![cover image](https://wikiwandv2-19431.kxcdn.com/_next/image?url=https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/5/5c/Damages_after_2020_Beirut_explosions_1.jpg/640px-Damages_after_2020_Beirut_explosions_1.jpg&w=640&q=50)
เหตุระเบิดในเบรุต พ.ศ. 2563
การระเบิดของแอมโมเนียมไนเตรตในประเทศเลบานอน / From Wikipedia, the free encyclopedia
เหตุระเบิดที่ท่าเรือเบรุต พ.ศ. 2563 เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2563 บริเวณท่าเรือเบรุตในเมืองเบรุต เมืองหลวงของประเทศเลบานอน[2]เป็นเหตุระเบิดของ แอมโมเนียมไนเตรตประมาณ 2,750 ตัน (3,030 ตันสั้น; 2,710 ตันยาว) ซึ่งเทียบเท่ากับทีเอ็นทีประมาณ 1.2 กิโลตัน (5.0 TJ) ซึ่งถูกรัฐบาลเลบานอนยึดจากเรือ MV Rhosus ที่ถูกทิ้งร้างแล้วเก็บไว้ในท่าเรือที่ไม่มีมาตรการด้านความปลอดภัยที่เหมาะสมเป็นเวลา 6 ปี ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 208ราย บาดเจ็บมากกว่า 7,500 ราย และสูญหายอีกจำนวนมาก[1][3][4][5] รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขแสดงความกังวลต่อยอดผู้เสียชีวิตที่อาจจะมีมาก และยอมรับว่ามี "การบาดเจ็บจำนวนมากและมีความเสียหายอย่างหนัก"[6][7] ผู้ว่าการเบรุตประมาณการณ์ว่ามีประชาชนกว่า 300,000 คนต้องกลายเป็นผู้ไร้ที่อยู่อาศัยเนื่องจากแรงระเบิด[8]
![]() ผลของระเบิด แสดงยุ้งเมล็ดพันธุ์ที่ถูกทำลายทางซ้ายและมีหลุมระเบิดน้ำท่วมขังทางขวา | |
วันที่ | 4 สิงหาคม 2563 (2020-08-04) |
---|---|
เวลา | 18:08:18 EEST (15:08:18 UTC) (ระเบิดครั้งที่สอง) |
สถานที่ | ท่าเรือเบรุต |
ที่ตั้ง | กรุงเบรุต ประเทศเลบานอน |
พิกัด | 33°54′05″N 35°31′08″E |
ประเภท | การระเบิดของแอมโมเนียมไนเตรต |
สาเหตุ | เพลิงไหม้ |
เสียชีวิต | 207 [1] |
บาดเจ็บไม่ถึงตาย | 7,500+[1] |
สูญหาย | 3 |
ทรัพย์สินเสียหาย | US$15,000+ ล้าน |
ผู้ถูกย้ายถิ่น | ≈300,000 |
แผนที่ | ![]() |
การสำรวจทางธรณีวิทยาของสหรัฐ ตรวจพบว่าการระเบิดทำให้เกิดแผ่นดินไหวขนาด 3.3 ริกเตอร์ ส่งแรงสะเทือนออกไปไกลถึง 250 km (160 mi) สามารถรู้สึกได้ใน ประเทศตุรกี ซีเรีย อิสราเอล และบางส่วนของยุโรป และได้ยินได้ใน ไซปรัส[9][10] ถือเป็นการระเบิดที่ไม่ใช่นิวเคลียร์ที่ทรงพลังที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์[11][12][13]
รัฐบาลเลบานอน ประกาศภาวะฉุกเฉินเป็นเวลา 2 สัปดาห์เพื่อรับมือกับภัยพิบัติ จากเหตุระเบิด ทำให้การประท้วงใหญ่ที่เกิดขึ้นในประเทศตั้งแต่ปี พ.ศ. 2562 ทวีความรุนแรงขึ้นอีกครั้ง ในวันที่ 8 สิงหาคม ผู้ประท้วงได้บุกเข้าไปใน กระทรวงการต่างประเทศ เกิดการยิงปะทะกันจนมีผู้บาดเจ็บ 238 คน[14] ในวันต่อมา ผู้ประท้วงได้บุก อาคารรัฐสภา[15][16] จนเกิดการใช้แก๊สน้ำตา เพื่อสลายการชุมนุม จนกระทั่งในวันถัดมา คณะรัฐมนตรีพร้อมด้วย ฮัสซัน ดิอับ นายกรัฐมนตรีของเลบานอน จึงได้ประกาศลาออกจากตำแหน่ง หลังจากความกดดันทางการเมืองที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นหลังจากเหตุการณ์[17][18]