Loading AI tools
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
มารีอา ลุยซาแห่งปาร์มา สมเด็จพระราชินีแห่งสเปน (ลุยซา มารีอา เตเรซา อันนา; 9 ธันวาคม 1751 – 2 มกราคม 1819) เป็น สมเด็จพระราชินีแห่งสเปน พระอัครมเหสีในพระเจ้าการ์โลสที่ 4 แห่งสเปน ตั้งแต่ ค.ศ. 1788 ถึง 1808 ทรงเป็นต้นเหตุให้เกิด สงครามคาบสมุทร ความสัมพันธ์ของพระองค์กับ มานูเอล โกดอย และการที่ทรงมีอิทธิพลเหนือพระมหากษัตริย์ ทำให้ทรงไม่เป็นที่นิยมของประชาชนและชนชั้นสูงในสมัยนั้น พระองค์ทรงไม่ถูกกับ ดัชเชสแห่งอัลบา และ ดัชเชสแห่งออซูนา ทรงได้รับความสนใจจากประชาชนอีกครั้งจากการการสิ้นพระชนม์ของเจ้าหญิงมารีอา อันโตนีอาแห่งเนเปิลส์และซิซิลี พระสุณิสาซึ่งพระองค์ไม่ทรงโปรด โดยการสิ้นพระชนม์ถูกกล่าวขานว่าทรงถูกวางยาพิษโดยพระราชินีมารีอา ลุยซา
มารีอา ลุยซา | |||||
---|---|---|---|---|---|
พระสาทิสลักษณ์ วาดโดยอันท็อน ราฟาเอล แม็งส์ เมื่อปี 1765 | |||||
สมเด็จพระราชินีแห่งสเปน | |||||
ดำรงพระยศ | 4 ธันวาคม 1788 – 19 มีนาคม 1808 | ||||
ก่อนหน้า | มาเรีย อมาเลีย | ||||
ถัดไป | จูลี คลารี | ||||
พระราชสมภพ | 9 ธันวาคม ค.ศ. 1751 ปาร์มา ดัชชีปาร์มา | ||||
สวรรคต | 2 มกราคม ค.ศ. 1819 ปี) ปาลาซโซ บาร์เบรินี โรม รัฐสันตะปาปา | (67||||
ฝังพระศพ | เอลเอสโกเรียล | ||||
คู่อภิเษก | พระเจ้าการ์โลสที่ 4 แห่งสเปน (สมรส 1765) | ||||
พระราชบุตร รายละเอียด |
| ||||
| |||||
ราชวงศ์ | บูร์บง-ปามาร์ | ||||
พระราชบิดา | เฟลิเป ดยุกแห่งปาร์มา | ||||
พระราชมารดา | หลุยส์ เอลิซาเบธแห่งฝรั่งเศส | ||||
ศาสนา | โรมันคาทอลิก |
มารีอา ลุยซา ทรงเป็นพระธิดาพระองค์เล็กในอินฟันเตเฟลิเป ดยุกแห่งปาร์มา (พระราชโอรสพระองค์ที่ 4 ในพระเจ้าเฟลิเปที่ 5 แห่งสเปน) กับ เจ้าหญิงหลุยส์ เอลิซาเบธ แห่งฝรั่งเศส (พระราชธิดาพระองค์ใหญ่ในพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 แห่งฝรั่งเศส) เสด็จพระราชสมภพ ณ เมืองปาร์มา ทรงได้รับการตั้งพระนามหลังจากพิธีล้างบาปว่า ลุยซา มารีอา เตเรซา อันนา (Luisa María Teresa Ana) ตามพระนามพระมาตุจฉาฝาแฝด คือ เจ้าหญิงแอนน์-อ็องเรียตต์แห่งฝรั่งเศส แต่ทรงเป็นที่รู้จักในประวัติศาสตร์ตามพระนามในภาษาสเปนว่า มารีอา ลุยซา (María Luisa)[1][ไม่อยู่ในแหล่งอ้างอิง] ในขณะที่ ลุยซา เป็นพระนามที่ทรงใช้ส่วนพระองค์[2]
พระราชบิดาและพระราชมารดาทรงได้ดำรงพระอิสริยยศ ดยุกและดัชเชสแห่งปาร์มา ตั้งแต่ปี 1749 เมื่อเกิดสนธิสัญญาเอกซ์ลาชาเปล(ค.ศ.1748) สนธิสัญญามอบดัชชีปาร์มาให้แก่ พระราชวงศ์บูร์บง
พระมารดาของพระองค์ทรงพยายามที่จะหมั้นหมายพระองค์กับเจ้าชายหลุยส์ โฌแซ็ฟ ซาวิเยร์ ดยุกแห่งบูร์กอญ รัชทายาทแห่งราชบัลลังก์แห่งฝรั่งเศส แต่ดยุกแห่งบูร์กอญสิ้นพระชนม์ในปี 1761 ในปี 1762 ทรงถูกหมั้นหมายกับลูกพี่ลูกน้อง เจ้าชายการ์โลส เจ้าชายแห่งอัสตูเรียส ต่อมาคือ พระเจ้าการ์โลสที่ 4 แห่งสเปน พระราชพิธีอภิเษกสมรสจัดขึ้นในวันที่ 4 กันยายน 1765 ณ พระราชวังลากรังฆา
พระราชสวามีของพระองค์เป็นพระราชโอรสและรัชทายาทของพระเจ้าการ์โลสที่ 3 แห่งสเปนผู้เป็นม่าย ซึ่งก่อนหน้านี้ทรงเป็นดยุคแห่งปาร์มาและพระมหากษัตริย์แห่งเนเปิลส์และซิซิลี ทรงดำรงพระอิสริยยศเจ้าหญิงแห่งอัสตูเรียสหรือมกุฎราชกุมารีอย่างเป็นทางการ
ในปี 1788 พระราชสวามีของพระองค์ได้สืบราชสมบัติต่อจากพระราชบิดาเป็น พระเจ้าการ์โลสที่ 4 แห่งสเปน ที่ให้มารีอา ลุยซาทรงดำรงพระราชอิสริยยศ สมเด็จพระราชินีแห่งสเปน ในการที่พระเจ้าการ์โลสที่ 4 พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้รัฐมนตรีเข้าเฝ้า สมเด็จพระราชินีมารีอา ลุยซาทรงเข้าร่วมด้วย ซึ่งกลายเป็นกฎของพระราชสำนัก[3] เนื่องจากทรงมีอิทธิพลเหนือกว่าในชีวิตการแต่งงาน มาเรีย ลุยซาจึงครอบงำพระเจ้าการ์โลสที่ 4 แต่กลับขึ้นชื่อว่าทรงถูกนายกรัฐมนตรีมานูเอล เด โกดอยครอบงำ
พระราชินีมารีอา ลุยซา ทรงขึ้นชื่อว่ามีความรักมากมาย หนึ่งในนั้นที่น่าอับอายที่สุดก็คือนายกรัฐมนตรีมานูเอล เด โกดอย ผู้ซึ่งถูกเจาะจงว่าเป็นคูนที่คบกับพระราชินีมานาน ในปี ค.ศ. 1784 เขาได้รับการเลื่อนตำแหน่งหลายตำแหน่งเมื่อพระเจ้าการ์โลสที่ 4 ขึ้นครองบัลลังก์และมารีอา ลุยซา เป็นพระราชินี ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรีในปี ค.ศ. 1792 มีข่าวลือว่าโกดอยเป็นพระบิดาแท้ๆของพระราชบุตรหลายพระองค์ ในปี ค.ศ. 1791 รัฐมนตรีฟลอริดาบลังกา กล่าวหาว่า โกดอย เป็นชู้รักของพระราชินี ส่งผลทำให้ ฟลอริดาบลังกา สูญเสียตำแหน่งของเขา และมีข่าวลือว่าผู้ชายอีกหลายคนที่อยู่รอบข้าง โกดอย ก็ถูกมองว่าเป็นชู้รักของพระองค์
ผู้ร่วมสมัยหลายคน เช่น เอกอัครราชทูตต่างประเทศ รวมทั้งเอกอัครราชทูตฝรั่งเศส อัลเควียร์ ได้รายงานเกี่ยวกับข่าวลือเหล่านี้ ซึ่งมีปรากฏในจดหมายโต้ตอบทางการฑูตในสมัยนั้นด้วย[4] อย่างไรก็ตาม ความจริงของเรื่องนี้ถูกตั้งคำถาม และบางประเด็นอาจถูกปลอมแปลงหรือพูดเกินจริงด้วยเหตุผลทางการเมืองโดยราชสำนักและโดยมหาอำนาจจากต่างประเทศ ไม่มีหลักฐานโดยตรงว่าพระราชินีมีชู้รัก เฟรย์ ฆวน อัลมาราซ ผู้สารภาพรักต่อสมเด็จพระราชินีเขียนในพินัยกรรมของเขาว่า พระองค์ทรงยอมรับด้วยพระราชดำรัสสั้นๆว่า "ไม่มี ไม่มีพระราชบุตรพระองค์ใดเลยที่มาจากการแต่งงานที่ถูกต้องตามกฎหมาย" อย่างไรก็ตาม ความจริงของคำให้การนั้นยังคงเป็นที่ถกเถียงกันอยู่[5] พระเจ้าการ์โลซที่ 4 ไม่เคยทรงแสดงความสงสัยเกี่ยวกับความซื่อสัตย์ของพระราชินี ไม่ต้องสงสัยเลยว่า พระราชินี และ โกดอย มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดหรือไม่ เนื่องจากการติดต่อระหว่างพระองค์กับโกดอยแสดงให้เห็นว่าพระองค์ทรงพูดคุยกับเขาในเรื่องที่เป็นส่วนตัว เช่น การไม่ทรงมีพระอุหลบ และภาวะซึมเศร้าที่เกิดจากการไม่ทรงมีพระอุหลบ และได้รับปลอบพระทัย[6] นอกจากเรื่องความสัมพันธ์ชู้สาวของพระองค์แล้ว ยังมีข่าวลืออื่นๆ ที่แพร่หลายเกี่ยวกับพระองค์อีกหลายแห่ง เช่น ความขัดแย้งของพระราชินีกับดัชเชสแห่งออซูนาและดัชเชสแห่งอัลบา เมื่อดัชเชสแห่งอัลบาสิ้นพระชนม์ในปี 1802 มีข่าวลือว่าพระนางถูกวางยาพิษโดยพระราชินี ในปี 1802 พระราชโอรสของพระองค์ได้อภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงมารีอา อันโตนีอาแห่งเนเปิลส์และซิซิลี เมื่อเจ้าหญิงมารีอา อันโตนีอาสิ้นพระชนม์ในปี 1806 ก็มีข่าวลือว่าพระนางก็ถูกพระราชินีวางยาพิษเช่นกัน
ความสัมพันธ์ที่ถูกกล่าวอ้างว่าระหว่างพระราชินีกับนายกรัฐมนตรีโกดอย ร่วมกับอิทธิพลทางการเมืองที่พระองค์ เผยให้เห็นถึงความไม่พอใจของสาธารณชนต่อสนธิสัญญาระหว่างโกดอยกับฝรั่งเศส ซึ่งกองทหารฝรั่งเศสประจำการอยู่ในสเปน และในครั้งหนึ่ง สมเด็จพระราชินีถูกคุกคามโดยกลุ่มคนร้าย ในปี ค.ศ. 1808 ความไม่พอใจของประชาชนที่มีต่อนโยบายจึงเกิดต่อต้านฝรั่งเศสส่งผลให้เกิดการจลาจลในอารางฮเวธ
19 มีนาคม 1808 พระเจ้าการ์โลสที่ 4 สละราชสมบัติให้แก่พระราชโอรส พระเจ้าเฟร์นันโดที่ 7 แห่งสเปน เนื่องจากแรงกดดันจาก จักรพรรดินโปเลียนที่ 1 แห่งฝรั่งเศส ในเดือนเมษายนปี 1808 มารีอา ลุยซา เสด็จพร้อมด้วย พระเจ้าการ์โลสที่ 4 และ มานูเอล โกดอย เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทจักรพรรดินโปเลียน ที่เมืองบายอน ในฝรั่งเศส เพื่อทรงเกลี้ยกล่อมจักรพรรดิให้ทรงช่วยเหลือพระราชสวามีของพระองค์ในการทวงบัลลังก์สเปนจากพระราชโอรสของพระองค์ ซึ่งพระเจ้าเฟร์นันโดที่ 7 พระราชโอรสทรงเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทในครั้งนี้ด้วย อย่างไรก็ตามในการเข้าเฝ้าครั้งนี้ จักรพรรดินโปเลียนทรงบังคับให้ทั้งพระเจ้าการ์โลสที่ 4 และพระเจ้าเฟร์นันโดที่ 7 ทรงละทิ้งการอ้างสิทธิ์ในพระราชบัลลังก์ และสถาปนาให้ โฌแซ็ฟ โบนาปาร์ต พระเชษฐาของนโปเลียนขึ้นเสวยราชสมบัติสเปน และถอดถอนสิทธิของราชวงศ์บูร์บงออกจากการราชบัลลังก์สเปน เอกสารหลายฉบับกล่าวโทษพระราชินีมารีอา ลุยซาสำหรับการสละราชสมบัติและการถอดถอนสิทธิของราชวงศ์บูร์บงในสเปน
หลังจากถูกบังคับให้สละราชสมบัติ มารีอา ลุยซา ประทับอยู่กับพระเจ้าการ์โลสที่ 4 และมานูเอล โกดอย ในฐานะนักโทษแห่งรัฐของนโปเลียนในฝรั่งเศส ที่แรกในเมืองกงเปียญ และ เอ็ก-ซอง-โพรวองซ์ ทั้งสาม ได้รับอนุญาตให้ย้ายไปประทับ ณ เมืองมาร์แซย์ เป็นเวลาถึง 4 ปี ในปี 1812 ทั้งสามได้รับการอนุญาตให้อยู่อาศัยได้ภายใต้พระสมณานุเคราะห์จากสมเด็จพระสันตะปาปาในพระราชวังบาราเบรินี กรุงโรม
หลังจากนโปเลียนถูกถอดถอนจากราชสมบัติในปี 1814 พระเจ้าเฟร์นันโดที่ 7 พระราชโอรส ได้เสด็จขึ้นครองราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์แห่งสเปนเป็นครั้งที่ 2 อย่างไรก็ตาม ทรงสั่งห้ามพระราชบิดา พระราชมารดาและโกดอย ไม่ให้เสด็จและเดินทางกลับสเปน ในระหว่างการกลับสู่อำนาจชั่วคราวของนโปเลียนในฝรั่งเศสในช่วงร้อยวันในปี 1815 พระราชินีมารีอา ลุยซา พระเจ้าการ์โลสได้เสด็จไปฝรั่งเศส พร้อมด้วยโกดอย แต่หลังจากการถอดถอนครั้งที่ 2 ของนโปเลียน พระเจ้าการ์โลสและพระราชินีก็เสด็จกลับไปยังกรุงโรม พร้อมด้วยโกดอย เพื่อประทับเป็นการถาวร
ระหว่างประทับในกรุงโรม พระราชินีมารีอา ลุยซา และ พระเจ้าการ์โลส ทรงสะสมงานศิลปะ ภาพวาดโดยจิตรกร ทิเชียน, กอเรจโจ, เลโอนาร์โด, ลูคัส ครานัค, อันเดรอา เดล ซาร์โต, ปาร์มิกิอานิโน, บรอนซิโน, ปาลมา เวคชิโอ, ตินโตเรตโต, ปาโอโล เวโรเนเซ, ปูแซ็ง, แกสปาร์ด ดูเก็ต และ อเลสซานโดร ตูร์ชิ ซึ่งงานสะสมนี้ถูกย้ายมายังมาดริดในเวลาต่อมา
ทั้ง สมเด็จพระราชินีมารีอา ลุยซา และพระราชสวามี เสด็จสวรรคตในช่วงต้นปี 1819 ที่ประเทศอิตาลี มีรายงานว่าพระราชินีมารีอา ลุยซา เสด็จสวรรคตเนื่องจากวัณโรค
มานูเอล โกดอย ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นทายาทแต่เพียงผู้เดียวตามพระราชพินัยกรรมของพระองค์ โดยระบุว่าเขาได้ร่วมลี้ภัยกับพระองค์และได้เสียสละทรัพย์สินของเขาในการลี้ภัยครั้งนี้
สมเด็จพระราชินีมารีอา ลุยซา ทรงครรภ์ทั้งหมด 24 ครั้ง กับพระเจ้าการ์โลสที่ 4 แห่งสเปน ตกพระโลหิตไป 10 ครั้ง มีพระราชบุตรที่เจริญพระชนม์เติบใหญ่ 7 พระองค์ จากพระประสูติกาล 14 ครั้ง มีพระนามดังนี้
สมเด็จพระราชินีมารีอา ลุยซา ทรงตกพระโลหิตถึง 10 ครั้ง ดังนี้[7][8][9]
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.