศน์ระยะยาวตั้งแต่ พ.ศ. 2482 เป็นกฎเกณฑ์บังคับให้สิ่งปลูกสร้างยุคหลังต้องสร้างเรียงตัวตามแนวแกน แต่จนถึงปัจจุบัน สิ่งก่อสร้างที่ทยอยสร้างขึ้นใหม่ในอาณาเขตของมหาวิทยาลัยก็ยังคงยึดแนวแกนและทิศทางที่อาคารหอประชุมจุฬาฯ วางไว้เป็นมาตรฐาน[13] ดังจะเห็นได้จากการที่หน้าบันกลางของระเบียงทางเชื่อมระหว่างอาคารมหาจุฬาลงกรณ์และอาคารมหาวชิราวุธตรงกันพอดีกับเส้นกึ่งกลางของหอประชุมจุฬาฯ เสาธงประจำมหาวิทยาลัย ช่องว่างตรงกลางระหว่างพระบรมรูปของทั้งสองรัชกาล กึ่งกลางของจุดประดิษฐานพระบรมฉาลักษณ์ของพระประมุขของประเทศ สระน้ำ ประตูใหญ่ อาคารจามจุรี 4 หอสมุดกลาง และอุทยาน 100 ปี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทำให้เกิดเส้นนำสายตาบนภูมิทัศน์สร้างจุดเด่นให้กับเขตปทุมวันได้อย่างดี[2]
หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยสร้างขึ้นในสมัยจอมพลแปลก พิบูลสงคราม ดำรงตำแหน่งอธิการบดี ซึ่งมีดำริให้สร้างหอประชุมขึ้นภายในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อให้เป็นสถานที่สำหรับพระมหากษัตริย์เสด็จพระราชดำเนินมาพระราชทานปริญญาบัตร ทรงดนตรี และงานสำคัญของมหาวิทยาลัย เช่น การรับแขกบ้านแขกเมือง การประชุมสัมนาต่าง ๆ การแสดงละครของนิสิต ฯลฯ เริ่มสร้างขึ้นเมื่อวันที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2481 โดยมีพระสาโรชรัตนนิมมานก์เป็นสถาปนิกออกแบบก่อสร้างอาคาร และพระพรหมพิจิตรเป็นผู้ออกแบบลายกนก[14] อาคารหลังนี้แล้วเสร็จลงในวันที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2482 และเปิดใช้ในวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2482 สองปีต่อมา (พ.ศ. 2484) มหาวิทยาลัยต้องทำการซ่อมแซมหอประชุม เนื่องจากหลังคาของอาคารรั่วและพื้นหอประชุมมีน้ำซึม สร้างความเสียหายถึงเพดานและดวงโคมภายในอาคาร จนกระทั่งใน พ.ศ. 2527 มหาวิทยาลัยจึงดำเนินการบูรณะและปรับปรุงหอประชุมครั้งใหญ่ โดยการปรับปรุงอาคารนี้อยู่ภายใต้ความดูแลของ รองศาสตราจารย์ ดร.ภิญโญ สุวรรณคีรี ศิลปินแห่งชาติ ด้านสถาปัตยกรรมไทย ร่วมกับคณะกรรมการอีกหลายท่าน เป็นการตกแต่งภายในใหม่ทั้งหมด พร้อมติดตั้งระบบปรับอากาศ ระบบแสง-เสียงให้มีคุณภาพดี ปรับขนาดเวทีให้ใหญ่ขึ้นและได้ประดิษฐานพระบรมสาทิสลักษณ์สีน้ำมันของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว บนผนังทั้งสองข้างของเวทีอีกด้วย
ในปี พ.ศ. 2557 เป็นการบูรณะและปรับปรุงหอประชุมครั้งใหญ่ครั้งที่สอง โดยมหาวิทยาลัยได้มอบหมายให้คณาจารย์จากคณะวิศวกรรมศาสตร์และคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ดำเนินการสำรวจความเสียหายและออกแบบเพื่อปรับปรุงอาคารหอประชุม เช่น การเสริมเสาเข็มรองรับพื้นเพื่อแก้ปัญหาการทรุดตัว ปรับปรุงระบบแสง-เสียงและการสื่อสาร เปลี่ยนและติดตั้งระบบปรับอากาศภายในใหม่ เพิ่มเติมโถงระเบียงทั้งสองข้างโดยยกระดับพื้นและผนังกระจก เปลี่ยนเก้าอี้ทั้งหมด ติดตั้งลิฟต์และปรับปรุงภูมิทัศน์โดยรอบหอประชุม เพื่อเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 100 ปี แห่งการสถาปนาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
วันทรงดนตรีเกิดจากพระมหากรุณาธิคุณที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรพระราชทานแก่คณาจารย์และนิสิตจุฬาฯ ที่ได้ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเข้าเฝ้าฯ เพื่อถวายพระพรแด่สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารีที่ประสูติเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2500 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้นิสิตจุฬาฯ เข้าเฝ้าฯ เมื่อวันที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2500 ณ เวทีลีลาศสวนอัมพร ต่อมาพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรได้รับสั่งกับนายสันทัด ตัณฑนันทน์ หัวหน้าวงดนตรีสากล สโมสรนิสิตจุฬาฯ สมัยนั้นว่าจะนำวงลายครามมาบรรเลงที่จุฬาฯ งานวันทรงดนตรี ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจึงเริ่มขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2501 ที่หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เสด็จฯ พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง นอกจากจะทรงดนตรีแล้ว พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรยังได้พระราชทานข้อคิดแก่นิสิตจุฬาฯ และพระราชทานความเป็นกันเอง สร้างบรรยากาศอันอบอุ่น สนุกสนานและประทับใจเป็นอย่างยิ่ง พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรเสด็จฯ มาทรงดนตรีที่จุฬาฯ ระหว่างปี พ.ศ. 2501 – พ.ศ. 2516 เนื่องจากทรงมีพระราชภารกิจเพิ่มขึ้นจึงไม่ได้เสด็จฯ มาทรงดนตรีที่มหาวิทยาลัยอีก
กำหนดการของพิธีพระราชทานปริญญาบัตรในปีนั้นมีว่า ในวันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2493 เวลา 14.00 น. พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เสด็จเข้าสู่หอประชุม ทรงจุดเทียนชนวนที่แท่นบูชา พลโทมังกร พรหมโยธี นายกสภามหาวิทยาลัยถวายรายงานเกี่ยวกับมหาวิทยาลัย หลังจากนั้นจึงทูลเกล้าฯ ถวายปริญญารัฐศาสตร์ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ถือเป็นปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ใบแรกที่ทูลเกล้าถวายในรัชสมัยของพระองค์
พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยสร้างพระเกี้ยวองค์จำลองจากพระเกี้ยวองค์จริงที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเป็นพิจิตรเลขา (สัญลักษณ์ประจำรัชกาล) ประจำพระองค์ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรทรงเจิมและทรงพระสุหร่ายพระเกี้ยวก่อนพระราชทานแก่มหาวิทยาลัยต่อหน้าประชาคมจุฬาฯ ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรประจำปีการศึกษา 2531 เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2532 ณ หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย[18]
พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล เสด็จฯ มาพระราชทานปริญญาบัตรเมื่อวันที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2489 ณ หอประชุมจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย[19] นับเป็นการพระราชทานปริญญาบัตรที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยครั้งแรกและครั้งเดียวของรัชกาลนี้
วันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2539 สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร เสด็จเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ โดยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ถวายการต้อนรับพระองค์ในพิธีเปิดที่ทำการบริติช เคานซิล (British Council) ประจำประเทศไทย ณ อาคารวิทยกิตติ์ สยามสแควร์ จากนั้นพระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่งมายังหอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย[20] พร้อมด้วยสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี[21] เพื่อรับการถวายการต้อนรับจากประชาคมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยมีนายกสภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ณ ขณะนั้น ศาสตราจารย์กิตติคุณ เกษม สุวรรณกุลเป็นผู้แทนประชาคมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยรับเสด็จ ฐานตั้งธงโดยรอบเสาธงชาติของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยประดับธงยูเนียนแจ็ก ในการนี้นิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ร่วมกัน "บาก้า" เพื่อถวายพระเกียรติแด่พระองค์บริเวณระเบียงด้านหน้าหอประชุมจุฬาฯ จากนั้นวงดุริยางค์บรรเลงเพลงก็อดเซฟเดอะควีน (God Save the Queen) เป็นการส่งเสด็จ[22][23]
สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงได้รับปริญญาอักษรศาสตรบัณฑิต เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง เหรียญทอง หลังพระองค์ทรงสำเร็จการศึกษาจากคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย[24] ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วันที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2520 ณ หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
นายบิล คลินตัน ประธานาธิบดีสหรัฐ พร้อมด้วยนางฮิลลารี คลินตัน ภริยา เดินทางมายังจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539 เพื่อเข้าร่วมพิธีมอบปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์แด่นายบิล คลินตัน ณ หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย[25][26]
นายลินดอน บี. จอห์นสัน ประธานาธิบดีสหรัฐ เดินทางมายังจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยพร้อมด้วยเลดี เบิร์ด จอห์นสัน ภริยา เดินทางมายังจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2510 เพื่อเข้าร่วมพิธีมอบปริญญารัฐศาสตร์ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์แด่นายลินดอน บี. จอห์นสัน ณ หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย[27]
หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเคยได้รับเลือกจากชมรมส่งเสริมโทรทัศน์ ให้เป็นสถานที่จัดงานประกาศผลรางวัลโทรทัศน์ทองคำครั้งแรก และได้รับเลือกให้เป็นสถานที่จัดงานอีก 5 ครั้ง ในหลายปีถัดมา[28]
สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินมายังหอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อพระราชทานปริญญาบัตรแก่บัณฑิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยประจำปีการศึกษา 2551 ในการนี้สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญาทรงเป็นหนึ่งในบัณฑิตที่เข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรในครั้งนี้ด้วย พระองค์ทรงจบการศึกษาศิลปกรรมศาสตรบัณฑิตเกียรตินิยมอันดับ 1 (เหรียญทอง) ภาควิชานฤมิตศิลป์ คณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ด้วยเกรดเฉลี่ย 3.93 ในการนี้พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินมายังจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยพร้อมด้วย ท่านผู้หญิงศรีรัศมิ์ สุวะดี สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา และสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติ มหาวชิโรตตมางกูร สิริวิบูลยราชกุมาร[29]
วันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2558 พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะยังดำรงพระยศเป็นสยามมกุฎราชกุมาร ทรงนำประชาชนไทยปั่นจักรยานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ใน "กิจกรรมปั่นเพื่อพ่อ Bike for Dad" หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นสถานที่ประทับรับรองพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดาและสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา[30][31]
วันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2561 มาฮาดีร์ บิน โมฮามัด นายกรัฐมนตรีแห่งสหพันธรัฐมาเลเซีย เดินทางมาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของรัฐบาลไทย และแสดงบรรยายพิเศษ ณ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับประเทศมาเลเซีย และตอบคำถามอื่น ๆ จากผู้เข้าร่วมงาน โดยอธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศ. ดร.บัณฑิต เอื้ออาภรณ์ และคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นผู้ดำเนินรายการ หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นสถานที่จัดกิจกรรมครั้งนี้และถือเป็นการทำหน้าที่รับรองผู้นำรัฐบาลต่างประเทศครั้งสำคัญครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย[32][33]
วันที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562 สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส มุขนายกแห่งคริสตจักรกรุงโรม (Bishop of the Church of Rome) พระประมุขของนครรัฐวาติกัน และผู้นำคริสตจักรโรมันคาทอลิกทั่วโลก เสด็จเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของรัฐบาลไทย ในวาระฉลอง 350 ปี มิสซังสยามและรำลึก 122 ปี แห่งการเสด็จเยือนนครรัฐวาติกันของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 พระผู้พระราชทานกำเนิดจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และพระมหากษัตริย์พุทธมามกะพระองค์แรกที่เสด็จเยือนนครรัฐวาติกัน[34]
หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยทำหน้าเป็นสถานที่แสดงปาฐกถาพิเศษของสมเด็จพระสันตะปาปาฯ พร้อมทั้งเป็นพื้นที่ให้ผู้แทนศาสนาทุกศาสนาในประเทศไทยได้ร่วมเข้าเฝ้าสมเด็จพระสันตะปาปาฯ เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และแสดงถึงเอกลักษณ์ของสังคมไทยที่เต็มไปด้วยความหลากหลายแต่สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ ทั้งนี้ รัฐบาลไทยและจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเปิดโอกาสให้นิสิตนักศึกษา นักวิชาการและประชาชนทั่วไปได้เข้าร่วมกิจกรรมนี้ในฐานะเวทีทางวิชาการที่เปิดกว้างด้วย[35][36]
การเดินทางมายังหอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สามารถทำได้หลายวิธี ดังนี้
ใช้ถนนพญาไทและถนนอังรีดูนังต์มายังจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยถนนพญาไทจะเข้าประตูใหญ่ด้านหน้าบริเวณสระน้ำได้สะดวกที่สุด หากใช้ถนนถนนอังรีดูนังต์สามารถเข้าประตูบริเวณคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ โดยจะสังเกตอาคารสถาปัตยกรรมไทย
เนื่องจากหอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยอยู่ในพื้นที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้ที่จะเดินทางมาจึงสามารถใช้รถประจำทางสายที่ผ่านจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้
รถโดยสารภายในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (CU Pop Bus) หรือ "รถป็อพ" ทุกสาย คือ สาย 1 2 3 4 5 สามารถเข้าถึงพื้นที่หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ โดยมีจุดจอดดังนี้
ในพิธีสำคัญของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เช่น พิธีปฐมนิเทศนิสิตใหม่และถวายสัตย์ปฏิญาณตนเป็นนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พิธีพระราชทานปริญญาบัตร พิธีทูลเกล้าฯ ถวายหรือมอบปริญญากิตติมศักดิ์แด่พระประมุขต่างประเทศ กิจกรรมรับน้องก้าวใหม่ และพิธีสำคัญที่มหาวิทยาลัยใช้หอประชุมจุฬาฯ เป็นสถานที่หลักในการจัดงาน รถโดยสายภายในจุฬาลงกรณ์กรณ์มหาวิทยาลัยจะประกาศเปลี่ยนเส้นทางเดินรถชั่วคราว โดยเลี้ยวเข้าพื้นที่มหาวิทยาลัยฝั่งตะวันออกของถนนพญาไททางประตูคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชีแทน และไม่วิ่งผ่านบริเวณโดยรอบหอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย[42]
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.