Loading AI tools
เจ้ากรมพระอาลักษณ์ จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
หลวงลิขิตปรีชา (19 เมษายน พ.ศ. 2362 – 6 กันยายน พ.ศ. 2439) มีนามเดิมว่า คุ้ม[1] เจ้ากรมพระอาลักษณ์ฝ่ายพระราชวังบวรสถานมงคล (ฝ่ายวังหน้า) รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวถึงรัชสมัยกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ ราชเลขานุการในพระองค์ และนักกวีสมัยรัชกาลที่ 3–5 กรุงรัตนโกสินทร์[2]
หลวงลิขิตปรีชา (คุ้ม โรจนกุล) | |
---|---|
เจ้ากรมพระอาลักษณ์ พระบรมมหาราชวัง | |
ดำรงตำแหน่ง พ.ศ. 2428 – 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2439 | |
กษัตริย์ | พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว |
เจ้ากรมพระอาลักษณ์ พระราชวังบวรสถานมงคล | |
ดำรงตำแหน่ง รัชกาลที่ 3 – พ.ศ. 2428 | |
กษัตริย์ | พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว |
ก่อนหน้า | พระสุนทรโวหาร (ภู่) |
ถัดไป | ยกเลิก (วิกฤตการณ์วังหน้า) |
ข้อมูลส่วนบุคคล | |
เกิด | 19 เมษายน พ.ศ. 2362 แขวงบ้านช่างหล่อ เขตบางกอกน้อย กรุงรัตนโกสินทร์ |
เสียชีวิต | 6 กันยายน พ.ศ. 2439 (77 ปี) แขวงบ้านช่างหล่อ เขตบางกอกน้อย กรุงรัตนโกสินทร์ |
คู่สมรส | คุณหญิงลิขิตปรีชา (พึ่ง) |
บุตร | นายราชจํานง (อู๋ โรจนกุล) |
บุพการี |
|
ญาติ | หลวงพิสณฑ์ยุทธการ (ปึก โรจนกุล) (หลาน) |
อาชีพ | อาลักษณ์ |
หลวงลิขิตปรีชา (คุ้ม) เกิดที่กรุงเทพพระมหานคร เมื่อวันจันทร์ แรม 10 ค่ำเดือนห้าปีเถาะสัมฤทธิศก ตรงกับวันที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2362 สมัยรัชกาลที่ 2 มีนิวาสสถานอยู่ที่ย่านบ้านช่างหล่อ วังหลัง เคยเล่าเรียนหนังสือที่วัดโพธิ์ บิดาชื่อนายดีขุนหมื่น[3] ตำแหน่งช่างเขียนกรมช่างสิบหมู่ฝ่ายพระราชวังบวรสถานมงคลซึ่งรับราชการอยู่กับสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ (ดิศ บุนนาค) ไม่ปรากฎนามมารดา ภรรยาชื่อ คุณหญิงลิขิตปรีชา (พึ่ง) บุตรปรากฏว่าชื่อนายอู๋ รับราชการเป็นมหาดเล็กฝ่ายพระราชวังบวรสถานมงคลมีบรรดาศักดิ์เป็นนายราชจํานง (อู๋) เป็นบิดาหลวงพิสณฑ์ยุทธการ (ปึก โรจนกุล)[4] เป็นทหารกองหนุนกระทรวงกลาโหมในสมัยรัชกาลที่ 5 และเป็นทวดของพระยาชำนาญอักษร (ปลอบ โรจนกุล) กรมราชเลขาธิการ ข้าราชบริพารสำนักพระราชวัง[5]
สมัยรัชกาลที่ 3 ได้เข้ารับราชการในกรมพระอาลักษณ์ฝ่ายพระราชวังบวรสถานมงคล มีบรรดาศักดิ์เป็น นายราชอักษร (คุ้ม) ตำแหน่งนายเวร ถือศักดินา 400 โดยมีพระสุนทรโวหาร (ภู่) หรือ สุนทรภู่ เป็นเจ้ากรมพระอาลักษณ์ ได้รับพระราชทานเบี้ยหวัดปีละ 7 ตำลึง หลังรับราชการได้ 3 ปีเศษ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดเกล้าฯ ตั้งนายราชอักษร (คุ้ม) นายเวร ให้เป็นหลวงลิขิตปรีชา (คุ้ม) ตำแหน่งเจ้ากรมพระอาลักษณ์ ฝ่ายพระราชวังบวร ถือศักดินา 1,500 ได้รับพระราชทานเบี้ยหวัดปีละ 1 ชั่ง แล้วทรงโปรดเกล้าฯ ตั้งพระสุนทรโวหาร (ภู่) เป็นจางวางกรมพระอาลักษณ์ เมื่อ พ.ศ. 2408 ครั้นพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต หลวงลิขิตปรีชา (คุ้ม) จึงได้ย้ายไปสมทบกับกรมพระอาลักษณ์ในพระบรมมหาราชวัง
สมัยรัชกาลที่ 4 เมื่อคราวพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นบวรวิไชยชาญขึ้นเป็นกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ หลวงลิขิตปรีชา (คุ้ม) จึงได้ย้ายไปกรมพระอาลักษณ์ ฝ่ายพระราชวังบวร หลังจากกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญเสด็จทิวงคตแล้วจึงย้ายไปสมทบกับกรมพระอาลักษณ์ในพระบรมมหาราชวังอีกครั้ง เมื่อ พ.ศ. 2435 รัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ พระราชทานเบี้ยหวัดเพิ่มอีกปีละ 5 ตำลึง พร้อมพระราชทานเหรียญรัชฎาภิเศกมาลา ร.ศ. ๑๑๒ แก่หลวงลิขิตปรีชา (คุ้ม) ๆ จึงได้รับเบี้ยหวัดเป็นปีละ 1 ชั่ง 5 ตำลึง[6]
เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2439[7] หลวงลิขิตปรีชา (คุ้ม) ล้มป่วย จึงให้พระอ่อน วัดชนะสงครามราชวรมหาวิหารรักษามีอาการทรุดๆ ทรงๆ จึงเปลี่ยนให้หมอสีชะเลยศักดิ์ (หมอเชลยศักดิ์) รักษาแทนแต่อาการกลับทรุดลงมาก เมื่อวันที่ 6 กันยายน มีอาการอ่อนเพลียและหอบจวนหลวงลิขิตปรีชา (คุ้ม) ถึงแก่กรรมเมื่อเวลา 20.00 น. ด้วยโรคชรา สิริรวมอายุได้ 77 ปี[3] คุณหญิงลิขิตปรีชา (พึ่ง) จึงได้เข้าจัดการศพ วันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2439 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานน้ำหลวงอาบศพ เพลิงหลวง พร้อมหีบศพเชิงชายเป็นเกียรติยศ
พระยาปริยัติธรรมธาดา (แพ ตาละลักษณ์) ผู้ค้นคว้า รวบรวม และบันทึกเรื่องราวของพระสุนทรโวหาร (ภู่) หรือสุนทรภู่ ได้เขียนบันทึกคำกล่าวของพระอมรสินธพ (นก) เมื่อ พ.ศ. 2456 ขณะมีอายุ 77 ปี[8] ซึ่งเล่าถึงหลวงลิขิตปรีชา (คุ้ม) ไว้ว่า:–
เวลานั้นใบฎีกามีของสมเด็จพระปรมา[หมายเหตุ 1] ได้เป็นหลวงลิขิตปรีชา เจ้ากรมพระอาลักษณ์ ท่านผู้นี้เจ้ายศเจ้าศักดิ์ ถือความมั่งมีภาคภูมิเต็มที่อย่างขุนนางโบราณคือ บ่าวไพร่นุ่งห่มร่มค้างคาวกล้องยาแดงกาน้ำเป็นต้น สุนทรภู่ถึงเป็นจางวางก็จริง แค่ลดความมั่งมีให้ท่านเจ้ากรม เวลาจะนั่งจะเดินอยู่ในกิริยาเป็นผู้ถ่อมตนยอมเป็นผู้ที่ ๒ ไม่ตีตนเสมอเลย[9]
งานประพันธ์ของหลวงลิขิตปรีชา (คุ้ม) โดดเด่นที่มีปรากฏและค้นพบได้ในปัจจุบันมีดังนี้
หลวงลิขิตปรีชา (คุ้ม) ได้ร่วมแต่งโคลงดั้นบาทกุญชร จารึกวัดโพธิ์[10] ปรากฏหลักฐานในคำประพันธ์บทหนึ่งความว่า:– "ฉันทพากย์เพลงโคลงคล่อง สองหลวงว่องโวหาร ชาญภูเบศร์สมญา ลิขิตปรีชาเฉลียวอรรถ เจนแจ้งจัดทุกอัน ร่วมสังสรรค์เสาวพจน์"[11] จารึกวัดโพธิ์ได้รับการขึ้นทะเบียน มรดกความทรงจำของโลก[12][13] เมื่อ พ.ศ. 2551 โดย คณะกรรมการองค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก)
คำโคลงจารึกวัดโพธิ์ ที่หลวงลิขิตปรีชา (คุ้ม) เป็นผู้แต่ง ปรากฏว่ามีดังนี้
จารึกโคลงภาพฤๅษีดัดตน[14]
ท่าที่ 27 ท่าดัดตนแก้อาการลมชักปากเบี้ยว ลมลิ้นตาย ลมเท้าเหน็บ ลมมือเหน็บ
ท่าที่ 40 ท่าดัดตนแก้เท้าเย็นสบาย ใจสวิงสวาย
จารึกโคลงภาพคนต่างภาษา
แผ่นที่ 31 ภาพเขมร[15]
แผ่นที่ 32 ภาพลิ่วขิ่ว[16]
จารึกเพลงยาวกลบทและกลอักษร
แผ่นที่ 8 กลบทกินรเกบบัว
แผ่นที่ 20 กลบทพระจันท์ธรงกลด
แผ่นที่ 39 กลบทก้านต่อดอก
หลวงลิขิตปรีชา (คุ้ม) เป็นผู้แต่งศิลาจารึกศาลเจ้าหลักเมืองพระตะบองในระหว่างที่เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี)ทำการบูรณะสร้างกำแพงเมืองพระตะบองขึ้นใหม่ระหว่างสงครามอานามสยามยุทธ เป็นโครงสี่สุภาพสลับกาพย์ฉบับ 16 โดยคำประพันธ์ที่จารึกผนังด้านทิศตะวันออกมีระบุบรรดาศักดิ์เป็นหลวงลิขิตปรีชาเป็นผู้แต่ง ซึ่งณัฐวุฒิ สุทธิสงคราม ราชบัณฑิตประเภทประวัติศาสตร์ ระบุว่า หลวงลิขิตปรีชา เจ้ากรมพระอาลักษณ์ผู้นี้มีนามเดิมว่า คุ้ม กวีในสมัยรัชกาลที่ 3 เป็นผู้แต่งโคลงดังกล่าว
ตัวอย่างคำประพันธ์
๏ อาลักษณ์ศักดิ์ยศพร้อง | สมญา | |
หลวงลิขิตปรีชา | ชื่ออ้าง |
นิพนธ์สรรพ์พจนา | โคลงพากย์ ฉันท์เอย | |
แนะตรนักนามป้อมสร้าง | สฤษดิ์ไว้เปนเฉลิม ฯ |
๏ ป้อมนารายน์นารายน์ทรง | จักรแก้วฤทธิรงค์ | |
ประหารประหัตดัษกร |
ป้อมเสือเสือร้ายแรงขจร | ในด้าวดงดอน | |
จัตุบาทฤๅอาจเทียบทัน ฯ | ||
— ศิลาจารึกศาลเจ้าหลักเมืองพระตะบอง |
ส่วนคำประพันธ์ในจารึกผนังด้านทิศตะวันตก กล่าวถึงเหตุการณ์สร้างเมืองพระตะบองและยังกล่าวถึงการอธิษฐานขอให้เทพยดาช่วยรักษาคุ้มครองเมือง ซึ่งศิลาจารึกส่วนนี้เป็นของเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์) เนื่องด้วยเป็นพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 โปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์) สร้างเมืองไว้เพื่อป้องกันศัตรู
ตัวอย่างคำประพันธ์
๏ ปางปิ่นอดิศวร | ผู้ทรง ทศพิธธำรง | |
จารีตราชประเพณี |
เฉลิมดิลกพิภพศรี | อยุทธเยศบุรี | |
พระเกียรติเกริ่นธราดล ฯ |
๏ สถิตยพระโรงรัตนโสภณ | พร้อมหมู่มุขมน– | |
ตรีชุลีกรเดียรดาษ |
บัดเอื้อนราโชยงการประภาษ | สั่งตูข้าบาท | |
ผู้รองเบื้องมุลิกา ฯ | ||
— ศิลาจารึกศาลเจ้าหลักเมืองพระตะบอง |
สุริยพันธ์คำกลอนเป็นพระนิพนธ์ของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระสมมตอมรพันธุ์ ทรงพระนิพนธ์ขึ้นในรัชกาลที่ 4 ขณะยังทรงดำรงพระยศเป็นกรมหมื่นสมมตอมรพันธุ์ ทรงพระนิพนธ์ครั้งแรกเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม ร.ศ. 131 (พ.ศ. 2431) ปรากฏว่าหลวงลิขิตปรีชา (คุ้ม) เจ้ากรมพระอาลักษณ์ในขณะนั้นเป็นหนึ่งในกวีที่ได้ร่วมแต่งคำกลอนลงในพระนิพนธ์นี้ด้วยโดยมีปรากฏคำกล่อนใน สุริยพันธ์คำกลอน[20] ตอนที่ 5 ตอนที่ 8 ตอนที่ 9 ตอนที่ 12 และตอนที่ 21 เป็นต้น และเคยตีพิมพ์เผยแพร่ลงใน วารสารศิลปากร ฉบับปีที่ 4 เล่มที่ 5 วันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2494 - ฉบับ ปีที่ 8 เล่มที่ 12 วันที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2495 โดยสำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร
ตัวอย่างคำประพันธ์
๏ ฝ่ายพระสุริยพันธุ์พงศ์กษัตริย์ | ซึ่งวิบัติเรือแตกแยกสลาย | |
ลงเรือน้อยลอยไปไม่วางวาย | เอกากายผู้เดียวให้เปลี่ยวใจ |
ด้วยเวลาราตรีก็มืดมิด | ทั่วทุกทิศไม่เห็นสิ่งใดได้ | |
พายุกล้าสลาตันพรั่นฤทัย | โอ้ที่ไหนจะได้รอดตลอดคืน ฯ | |
— สุริยพันธ์คำกลอน ตอนที่ 5 |
เป็นคำโคลงสุภาษิตที่แสดงถึงคุณและโทษของเรื่องที่ตั้งกระทู้ความ เช่นว่า ความงาม ความรัก ความชัง ความเบื่อหน่าย เป็นต้น ซึ่งกรรมการหอพระสมุดวชิรญาณได้รวบรวมโคลงเหล่าให้เป็นเรื่องเดียวกัน เมื่อ พ.ศ. 2457 หลวงลิขิตปรีชา (คุ้ม) เจ้ากรมพระอาลักษณ์ ได้ร่วมแต่งโคลงนี้ในกระทู้ความเรื่อง ความอิจฉา
ตัวอย่างคำประพันธ์
๏ ความอิจฉาเกิดขึ้น | คนใด | |
พาจิตรไม่ผ่องใส | สดชื่น |
มักงุ่นง่านทยานใจ | เจียนคลั่ง | |
เพราะตฤกตรองตื้นตื้น | ต่ำช้าตนเฉา ฯ | |
— โคลงความอิจฉา |
เป็นเพลงยาวมีความยาว 27 บท หลวงลิขิตปรีชา (คุ้ม) เจ้ากรมพระอาลักษณ์ ร่วมแต่งกับนายนาน บางขุนพรหม ถูกตีพิมพ์ครั้งแรกใน วารสารวชิรญาณวิเศษ[22] หมวดนิทานคำกลอน เล่ม 8 แผ่นที่ 20 ฉบับวันพฤหัสบดีที่ 23 กุมภาพันธ์ รัตนโกสินทร์ศก 111 ตรงกับ พ.ศ. 2435 และถูกตีพิมพ์อีกครั้งในหนังสือ นิทานวชิรญาณ เล่ม 1[23] เมื่อ พ.ศ. 2555 โดยสำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร
นิราศสรวมครวญเป็นวรรณคดีสมัยรัตนโกสินทร์ ประกอบด้วยโคลงสุภาพชาตรีจำนวน 186 บท และใช้ร่ายสุภาพปิดท้ายโคลงนิราศซึ่งหลวงลิขิตปรีชา (คุ้ม) ร่วมแต่งกับขุนสาราบรรจง ขุนจำนงสุนธร และนายเวรจำลอง ภายหลังหม่อมเจ้าจันทร์จิรายุวัฒน์ รัชนีได้ตรวจสอบ ชำระใหม่และเขียนเพิ่มเติมเป็นฉบับ นรินทร์จัน-ประชันนรินทร์อิน ทรงใช้นามปากกาว่า พ.ณ.ประมวญมารค
ตัวอย่างคำประพันธ์
๏ เทเวนทรวาสุเทพท้าว | ผทมสินธุ์ | |
อ่อนอาสน์อุรัคคินทร์ | ค่ำเช้า |
ทรงสังข์จักราจิณ | เจนหัตถ์ | |
หลับอย่าลืมละเจ้า | ปิ่นไท้ผไทสยาม ฯ | |
— นิราศสรวมครวญ |
ตำรา จินดามณี ฉบับหลวงลิขิตปรีชา เป็นตำราภาษาไทยมีลักษณะเป็นฉันท์นมัสการว่าด้วยการใช้ตัว ส ศ ษ การไม้ม้วน ไม้มลาย การตัว ฤ ฤๅ ฦ ฦๅ การแจกลูกอักษร การแต่งฉันท์ โคลง รหัสอักษร ตัวอย่างโคลงมณฑกคติ กาพย์ก่อโคลง และโคลงกลบท และมีเรื่องกลอนเพลงยาวและกลอนบทละคร พบต้นฉบับบันทึกเป็นสมุดไทยเลขที่ ๒๓๙ โดยกรมศิลปากร[25]
เมื่อ พ.ศ. 2362 ตรงกับรัชกาลที่ 2 หลวงลิขิตปรีชา (คุ้ม) ได้ร่วมแปลและเป็นบรรณาธิการ เลียดก๊ก พงศาวดารจีน ปรากฏในย่อหน้าที่ 3 ของพงศาวดารว่า:- "ห้องสินแลในเลียดก๊กนั้น ว่าด้วยพระเจ้าบู๊อ่องครองเมืองทั้งปวงคิดทำศึกกัน ข้าพเจ้าหลวงลิขิตปรีชา เจ้ากรมอาลักษณ์ชำระขึ้นทูลเกล้า ฯ ถวาย"[26] พร้อมด้วยกวีดังนี้ ขุนมหาสิทธิโวหาร พระสัมพันธวงศ์เธอ กรมหมื่นนเรศร์โยธี หลวงญาณปรีชา เจ้าพระยายมราช เจ้าพระยาวงศาสุรศักดิ์ (แสง วงศาโรจน์) พระยาโชดึกราชเศรษฐี หลวงวิเชียรปรีชา ขุนท่องสื่อ จมื่นไวยวรนาถ นายเล่ห์อาวุธ และจ่าเรศ
ตำรานพรัตน์[27] ฉบับร้อยแก้วคือตำราว่าด้วยอัญมณี ได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ครั้งแรกใน งานบำเพ็ญพระกุศลฉลองพระชนมายุครบ ๖๐ พระพรรษาของสมเด็จพระปิตุจฉาเจ้า สุขุมาลมารศรี พระอัครราชเทวี เมื่อ พ.ศ. 2464 ในวาระต่อมาได้รับการตีพิมพ์ซ้ำอีกหลายครั้ง นับว่า ตำรานพรัตน์ ฉบับนี้เป็นฉบับที่แพร่หลายมากที่สุด[28] ซึ่งหลวงลิขิตปรีชา (คุ้ม) เป็นผู้แต่งตำรับพุทธศาสตร์ประกอบ ตำรานพรัตน์ ว่า "วชิรํ รัตตํ อินฺทนีลํ เวฬุริยํ รัตฺตกาฬมิสิสกํ โอทาตปีตมิสสฺกํ นีลํ ปุสฺสราคํ มุตตาหารญจาติ อิมานิ นวากาทีนิ รตนานิ ตฺสมา รตนชาติ โย อเนกวิธา นานาปเทเสสุ อุปปชฺชนตีติ เวทิตฺพพา" ทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ถอดความพระบาลี ว่า:–
อันว่ารัตนชาติทั้งหลายมีประการเป็นอันมากจะประมาณมิได้ มีแก้วเก้าประการเป็นอาทิ คือ แก้ววิเชียร ๑ แก้วแดง ๑ แก้วอินทนิล ๑ แก้วไพทูรย์ ๑ แก้วรัตกาลมิสก ๑ แก้วโอทาตปปิตมิสก ๑ นิลรัตน์ ๑ แก้วบุษราคัม ๑ แก้วมุกดาหาร ๑ แก้วทั้งเก้าประการมีพรรณต่างกัน แต่แก้ววิเชียรนั้นมีสีงามบริสุทธิ์ดังน้ำอันใส ตำราไสยศาสตร์ชื่อว่าเพชร นับถือว่าเป็นมงคล อันพราหมณ์ทั้งหลายนำมาใช้ให้ช่างเจียรนัยผูกเรือนธำมรงค์ประดับด้วยเนาวรัตน์จัดเอาเพชรตั้งเป็นปฐม อันว่าแก้วมีพรรณแดงงามสดใสยิ่งนักในตำราไสยศาสตร์สมมุติชื่อว่าปัทมราช ถ้ามีสีแดงอ่อนดังผลเมล็ดทับทิมสุกนั้นชื่อว่าทับทิมประดับเรือนธำมรงค์เนาวรัตน์เป็นที่สอง อันว่าแก้วอินทนิลมีพรรณผลนั้นเขียวเลื่อมประภัสสรดังแสงแห่งปีกแมลงทับประดับเรือนนพรัตน์เป็นที่สาม อันว่าแก้วไพทูรย์มีสีเหลืองเลื่อมพรายดังสีสรรพ์พรรณบุปผชาติทั้งหลายมีสีดอกทรึกเป็นอาทิ ประดับนับเข้าในเรือนนพรัตน์เป็นที่สี่ อันว่าแก้วอันมีสีดำและสีแดงเจือแกมกันดูงามสดใส สมมติว่ามีคุณอันพิเศษนำมาผูกเรือนธำมรงค์เนาวรัตน์จัดเป็นที่ห้า อันว่าแก้วอันมีสีขาวกับสีเหลืองเจือกันนั้นประดับเนาวรัตน์เป็นที่หก อันว่าแก้วอันมีสีขาวกับสีเหลืองเจือกันนั้นประดับเนาวรัตน์เป็นที่หก มีสีดอกอัญชันและดอกสามหาว ประดับเรือนเนาวรัตน์เป็นที่เจ็ด อันว่าบุษราคัม มีสีเหลืองเลื่อมประภัสสรดังสีวงแววหางปลาสลาด นัยหนึ่งมีสีดังหลังปู ประดับเรือนนพรัตน์เป็นที่แปด อันว่ามุกดาหารมีสีดังมุกอันเลื่อมพราย ดูงามเป็นที่จำเริญจักขุบุคคลอันเล็งแลดู ประดับเรือนพระธำมรงค์นพรัตน์เป็นที่เก้า[29]
โดยมีกวีในครั้งนั้นร่วมแต่ง ตำรานพรัตน์ ปรากฏว่ามี สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยุรวงศ์ (ดิศ บุนนาค) (ขณะยังเป็นพระยาสุริยวงศ์มนตรี) พระมหาวชิรธรรรม หลวงภักดีจินดาและนายชม รวมถึงบรรดากวีท่านอื่น ๆ ที่ได้ร่วมนิพนธ์กับหลวงลิขิตปรีชา (คุ้ม) ช่วงรัชกาลที่ 3 เช่น พระมหามนตรี (ทรัพย์) ขุนธนสิทธิ์ หมื่นพรหมสมพัตรสร หมื่นนิพนธ์อักษร ครูแจ้ง นายเกตุ นายช้าง นายนก นายพัต และกวีหญิงอีก 2 ท่านคือ คุณพุ่มและคุณสุวรรณ:–
ข้าพระพุทธเจ้า พระยาสุริยวงศ์มนตรี, พระมหาวชิรธรรรม, หลวงลิขิตปรีชา, หลวงภักดีจินดา, นายชม ปรึกษาพร้อมกับสอบตำราเพชรรัตน์ตำหรับพราหมณ์ ซึ่งหลวงภักดีจินดาได้เรียนไว้มาชำระเทียบต้องกันสามฉบับ พระมหาวิชาธรรนค้นพระบาลีพุทธศาสตร์ ประกอบกับตำราไสยศาสตร์ หลวงลิขิตปรีชาอาลักษณ์แต่งตำหรับพุทธศาสตร์ ประกอบกับตำราไสยศาสตร์ทูนเกล้าถวาย[30]
เมื่อ พ.ศ. 2368 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสุริยวงศ์ กรมหลวงพิเศษศรีสวัสดิสุขวัฒนวิไชย ได้จัดข้าทูลอองธุลีพระบาทสนองพระบัณฑูรสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพย์ กรมพระราชวังบวรสถานมงคล ให้ชำระคัมภีร์สาตรพยากรณ์ฤกษบนล่าง วิทธีวิชาไมยมนต์เลกยันต์แลอาถันข่มนาม และพระราชพิทธีข่มนามที่พยุหะ ซึ่งหลวงลิขิตปรีชา (คุ้ม) ได้ร่วมชำระตำรับ พระพิไชยสงคราม เมื่อวันพฤหัสบดี แรม 6 ค่ำ เดือน 8 ปีระกาสัพศก[31] เป็นตำราลับปกปิดที่สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 ทรงแต่งขึ้นเมื่อปีมะเมีย สัมฤทธิ์ศก ตรงกับ พ.ศ. 2041 โดยเชิญพระตำรับจำนวน 14 เล่ม ณ พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ในพระราชวังบวรสถานมงคล ความว่า:–
...พระเจ้าน้องยาเธอรับพระราชปริหาญ จัดข้าทูลละอองธุลีพระบาทผู้มีสติปัญญา ได้ พระยาบำเรอบริรักษ์ จางวางมหาดเล็ก ๑ พระมหาวิชาธรรม ๑ จางวาง ราชบัณฑิต ๑ หลวงลิขิตรปรีชา เจ้ากรมอาลักษณ์ ๑ หลวงสุธรรมาจารย์ ๑ พระโหราธิบดี จางวางโหร ๑ หลวงญาณเวท ๑ หลวงไตรเพทวิไศรย ๑ ขุนโลกยพรหมา ปลัดกลม ๑ รวม ๙ นาย พระเจ้าน้องยาเธอเป็นแม่กอง ครั้น ณ วัน ๕ ๖ฯ ๘ ปีระกาสัพศก พร้อมกัน ณ พระที่นั่งพุทไธสวรรค์ หลวงลิขิตรปรีชา เจ้ากรมพระอาลักษณ์ เชิญพระตำรับพระพิไชยสงครามข้างที่ออกมาเป็นสมุดพระราชตำรับ ๑๔ เล่ม ให้ลงมือจับชำระสอบสวนกันที่ฟั่นเฟือนวิปลาดซ้ำกันก็วงกาตกเต็มให้ถูกถ้วนแล้วขึ้นกราบทูลพระกรุณา ทุกเวลาเสด็จออกวถายสังฑภัตทาน ทรงฟังเทศนาเช้าเย็น ภอพระทัยบ้าง ทรงชำระวงกาดัดแปลงบ้าง โปรดให้ออกมาเรียบเรียงชำระใหม่บ้าง แต่ได้ชำระพระตำรับพระพิไชยสงคราม ณ วัน ๕ ๖ฯ ๘ จุลศักราช ๑๑๘๗ ปีระกาสัพศก จนถึง ณ วัน จึงสำเร็จ ให้คัดส่งเข้าไว้ข้างที่ฉบับหนึ่งไว้ ณ หอหลวงฉบับหนึ่ง...[32]
หลวงลิขิตปรีชา (คุ้ม) รับสั่งจากเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) ให้แปลหนังสืออักษรญวนออกเป็นไทย พร้อมนำสำเนาแปลหนังสือญวนคำให้การของพญาราชเดชกับพญาธนาธิบดีขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณาฯ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รวมทั้งให้เป็นผู้พาพญาราชเดชกับพญาธนาบดี องค์ญวนของสมเด็จพระหริรักษ์รามมหาอิศราธิบดี (พระองค์ด้วง) ทั้ง 2 องค์เข้ามาแจ้งราชการที่กรุงเทพด้วย เมื่อแปลเสร็จแล้วหลวงลิขิตปรีชา (ปลอบ) นำหนังสือบอก และสำเนาแปลหนังสือญวนคำให้การของพญาราชเดชกับพญาธนาธิบดี ขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณาฯ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อทรงทราบแล้ว ทรงพระกรุณาตรัสเหนือเกล้าฯ ว่า:–
ตั้งแต่แผ่นดินเทียวตรีมา ๗ ปี ได้ทรงฟังแต่หนังสือขุนนางญวนแม่ทัพซึ่งมีไปมาถึงเจ้าพญาบดินทรเดชา ก็เห็นเป็นปากร้ายตามทำนองแต่ก่อน พึ่งจะได้ทรงทราบสำนวนเจ้าเทียวตรีรู้ทำนองครั้งนี้ เห็นเป็นปากกล้าใจอ่อนผิดกับทำนองเจ้ามินมาง, เจ้าญาลอง, ทรงพระราชดำริราชการเมืองเขมรเข้าพระทัยว่า ทำนองญวนก็จะเหมือนกันกับทำนองแต่ก่อน ที่ไหนจะให้กลับมาให้สมคิดสมหมายง่าย ๆ พระราชดำริผิดไปแล้ว เจ้าพญาบดินทรเดชา ฯ คิดราชการถูกอุตส่าห์พวกเพียรจนสำเร็จได้ตามความปรารถนา ด้วยเดชะพระบารมีพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวที่จะได้ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ให้ตั้งอยู่ในเมืองเขมรฐีติการ ควรที่จะยินดีรับขวัญเอา ได้มาเถิงเมืองพร้อมเมืองแล้วก็กระหมวดไว้ให้หมั่น แต่ญวนเอาเมืองเขมรของเราไปตั้งแต่ปีวอกจัตวาศนับได้ถึง ๓๖ ปีแล้ว พึ่งได้ คืนมาเป็นของเราเมื่อ ณ วัน ๕ ๗ ค่ำ ปีมะแมนพศก และเจ้าพญาบดินทรเดชาฯ ออกไปลำบากกรากกรำคิดราชการจะเอาเมืองเขมรคืนตั้งแต่ปีมะเส็งเบ็ญจศกช้านานถึง ๑๕ ปี อุปมาเหมือนหนึ่งว่ายน้ำอยู่กลางพระมหาสมุทรไม่เห็นเกาะเห็นฝั่ง พึ่งจะได้้[33][34]
หลวงลิขิตปรีชา (คุ้ม) เจ้ากรมพระอาลักษณ์รับสั่งให้ชำระตำราร่วมกับขุนจำนงสุนทร ปลัดกรม เมื่อวันพฤหัสบดีเดือนสิบขึ้นห้าค่ำ ปีชวดจัตวาศก ตรงกับวันที่ 19 สิงหาคม ในสมัยรัชกาลที่ 4
ประชุม พระราชปุจฉาในชั้นกรุงรัตนโกสินทร์ ตั้งแต่รัชกาลที่ ๑-รัชกาลที่ ๕ เป็นหนังสือประชุมพระราชปุจฉาที่พระเจ้าแผ่นดินมีพระราชดำรัสถามข้ออรรถธรรมที่ทรงสงสัยให้พระราชาคณะประชุมถวายวิสัชนา เมื่อ พ.ศ. 2367 พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรรหารให้หาหลวงลิขิตปรีชา (คุ้ม) เจ้ากรมพระอาลักษณ์ฝ่ายพระราชวังบวรสถานมงคลเข้าเฝ้าทูลลองธุลีพระบาทเพื่อนำข้อความพระราชปุจฉา เช่น ข้ออรรถธรรมว่าด้วยเถรวาทผู้แต่งคัมภีร์อัตโนมัติเรื่องมารวิชัย และทศโพธิสัตว์แอบอ้างเอาพระพุทธฎีกาจะเป็นกล่าวพระพุทธวจนะหรือไม่ ถวายนิมนต์เจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราชให้วิสัชนา ณ วัน 6 แรม 6 ค่ำเดือน 12 วานรสังวัจฉรนักษัตรฉศก ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2367:–
จึงมีรับสั่งโปรดดำรัสเหนือเกล้าฯ ให้พระมหาวิชาธรรม หลวงลิขิตปรีชา นำข้อความพระราชปุจฉานั้นออกไปเผดียงแก่สมเด็จพระสังฆราช ให้ประชุมพระราชาคณะผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งปวงพร้อมกันวิสัชนา จึงจะหายความสงสัย[36]
หลวงลิขิตปรีชา (คุ้ม) ได้ร่วมแต่งเพลงยาวกลบทและกลอักษรกับพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว หลวงนายชาญภูเบศร์ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสุทัศน์ กรมหมื่นไกรสรวิชิต ขุนธนสิทธิ์และจ่าจิตร์นุกูล
พระราชพงศาวดาร ฉบับสมเด็จพระพนรัตน์ วัดพระเชตุพน ฉบับตัวเขียน เป็นพระสมุดพระราชพงศาวดารสมุดไทย 42 เล่ม มีเนื้อเรื่องตั้งต้นแต่พระเจ้าเชียงราย (พระเจ้าชัยศิริ) มาสร้างเมืองไตรตรฤง (เมืองไตรตรึงส์) แล้วพระเจ้าศิริไชยเชียงแสนสร้างเมืองเทพนคร พระเจ้าอู่ทองสร้างกรุงศรีอยุธยาจนขุนพิเรนคิดการจะจับขุนวรวงศาธิราช จนถึงจนถึงนายบุญเรืองเผาตัวตายที่วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหารเมื่อปี พ.ศ. 2333 ซึ่งพระอาลักษณ์ฝ่ายพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า) รัชกาลที่ 4-5 ได้แบ่งกันคัดลอก โดยมี หลวงลิขิตปรีชา (คุ้ม) เจ้ากรมพระอาลักษณ์ ขุนสาราบรรจง ปลัดกรมจำลอง และขุนจำนงสุนทร ปลัดกรม ปรากฏในปกหน้าสมุดไทย พระราชพงศาวดาร ฉบับสมเด็จพระพนรัตน์ วัดพระเชตุพนฉบับตัวเขียน ว่า:–
๏ ข้าพระพุทธเจ้าขุนษาราบันจงปลัดกรมจำลอง หลวงลิขิตปรีชาเจ้ากรม ขุนจำนงสุนทรปลัดกรม ธารทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายขอเดชะ ๚ะ[37]
สมัยรัชกาลที่ 3 ขณะนั้นเกิดสงครามอานามสยามยุทธระหว่างเขมร และญวน เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) ได้จัดกองทัพเพื่อยกไปเมืองพระตะบอง[39] ใกล้กับจังหวัดจันทบุรี ณ วันเดือนยี่ ปีกุนเอกศก
กรมอาลักษณ์ซึ่งหลวงลิขิตปรีชา (คุ้ม) เจ้ากรมขณะนั้นเป็นนายทัพ พร้อมเสื้อพระราชทานนายทัพ ดอกถี่ 1 ชุด ได้จัดบัญชีแก่กองทัพเจ้าคุณจำนวน 2 คน เป็นนาย 1 คน และไพร่ 1 คน และขุนสาราบรรจง ปลัดกรมขวา เป็นนายกอง พร้อมเสื้อพระราชทานนายกอง ดอกลาย 1 ชุด จัดกำลังขุนหมื่นในกรมจัดกำลังจำนวน 25 คน ประกอบด้วยขุนหมื่นในกรม 7 คน ช่างสมุด 6 คน ช่างสมุดเลว 9 คน นาย 2 คน และ ไพร่ 1 คน ตามลำดับ ดังปรากฏใน ประชุมพงศาวดาร เล่ม 42 ภาคที่ 66 (ต่อ) – 67 เรื่อง จดหมายเหตุรายวันทัพสมัยกรุงธนบุรี เล่าเรื่องไปชะวา ครั้งที่ 3 ฉบับที่ 2 บัญชีกองทัพเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) เมื่อยกไปเมืองพระตะบอง หน้า 180 วรรคที่ 2 ความว่า:–
กรมอาลักษณ์ หลวงลิขิตปรีชา นาย ๑ ไพร่ ๑ เป็น ๒ ขุนสาราบรรจง ๑ ขุนหมื่นในกรม ๗ ช่างสมุด ๖ เป็น ๑๓ ช่างสมุดเลว ๙ นาย ๒ ขุนหมื่น ๒๒ เป็น ๒๔ ไพร่ ๑ เป็น ๒๕[40]
หมายเหตุ: บรรดาศักดิ์ หลวงลิขิตปรีชา ปรากฏในทำเนียบตำแหน่งข้าราชการฝ่ายพระราชวังบวรสถานมงคลซึ่งเป็นทำเนียบในสมัยพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว[44] จนถึงรัชสมัย กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ ทรงเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคลองค์สุดท้ายในสมัยรัตนโกสินทร์[45] บรรดาศักดิ์เจ้ากรมพระอาลักษณ์หลังรัชกาลที่ 5 ล้วนเป็น พระยาศรีสุนทรโวหาร[46] และกองรายงานหนังสือไปมา กรมราชเลขานุการ ปรากฏบรรดาศักดิ์ เป็น พระยาศรีราชอักษร[47] กระทั่ง ปี พ.ศ. 2475 กรมพระอาลักษณ์ ยุบเลิกตำแหน่งไปอยู่กับคณะรัฐมนตรี[48]
หมายเหตุ:พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสวัสดิประวัติ กรมพระสมมตอมรพันธ์ กรมราชเลขานุการในขณะนั้นรับพระบรมราชโองการใส่เกล้า ฯ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์แก่ข้าราชการกรมพระอาลักษณ์ในรัชกาลก่อนมาจนถึงปีวอกวัตวาศกศักราช 123 ในงานพระราชพิธีสมภาคาภิเษก โดยหมายให้ข้าราชการมาบอกบัญชีที่กรมพระอาลักษณ์ หมายวันที่วันที่ 18 สิงหาคม 2444 โดยให้มาแจ้งความที่หม่อมนิวัทธอิศรวงษ์ (หม่อมราชวงศ์พยอม อิศรศักดิ์) ณ กรมพระอาลักษณ์ ให้จดบัญชีชื่อตั้งชื่อเดิม และรับตำแหน่งยศเป็นที่อะไร ปีใด ศักราชใด ให้เสร็จภายในวันที่ 10 กันยายน รัตนโกสินทร์ศก 122 (พ.ศ. 2446)[49][50] สำหรับตำแหน่งเจ้ากรมพระอาลักษณ์โปรดเกล้า ฯ พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ (ต.ช.) (ป.ม.) ประจำตำแหน่ง เหรียญราชอิสริยาภรณ์ (ร.ด.ม.) และ (ร.บ.ม.) สำหรับนักกวี ส่วน (ร.จ.พ.) กรณีที่รับราชการมามากกว่า 25 ปี สำหรับเครื่องราชอิสรยาภรณ์จุลจอมเกล้าโปรดเกล้าฯ พระราชทานให้สำหรับตำแหน่งเจ้ากรมพระอาลักษณ์ (ชั้น ท.จ.) และร่วมทำหน้าที่ราชการทหาร การสงคราม (ต่อมารัชกาลภายหลังโปรดเกล้าฯ พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดีแทน)
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.