วัคซีนไข้หวัดใหญ่
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
วัคซีนไข้หวัดใหญ่ หรือ วัคซีนไข้หวัดใหญ่ประจำปี เป็นวัคซีนชนิดหนึ่งมีฤทธิ์สร้างภูมิคุ้มกันต่อไวรัสไข้หวัดใหญ่[3] เนื่องจากไวรัสไข้หวัดใหญ่มีการเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์ได้ง่ายและบ่อย จึงมีการผลิตวัคซีนไข้หวัดใหญ่ออกมาปีละ 2 ครั้ง[3] ผลของวัคซีนนี้แตกต่างกันไปในแต่ละปี แต่โดยรวมแล้วถือว่าป้องกันการติดไข้หวัดใหญ่ได้ผลดี[3][4] ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐประมาณการว่าการให้วัคซีนป้องกันไวรัสไข้หวัดใหญ่สามารถลดจำนวนผู้ป่วย จำนวนครั้งของการเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล และจำนวนผู้เสียชีวิตจากไข้หวัดใหญ่ได้จริง[5][6] คนงานที่ได้รับวัคซีนเมื่อติดโรคไข้หวัดใหญ่แล้วสามารถกลับมาทำงานได้เร็วกว่าคนที่ไม่ได้รับวัคซีนประมาณครึ่งวันโดยเฉลี่ย[7] ข้อมูลเกี่ยวกับผลของวัคซีนในคนที่อายุมากกว่า 65 ปียังไม่มีข้อสรุปที่แน่ชัด เนื่องจากยังขาดงานวิจัยที่มีคุณภาพสูงมายืนยันผล[8][9] การให้วัคซีนกับเด็กอาจมีผลช่วยป้องกันโรคไปยังคนรอบข้างด้วย[3]
![]() สมาชิกกองทัพเรือสหรัฐรับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ | |
รายละเอียดวัคซีน | |
---|---|
โรคที่เป็นข้อบ่งชี้ | ไวรัสไข้หวัดใหญ่ |
ชนิด | เชื้อตาย, เชื้อลดฤทธิ์, สายผสม |
ข้อมูลทางคลินิก | |
ชื่อทางการค้า | Afluria, Fluarix, Fluzone, อื่น ๆ |
AHFS/Drugs.com | Inactivated: โมโนกราฟ Intranasal: โมโนกราฟ Recombinant: โมโนกราฟ |
ระดับความเสี่ยงต่อทารกในครรภ์ | |
ช่องทางการรับยา | ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ, จมูก, ชั้นผิวหนัง |
รหัส ATC | |
กฏหมาย | |
สถานะตามกฏหมาย | |
ตัวบ่งชี้ | |
เลขทะเบียน CAS | |
ChemSpider |
|
KEGG | |
![]() |
การสร้างภูมิคุ้มกันต่อไข้หวัดใหญ่ด้วยวัคซีนเริ่มมีขึ้นในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1930 และการให้วัคซีนเป็นวงกว้างในสหรัฐเริ่มมีขึ้นครั้งแรกเมื่อ ค.ศ. 1945[10][11] วัคซีนนี้มีชื่ออยู่ในรายการยาพื้นฐานขององค์การอนามัยโลก[12]
องค์การอนามัยโลก (WHO) และศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐ (CDC) แนะนำให้ทุกคนที่มีอายุมากกว่า 6 เดือน โดยเน้นไปที่กลุ่มเสี่ยง[3][13][14][15] ได้รับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ทุกปี ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งยุโรป (ECDC) ก็แนะนำให้กลุ่มเสี่ยงได้รับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ทุกปี[16] กลุ่มเสี่ยงเหล่านี้ได้แก่ หญิงตั้งครรภ์ ผู้สูงอายุ เด็กอายุ 6 เดือนถึง 5 ปี ผู้มีโรคประจำตัว และผู้ให้บริการในระบบบริการสุขภาพ[3][15]
วัคซีนนี้ถือว่าเป็นวัคซีนที่มีความปลอดภัย เด็กทีได้รับวัคซีนนี้จะมีไข้ประมาณ 5-10% และอาจมีอาการปวดกล้ามเนื้อหรือรู้สึกไม่สบายตัวได้ชั่วคราว ในบางปีจะพบว่าวัคซีนเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดกลุ่มอาการกิลแลงบาร์เรในผู้สูงอายุในสัดส่วน 1 คน ต่อ 1 ล้านคนที่รับวัคซีน[3] แม้วัคซีนไข้หวัดใหญ่จำนวนมากจะยังใช้ไข่เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการผลิตวัคซีน แต่ก็ไม่มีข้อห้ามทางการแพทย์ไม่ให้ผู้ที่มีภูมิแพ้ไข่ได้รับวัคซีนนี้[17] แต่มีข้อห้ามทางการแพทย์ไม่ให้ผู้ที่เคยแพ้วัคซีนไข้หวัดใหญ่อย่างรุนแรงมาก่อนเข้ารับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ในปีต่อ ๆ ไป[3][17] วัคซีนแบ่งออกเป็นชนิดเชื้อเป็นและชนิดเชื้อตาย โดยชนิดเชื้อเป็นจะมีเชื้อไวรัสที่ถูกทำให้อ่อนฤทธิ์ ไม่แนะนำให้ใช้กับหญิงตั้งครรภ์, เด็กอายุน้อยกว่า 2 ปี, ผู้ใหญ่อายุมากกว่า 50 ปี, และผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง[3] วิธีการให้วัคซีนจะแตกต่างกันไปขึ้นกับชนิดของวัคซีน โดยมีทั้งการฉีดเข้ากล้ามเนื้อ การพ่นจมูก และการฉีดเข้าชั้นผิวหนัง (intradermal)[3] โดยวัคซีนชนิดฉีดเข้าชั้นผิวหนังไม่มีการผลิตออกมาใช้สำหรับรอบฤดูกาลการระบาดปี 2018-2019 และ 2019-2020[18][19][20]
การใช้ทางการแพทย์
ประสิทธิผล
2004 | 10% |
---|---|
2005 | 21% |
2006 | 52% |
2007 | 37% |
2008 | 41% |
2009 | 56% |
2010 | 60% |
2011 | 47% |
2012 | 49% |
2013 | 52% |
2014 | 19% |
2015 | 48% |
2016 | 40% |
2017 | 38% |
2018 | 29% |
2019 | 45% est |
โดยปกติแล้วการประเมินผลวัคซีนจะใช้ทั้งค่าประสิทธิศักย์ (efficacy) ซึ่งหมายถึงอัตราที่วัคซีนลดความเสี่ยงของการเกิดโรคได้ในสภาพควบคุม เช่นที่เกิดขึ้นในการทดลองทางคลินิก และประสิทธิผล (effectiveness) ซึ่งหมายถึงอัตราที่วัคซีนลดความเสี่ยงของการเกิดโรคเมื่อนำไปใช้จริง[24] ในกรณีของวัคซีนไข้หวัดใหญ่คาดได้ว่าประสิทธิผลของวัคซีนเมื่อนำไปใช้จริงจะมีค่าต่ำกว่าประสิทธิศักย์ที่ได้จากการทดลองเป็นพิเศษเนื่องจากข้อมูลการป่วยไข้หวัดใหญ่ที่นำมาคำนวณเป็นประสิทธิผลจะคิดจากจำนวนผู้ป่วยที่มีอาการป่วยคล้ายไข้หวัดใหญ่ ซึ่งจะนับรวมผู้ป่วยบางรายที่ไม่ได้ป่วยจากการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่เข้าไปด้วย[7]
การแนะนำ
องค์การทางสาธารณสุขต่างๆ รวมทั้งองค์การอนามัยโลก ได้แนะนำให้ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่อการป่วยภาวะแทรกซ้อนของไข้หวัดใหญ่ และผู้ดูแลหรืออาศัยอยู่ใกล้ผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยง ได้รับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ประจำปี ทุกปี ซึ่งผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงเหล่านี้ได้แก่
- ผู้สูงอายุ
- ผู้ป่วยโรคปอดเรื้อรัง เช่น หอบหืด ปอดอุดกั้นเรื้อรัง ถุงลมโป่งพอง ฯลฯ
- ผู้ป่วยโรคหัวใจเรื้อรัง เช่น หัวใจพิการแต่กำเนิด หัวใจวายเรื้อรัง โรคหัวใจขาดเลือด
- ผู้ป่วยโรคตับเรื้อรัง เช่น ตับแข็ง
- ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง เช่น ไตวายเรื้อรัง กลุ่มอาการเนโฟรติก
- ผู้ป่วยภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น ผู้ติดเชื้อเอชไอวี ผู้ป่วยเอดส์ ผู้ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน เคมีบำบัด ได้รับสเตียรอยด์ระยะยาว และผู้ที่ดูแลผู้ป่วยเหล่านี้
- ผู้ที่อาศัยอยู่รวมกันเป็นจำนวนมากซึ่งไข้หวัดใหญ่อาจระบาดได้รวดเร็ว เช่น ในคุก สถานดูแล โรงเรียน หอพัก ค่ายทหาร
- ผู้ให้บริการทางสาธารณสุข เพื่อไม่ให้เจ็บป่วย และไม่ให้นำโรคไปติดผู้ป่วย
- หญิงตั้งครรภ์ (บทวิเคราะห์ พ.ศ. 2553 สรุปแล้วว่ายังไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะแนะนำให้มีการให้วัคซีนไข้หวัดใหญ่ชนิดรวม 3 เชื้อแก่หญิงตั้งครรภ์ไตรมาสแรกทุกคนเป็นพื้นฐาน)
- เด็กอายุ 6 เดือนถึง 2 ปี
อ้างอิง
อ่านเพิ่ม
แหล่งข้อมูลอื่น
Wikiwand - on
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.