กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา

กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (ตัวย่อ: กยศ.) เป็นหน่วยงานของรัฐอยู่ในกำกับดูแลของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มีฐานะเป็นนิติบุคคล โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนและส่งเสริมการศึกษาด้วยการให้เงินกู้ยืมเพื่อการศึกษา ในลักษณะต่าง ๆ ตามพระราชบัญญัติกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา พ.ศ. 2560

ข้อมูลเบื้องต้น ภาพรวมกองทุน, ก่อตั้ง ...
กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา
Student Loan Fund
Thumb
ตราสัญลักษณ์ของกองทุน
ภาพรวมกองทุน
ก่อตั้ง15 มีนาคม พ.ศ. 2541; 27 ปีก่อน (2541-03-15)
ประเภทหน่วยงานของรัฐที่เป็นนิติบุคคล
สำนักงานใหญ่89 อาคารเอไอเอ แคปปิตอล เซ็นเตอร์ ชั้น 5-6 ถนนรัชดาภิเษก แขวงดินแดง เขตดินแดง กรุงเทพมหานคร 10400
งบประมาณต่อปี4,572,982,900 บาท
(พ.ศ. 2568)[1]
ฝ่ายบริหารกองทุน
  • ชัยณรงค์ กัจฉปานันท์, ผู้จัดการ
  • นันทวัน วงศ์ขจรกิตติ, รองผู้จัดการ
  • อัญชลี ภูริวิทย์วัฒนา, รองผู้จัดการ
  • อภินันช์ ศุนทรนันท์, รองผู้จัดการ
  • จิรารัตน์ สุขเกื้อ, รองผู้จัดการ
ต้นสังกัดกองทุนกระทรวงการคลัง
เว็บไซต์เว็บไซต์ของกองทุน
ปิด

ประวัติ

กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) จัดตั้งขึ้นตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2538 และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2539 ให้เริ่มดำเนินการกองทุนในลักษณะเงินทุนหมุนเวียน ตามนัยมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติเงินคงคลัง พ.ศ. 2491 ต่อมารัฐบาลได้พิจารณาเห็นความสำคัญของกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษามากขึ้น จึงได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา พ.ศ. 2541 มีผลให้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษามีฐานะเป็นนิติบุคคล โดยอยู่ในการกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง มีวัตถุประสงค์ให้กู้ยืมเงินแก่นักเรียนหรือนักศึกษาที่ขาดแคลนทุนทรัพย์เพื่อเป็นค่าเล่าเรียน ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวเนื่องกับการศึกษา และค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในการครองชีพระหว่างศึกษา

พระราชบัญญัติกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา พ.ศ. 2560

ปัจจุบัน พระราชบัญญัติกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา พ.ศ. 2560 ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2560 และมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2560 มีผลให้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาอยู่ในการกำกับดูแลของรัฐมนตรี และมีฐานะเป็นนิติบุคคลที่ไม่เป็นส่วนราชการตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดินหรือรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณและกฎหมายอื่น เนื่องจากกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาตามพระราชบัญญัติกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา พ.ศ. 2541 และกองทุนเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาที่ผูกกับรายได้ในอนาคตตามระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยการบริหารกองทุนเพื่อการศึกษา พ.ศ. 2549 ที่ออกตามพระราชบัญญัติเงินคงคลัง พ.ศ. 2491 มีการบริหารจัดการและการดำเนินการที่มีข้อจำกัด และไม่สอดคล้องกับนโยบายการผลิตกำลังคนและการพัฒนาประเทศสมควรบูรณาการการบริหารจัดการและการดำเนินการของกองทุน กยศ. และกองทุน กรอ. ให้เป็นเอกภาพอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน และเพิ่มมาตรการในการบริหารจัดการกองทุนให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ลูกหนี้

ณ เดือนมิถุนายน 2564 กยศ. มีลูกหนี้ที่อยู่ระหว่างชำระหนี้ 3.5 ล้านคน ในปีงบประมาณ 2564 ได้ปล่อยกู้ไปแล้ว 38,000 ล้านบาท ได้รับชำระคืน 19,500 ล้านบาท[2]

จากการเปรียบเทียบระบบการใช้หนี้ กยศ. ของไทยกับออสเตรเลียพบว่าระบบการชำระหนี้ของไทยถูกจำกัดด้วยเวลา ส่วนระบบของออสเตรเลียถูกจำกัดด้วยสัดส่วนรายได้ ผลทำให้ลูกหนี้ กยศ. ไทยผิดนัดชำระหนี้ต่างจากลูกหนี้ออสเตรเลีย[3]

การรณรงค์ยกหนี้

สรุป
มุมมอง

ในปี 2565 เกิดกระแส #ล้างหนี้ กยศ. ในสื่อสังคมหลังมีความพยายามรวบรวมรายชื่อเพื่อแก้ไขกฎหมาย กยศ. เพื่อยกเลิกหนี้คงค้างให้กับคนที่เรียนจบแล้ว 2 ปีและให้เรียกเก็บเงินจากรัฐบาลแทน ซึ่งผู้สนับสนุนมองว่าการศึกษาแบบให้เปล่าควรเป็นสวัสดิการของรัฐ ดังนั้นการยกเลิกหนี้การศึกษาจึงเป็นประโยชน์ต่อทุกคน ทว่าฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยมองว่าจะทำให้ผู้ที่ไม่ชดใช้เงินขาดวินัยทางการเงิน ความรับผิดชอบตลอดจนไม่ซื่อสัตย์สุจริต[4]

ในปี 2565 กยศ. ชี้แจงว่ายังเหลือหนี้คงค้างอีกกว่า 330,000 ล้านบาท หากไม่ใช้หนี้จะทำให้คนรุ่นต่อไปไม่มีโอกาสทางการศึกษา[5] อย่างไรก็ตาม มีข่าวว่า กยศ. ยึดบ้านจากลูกหนี้[6]

รองศาสตราจารย์ ดร. ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี ที่ปรึกษาประจำคณะกรรมาธิการกิจการศาล องค์กรอิสระ องค์กรอัยการ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน และกองทุน ของสภาผู้แทนราษฎร อาจารย์ประจำวิทยาลัยสหวิทยาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มองว่าการสร้างสวัสดิการด้านการศึกษาสามารถทำได้ในประเทศไทย รวมทั้งการยกเลิกหนี้ กยศ. และการจัดการหนี้ กยศ. ก็สามารถจัดการได้ เพราะทุกวันนี้ก็มีหนี้เสียแล้วร้อยละ 60 เขามองว่าเหตุผลที่คนไทยไม่น้อยคัดค้านข้อเสนอดังกล่าวเป็นเพราะมองว่าการศึกษาเป็นการลงทุนหรือความรับผิดชอบส่วนบุคคล ไม่ใช่รัฐลงทุนให้ "ในประเทศที่ไม่ได้มองการศึกษาเป็นสิทธิ ถ้าพูดเรื่องนี้ (ล้างหนี้) ก็จะถูกมองว่าเป็นคนเลว เป็นคนไม่รับผิดชอบ เพราะนั้น คนก็อาจจะเงียบ ๆ ภายใต้เงื่อนไขแบบนี้"[7]

อ้างอิง

แหล่งข้อมูลอื่น

Loading related searches...

Wikiwand - on

Seamless Wikipedia browsing. On steroids.