Loading AI tools
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ฤดูหนาวจากภูเขาไฟ คือการที่โลกมีอุณหภูมิลดลงจากการระเบิดของภูเขาไฟขนาดใหญ่ที่ทำให้เกิดเถ้าภูเขาไฟ, กรดซัลฟิวริกและน้ำจำนวนมากในชั้นบรรยากาศจนทำให้บดบังแสงจากดวงอาทิตย์และมีการเพิ่มอัลบีโด (ค่าการสะท้อนแสง) ของโลกมากขึ้น ความหนาวเย็นของปรากฏการณ์นี้จะกินเวลานานเท่าไหร่ก็ขึ้นอยู่กับจำนวนก๊าซกำมะถันที่เปลี่ยนรูปเป็นอนุภาคชื่อว่าละอองลอยของกรดซัลฟิวริกซึ่งจะรวมตัวกันที่ชั้นสตราโทสเฟียร์[1] ซึ่งละอองลอยที่อยู่บนชั้นบรรยากาศจะทำให้ผิวโลกเย็นลงเนื่องจากมันช่วยสะท้อนแสงและรังสีจากดวงอาทิตย์กลับสู่อวกาศและดูดซับรังสีภาดพื้นดินของโลก[2]
ฤดูหนาวจากภูเขาไฟช่วงหลังเป็นช่วงฤดูหนาวที่มีขนาดเล็กแต่ในอดีตนั้นค่อนข้างสำคัญ
เหตุการณ์ล่าสุด การระเบิดของภูเขาไฟปินาตูโบ พ.ศ. 2534 ภูเขาไฟประเภทกรวยสลับชั้นในประเทศฟิลิปปินส์ทำให้โลกมีอุณหภูมิลดลง 2–3 ปี[3]
การระเบิดของภูเขาไฟกรากะตัว พ.ศ. 2426 ทำให้เกิดสภาพคล้ายฤดูหนาวจากภูเขาไฟ 4 ปีหลังการระเบิดทำให้เกิดความเย็นที่ผิดปกติและพายุหิมะที่รุนแรง [4]
การปะทุของภูเขาไฟตัมโบรา พ.ศ. 2358 ภูเขาไฟประเภทกรวยสลับชั้นในประเทศอินโดนีเซีย ทำให้เกิดน้ำค้างแข็งกลางฤดูร้อนในรัฐนิวยอร์กและทำให้เกิดหิมะตกในนิวอิงแลนด์และรัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนี้ถูกเรียกว่า "ปีไร้ฤดูร้อน"
กระดาษที่เขียนโดยเบนจามิน แฟรงคลินใน พ.ศ. 2326[5] ได้เขียนถึงความหนาวในหน้าร้อนของปี 2326 ซึ่งเกิดจากฝุ่นภูเขาไฟจากภูเขาไฟลาไคในไอซ์แลนด์ซึ่งได้ปล่อยซัลเฟอร์ไดออกไซด์จำนวนมากส่งผลให้ปศุสัตว์บนเกาะตาย, เกิดทุพภิกขภัยจนทำให้ชาวไอซ์แลนด์ 1 ใน 4 ต้องตายลง, ซีกโลกเหนืออุณหภูมิลดลงประมาณ 1 °C ในปีที่ปะทุ แต่ถึงอย่างนั้นข้อเสนอของเบนจามิน แฟรงคลินนั้นได้รับการตั้งคำถามว่าอาจจะผิด[6]
การระเบิดของภูเขาไฟฮวายนาปูตินาในเปรู พ.ศ. 2143 จากการศึกษาวงปีต้นไม้แสดงให้เห็นว่า พ.ศ. 2143 นั้นมีอากาศเย็น, ทำให้เกิดทุพภิกขภัยในรัสเซียในปี 2144–2146 และตั้งแต่ พ.ศ. 2143 ถึง 2145 สวิตเซอร์แลนด์, ลัตเวียและเอสโตเนียต้องเผชิญกับฤดูหนาวที่มีอากาศหนาวจัด พ.ศ. 2144 การผลิตไวน์ในฝรั่งเศสล้าช้าส่วนในเปรูและเยอรมนีการผลิตไวน์ก็ทรุดตังลง ต้นท้อในจีนบานช้าและทะเลสาบซุวะในญี่ปุ่นก็แข็งตัว[7]
พ.ศ. 1995 หรือ พ.ศ. 1996 การประทุของภูเขาไฟใต้ทะเลคูเว (Kuwae) ทำให้เกิดยุดน้ำแข็งขนาดเล็ก
ทุพภิกขภัยครั้งใหญ่ใน พ.ศ. 1858–1860 ในทวีปยุโรปอาจเป็นผลมาจากเหตุการณ์ภูเขาไฟระเบิด[8] คาดว่าน่าจะเป็นภูเขาไฟทาราวีราในประเทศนิวซีแลนด์ซึ่งมีผลประมาณ 5 ปี[9]
เหตุการณ์ลมฟ้าอากาศสุดโต่งใน พ.ศ. 1078–1079 มีแนวโน้มว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับเหตุภูเขาไฟระเบิดคำอธิบายทางด้านทฤษฎีล่าสุดคือการระเบิดของเตเอรา บลานกา โคเบน (Tierra Blanca Joven) ในภาคกลางของเอลซัลวาดอร์[10]
หนึ่งในฤดูหนาวจากภูเขาไฟที่สำคํญครั้งหนึ่งเกิดขึ้นเมื่อ 71,000–73,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช เป็นเหตุการระเบิดของซูเปอร์ภูเขาไฟโตบาบนเกาะสุมาตราในอินโดนีเซียหลังการระเบิด 6 ปีมีการปล่อยปริมาณกำมะถันสูงสุดในช่วง 110,000 ปี และยังทำให้ป่าไม้ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ถูกทำลายและอุณหภูมิของโลกลดลง 1 °C[11] นักวิทยาศาสตร์บางคนตั้งสมมติฐานว่าการปะทุครั้งนี้อาจส่งผลให้เร่งการเกิดธารน้ำแข็งซึ่งเพิ่มความหนาวเย็นภายในทวีป ความหนาวเย็นนี้ทำให้จำนวนประชากรมนุษย์และสัตว์ลดลงจำนวนมาก แต่มีบางกลุ่มโต้แย้งว่าการระเบิดของภูเขาไฟนั้นสั้นและไม่อาจทำให้ประชากรมนุษย์ช่วงแรก ๆ ลดลงได้[11]
นี้รวมถึงเหตุการ์ณการลดลงอย่างรวดเร็วของประชากรในช่วงเวลาเดี่ยวกันหรือก็คือคอคอดประชากรซึ่งน่าจะเกี่ยวข้องกับฤดูหนาวจากภูเขาไฟ (ดูเพิ่ม ทฤษฎีมหันตภัยโตบา) โดยเฉลี่ยการระเบิดอย่างรุนแรงของซูเปอร์ภูเขาไฟจะมีมวลการปะทุอย่างน้อย 1015 กิโลกรัม (มวลการปะทุของโตบา = 6.9 × 1015 kg) เกิดขึ้นทุกๆ 1 ล้านปี[12]
อย่างไรก็ตามใน พ.ศ. 2556 นักโบราณคดีค้นพบชั้นจุลภาคของขี้เถ้าภูเขาไฟในตะกอนของทะเลสาบมาลาวีซึ่งเชื่อมโยงกับเถ้าของการระเบิดของภูเขาไฟโตบาเมื่อ 75,000 ปีก่อน และยังได้ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงของซากฟอสซิลใกล้กับชั้นขี้เถ้าซึ่งคาดว่าน่าจะเกิดขึ้นหลังฤดูหนาวภูเขาไฟที่รุนแรง ซึ่งผลที่ได้นี้ทำให้นักโบราณคดีสรุปว่าการปะทุของภูเขาไฟที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ไม่เปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของแอฟริกาตะวันออกสักเท่าไหร่[13][14]
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.