ประเทศติมอร์-เลสเต

ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

ประเทศติมอร์-เลสเตmap

ติมอร์-เลสเต,[8] ตีโมร์-แลชต์[8] (โปรตุเกส: Timor-Leste, ออกเสียง: [tiˈmoɾ ˈlɛʃtɨ]) หรือ ติมอร์ตะวันออก (เตตุน: Timór Lorosa'e)[9] มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า สาธารณรัฐประชาธิปไตยติมอร์-เลสเต หรือ สาธารณรัฐประชาธิปไตยตีโมร์-แลชต์ (โปรตุเกส: República Democrática de Timor-Leste;[10] เตตุน: Repúblika Demokrátika Timór-Leste)[9][11] เป็นประเทศที่ตั้งอยู่บนเกาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้[12] ประกอบด้วยเกาะติมอร์ด้านตะวันออก เกาะอาเตารู (Atauro) และเกาะฌากู (Jaco) ที่อยู่ใกล้เคียง และเทศบาลโอเอกูซี (Oecusse) ซึ่งตั้งอยู่บนฝั่งตะวันตกของเกาะติมอร์ ติมอร์ตะวันออกถูกล้อมรอบโดยพื้นที่ของประเทศอินโดนีเซีย

ข้อมูลเบื้องต้น สาธารณรัฐประชาธิปไตยติมอร์-เลสเต República Democrática deTimor-Leste (โปรตุเกส)Repúblika DemokrátikaTimór-Leste (เตตุน), เมืองหลวง และเมืองใหญ่สุด ...
สาธารณรัฐประชาธิปไตยติมอร์-เลสเต

República Democrática de
Timor-Leste
(โปรตุเกส)
Repúblika Demokrátika
Timór-Leste
(เตตุน)
คำขวัญ: "เอกภาพ การกระทำ ความก้าวหน้า"
(โปรตุเกส: Unidade, Acção, Progresso;
เตตุน: Unidade, Asaun, Progresu)
Thumb
เมืองหลวง
และเมืองใหญ่สุด
ดิลี
8.55°S 125.56°E / -8.55; 125.56
ภาษาราชการ
ภาษาประจำชาติ
15 ภาษา
    • Atauru
    • Baikeno
    • Bekais
    • Bunak
    • Fataluku
    • Galoli
    • Habun
    • Idalaka
    • Kawaimina
    • Kemak
    • Makalero
    • Makasae
    • Makuva
    • Mambai
    • Tokodede
ภาษาปฏิบัติการ
ศาสนา
(สำมะโน ค.ศ. 2015)[1]
การปกครองรัฐเดี่ยว สาธารณรัฐระบบกึ่งประธานาธิบดี[2]
ฌูแซ รามุช-ออร์ตา
ตาอูร์ มาตัน รูอัก
สภานิติบัญญัติรัฐสภา
เอกราช 
คริสต์ศตวรรษที่ 16
 ประกาศเอกราช
28 พฤศจิกายน ค.ศ. 1975
17 กรกฎาคม ค.ศ. 1976
25 ตุลาคม ค.ศ. 1999
 ฟื้นฟูเอกราช
20 พฤษภาคม ค.ศ. 2002
พื้นที่
 รวม
15,007[3] ตารางกิโลเมตร (5,794 ตารางไมล์) (อันดับที่ 154)
น้อยมาก
ประชากร
 ค.ศ. 2021 ประมาณ
1,340,513 (อันดับที่ 153)
 สำมะโนประชากร ค.ศ. 2015
1,183,643[4]
78 ต่อตารางกิโลเมตร (202.0 ต่อตารางไมล์)
จีดีพี (อำนาจซื้อ) ค.ศ. 2020 (ประมาณ)
 รวม
5.315 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
4,031 ดอลลาร์สหรัฐ[5]
จีดีพี (ราคาตลาด) ค.ศ. 2020 (ประมาณ)
 รวม
1.920 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
1,456 ดอลลาร์สหรัฐ[5]
จีนี (ค.ศ. 2014)Steady 28.7[6]
ต่ำ
เอชดีไอ (ค.ศ. 2019)ลดลง 0.606[7]
ปานกลาง · อันดับที่ 141
สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐb (USD)
เขตเวลาUTC+9 (TLT)
ขับรถด้านซ้ายมือ
รหัสโทรศัพท์+670
รหัส ISO 3166TL
โดเมนบนสุด.tlc
เว็บไซต์
timor-leste.gov.tl
  1. "ภาษาประจำชาติ" อีก 15 ภาษาได้รับการรับรองในรัฐธรรมนูญ
  2. นอกจากนี้ยังใช้เหรียญเซ็งตาวู
  3. .tp ยกเลิกการใช้แล้ว
ปิด

แต่เดิมประเทศติมอร์-เลสเตถูกปกครองโดยประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งได้ยึดครองติมอร์ตะวันออกเป็นจังหวัดหนึ่งของประเทศเมื่อปี พ.ศ. 2518 (ค.ศ. 1975) และในปี พ.ศ. 2542 (ค.ศ. 1999) ติมอร์ตะวันออกได้แยกตัวเป็นอิสระ และได้รับเอกราชอย่างเต็มตัวเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2545 (ค.ศ. 2002) เมื่อประเทศติมอร์ตะวันออกเข้าร่วมองค์การสหประชาชาติในปีเดียวกัน ก็ได้ตกลงว่าจะเรียกประเทศอย่างเป็นทางการว่า ตีโมร์-แลชต์ ซึ่งเป็นชื่อในภาษาโปรตุเกส มีดอกไม้ประจำชาติคือดอกกุหลาบ

ภูมิศาสตร์

Thumb
ชายฝั่งทาซิโตลู

ประเทศติมอร์-เลสเตเป็นประเทศหมู่เกาะ จัดเป็นเกาะในกลุ่มเกาะอินโดนีเซีย เรียกว่า เกาะติมอร์ ด้วยเงื่อนไขทางภูมิศาสตร์ที่เป็นเกาะขนาดเล็ก เกาะติมอร์ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศออสเตรเลีย และอยู่ห่างจากกรุงจาการ์ตา ของประเทศอินโดนีเซียไปทางตะวันออกประมาณ 2,100 กิโลเมตร ประเทศติมอร์ตะวันออกประกอบไปด้วยดินแดนส่วนปลายด้านตะวันออกของเกาะติมอร์ และมีดินแดนส่วนแยกเทศบาลโอเอกูซีที่ตั้งอยู่บนชายฝั่งทางตอนเหนือของติมอร์ตะวันตกซึ่งอยู่ในการปกครองของประเทศอินโดนีเซีย

ภูมิอากาศ

ประเทศติมอร์-เลสเตมีเพียงสองฤดูเช่นเดียวกับทางภาคใต้ของประเทศไทย คือมีฤดูฝนและฤดูร้อน ภูมิอากาศบางแห่งมีภูมิอากาศแบบสะวันนา ด้วยเหตุที่ได้รับลมแล้งจากทะเลทรายทางตอนเหนือของประเทศออสเตรเลีย ทรัพยากรทางธรรมชาติของติมอร์ตะวันออกคือ น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ ซึ่งอาจมีมากไม่แพ้ประเทศบรูไนที่อยู่ในทะเลลึกที่เรียกว่า Timor Gap ซึ่งอยู่ครึ่งทางระหว่างติมอร์-เลสเตกับออสเตรเลีย ส่วนพืชเศรษฐกิจที่สำคัญได้แก่ กาแฟ มะพร้าว โกโก้ ข้าวโพด และปศุสัตว์ที่สำคัญได้แก่ โค กระบือ แกะ ม้า และทรัพยากรสัตว์น้ำที่มีอยู่มากมาย

ประวัติศาสตร์

อาณานิคมโปรตุเกส

ดินแดนติมอร์ตะวันออกเป็นอาณานิคมของประเทศโปรตุเกสตั้งแต่ปี พ.ศ. 2063 (ค.ศ. 1520)

การอ้างสิทธิ์เรียกร้องเอกราช

Thumb
การอ้างสิทธิ์เรียกร้องเอกราชจากอินโดนีเซีย

ภายหลังโปรตุเกสถอนตัวออกไปเมื่อปี พ.ศ. 2518 โดยมิได้จัดการปกครองให้แก่ติมอร์ตะวันออกแต่อย่างใด เป็นเหตุให้ประเทศอินโดนีเซียได้ส่งทหารเข้ายึดครองติมอร์ตะวันออกโดยผนวกเข้าเป็นจังหวัดที่ 27 ของประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งต่อมาได้ถูกคัดค้านจากประชาชนชาวติมอร์ตะวันออกเป็นเหตุให้เกิดความรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งตั้งแต่การชุมนุมทางศาสนาในพิธีมิสซาที่โบสถ์โมตาเอล (Motael) เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม ค.ศ. 1991 ริมทะเลกรุงดิลี โดยผู้ชุมนุมได้เดินขบวนไปยังสุสานซานตาครูซจำนวนผู้ร่วมชุมนุมจึงมีมากขึ้น และการชุมนุมก็เปลี่ยนเป็นการเรียกร้องเอกราช โดยมีนายชานานา กุฌเมา เป็นผู้นำที่มีบทบาทอย่างมากต่อการเรียกร้องเอกราชจากอินโดนีเซีย

อย่างไรก็ดีเมื่อรัฐบาลอินโดนีเซียยินยอมให้ชาวติมอร์ตะวันออกลงประชามติเพื่อแยกตัวเป็นเอกราชจากอินโดนีเซีย ในวันที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2542 ประชาชนชาวติมอร์ตะวันออกกว่าร้อยละ 80 ออกเสียงสนับสนุนการแยกตัวเป็นเอกราช จึงก่อให้เกิดเหตุการณ์รุนแรงในติมอร์ตะวันออกโดยกลุ่มกองกำลังมิลิเทีย (militia) ที่นิยมอินโดนีเซีย สหประชาชาติจึงได้ตัดสินใจจัดตั้งกองกำลังนานาชาติ (International Force in East Timor – INTERFET) เมื่อ 15 กันยายน 2542 เพื่อส่งเข้าไปรักษาสันติภาพในติมอร์ตะวันออก ก่อนที่จะประกาศเอกราชในวันที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2545 ในขณะนี้ สหประชาชาติดำเนินการสนับสนุนติมอร์ตะวันออกภายใต้ United Nations Mission of Support in East Timor (UNMISET) ตั้งแต่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2545

วิกฤตการเมือง พ.ศ. 2548

ความวุ่นวายได้เริ่มขึ้นในติมอร์-เลสเตเมื่อเดือนเมษายน พ. หลังจากที่การชุมนุมเพื่อสนับสนุนทหารติมอร์-เลสเต 600 นาย ซึ่งถูกปลดออกจากราชการเนื่องจากหนีทัพกลายเป็นการจลาจลที่มีผู้เสียชีวิต 5 คน และมีมากกว่า 20000 คนที่หนีจากบ้านของตัวเอง

การต่อสู้อันรุนแรงทหารที่สนับสนุนรัฐบาลกับทหารฟาลินติลที่ไม่พอใจได้เกิดขึ้นเมื่อเดือนพฤษภาคม 2549[13] แม้ว่าจะยังไม่มีความชัดเจน แรงจูงใจเบื้องหลังการต่อสู้ คาดว่าจะเป็นการกระจายของกองทุนน้ำมัน และการจัดการไม่ดีของกองทัพและตำรวจติมอร์-เลสเต ซึ่งรวมถึงตำรวจอินโดนีเซียเดิมและกบฏติมอร์เดิม นายกรัฐมนตรีมารี อัลกาตีรี ได้เรียกความรุนแรงนี้ว่าเป็นการรัฐประหาร และได้ยอมรับความช่วยเหลือจากกองทัพจากต่างประเทศหลายชาติ[14][15] ณ วันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2549 ประเทศออสเตรเลีย โปรตุเกส นิวซีแลนด์ และมาเลเซียได้ส่งทหารมายังติมอร์-เลสเตเพื่อปราบปรามความไม่สงบ[16][17]

เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2549 ประธานาธิบดีชานานา กุฌเมา ได้ขอร้องอย่างเป็นทางการให้นายกรัฐมนตรีมารี อัลกาตีรี ลาออก ซึ่งสมาชิกพรรคเฟรตีลินส่วนใหญ่ได้ข้อรองให้นายกรัฐมนตรีลาออก โดยกล่าวหาว่า ได้พูดเท็จเกี่ยวกับการกระจายอาวุธให้พลเรือน[18] เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2549 นายกรัฐมนตรีมารี อัลกาตีรี ได้ลาออกโดยกล่าวว่า เป็นไปเพื่อหลีกเลี่ยงการลาออกของประธานาธิบดี[19] ฌูแซ รามุช-ออร์ตา ได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2549[20]

การปกครอง

ปัจจุบันประเทศติมอร์-เลสเตมีการปกครองในระบอบของประชาธิปไตย แต่ด้วยความที่เป็นประเทศใหม่ ซึ่งต้องเผชิญกับเหตุการณ์สงครามกลางเมือง และการรุกรานจากประเทศอื่น เพื่อให้การดำเนินการในติมอร์ตะวันออกเป็นไปโดยสงบ องค์การสหประชาชาติโดยสำนักงานโครงการเพื่อสนับสนุนภารกิจของในติมอร์ตะวันออก (United Nation Mission of Support in East Timor: UNMISET) เป็นหน่วยงานที่คอยให้การสนับสนุนการดำเนินการต่าง ๆ ในติมอร์-เลสเตให้เป็นไปอย่างเรียบร้อย ประเทศติมอร์-เลสเตเป็นสมาชิกขององค์การสหประชาชาติเมื่อวันที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2545

การแบ่งเขตการปกครอง

Thumb
แผนที่แสดงเขตเทศบาลต่าง ๆ ของติมอร์-เลสเต

ติมอร์-เลสเตแบ่งเขตการปกครองเป็น 13 เทศบาล (โปรตุเกส: município; เตตุน: munisípiu) ดังนี้

  1. กอวาลีมา
  2. ดิลี
  3. เบาเกา
  4. โบโบนารู
  5. มานาตูตู
  6. มานูฟาฮี
  7. ลีกีซา
  8. เลาเต็ง
  9. วีเกเก
  10. เอร์เมรา
  11. โอเอกูซี
  12. ไอนารู
  13. ไอเลอู

เศรษฐกิจ

Thumb
ตลาดในโลสปาโลส

สถานการณ์เศรษฐกิจ

ลู่ทางการค้าการลงทุนในติมอร์-เลสเตที่มีศักยภาพ คือ ไร่กาแฟ การทำประมง ธุรกิจการท่องเที่ยว รวมถึงแหล่งทรัพยากรประเภทน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติในเขต Timor Gap ซึ่งอยู่ระหว่างติมอร์-เลสเตกับออสเตรเลีย อย่างไรก็ดี ธุรกิจเหล่านี้ยังจำเป็นต้องได้รับการพัฒนาและการสนับสนุนด้านการเงินจากนักลงทุนภายนอกอยู่มาก เนื่องจากติมอร์-เลสเตยังขาดเงินทุน และชาวติมอร์-เลสเตยังขาดทักษะในการประกอบกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ประกอบกับในปัจจุบันมีอัตราผู้ว่างงานสูงประมาณร้อยละ 80 ซึ่งในส่วนของนักธุรกิจไทยจำเป็นต้องศึกษาความเป็นไปได้ของระเบียบรวมถึงอุปสรรคดังกล่าวต่าง ๆ ข้างต้น เพื่อประกอบการพิจารณาถึงความเสี่ยงในการลงทุนในติมอร์-เลสเต และขณะนี้สินค้าส่วนใหญ่ในติมอร์-เลสเตนำเข้าจากออสเตรเลีย เพื่อรองรับการบริโภคของคณะเจ้าหน้าที่จากสหประชาชาติและคณะทูตที่ปฏิบัติงานในติมอร์-เลสเต

โครงสร้างพื้นฐาน

Thumb
ท่าอากาศยานประธานาธิบดีนีกูเลา ลูบาตู

เส้นทางคมนาคม

ท่าอากาศยานนานาชาติประธานาธิบดีนีกูเลา ลูบาตู (Aeroporto Internacional Presidente Nicolau Lobato) เป็นสนามบินนานาชาติเพียงแห่งเดียวในติมอร์-เลสเต และท่าเรือติมอร์และท่าเรือดิลี ท่าเรือสำคัญของประเทศ

การศึกษา

การศึกษาของติมอร์-เลสเตเป็นไปตามโครงสร้าง 6-3-3 มีระดับการศึกษาตั้งแต่ก่อนประถมศึกษา ประถมศึกษา มัธยมศึกษาและมหาวิทยาลัย ทั้งนี้รัฐได้จัดสวัสดิการการศึกษาขั้นพื้นฐานให้แก่เยาวชนในระดับประถมศึกษา (EDUCATION POLICY AND DATA CENTER, 2012)

ประชากร

Thumb
งานแต่งงานของชาวติมอร์เชื้อสายจีนแคะ ปี ค.ศ. 2006

ภาษา

ภาษาที่มีถึง 30 กลุ่ม โดยต่างคนต่างอยู่ นอกจากนี้ยังมีชุมชนชาวติมอร์เชื้อสายจีน และคนไทยในกรุงดิลี ส่วนภาษาทางการนั้นไม่เป็นที่ตกลงแน่นอนว่าจะใช้ภาษาใดเป็นภาษาทางการ แต่ภาษาที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในติมอร์-เลสเต คือ ภาษาเตตุน ภาษาโปรตุเกส ภาษาอินโดนีเซีย และภาษาอังกฤษ โดยสองภาษาหลังนี้ทางการถือเป็นภาษาปฏิบัติการ นอกจากนี้ยังมีภาษาของชนเผ่าพื้นเมืองต่าง ๆ ที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ

ศาสนา

Thumb
รูปปั้นพระแม่มารีของศาสนาคริสต์ในกรุงดิลี
ข้อมูลเพิ่มเติม ศาสนา, จำนวนศาสนิก ...
ศาสนา จำนวนศาสนิก[21] ร้อยละ
ศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก19196.5 %
ศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนต์16,616 คน2.2 %
นับถือผี/ไสยศาสตร์5,883 คน0.8 %
ศาสนาอิสลาม6160.3 %
ศาสนาพุทธ7000000.06 %
ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู191 คน0.02 %
อื่น ๆ616 คน0.08 %
รวม741,530 คน100.00 %
ปิด

ประชากรส่วนใหญ่ในประเทศติมอร์-เลสเตนับถือศาสนาคริสต์ โดยแยกเป็นสองนิกายหลัก คือ นิกายโรมันคาทอลิก มีศาสนิกกว่าร้อยละ 96 ส่วนนิกายโปรเตสแตนต์นั้นมีร้อยละ 2.2 มีส่วนน้อยนับถือศาสนาอิสลามซึ่งส่วนใหญ่เป็นแบบซุนนี นอกนั้นนับถือศาสนาพุทธ ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู และอื่น ๆ[21]

วัฒนธรรม

ประชาชนชาวติมอร์-เลสเตส่วนใหญ่อาศัยอยู่ตามชนบท โดยส่วนมากยังทำการเกษตรแบบดั้งเดิมและพึ่งพาตนเอง มีการศึกษาต่ำ มีการจับปลาและเลี้ยงสัตว์ ผู้คนส่วนใหญ่ค้าขายไม่เป็น ไม่มีความรู้เกี่ยวกับอุตสาหกรรม เครื่องจักรกล แต่ชาวติมอร์-เลสเตนั้นมีความเคารพในระบบอาวุโส มีระบบเครือญาติที่แข็งแกร่ง รักพวกพ้อง รักขนบธรรมเนียมประเพณีดั้งเดิม โดยสตรีชาวติมอร์-เลสเตนั้นจะทำงานหนักในขณะที่บุรุษมักไม่ค่อยช่วยงานบ้าน

อ้างอิง

บรรณานุกรม

แหล่งข้อมูลอื่น

Wikiwand in your browser!

Seamless Wikipedia browsing. On steroids.

Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.

Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.