![cover image](https://wikiwandv2-19431.kxcdn.com/_next/image?url=https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/a/ae/David_Moyes_West_Ham_%2528cropped%2529.jpg/640px-David_Moyes_West_Ham_%2528cropped%2529.jpg&w=640&q=50)
เดวิด มอยส์
From Wikipedia, the free encyclopedia
เดวิด วิลเลียม มอยส์ (อังกฤษ: David William Moyes; เกิด 25 เมษายน ค.ศ. 1963) เป็นอดีตนักฟุตบอลและผู้จัดการทีมชาวสกอตแลนด์ เขายังเคยเป็นผู้จัดการทีมให้แก่หลายสโมสรในอังกฤษ ได้แก่ เพรสตันนอร์ทเอนด์, เอฟเวอร์ตัน, แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด, ซันเดอร์แลนด์ และ เวสต์แฮมยูไนเต็ด และยังเคยเป็นผู้จัดการทีมเรอัลโซซิเอดัด ในลาลิกา ประเทศสเปน มอยส์ได้รับรางวัลผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมของสมาคมผู้จัดการทีมแห่งลีกอังกฤษ (LMA Manager of the Year) 3 สมัยใน ค.ศ. 2003, 2005 และ 2009 และยังมีสถานะเป็นหนึ่งในคณะกรรมการฝ่ายบริหารของสมาคมดังกล่าวในปัจจุบัน
![]() มอยส์ขณะเป็นผู้จัดการทีมเวสต์แฮมยูไนเต็ดใน ค.ศ. 2021 | |||
ข้อมูลส่วนตัว | |||
---|---|---|---|
ชื่อเต็ม | เดวิด วิลเลียม มอยส์[1] | ||
วันเกิด | (1963-04-25) 25 เมษายน ค.ศ. 1963 (61 ปี)[1] | ||
สถานที่เกิด | กลาสโกว์ สกอตแลนด์ | ||
ส่วนสูง | 6 ft 1 in (1.85 m)[1] | ||
ตำแหน่ง | เซ็นเตอร์แบ็ก | ||
สโมสรเยาวชน | |||
1978 | ÍBV | ||
1978–1980 | Drumchapel Amateurs | ||
สโมสรอาชีพ* | |||
ปี | ทีม | ลงเล่น | (ประตู) |
1980–1983 | เซลติก | 24 | (0) |
1983–1985 | เคมบริดจ์ยูไนเต็ด | 79 | (1) |
1985–1987 | บริสตอลซิตี | 83 | (6) |
1987–1990 | ชรูว์สบรีทาวน์ | 96 | (11) |
1990–1993 | Dunfermline Athletic | 105 | (13) |
1993 | Hamilton Academical | 5 | (0) |
1993–1999 | เพรสตันนอร์ทเอนด์ | 143 | (15) |
รวม | 535 | (46) | |
ทีมชาติ | |||
1980 | สกอตแลนด์ อายุไม่เกิน 18 ปี | ||
จัดการทีม | |||
1998–2002 | เพรสตันนอร์ทเอนด์ | ||
2002–2013 | เอฟเวอร์ตัน | ||
2013–2014 | แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด | ||
2014–2015 | เรอัลโซซิเอดัด | ||
2016–2017 | ซันเดอร์แลนด์ | ||
2017–2018 | เวสต์แฮมยูไนเต็ด | ||
2019–2024 | เวสต์แฮมยูไนเต็ด | ||
*นัดที่ลงเล่นและประตูที่ยิงให้แก่สโมสรเฉพาะลีกในประเทศเท่านั้น |
มอยส์ลงเล่นในฐานะนักฟุตบอลอาชีพกว่า 540 นัดในตำแหน่งกองหลังตัวกลาง โดยเริ่มต้นอาชีพกับสโมสรเซลติกในสกอตแลนด์ซึ่งเขาชนะเลิศการแข่งขันสกอตติชพรีเมียร์ชิปในฤดูกาล 1981–82 ก่อนจะย้ายไปเล่นกับอีกหลายสโมสร ได้แก่ เคมบริดจ์ ยูไนเต็ด, บริสตอลซิตี, ชรูว์สบรีทาวน์, ดันเฟิร์มลิน แอธเลติก และเล่นให้กับเพรสตันนอร์ทเอนด์เป็นสโมสรสุดท้ายก่อนจะประกาศเลิกอาชีพและผันตัวมาเป็นผู้ฝึกสอนให้แก่สโมสร และพาทีมชนะเลิศการแข่งขันสกายเบ็ตลีกทูได้ในฤดูกาล 1999–2000 และเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศการแข่งขันเพลย์ออฟของอีเอฟแอลลีกวันได้ในฤดูกาลถัดมา
อาชีพผู้จัดการทีมของมอยส์เริ่มเป็นที่จับตามองมากขึ้น เมื่อเขาเข้ารับตำแหน่งต่อจาก วอลเตอร์ สมิธ ผู้จัดการทีมเอฟเวอร์ตันในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2002 และสามารถพาทีมจบในอันดับ 4 ของพรีเมียร์ลีกได้ในฤดูกาล 2004–05 ซึ่งเป็นอันดับที่ดีที่สุดของสโมสรนับตั้งแต่ ค.ศ. 1988 ทำให้ได้สิทธิ์แข่งขันยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกรอบคัดเลือกในฤดูกาลต่อมาซึ่งเป็นการเข้าร่วมครั้งแรกนับตั้งแต่ฤดูกาล 1970–71 ก่อนจะพาทีมคว้าตำแหน่งรองชนะเลิศถ้วยเอฟเอคัพในฤดูกาล 2008–09[2] ซึ่งเป็นผลงานที่ดีที่สุดนับตั้งแต่สโมสรชนะเลิศรายการดังกล่าวครั้งล่าสุดใน ค.ศ. 1995 มอยส์มักจะพาเอฟเวอร์ตันรักษาอันดับต้น ๆ ในลีกได้อย่างมั่นคงโดยมักจะจบในอันดับ 5 ถึงอันดับ 8 เป็นส่วนมากตลอดระยะเวลา 11 ฤดูกาลที่เขาอยู่กับทีม[3] และในช่วงที่เขาลาออกจากสโมสร เขาถือเป็นผู้จัดการทีมที่คุมทีมในพรีเมียร์ลีกยาวนานที่สุดเป็นอันดับสามต่อจาก อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน และ อาร์แซน แวงแกร์[4]
มอยส์เข้ารับตำแหน่งผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดต่อจาก อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2013 โดยเฟอร์กูสันเป็นผู้เลือกมอยส์ให้มารับตำแหน่งต่อจากเขาด้วยตัวเอง อย่างไรก็ตาม มอยส์ถูกปลดออกจากตำแหน่งในเดือนมีนาคมปีถัดมาจากผลงานอันย่ำแย่ซึ่งยูไนเต็ดตกไปอยู่อันดับ 7 ของตาราง และหมดสิทธิ์ทำอันดับเพื่อแข่งขันยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกอย่างเป็นทางการ[5] ต่อมา มอยส์ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้จัดการทีม เรอัลโซซิเอดัด ในลาลิกา ใน ค.ศ. 2014 แต่ก็ถูกปลดในหนึ่งปีหลังจากนั้น[6] ต่อมาในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2016 เขาเข้ารับตำแหน่งต่อจาก แซม อัลลาร์ไดซ์ เพื่อคุมทีมซันเดอร์แลนด์ ก่อนจะลาออกเมื่อจบฤดูกาล 2016–17[7] เนื่องจากสโมสรตกชั้นสู่อีเอฟแอลแชมเปียนชิป และเขาได้รับตำแหน่งผู้จัดการทีมเวสต์แฮมยูไนเต็ดในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2017 และพาทีมรอดพ้นการตกชั้นขึ้นมาจบอันดับ 13 ในลีก แต่ไม่ได้รับการต่อสัญญาเมื่อจบฤดูกาล อย่างไรก็ตาม มอยส์ได้กลับมารับตำแหน่งเป็นผู้จัดการทีมเวสต์แฮมอีกครั้งในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2019 ภายหลังจากสโมสรทำการปลดมานูเอล เปเลกรินิ[8]