Loading AI tools
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ดอมเพริโดน (อังกฤษ: Domperidone) ซึ่งขายในยี่ห้อรวมทั้ง Motilium และอื่น ๆ เป็นยาต้านหน่วยรับโดพามีนแบบดี2 (dopamine D2 receptor antagonist) และมีฤทธิ์อย่างเจาะจงนอกระบบประสาทกลาง (peripherally selective) ซึ่งพัฒนาขึ้นโดยบริษัทเบลเยียม Janssen Pharmaceutica และใช้เป็นยาแก้อาเจียน ยาโปรคิเนติก และยาขับน้ำนม[1][6][7] ยาสามารถให้ทางปากหรือทวารหนัก ในรูปแบบยาเม็ด ยาเม็ดละลายในปาก (โดยใช้เทคโนโลยี Zydis)[8] ยาน้ำโดยเป็นสารแขวนลอย และยาเหน็บ[9] ยาใช้สำหรับบรรเทาอาการคลื่นไส้และอาเจียน เพื่อเร่งขับอาหารผ่านกระเพาะลำไส้ (โดยเพิ่มการบีบตัวของทางเดินอาหาร) และเพื่อขับน้ำนมมารดาโดยมีผลให้หลั่งฮอร์โมน prolactin[1][7]
ข้อมูลทางคลินิก | |
---|---|
ชื่อทางการค้า | Motilium และอื่น ๆ |
AHFS/Drugs.com | Micromedex Detailed Consumer Information |
ระดับความเสี่ยงต่อทารกในครรภ์ |
|
ช่องทางการรับยา | ทางปาก ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ทางเส้นเลือดดำ (หยุดใช้แล้ว) เหน็บทางทวารหนัก[1] |
ประเภทยา | D2 receptor antagonist; Prolactin releaser |
รหัส ATC | |
กฏหมาย | |
สถานะตามกฏหมาย | |
ข้อมูลเภสัชจลนศาสตร์ | |
ชีวประสิทธิผล | ปาก: 13-17%[1][4] ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ: 90%[1] |
การจับกับโปรตีน | ~92%[1] |
การเปลี่ยนแปลงยา | ตับ (CYP3A4/CYP3A5 |
สารซึ่งได้หลังการเปลี่ยนแปลงยา | ทั้งหมดไร้ฤทธิ์[1][5] |
ครึ่งชีวิตทางชีวภาพ | 7.5 ชม.[1][4] |
การขับออก | อุจจาระ: 66%[1] ปัสสาวะ: 32%[1] นมมารดา: น้อย[1] |
ตัวบ่งชี้ | |
| |
เลขทะเบียน CAS | |
PubChem CID | |
IUPHAR/BPS | |
DrugBank | |
ChemSpider | |
UNII | |
KEGG | |
ChEBI | |
ChEMBL | |
ECHA InfoCard | 100.055.408 |
ข้อมูลทางกายภาพและเคมี | |
สูตร | C22H24ClN5O2 |
มวลต่อโมล | 425.911 กรัม/โมล g·mol−1 |
แบบจำลอง 3D (JSmol) | |
จุดหลอมเหลว | 242.5 องศาเซลเซียส (468.5 องศาฟาเรนไฮต์) |
SMILES
| |
InChI
| |
(verify) | |
รายงานปี 2007 ระบุว่า ยามีขายในประเทศ 58 ประเทศ[10] แต่ข้อบ่งใช้ยาจะต่างกัน เช่นในอิตาลี มันใช้รักษาโรคกรดไหลย้อน และในแคนาดา ยาให้ใช้รักษาโรคการบีบตัวของทางเดินอาหารส่วนบน (upper gastrointestinal motility disorder) และเพื่อกันอาการทางเดินอาหารที่เกิดเนื่องจากยารักษาโรคพาร์คินสัน (dopamine agonist antiparkinsonian agent)[11] ในสหราชอาณาจักร ยาให้ใช้เพียงเพื่อรักษาอาการคลื่นไส้อาเจียน และจำกัดให้ใช้เพียง 1 อาทิตย์
ในสหรัฐ ยาโดยทั่วไปไม่อนุมัติให้ใช้ในมนุษย์ ในปี 2004 องค์การอาหารและยาสหรัฐ (FDA) ได้แจ้งเตือนว่า การแจกจ่ายผลิตภัณฑ์ที่มีดอมเพริโดนเป็นการกระทำผิดกฎหมาย[12]
มีหลักฐานบ้างว่า ยามีฤทธิ์แก้อาเจียน (antiemetic)[13] แนวทางการรักษาของสมาคมปวดศีรษะแคนาดา (Canadian Headache Society) แนะนำให้ใช้รักษาความคลื่นไส้ที่สัมพันธ์กับไมเกรนแบบฉับพลัน[14]
อัมพฤกษ์กระเพาะอาหาร (gastroparesis) เป็นภาวะที่อาหารออกจากกระเพาะช้าแม้เมื่อไม่มีการอุดตัน ปกติจะไม่รู้สาเหตุ หรือเป็นภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวาน หรือเป็นผลของการบาดเจ็บที่ท้อง เป็นภาวะที่ทำให้คลื่นไส้ อาเจียน ท้องแน่นหลังทานอาหาร อิ่มเร็ว ปวดท้อง และท้องพอง (bloating) ยาจึงอาจมีประโยชน์สำหรับคนไข้โรคเบาหวานและอัมพฤกษ์กระเพาะอาหาร[15][16]
อย่างไรก็ดี ก็ยังไม่แน่นอนว่า กระเพาะอาหารที่ว่างเร็วขึ้นเนื่องจากยาเช่นนี้ จะบรรเทาอาการ[17]
โรคพาร์คินสันเป็นโรคเรื้อรังทางประสาท ที่ระดับโดพามีนซึ่งลดลงในสมองจะก่อสภาพแข็งเกร็ง (คือขยับตัวอย่างแข็ง ๆ) อาการสั่น และอาการอื่น ๆ ทางเดินอาหารที่ทำงานได้ไม่ดี คลื่นไส้ และอาเจียน เป็นปัญหาใหญ่สำหรับคนไข้ เพราะยาที่ใช้เพื่อรักษาโรคนี้โดยมากเป็นยาทาน และยาเหล่านี้เช่น levodopa ก็ยังอาจทำให้คลื่นไส้โดยเป็นผลข้างเคียง อนึ่ง ยาแก้คลื่นไส้ เช่น metoclopramide ยังสามารถข้ามตัวกั้นสมองจากระบบเลือด (blood-brain barrier) จึงอาจทำให้อาการ extrapyramidal[upper-alpha 1] ของโรคแย่ลง
ดอมเพริโดนสามารถใช้บรรเทาอาการทางเดินอาหารสำหรับโรคพาร์คินสัน เพราะมันระงับการทำงานของหน่วยรับโดพามีนแบบดี2 แต่ก็ไม่ข้ามตัวกั้นสมองจากระบบเลือด ดังนั้น จึงไม่มีผลต่ออาการ extrapyramidal[upper-alpha 1] ของโรค[19] อนึ่ง ยาอาจเพิ่มความพร้อมใช้ทางชีวภาพ (bioavailability) ของ levodopa ซึ่งเป็นยาหลักในการรักษาโรคพาร์คินสันอย่างหนึ่ง[20]
แม้ลักษณะต่าง ๆ เช่นนี้อาจจะทำให้ยามีประโยชน์สำหรับโรคพาร์คินสัน แต่ก็จะต้องระมัดระวังเพราะมีผลข้างเคียงเป็นพิษต่อหัวใจ โดยเฉพาะถ้าให้ทางเส้นเลือดดำ หรือให้ผู้สูงอายุ หรือให้มากกว่า 30 มก. ต่อวัน[21] อาการเป็นพิษต่อหัวใจของยาก็คือความยาวขึ้นของคลื่นหัวใจช่วง QT interval[22]
ยาสามารถใช้รักษาอาหารไม่ย่อยโดยหน้าที่ (functional dyspepsia) ทั้งในผู้ใหญ่และเด็ก[23][24]
ฮอร์โมน prolactin จะกระตุ้นให้ต่อมน้ำนมผลิตน้ำนม แต่โดพามีนที่หลั่งโดยไฮโปทาลามัสจะระงับการหลั่ง prolactin จากต่อมใต้สมอง เพราะดอมเพริโดนมีฤทธิ์ต้านโดพามีน มันจึงทำให้หลั่ง prolactin มากขึ้น และดังนั้น จึงเป็นยาขับน้ำนม ในบางประเทศ รวมทั้งออสเตรเลีย ยาจะใช้นอกข้อบ่งใช้อาศัยหลักฐานโดยเรื่องเล่าที่ไม่แน่นอน เพื่อบำบัดมารดาที่มีปัญหาเลี้ยงลูกด้วยนม[25][26] ในสหรัฐ ยานี้ไม่อนุมัติให้ใช้ในการนี้หรือการอื่น ๆ[27][28]
อย่างไรก็ดี งานศึกษาที่ชื่อว่า EMPOWER ได้ประเมินประสิทธิผลและความปลอดภัยของยาเพื่อช่วยมารดาที่คลอดบุตรก่อนกำหนดให้สามารถให้นมแก่บุตรได้[29] งานได้จัดมารดาผู้คลอดก่อนกำหนด 90 คนเข้ากลุ่มโดยสุ่ม กลุ่ม A ได้รับยา 10 มก. ทางปาก 3 ครั้งต่อวันเป็นเวลา 28 วัน กลุ่ม B ได้ยาหลอกเท่ากัน ๆ แต่แค่ 14 วัน ตามด้วยยาจริงอีก 14 วัน ปริมาณนมที่ผลิตโดยเฉลี่ยคล้าย ๆ กันทั้งสองกลุ่มในเบื้องต้น แต่หลังจาก 14 วัน มารดา 78% ที่ได้ยา (กลุ่ม A) ผลิตนมมากขึ้น 50% และมารดา 58% คนที่ได้ยาหลอก (กลุ่ม B) ผลิตนมมากขึ้น 50% เช่นกัน[30] ซึ่งแสดงว่ายานี้มีผลเพิ่มการผลิตนม
เพื่อให้หลั่งนม ยาจะให้ในขนาด 10-20 มก. 3-4 ครั้งต่อวันทางปาก[31] ผลจะเห็นได้ภายใน 24 ชม. หรือภายใน 3-4 วัน[31] ผลระดับสูงสุดจะเกิดภายใน 2-3 สัปดาห์ และโดยทั่วไปจะให้ยาเป็นเวลา 3-8 สัปดาห์[31]
งานปริทัศน์เป็นระบบแบบคอเคลนปี 2012 แสดงว่า ไม่มีหลักฐานสนับสนุนให้ใช้ยาขับน้ำนมแบบป้องกันไว้ก่อน ไม่ว่าจะในช่วงการตั้งครรภ์ใด ๆ รวมทั้งยานี้[32]
ยานี้พบว่ามีประสิทธิผลเพื่อรักษาโรคกรดไหลย้อนในเด็ก[33] แต่ผู้ชำนาญการบางพวกก็พิจารณาว่ามันเสี่ยงมากเกินไปเพื่อใช้รักษาแบบนี้[34]
ผลข้างเคียงของยารวมทั้งปากแห้ง ตะคริวที่ท้อง ท้องร่วง คลื่นไส้ เป็นผื่น คัน ลมพิษ และภาวะมี prolactin ในเลือดเกิน (ซึ่งอาการอาจรวมนมใหญ่ขึ้น น้ำนมไหล ปวดเต้านม นมโตในชาย ต่อมบ่งเพศทำงานน้อยเกิน และการมีประจำเดือนไม่สม่ำเสมอ)[31]
เพราะระงับการทำงานของหน่วยรับโดพามีนแบบดี2ในระบบประสาทกลาง ยาต้านหน่วยรับดี2 เช่น metoclopramide สามารถมีผลข้างเคียงอื่น ๆ รวมทั้งง่วงนอน, นั่งไม่ติดที่ (akathisia), อยู่ไม่เป็นสุข, นอนไม่หลับ, อิดโรย, ล้า, อาการ extrapyramidal[upper-alpha 1], dystonia[upper-alpha 2] อาการโรคพาร์คินสัน อาการยึกยือเหตุยาที่เกิดภายหลัง (tardive dyskinesia) และอารมณ์ซึมเศร้า[1][7] แต่ดอมเพริโดนไม่เป็นเช่นนี้ เพราะไม่เหมือนกับสารต้านหน่วยรับดี2อื่น ๆ มันสามารถข้ามตัวกั้นสมองจากระบบเลือดได้น้อยมาก และเพราะเหตุนี้ จึงไม่ค่อยมีผลข้างเคียงเหล่านี้[1][7]
เนื่องจากระงับการทำงานปกติของหน่วยรับดี2 ยาจึงเป็นเหตุให้เกิดสภาพ prolactin เกินในเลือด[38] ซึ่งก็จะระงับการหลั่งฮอร์โมน gonadotropin-releasing hormone (GnRH) จากไฮโปทาลามัส ซึ่งก็จะงับการหลั่งฮอร์โมน follicle-stimulating hormone (FSH) และ luteinizing hormone (LH) และมีผลเป็นต่อมบ่งเพศทำงานน้อยเกิน (hypogonadism) คือมีฮอร์โมนทางเพศน้อยเกิน เช่น เทสโทสเตอโรนและ estradiol[39] ดังนั้น คนไข้ชายอาจจะมีอารมณ์ทางเพศต่ำ การแข็งตัวของอวัยวะเพศที่ผิดปกติ (erectile dysfunction) และการสร้างสเปิร์มที่หย่อนสมรถถภาพ[39]
อนึ่ง เพราะการมี prolactin ในเลือดเกิน คนไข้หญิง 10-15% รายงานว่าเกิดนมโต (mammoplasia) ปวดเต้านม (mastodynia) น้ำนมไหล (galactorrhea) และการไม่มีประจำเดือน (amenorrhea) เพราะรักษาด้วยยา[38] ภาวะนมโตในชายก็มีด้วยเมื่อรักษาด้วยยา[40] และน้ำนมไหลก็สามารถเกิดในชายได้เช่นกัน[39]
การใช้ยาสัมพันธ์กับการเพิ่มความเสี่ยงตายเหตุหัวใจแบบฉับพลัน (sudden cardiac death) ถึง 70%[41] เพราะมันอาจยืดคลื่นหัวใจช่วง QT interval แล้วก่อภาวะหัวใจเสียจังหวะ (ventricular arrhythmia)[42][43] เหตุเชื่อว่าเพราะมันหยุดช่องไอออนโพแทสเซียมที่เปิดปิดด้วยศักย์ไฟฟ้าแบบ hERG[44][45] ความเสี่ยงจะขึ้นอยู่กับขนาดที่ใช้ และดูเหมือนจะมากที่สุดเมื่อให้ในขนาดสูงและสูงมากผ่านเส้นเลือดดำ ในผู้สูงอายุ และเมื่อใช้ร่วมกับยาอื่น ๆ ที่มีปฏิสัมพันธ์กับดอมเพริโดนโดยเพิ่มความเข้มข้นของมัน (คือเป็นยาที่ยับยั้งระบบเอนไซม์ CYP3A4)[46][47] แต่ก็มีรายงานต่าง ๆ ที่ขัดแย้งกันด้วยเหมือนกัน[48] ในเด็กเพิ่งเกิดใหม่และทารก การยืดช่วงคลื่นหัวใจคือ QT prolongation ยังเป็นเรื่องไม่ชัดเจน[49][50]
องค์กรควบคุมยาของสหราชอาณาจักร (MHRA) ได้จำกัดการใช้ยาในปี 2014 เนื่องจากความเสี่ยงที่สูงขึ้นเนื่องกับหัวใจ[51]
ดอมเพริโดน (Motilium) สัมพันธ์กับความเสี่ยงผลข้างเคียงเกี่ยวกับหัวใจอย่างหนักซึ่งเพิ่มขึ้นเล็กน้อย การใช้มันต่อแต่นี้ไปให้จำกัดเพื่อบรรเทาอาการคลื่นไส้และอาเจียน ทั้งขนาดและระยะการใช้ก็ให้ลดลง มันไม่ควรใช้รักษาอาการท้องพอง (bloating) และอาการแสบร้อนกลางอก ดอมเพริโดนต่อแต่นี้ไปห้ามใช้ในบุคคลที่มีโรคหัวใจและปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ คนไข้ที่มีภาวะเหล่านี้ และคนไข้ที่กำลังรักษาในระยะยาวด้วยดอมเพริโดนควรประเมินใหม่เมื่อไปหาหมอตามนัด อาศัยคำแนะนำใหม่นี้
แต่งานทบทวนวรรณกรรมปี 2015 ของออสเตรเลียก็ได้สรุปดังต่อไปนี้[47]
อาศัยผลงานศึกษา TQT (ซึ่งเป็นวิธีการประเมินมาตรฐานทองขององค์กรในปัญหาการยืดคลื่นหัวใจ) สองงาน ดอมเพริโดนไม่ปรากฏว่าสัมพันธ์กับคลื่นหัวใจช่วง QT-interval ที่ยาวขึ้นอย่างสำคัญเมื่อใช้ทานในขนาด 20 มก. 4 ครั้งต่อวันในอาสาสมัครที่มีสุขภาพดี นอกจากนั้น รายงานกรณีคนไข้ที่สนับสนุนความสัมพันธ์กับการทำงานผิดปกติของหัวใจก็มีจำกัด และงานศึกษาแบบ case-control ที่บ่อยครั้งอ้างก็มีข้อบกพร่องต่าง ๆ ที่สำคัญ แม้จะมีความเสี่ยงที่ยังไม่ชัดเจนเมื่อความเข้มข้นทั่วร่างกายสูงกว่านี้ โดยเฉพาะในคนไข้ผู้มีความเสี่ยงพื้นฐานต่อการยืดช่วงคลื่นหัวใจ QT-interval ที่สูงขึ้น งานทบทวนของเราก็ไม่สนับสนุนมุมมองว่า ดอมเพริโดนมีความเสี่ยงที่ทนรับไม่ได้
ในสหราชอาณาจักร มีคดีเกี่ยวกับมารดาที่มีลูกสามคนผู้ล้วนแต่มีภาวะไอออนโซเดียมเกินในเลือด (hypernatraemia) และเด็กสองคนได้เสียชีวิต เธอจึงถูกจับข้อหาวางยาพิษแก่เด็กโดยใช้เกลือ เด็กคนหนึ่ง ผู้คลอดหลังจากอยู่ในครรภ์เพียง 28 อาทิตย์ผู้มีภาวะแทรกซ้อนทางการหายใจ ต้องผ่าตัดผูกหูดรูดกระเพาะอาหารเนื่องจากโรคกรดไหลย้อน และไม่โตตามวัย ได้รับยาดอมเพริโดนตามแพทย์สั่ง ทนายของมารดาได้เสนอว่า เด็กอาจเกิดอาการ neuroleptic malignant syndrome[upper-alpha 3] โดยเป็นผลข้างเคียงของยา เนื่องจากมันสามารถข้ามตัวกั้นสมองจากระบบเลือดที่ยังไม่เจริญอย่างสมบูรณ์ของเด็กได้[54]
ดอมเพริโดนจะสลายผ่านระบบเอนไซม์ CYP3A4 เกือบทั้งหมด และเพราะเหตุนี้ ยายับยั้งหรือเสริมเอนไซม์นี้อาจเปลี่ยนเมแทบอลิซึมและความเข้มข้นของยาในเลือด นอกจากนั้น ยายังได้ระบุว่าเป็นตัวยับยั้งระบบเอน์ไซม์ CYP3A4 แบบผันกลับไม่ได้อย่างพอประมาณ (ที่ Ki = 12 μM) และได้ประเมินว่า มันอาจเพิ่มความเข้มข้นของตัวถูกเปลี่ยนของเอนไซม์ CYP3A4 ในเลือดโดยประมาณ 50%[55]
ยาคีโตโคนาโซลและ itraconazole ที่ล้วนใช้รักษาการติดเชื้อรา เป็นตัวยับยั้งเอนไซม์ CYP3A4 ที่มีฤทธิ์ และจะเพิ่มความเข้นข้นในเลือดของดอมเพริโดน[56][57] ในอาสาสมัครผู้มีสุขภาพดี คีโตโคนาโซลเพิ่มความเข้มข้นของดอมเพริโดนวัดโดย Cmax และ AUC ถึง 3-10 เท่า[58] ซึ่งตามมาด้วยการยืดคลื่นหัวใจช่วง QT interval ประมาณ 10-20 มิลลิวินาที เมื่อให้ดอมเพริโดน 10 มก. 4 ครั้งต่อวัน และให้คีโตโคนาโซล 200 มก. ต่อวัน เทียบเมื่อให้ดอมเพริโดนเท่ากันแต่อย่างเดียวจะไม่มีผลดังที่ว่า[58] ดังนั้น การใช้ดอมเพริโดนร่วมกับคีโตโคนาโซล หรือกับสารยับยั้ง CYP3A4 อื่น ๆ อาจเป็นอันตราย[58]
อิริโทรมัยซินและยาปฏิชีวนะกลุ่ม macrolide บางอย่าง เป็นสารยับยั้ง CYP3A4 และยับยั้งการสลายดอมเพริโดน (ในสภาพแวดล้อมที่ทำเทียมขึ้น) และดังนั้น ก็อาจเพิ่มความเข้มข้นของดอมเพริโดนและผลข้างเคียงที่อาจเกิดของมัน นี่น่าเป็นห่วง เพราะยาทั้งสองอาจใช้รักษาอัมพฤกษ์กระเพาะอาหาร (gastroparesis)[59]
มีหลักฐานว่า ยาไม่ควรทานกับน้ำเกรปฟรูต ซึ่งก็เป็นตัวยับยั้ง CYP3A4 ด้วย[60]
ดอมเพริโดนเป็นยาต้าน (antagonist) หน่วยรับโดพามีนแบบดี2 (dopamine D2 receptor) และแบบดี3 (dopamine d3 receptor) มีฤทธิ์อย่างเจาะจงนอกระบบประสาทกลาง (peripherally selective)[7] และไม่มีปฏิสัมพันธ์ที่สำคัญทางคลินิกกับหน่วยรับแบบดี1 ซึ่งไม่เหมือน metoclopramide[7] ยาบรรเทาอาการคลื่นไส้โดยระงับการทำงานของหน่วยรับดี2ในเขต chemoreceptor trigger zone (ในระบบประสาทส่วนที่อำนวยอาการคลื่นไส้) ซึ่งอยู่ที่ฐานของโพรงสมองที่สี่ ยาเพิ่มการบีบตัวของทางเดินอาหารส่วนบนในระดับกลาง ๆ และเพิ่ม[61] แรงดันที่หูรูดหลอดอาหารส่วนล่าง (LES) โดยระงับการทำงานของหน่วยรับโดพามีนในกระเพาะส่วนปลาย (gastric antrum) และในลำไส้เล็กส่วนต้น ยาระงับการทำงานของหน่วยรับโดพามีนในต่อมใต้สมองส่วนหน้า (anterior) ซึ่งมีผลเพิ่มการหลั่งฮอร์โมน prolactin ซึ่งก็มีผลเพิ่มการหลั่งน้ำนม[62][63] ยาอาจมีประโยชน์ในคนไข้บางพวกแต่อาจเป็นอันตรายในอีกพวกเนื่องกับกรรมพันธุ์ของบุคคล เช่น ภาวะพหุสัณฐานของยีนขนส่งยาคือ ABCB1 (ซึ่งเข้ารหัสโปรตีน P-glycoprotein), ของยีนช่องโพแทสเซียมที่เปิดปิดโดยศักย์ไฟฟ้า (voltage-gated potassium channel) คือ KCNH2 (hERG/Kv11.1), และของยีน α1D—adrenoceptor คือ ADRA1D[64]
ยาทานขนาด 20 มก. พบว่าเพิ่มระดับฮอร์โมน prolactin ในเลือด (วัด 90 นาทีหลังทาน) ในหญิงที่หลั่งน้ำนมโดยเพิ่มจาก 8.1 นาโนกรัม/มล. เป็น 110.9 นาโนกรัม/มล. (เพิ่มขึ้น 13.7 เท่า)[7][65][66][67] ซึ่งคล้ายกับเมื่อทานยา metoclopramide ขนาด 20 มก. (เพิ่มจาก 7.4 นาโนกรัม/มล. เป็น 124.1 นาโนกรัม/มล. คือ 16.7 เท่า)[66][67] หลังจากการทานตลอด 2 อาทิตย์ โดยทาน 30 มก. ต่อวัน การเพิ่มระดับ prolactin ของดอมเพริโดนจะลดลง (เป็น 53.2 นาโนกรัม/มล. คือ 6.6 เท่าเหนือค่าพื้นฐาน) แต่ของ metoclopramide กลับเพิ่มยิ่งขึ้น (เป็น 179.6 นาโนกรัม/มล. คือ 24.3 เท่าเหนือค่าพื้นฐาน)[7][67] ซึ่งแสดงว่า การให้ยาทั้งสองไม่ว่าจะโดยชั่วคราวหรือโดยต่อเนื่องมีประสิทธิผลเพิ่มระดับ prolactin แต่การให้ยาระยะยาวมีผลต่างกันในระหว่างยาทั้งสอง[66][67]
กลไกความแตกต่างยังไม่ชัดเจน[67] การเพิ่มระดับ prolactin ของยาทั้งสองเกิดในหญิงมากกว่าชายตามคาด[66][67] โดยน่าจะเป็นเพราะระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนที่สูงกว่าในหญิง เพราะเอสโตรเจนกระตุ้นให้หลั่ง prolactin[68]
เพื่อการเปรียบเทียบ ระดับ prolactin ของหญิงปกติจะน้อยกว่า 20 นาโนกรัม/มล. โดยถึงขีดสูงสุดที่ 100-300 นาโนกรัม/มล. ในหญิงมีครรภ์เมื่อกำลังคลอด คือระดับจะอยู่ที่ 90 นาโนกรัม/มล. 10 วันหลังคลอด และ 44 นาโนกรัม/มล. 180 วันหลังคลอด[69][70]
ยายังเพิ่มการหลั่งฮอร์โมนกระตุ้นต่อมไทรอยด์ (TSH) ในระดับที่น้อยกว่าการเพิ่ม prolactin แม้ในคนไข้ภาวะขาดไทรอยด์ (hypothyroidism)[66] การให้ยาสำหรับหญิงที่มีภาวะขาดไทรอยด์ทางเส้นเลือดขนาด 4 mg จะเพิ่มระดับ TSH โดยได้ค่าสูงสุดที่ 1.9 เท่าเหนือค่าพื้นฐาน และเพิ่มระดับ prolactin โดยได้ค่าสูงสุดที่ 23 เท่าเหนือค่าพื้นฐาน หลังจากให้ยา 30 นาที[66] ระดับ TSH และ prolactin จะลดลงเหลือ 1.6 เท่าและ 17 เท่าเหนือค่าพื้นฐานตามลำดับ หลังให้ยา 120 นาที[66]
สำหรับยาทาน ดอมเพริโดนจะสลายในตับเกือบทั้งหมดผ่านระบบเอนไซม์ CYP3A4/CYP3A5 (แม้มีรายงานว่าระบบ CYP1A2, CYP2D6, และ CYP2C8 ก็มีบทบาทเล็กน้อย)[71] และในลำไส้[5] เนื่องจากเมแทบอลิซึมรอบแรก (first-pass effect) อย่างหนักเช่นนี้ สภาพพร้อมใช้ทางชีวภาพ (bioavailability) ของยาจึงค่อนข้างต่ำ (13-17%)[1] ในนัยตรงข้าม สภาพพร้อมใช้ทางชีวภาพของยาที่ให้ทางเส้นเลือดจึงสูง (90%)[1] ครึ่งชีวิต (terminal half-life) ของยาอยู่ที่ 7.5 ชม. ในคนปกติ แต่อาจยาวถึง 20 ชม. สำหรับผู้ที่ไตทำงานผิดปกติอย่างหนัก[1] เมแทบอไลต์ทั้งหมดของยาไม่มีฤทธิ์โดยอยู่ในสภาพเป็นลิแกนด์ของหน่วยรับดี2[1][5] ยาเป็นตัวถูกเปลี่ยนของโปรตีนขนส่ง ABCB1 (P-glycoprotein transporter) และงานศึกษาในสัตว์แสดงนัยว่า นี่เป็นเหตุให้ยาเข้าไปในระบบประสาทกลางได้น้อย[72]
ยาเป็นสารอนุพันธ์ของ benzimidazole และสัมพันธ์ทางโครงสร้างกับยารักษาโรคจิตกลุ่ม butyrophenone เช่น haloperidol[73][74]
ดอมเพริโดน (domperidone) เป็นชื่อสามัญของยา เป็นชื่อระหว่างประเทศที่ไม่มีเจ้าของ (INN), ชื่อยาที่รับอนุญาตของอเมริกา (USAN), ชื่อยาที่ได้รับอนุญาตของอังกฤษ (BAN), และชื่อยาที่รับอนุญาตของญี่ปุ่น (JAN)[80][6][81]
ในปี 2007 มีรายงานว่ายามีขายในประเทศ 58 ประเทศ[1] และมีขายแบบไม่ต้องใช้ใบสั่งแพทย์เพื่อรักษาโรคกรดไหลย้อนและอาหารไม่ย่อยโดยหน้าที่ (functional dyspepsia) ในประเทศต่าง ๆ เช่น ไอร์แลนด์ เนเธอร์แลนด์ อิตาลี แอฟริกาใต้ เม็กซิโก ชิลี และจีน[82]
ยาไม่ได้รับอนุมัติให้ใช้โดยทั่วไปในสหรัฐอเมริกา แต่มีข้อยกเว้นสำหรับคนไข้ที่มีอาการกระเพาะลำไส้ที่รักษาด้วยยาอื่นไม่หายในโปรแกรม Investigational New Drug ขององค์กรอาหารและยาสหรัฐ[1]
มีการศึกษาดอมเพริโดนในฐานะยาคุมกำเนิดทางฮอร์โมนสำหรับหญิง[83]
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.