แคราแคล หรือ ลิงซ์เปอร์เซีย หรือ ลิงซ์อียิปต์ หรือ ลิงซ์แอฟริกา หรือ ลิงซ์ทะเลทราย (อังกฤษ: caracal, Persian lynx, Egyptian lynx, African lynx, desert lynx) เป็นแมวขนาดกลาง มีการกระจายพันธุ์ในเอเชียตะวันตก, เอเชียใต้ และทวีปแอฟริกา
แคราแคล | |
---|---|
แคราแคลที่อุทยานข้ามพรมแดนฆาลาฆาดี | |
สถานะการอนุรักษ์ | |
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์ | |
โดเมน: | ยูแคริโอต Eukaryota |
อาณาจักร: | สัตว์ Animalia |
ไฟลัม: | สัตว์มีแกนสันหลัง Chordata |
ชั้น: | สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม Mammalia |
อันดับ: | สัตว์กินเนื้อ Carnivora |
อันดับย่อย: | เฟลิฟอเมีย Feliformia |
วงศ์: | เสือและแมว Felidae |
วงศ์ย่อย: | แมว Felinae |
สกุล: | แคราแคล Caracal (Schreber, 1776) |
สปีชีส์: | Caracal caracal |
ชื่อทวินาม | |
Caracal caracal (Schreber, 1776) | |
ชนิดย่อย | |
ดูข้างล่าง | |
แผนที่แสดงการกระจายพันธุ์ของแคราแคลใน ค.ศ. 2016[1] | |
ชื่อพ้อง[2] | |
|
คำว่า "แคราแคล" มาจากคำในภาษาตุรกีว่า "karakulak" ซึ่งแปลว่า "หูสีดำ"[3] ในอินเดียเหนือและประเทศปากีสถาน แคราแคลเป็นที่รู้จักกันในชื่อ syahgosh (स्याहगोष/سیاه گوش) หรือ shyahgosh ซึ่งในคำในภาษาปากีสถานแปลว่า หูสีดำ เช่นกัน[4] ในภาษาอาฟรีกานส์เรียกแคราแคลว่า Rooikat ซึ่งแปลว่า "แมวแดง"
มีการนำแคราแคลมาเลี้ยงไว้ล่าสัตว์ในอินเดีย, เปอร์เซีย และอียิปต์[5][6]
ลักษณะ
แคราแคล มีน้ำหนักเต็มที่ในตัวผู้ 10 - 18 กิโลกรัม ความสูงจากอุ้งเท้าถึงหัวไหล่ประมาณ 40 - 50 เซนติเมตร ความยาวลำตัว 55 - 90 เซนติเมตร ความยางหาง 25 - 40 เซนติเมตร อายุโดยเฉลี่ย 8 - 10 ปี
มีลักษณะของตัวผู้และตัวเมียคล้ายคลึงกัน ในตัวผู้จะมีขนาดใหญ่กว่าตัวเมียเล็กน้อย อาศัยอยู่ตามทุ่งหญ้ากว้างใหญ่และมีโขดหิน ล่าเหยื่อได้หลากหลายชนิดรวมถึงสัตว์ที่มีขนาดใหญ่ในบางครั้ง เช่น อิมพาลาด้วย แต่โดยทั่วไปจะล่าไฮแรกซ์, กระต่ายป่า, หมูป่า, นกกระทา, ไก่ต๊อก, นกพิราบและนกเขา รวมถึงแอนทีโลปขนาดเล็กด้วย แคราแคล สามรถกระโดดได้สูง และล่าสัตว์ที่มีน้ำหนักมากกว่าตัวเองได้ถึง 2 - 3 เท่า โดยก่อนกินจะใช้ฟันถอนขนของเหยื่อออกให้หมดก่อน ในกรณีที่อาหารมีขนปกคลุมหนาแน่น[7]
แต่ตัวของแคราแคลเองก็ถูกล่าเช่นกันจากเสือดาวหรือสิงโต แคราแคลที่ยังไม่โตเต็มวัยอาจถูกล่าได้จากอินทรีขนาดใหญ่ แคราแคลปีนต้นไม้ได้เก่งและจะหนีขึ้นต้นไม้เมื่อถูกล่าหรือถูกคุกคาม[8]
อนุกรมวิธานและวิวัฒนาการชาติพันธุ์
Felis caracal เป็นชื่อวิทยาศาสตร์ที่Johann Christian Daniel von Schreberใช้อธิบายหนังแคราแคลจากแหลมกู๊ดโฮปใน ค.ศ. 1776[9] ต่อมาใน ค.ศ. 1843 จอห์น เอ็ดเวิร์ด เกรย์จัดให้มันอยู่ในสกุล Caracal[10] ในวงศ์ Felidae และวงศ์ย่อย Felinae[2]
ในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ถึง 20 มีการกล่าวถึงและเสนอตัวอย่างแคราแคลบางชนิดให้เป็นชนิดย่อย นับตั้งแต่ ค.ศ. 2017 มี 3 ชนิดย่อยเท่านั้นที่ยอมรับว่าถูกต้อง:[11]
- แคราแคลใต้ (C. c. caracal) (Schreber, 1776) – พบในแอฟริกาใต้และแอฟริกาตะวันออก
- แคราแคลเหนือ (C. c. nubicus) (Fischer, 1829)[12] – พบในแอฟริกาเหนือและแอฟริกาตะวันตก
- แคราแคลเอเชีย (C. c. schmitzi) (Matschie, 1912)[13] – พบในเอเซีย
ถิ่นที่อยู่อาศัย
แคราแคลอาศัยอยู่ในพื้นที่แห้งแล้ง อดทนต่อสภาพที่อยู่อาศัยหลายประเภท พบในป่าวูดแลนด์ ซะวันนา และป่าละเมาะอะคาเซียทั่วทวีปแอฟริกา พบได้บ่อยในป่าที่ชุ่มชื่นใกล้ชายฝั่งเหนือทะเลทรายซาฮารา และยังพบในทะเลทรายของอินเดียด้วย แต่ไม่พบในป่าฝนเขตร้อน อยู่ได้สูงถึง 3,000 เมตร ในแอฟริกาใต้ แคราแคลอยู่ในป่าดิบและป่าบนเขาสูงทางใต้ของจังหวัดเคป ในเอธิโอเปีย แคราแคลพบได้สูงถึง 2,500 เมตร ในเทือกเขาเบลีและไซเมียน
อุปนิสัย
แคราแคลอดน้ำได้เก่ง เพียงน้ำจากตัวเหยื่อก็ดำรงชีวิตได้แล้ว ตอนกลางวันอันร้อนระอุจะพักอยู่ตามหลืบหิน หากินเฉพาะตอนเช้าและตอนเย็นที่อากาศเย็น
การล่าของแคราแคลจะใช้วิธีย่องเข้าหาและพุ่งตะครุบเช่นเดียวกับแมวบ้าน ตัวผู้มีอาณาเขตหากินซ้อนทับพื้นที่ของตัวเมียหลายตัว หากินโดยลำพัง จะหากินด้วยกันก็ต่อเมื่อต้องการผสมพันธุ์เท่านั้น
ในประเทศแอฟริกาใต้แมวแคราแคลตัวผู้มีอาณาเขต 31 - 65 ตารางกิโลเมตร ส่วนตัวเมียใช้พื้นที่เพียง 4 - 31 ตารางกิโลเมตร แคราแคลตัวผู้เดินทางเฉลี่ยวันละ 10.4 + 5.2 กิโลเมตร ส่วนตัวเมียเดินทางเฉลี่ยวันละ 6.6 + 4.1 กิโลเมตร เคยมีการแกะรอยแคราแคลตัวหนึ่งในทะเลทรายคารากัมในเติร์กเมนิสถานพบว่ามันเดินทางในเวลากลางคืนเป็นระยะทางถึง 20 กิโลเมตร
แคราแคลกินสัตว์ฟันแทะเป็นอาหารหลัก เช่น เจอร์บัว หนูทราย กระรอกดิน นอกจากนี้ยังกิน นก ร็อกไฮแรก กระต่ายป่า สัตว์เลื้อยคลาน งูพิษ และแอนติโลปขนาดเล็กอย่างรีดบัก ดุยเกอร์ สปริงบอก กูดู
แคราแคลที่อยู่ในทะเลทรายของเติร์กเมนิสถาน กินกระต่ายป่าโทไลเป็นอาหารหลัก บางครั้งก็จับสัตว์ใหญ่ได้เหมือนกัน เช่นกาเซลล์กอยเตอร์ ในอาหรับก็เคยพบแคราแคลฆ่าตัวโอริกซ์ และยังเคยพบรอยแคราแคลติดตามตัวกาเซลล์ดอร์คัสในแอลจีเรีย โดยเฉพาะแคราแคลในตะวันตกเฉียงเหนือของทะเลสาบชาด ขึ้นชื่อในเรื่องการจับกาเซลล์กอยเตอร์ จึงมีชื่อเรียกในภาษาตูบูที่มีความหมายว่าแมวกาเซลล์ ในปากีสถานก็เคยมีคนเห็นแคราแคลย่องตามฝูงแกะป่ามูฟลอนตอนกลางวัน
บางครั้งแคราแคลก็กินซากด้วยแม้ไม่บ่อยครั้ง ครั้งหนึ่งในอุทยานแห่งชาติอิโตชาในนามิเบีย แคราแคลตัวเมียตัวหนึ่งรอให้เสือชีตาห์กินเหยื่อจนเสร็จจนจากไปแล้วค่อยไปกินซากที่เหลือ บางครั้งก็กินหญ้าและผลไม้ คาดว่าแคราแคลกินหญ้าและผลไม้เพื่อต้องการน้ำจากภายในเท่านั้น เมื่อจับเหยื่อได้จะลากไปในที่ลับตาเพื่อหลีกเลี่ยงสัตว์อื่นมารบกวน ถ้าเหยื่อตัวใหญ่กินคราวเดียวไม่หมด ก็จะคลุมเหยื่อด้วยหญ้าเพื่อกลับมากินคราวหลัง บางครั้งแคราแคลก็ลากเหยื่อขึ้นไปกินบนต้นไม้แบบเดียวกับเสือดาว ในการกินนก หากเป็นนกตัวใหญ่แคราแคลจะถอนขนก่อนกิน แต่ถ้าเป็นนกตัวเล็กจะกลืนเข้าไปทั้งตัว
ท่าเดินของแคราแคลคล้ายชีตาห์ แต่แมวชนิดนี้ไม่ใช่นักวิ่งเร็ว แม้จะวิ่งเร็วกว่าแมวชนิดอื่นที่มีขนาดไล่เลี่ยกัน เมื่อถูกหมาวิ่งไล่จะวิ่งขึ้นต้นไม้
แคราแคลมีฝีมือเด่นด้านการกระโดด มันกระโดดได้สูงจากพื้นหลายฟุตขึ้นไปตบนก มันอาจจับนกพิราบได้คราวละราวสิบตัวในคราวเดียว ในอดีตในประเทศอินเดียและอิหร่าน เคยมีการฝึกแคราแคลให้ล่านกด้วย และนี่เป็นที่มาของสำนวนภาษาอังกฤษ ว่า 'to put a cat amongst the pigeons' แคราแคลจะถูกนำไปไว้ในเวทีที่เต็มไปด้วยฝูงนกพิราบเพื่อแข่งขันกันว่าแมวตัวไหนจะฆ่านกได้มากที่สุด นอกจากนี้ยังมีการเลี้ยงไว้เพื่อล่าแอนติโลป กระต่าย และหมาจิ้งจอกอีกด้วย
แคราแคลหากินตอนกลางคืนเป็นส่วนใหญ่ แต่ละคืนอาจเดินหากินเป็นระยะทางถึง 20 กิโลเมตร หลับพักผ่อนในโพรง หลืบหิน หรือพุ่มไม้ทึบ หรือบางครั้งก็บนต้นไม้ แมวชนิดนี้มักไม่ค่อยส่งเสียงนัก ส่วนใหญ่มักเป็นการ ส่งเสียงครางต่ำ ๆ และทำเสียงฟุดฟิดเมื่อฉุนเฉียว เสียงร้องเรียกคู่คล้ายเสียงเห่าและดัง สายตาและหูดีมาก แต่ความไวจมูกปานกลาง
แคราแคลตัวผู้มีพื้นที่หากินเฉลี่ยประมาณ 221 ตารางกิโลเมตร ตัวเมียประมาณ 57 ตารางกิโลเมตร ยิ่งตัวใหญ่ก็ยิ่งมีพื้นที่หากินกว้าง อาณาเขตของตัวผู้จะซ้อนทับกันค่อนข้างมาก (ราว 50 เปอร์เซ็นต์) และซ้อนทับกับพื้นที่ของตัวเมียหลายตัว เคยพบแคราแคลตัวผู้ที่เดินทางไกลถึง 90 กิโลเมตรเพื่อแสวงหาอาณาเขต ส่วนตัวเมียจะใช้พื้นที่ไม่ไกลจากแหล่งกำเนิดเป็นอาณาเขตและพื้นที่ของตัวเมียซ้อนทับกับพื้นที่ของแม่ ส่วนแคราแคลในทะเลทรายเนเกฟในอิสราเอล ใช้พื้นที่หากินกว้างกว่าพวกที่อยู่ในแอฟริกาใต้ แม้จะมีเหยื่อให้กินมากอันเนื่องมาจากระชลประทานที่ดีก็ตาม
ชีววิทยา
คาดว่าแคราแคลผสมพันธุ์ได้ตลอดทั้งปี ในแถบซาฮารามักผสมพันธุ์ในเดือนมกราคมซึ่งเป็นกลางฤดูหนาว มีช่วงเวลาเป็นสัดนาน 5 - 6 วัน และมีคาบการเป็นสัด 14 วัน ในช่วงเป็นสัดแมวตัวเมียอาจจับคู่กับตัวผู้ได้มากถึงสามตัว โดยจับคู่ตามลำดับบรรดาศักดิ์ของตัวผู้ ซึ่งขึ้นอยู่กับอายุและขนาด แม่แมวตั้งท้องนาน 71 - 81 วัน ออกลูกครอกละ 1 - 4 ตัว บางครั้งอาจมากถึง 6 ตัว ทำรังเลี้ยงลูกในโพรงหรือหลืบหินหรือพุ่มทึบ พื้นรังปูด้วยขน ลูกแมวแรกเกิดสีเข้มกว่าตัวผู้ใหญ่ ท้องมีจุดสีอมแดง จุดนี้จะจางหายไปเมื่อโตขึ้น ลืมตาได้ตั้งแต่วันแรก แต่จะเปิดเต็มที่ได้เมื่ออายุได้ 6 - 10 วัน ช่วงแรกลูกแมวจะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นวันละ 21 กรัม เมื่ออายุได้สามสัปดาห์ แม่จะพาออกมาจากรังเพื่อย้ายรังเป็นครั้งแรก เมื่อลูกแมวอายุได้ 4 - 5 สัปดาห์ก็จะซุกซนมากและส่งเสียงร้องจิ๊บเหมือนนก เมื่ออายุได้ 10 สัปดาห์ก็หย่านม แต่จะยังคงอยู่กับแม่จนกระทั่งอายุครบขวบ แมวตัวผู้จะเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์เมื่ออายุได้ 12.5 - 15 เดือน ส่วนตัวเมียเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์เมื่ออายุได้ 14 - 16 เดือน และคาดว่ามีลูกได้ทุกปี ตั้งท้องครั้งสุดท้ายเมื่ออายุ 18 ปี ในแหล่งเพาะเลี้ยงมีอายุได้ถึง 19 ปี
แมวชนิดนี้เพาะพันธุ์ได้ง่าย มีการเลี้ยงในสวนสัตว์หลายแห่ง[ต้องการอ้างอิง]
ภัยคุกคาม
แคราแคลมักถูกล่าจากข้อหาว่าไปฆ่าสัตว์เลี้ยงขนาดเล็กในฟาร์มของชาวบ้าน ข้อกล่าวหานี้มีส่วนจริง จากการวิเคราะห์กระเพาะและขี้ของแคราแคลนอกเขตคุ้มครอง พบว่าสัตว์เลี้ยงของชาวบ้านเป็นเหยื่อประจำของแคราแคลจริงและมีอยู่ปริมาณพอสมควร (17 - 55%) อัตราสูญเสียสัตว์เลี้ยงมีมากถึง 5.3 ตัว ต่อ 10 ตารางกิโลเมตร อย่างไรก็ตามปัญหานี้เกิดขึ้นเฉพาะในแอฟริกาใต้และนามิเบียเท่านั้น ในระหว่างปี 2474 - 2495 มีปฏิบัติการควบคุมจำนวนแคราแคลในพื้นที่คารู จากรายงานระบุว่ามีแคราแคลถูกฆ่าตายไปเฉลี่ย 2,219 ตัวต่อปี ในปี 2532 มีการสำรวจกลุ่มนักล่าที่คอยล่าสัตว์ที่ก่อปัญหาในจังหวัดเคป พบว่า จำนวนของแคราแคลที่ถูกกำจัดและจับมีราว 0.02 - 1.6 ต่อ 10 ตารางกิโลเมตรต่อปี ในปี 2524 มีการสำรวจพบว่าแคราแคลถูกชาวบ้านฆ่าตายรวม 2,800 ตัว อย่างไรก็ตาม ความพยายามที่จะควบคุมจำนวนแคราแคลนี้ดูเหมือนจะมีผลต่อจำนวนประชากรไม่มากนัก เพราะมักพบว่าหลังจากที่แคราแคลถูกกำจัดไปจากพื้นที่หนึ่ง แคราแคลตัวอื่นก็เข้ามาครอบครองพื้นที่แทน
การล่าเพื่อเอาหนังและเพื่อการเปิบพิสดารก็มีรายงานในแอฟริกาตะวันตกและแอฟริกากลางเช่นกัน ซึ่งในพื้นที่ดังกล่าวมีประชากรแคราแคลไม่หนาแน่นมากนัก
ภัยคุกคามอีกอย่างอย่างหนึ่งคือการสูญเสียถิ่นที่อยู่อาศัย เพราะชุมชนมนุษย์เริ่มรุกล้ำพื้นที่หากินของแคราแคล และสัตว์เหยื่อของแคราแคลก็ถูกกำจัดออกไปด้วย
สถานภาพ
จำนวนประชากรของแคราแคลในธรรมชาติยังไม่ทราบแน่ชัด ในเอเชียและตอนเหนือของทวีปแอฟริกาเหลือน้อยและถูกคุกคาม พันธุ์แอฟริกาใต้ (C.c. caracal) ที่อยู่ในแอฟริกาตอนใต้ยังมีอยู่มาก พบมากที่สุดในประเทศแอฟริกาใต้และนามิเบีย และเขตกระจายพันธุ์ในส่วนนี้ยังคงขยายออกไป ซึ่งอาจเป็นผลมาจากการที่หมาจิ้งจอกหลังดำถูกชาวไร่กำจัดออกไปจากพื้นที่ สถานภาพโดยรวมของแมวชนิดนี้ในทวีปแอฟริกาถือว่าอยู่ในระดับที่ปลอดภัย ตรงข้ามกับชนิดย่อยที่อยู่ในเอเชียถูกคุกคามอย่างหนัก ในปี 2536 พบว่าในเติร์กเมนิสถานเหลือแคราแคลอยู่เพียง 250 - 300 ตัว ส่วนในอินเดียก็ถือเป็นสัตว์หายาก
ไซเตสจัดแมวแคราแคลในแอฟริกาไว้ในบัญชีหมายเลข 2 ส่วนพันธุ์ที่อยู่ในเอเชียอยู่ในบัญชีหมายเลข 1
ประเทศที่ห้ามล่า
ประเทศที่ไม่มีการคุ้มครอง
ไม่มีข้อมูล
ประเทศที่ควบคุมการล่าและการค้า
หมายเหตุ
- ประชากรทั้งหมดอยู่ใน Appendix II ยกเว้นประชากรในทวีปเอเชีย
อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น
Wikiwand in your browser!
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.