คำถามยอดนิยม
ไทมไลน์
แชท
มุมมอง
ภาษาละติน
ภาษาในตระกูลอินโด-ยูโรเปียน จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
Remove ads
ภาษาละติน (อังกฤษ: Latin; ละติน: latīnum, [laˈt̪iːnʊ̃] หรือ lingua latīna, [ˈlɪŋɡʷa laˈt̪iːna]) เป็นภาษาคลาสสิก ซึ่งอยู่ในกลุ่มย่อยของกลุ่มภาษาอิตาลิก ในตระกูลภาษาอินโด-ยูโรเปียน เดิมเป็นภาษาที่มีถิ่นกำเนิดในที่ราบลาติอูง (หรือ แคว้นลัตซีโย ในปัจจุบัน) ซึ่งเป็นพื้นที่ทางตอนล่างของแม่น้ำไทเบอร์รอบ ๆ กรุงโรมในปัจจุบัน[1] ด้วยอิทธิพลของสาธารณรัฐโรมัน ภาษาดังกล่าวจึงกลายเป็นภาษาที่มีบทบาทสำคัญในคาบสมุทรอิตาลี และแพร่หลายต่อมาในยุคของจักรวรรดิโรมัน แม้จะเกิดเหตุการณ์ล่มสลายของจักรวรรดิโรมันตะวันตกขึ้น แต่ภาษาละตินก็ยังเป็นภาษากลางสำหรับการสื่อสารระหว่างประเทศ สาขาวิทยาศาสตร์ การศึกษา และสาขาวิชาการในยุโรป จนกระทั่งศตวรรษที่ 18 เมื่อภาษาท้องถิ่นในแต่ละภูมิภาค (รวมถึงภาษาลูกหลานของตนอย่าง กลุ่มภาษาโรมานซ์) ก็ได้เข้ามาแทนที่ในฐานะบทบาทของภาษาวิชาการทั่วไปและภาษาราชการ ในปัจจุบันภาษาละตินมีสถานะเป็น "ภาษาที่สูญแล้ว" (dead language) ตามคำจำกัดความในยุคสมัยใหม่ หมายถึง ภาษาที่ไม่มีผู้พูดในฐานะภาษาหลักแล้ว แม้ว่าจะมีการใช้อยู่อย่างแพร่หลายและสม่ำเสมอก็ตาม
Remove ads
ภาษาละตินเป็นภาษาที่มีการผันคำหลากหลาย โดยมีเพศทางไวยากรณ์ที่แตกต่างกันถึงสามเพศ (บุรุษเพศ สตรีเพศ และเพศกลาง) มีการผันการกมากถึง 6 หรือ 7 การก (ได้แก่ กรรตุการก กรรมการก สัมปทานการก สัมพันธการก อปาดานการก สวรการก และ อธิกรณการก) มีวิภัติปัจจัย 5 แบบ มีการเปลี่ยนรูปของคำ 4 แบบ กาล 6 กาล (ได้แก่ ปัจจุบันกาล อสมบูรณ์กาล อนาคตกาล สมบูรณกาล อดีตสมบูรณกาล และอนาคตสมบูรณ์กาล) บุรุษ 3 แบบ มาลา 3 แบบ ประโยค 2 แบบ (ได้แก่ ประโยคที่ประธานเป็นผู้ถูกกระทำ และประโยคที่ประธานเป็นผู้กระทำ) การณ์ลักษณะ 2 ถึง 3 แบบ และมีพจน์ 2 พจน์ (ได้แก่ เอกพจน์ และพหูพจน์) โดยชุดตัวอักษรละตินได้หยิบยืมมาจากชุดตัวอักษรอิทรัสคันและชุดตัวอักษรกรีกโดยตรง
ในช่วงท้ายของยุคสาธารณรัฐโรมัน (75 ปีก่อนคริสตกาล) ภาษาละตินเก่าได้รับการจัดระบบให้มีมาตรฐานเป็นภาษาละตินคลาสสิก และมีภาษาละตินสามัญ (Vulgar Latin) เป็นภาษาพูดซึ่งมีมาตรฐานน้อยกว่า โดยมีหลักฐานอยู่ในคำจารึกและงานเขียนของนักเขียนบทละครตลกอย่าง เปลาตุส และ แตแรนติอุส[2] รวมถึงนักประพันธ์อย่าง แปโตรนิอุส ภาษาละตินตอนปลายเป็นภาษาเขียนในคริสตศตวรรษที่ 3 และภาษาละตินในภูมิภาคต่าง ๆ ก็ได้วิวัฒนาการไปเป็นกลุ่มภาษาโรมานซ์ ในช่วงคริสตศตวรรษที่ 6 ถึงคริสตศตวรรษที่ 9 ในท้ายที่สุด
ต่อมาในยุคกลางไม่มีผู้ใดใช้ภาษาละตินเป็นภาษาแม่อีกแล้ว แต่ถึงอย่างไรภาษาละตินในยุคกลางก็ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายทั่วภูมิภาคยุโรปตะวันตกและในคริสตจักรคาทอลิก นับตั้งแต่คริสตศตวรรษที่ 9 จนถึงสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา (Renaissance) ในฐานะของภาษากลางและภาษาวรรณกรรม ซึ่งก็ได้รับการพัฒนาให้มีมาตรฐานแบบแผนมากขึ้น เรียกว่า ภาษาละตินยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา (Renaissance Latin) และได้กลายเป็นรากฐานที่สำคัญให้กับกลุ่มภาษาละตินใหม่ (Neo-Latin) ในช่วงต้นยุคสมัยใหม่ ในช่วงเวลาเหล่านี้ ภาษาละตินถูกใช้ในการจดบันทึกและพูดอย่างแพร่หลาย อย่างน้อยก็จนถึงปลายศตวรรษที่ 17 ซึ่งเป็นช่วงที่ภาษาละตินได้รับความนิยมลดลง จนเหลือแค่การสอนให้อ่านเพียงอย่างเดียว
ถึงอย่างไรภาษาละตินก็ยังเป็นภาษาราชการของสันตะสำนักและพิธีกรรมโรมันของคริสตจักรคาทอลิก (Catholic Church) ที่นครรัฐวาติกันอยู่จนถึงปัจจุบัน คริสตจักรยังคงรักษาและพัฒนารูปแบบวิธีของภาษาให้มีความทันสมัยอยู่อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งมีส่วนช่วยในการสร้างความต่อเนื่องในการสืบทอดรูปแบบของภาษาละตินเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม ภาษาละตินในยุคปัจจุบัน มักถูกใช้ในการศึกษาเพื่ออ่านเขียนมากกว่าถูกนำไปใช้ในการพูด
ภาษาละตินเป็นภาษาที่มีอิทธิพลต่อภาษาอังกฤษมาตั้งแต่อดีต โดยเฉพาะตั้งแต่หลังจากการเปลี่ยนมานับถือคริสตศาสนาของชาวแองโกล-แอกซอนและการพิชิตอังกฤษของชาวนอร์มัน (Norman conquest) ทำให้คำศัพท์หลาย ๆ คำในพจนานุกรมภาษาอังกฤษ ถูกแทนที่ด้วยคำศัพท์ที่มีรากศัพท์มาจากภาษาละติน (รวมถึงภาษากรีกโบราณ) โดยคำศัพท์ส่วนใหญ่ที่ยืมมาใช้ในภาษาอังกฤษมักถูกใช้นำไปใช้ในสาขาวิชาเทววิทยา แวดวงวิทยาศาสตร์ (โดยเฉพาะ กายวิภาคศาสตร์ และ อนุกรมวิธาน) รวมไปถึง ทางการแพทย์ และสาขาวิชากฎหมาย
Remove ads
ความเป็นมา

มีการจัดแบ่งพัฒนาการของภาษาละตินไว้อย่างแตกต่างกัน ตามแต่ละช่วงสมัยในประวัติศาสตร์ ภาษาละตินในแต่ละยุคสมัยได้แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างกันไป ทั้งในด้านของการใช้คำศัพท์ อักขรวิธี สัณฐานวิทยา ไวยากรณ์ ฯลฯ ในที่นี้นักวิชาการได้ทำการวิจัยและศึกษาถึงคุณสมบัติที่แตกต่างกันของภาษาละตินผ่านการใช้งานในแต่ละยุคสมัย ตามการจำแนกชื่อให้แตกต่างกัน
นอกจากนี้ภาษาละตินคริสตจักร (Ecclesiastical Latin) ก็ยังเป็นรูปแบบอนุพันธ์ของภาษาละตินที่นักเขียนของคริสตจักรโรมันคาทอลิก (Roman Catholic Church) นิยมใช้งานมาตลอดทุกช่วงเวลาของประวัติศาสตร์ นับตั้งแต่ในช่วงปลายสมัยโบราณ เช่นเดียวกันกับนักวิชาการโปรเตสแตนต์
หลังจากการล่มสลายของจักรวรรดิโรมันตะวันตกในปี ค.ศ. 476 ชาวเจอร์แมนิกได้เข้ามาตั้งรกรากในอาณาจักรดั้งเดิมและนําภาษาละตินมาใช้งานสำหรับทางกฎหมายและอื่น ๆ ในกรณีที่เป็นทางการมากยิ่งขึ้น[3]
Remove ads
อิทธิพลของภาษาละติน
สรุป
มุมมอง
อิทธิพลทางวรรณคดี

งานเขียนของนักเขียนโบราณหลายร้อยคนในภาษาละติน มีหลงเหลืออยู่ในปัจจุบันเป็นจำนวนมาก และถูกศึกษาในปัจจุบันทั้งในสาขานิรุกติศาสตร์ และวรรณคดีคลาสสิก งานของพวกเขาถูกเผยแพร่ในรูปแบบของเอกสารหรือต้นฉบับตัวเขียน (manuscript) มาตั้งแต่ก่อนที่นวัตกรรมทางการพิมพ์จะถูกประดิษฐ์ขึ้น
วรรณกรรมในภาษาละตินมีทั้งในรูปของ เรียงความ ประวัติศาสตร์ บทกวี บทละคร และงานเขียนอื่น ๆ โดยเริ่มปรากฏตั้งแต่ราวศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสกาล และกลายมาเป็นภาษาวรรณกรรมหลักของโลกโรมันโบราณในอีกสองศตวรรษถัดมา ในขณะที่ชาวโรมันที่มีการศึกษาก็ยังอ่านและเขียนโดยใช้ภาษากรีกโบราณควบคู่กันไปด้วย (เช่น จักรพรรดิมาร์กุส เอาเรลิอุส ผู้ทรงนิพนธ์งานปรัชญาเป็นภาษากรีก) อาจจะกล่าวได้ว่าวรรณคดีในภาษาละตินก็คือการสืบเนื่องของวรรณกรรมกรีกโบราณ โดยชาวโรมันรับเอารูปแบบงานวรรณคดีของกรีซหลายอย่างมาใช้
เนื่องจากภาษาละตินเป็นภาษากลางในการสื่อสารของยุโรปตะวันตกจนกระทั่งถึงยุคกลาง วรรณคดีภาษาละตินจึงไม่ได้จำกัดอยู่แค่นักเขียนโรมัน เช่น คิเคโร เวอร์จิล โอวิด และโฮเรส เท่านั้น แต่ยังรวมถึงนักเขียนยุโรปที่ยังผลิตงานเขียนในภาษาละตินออกมาแม้อาณาจักรโรมันจะล่มสลายไปแล้ว ตั้งแต่นักเขียนด้านศาสนาอย่าง ธอมัส อไควนัส (1225 - 1274) จนถึงนักเขียนฆารวาสอย่าง ฟรานซิส เบคอน (1561 - 1626) บารุค สปิโนซา (1632 - 1677) และ ไอแซก นิวตัน (1642 - 1727)
อิทธิพลต่อภาษาที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน
Remove ads
สัทศาสตร์
สรุป
มุมมอง
การออกเสียงแบบโบราณของภาษาละตินได้รับการสืบสร้างทั้งตามข้อสันนิษฐานและหลักฐานการบันทึกไว้ของนักเขียนสมัยโบราณ ซึ่งให้ข้อสังเกตเกี่ยวกับการออกเสียง การสะกด การเล่นคำ และรากคำจากภาษาโบราณไว้ [4]
พยัญชนะ
ตารางหน่วยพยัญชนะของภาษาละตินคลาสสิก :[5]
ในภาษาละตินเก่าและภาษาละตินคลาสสิก จะไม่มีการแบ่งแยกความแตกต่างระหว่างอักษรตัวใหญ่ (uppercase) และตัวเล็ก (lowercase) หรือระหว่างตัวอักษร J, U, W แทนที่จะสะกดด้วยอักษร J, U ก็สามารถใช้ อักษร I, V สะกดแทนได้ตามลำดับ นอกจากนี้อักษร I, V ยังสามารถเป็นได้ทั้งสระและพยัญชนะ
เสียงสระ
สระเดี่ยว
สระประสมสองเสียง
Remove ads
ตัวอย่างภาษาละติน
- ตัวอย่างอักษรละตินในไบเบิล
- ป้ายสลักอักษรละติน ในมหาวิทยาลัย ในประเทศออสเตรีย
- พจนานุกรมภาษาละติน
อ้างอิง
บรรณานุกรม
แหล่งข้อมูลอื่น
Wikiwand - on
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Remove ads