ปลาซาร์ดีน (อาหาร)
From Wikipedia, the free encyclopedia
ปลาซาร์ดีน (อังกฤษ: sardine, pilchard) เป็นปลามีไขมันสูงที่อุดมด้วยสารอาหาร เป็นปลาที่มนุษย์ ปลาล่าเหยื่อที่ใหญ่กว่า นกทะเล และสัตว์ทะเลที่เลี้ยงลูกด้วยนมล้วนกินเป็นอาหาร เป็นแหล่งกรดไขมันโอเมกา-3 ที่ดี นอกจากนั้นปลาชนิดนี้มักจะได้รับความนิยมในการนำมาแปรรูปทำบรรจุกระป๋อง แต่ปลาสด ๆ ก็อาจนำมาย่าง ดอง หรือรมควัน
คุณค่าทางโภชนาการต่อ 100 กรัม (3.5 ออนซ์) | |
---|---|
พลังงาน | 186 กิโลแคลอรี (780 กิโลจูล) |
0.7 ก. | |
น้ำตาล | 0.4 ก. |
ใยอาหาร | 0.1 ก. |
10.5 ก. | |
อิ่มตัว | 2.7 ก. |
ไม่อิ่มตัวมีพันธะคู่เดี่ยว | 4.8 ก. |
ไม่อิ่มตัวมีพันธะคู่หลายคู่ | 2.1 ก. 1,693 มก. 123 มก. |
20.9 ก. | |
วิตามิน | |
วิตามินเอ | 143 IU |
ไทอามีน (บี1) | (0%) 0.0 มก. |
ไรโบเฟลวิน (บี2) | (17%) 0.2 มก. |
ไนอาซิน (บี3) | (28%) 4.2 มก. |
(14%) 0.7 มก. | |
วิตามินบี6 | (8%) 0.1 มก. |
โฟเลต (บี9) | (6%) 24.0 μg |
วิตามินบี12 | (375%) 9.0 μg |
คลอรีน | (17%) 85.0 มก. |
วิตามินซี | (1%) 1.0 มก. |
วิตามินดี | (80%) 480 IU |
วิตามินอี | (9%) 1.4 มก. |
วิตามินเค | (0%) 0.4 μg |
แร่ธาตุ | |
แคลเซียม | (24%) 240 มก. |
เหล็ก | (18%) 2.3 มก. |
แมกนีเซียม | (10%) 34.0 มก. |
แมงกานีส | (10%) 0.2 มก. |
ฟอสฟอรัส | (52%) 366 มก. |
โพแทสเซียม | (7%) 341 มก. |
โซเดียม | (28%) 414 มก. |
สังกะสี | (15%) 1.4 มก. |
องค์ประกอบอื่น | |
น้ำ | 66.7 ก. |
คอเลสเตอรอล | 61.0 มก. |
ประมาณร้อยละคร่าว ๆ โดยใช้การแนะนำของสหรัฐสำหรับผู้ใหญ่ แหล่งที่มา: USDA FoodData Central |
คุณค่าทางโภชนาการต่อ 100 กรัม (3.5 ออนซ์) | |
---|---|
พลังงาน | 208 กิโลแคลอรี (870 กิโลจูล) |
0.7 ก. | |
น้ำตาล | 0.4 ก. |
ใยอาหาร | 0.1 ก. |
11.5 ก. | |
อิ่มตัว | 1.5 ก. |
ไม่อิ่มตัวมีพันธะคู่เดี่ยว | 3.9 ก. |
ไม่อิ่มตัวมีพันธะคู่หลายคู่ | 5.1 ก. 1,480 มก. 3,544 มก. |
24.6 ก. | |
วิตามิน | |
วิตามินเอ | 108 IU |
ไทอามีน (บี1) | (9%) 0.1 มก. |
ไรโบเฟลวิน (บี2) | (17%) 0.2 มก. |
ไนอาซิน (บี3) | (35%) 5.2 มก. |
(12%) 0.6 มก. | |
วิตามินบี6 | (15%) 0.2 มก. |
โฟเลต (บี9) | (3%) 12.0 μg |
วิตามินบี12 | (371%) 8.9 μg |
คลอรีน | (17%) 85.0 มก. |
วิตามินซี | (0%) 0.0 มก. |
วิตามินดี | (45%) 272 IU |
วิตามินอี | (13%) 2.0 มก. |
วิตามินเค | (2%) 2.6 μg |
แร่ธาตุ | |
แคลเซียม | (38%) 382 มก. |
เหล็ก | (22%) 2.9 มก. |
แมกนีเซียม | (11%) 39.0 มก. |
แมงกานีส | (5%) 0.1 มก. |
ฟอสฟอรัส | (70%) 490 มก. |
โพแทสเซียม | (8%) 397 มก. |
โซเดียม | (34%) 505 มก. |
สังกะสี | (14%) 1.3 มก. |
องค์ประกอบอื่น | |
น้ำ | 59.6 ก. |
คอเลสเตอรอล | 142 มก. |
ประมาณร้อยละคร่าว ๆ โดยใช้การแนะนำของสหรัฐสำหรับผู้ใหญ่ แหล่งที่มา: USDA FoodData Central |
ปลาสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับปลาเฮร์ริง เพราะทั้งสองต่างก็อยู่ในวงศ์ Clupeidae[1][ไม่อยู่ในแหล่งอ้างอิง] คำว่า ซาร์ดีน เริ่มใช้ในภาษาอังกฤษตั้งแต่ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 15 และอาจได้ชื่อมาจากเกาะในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนคือซาร์ดิเนียซึ่งในช่วงนั้นมีปลาอย่างนี้มาก[2]
คำภาษาอังกฤษว่า sardine และ pilchard (พิวชาร์ด) จะใช้อย่างไม่แน่นอนโดยขึ้นอยู่กับภูมิภาค ยกตัวอย่างเช่นองค์การอุตสาหกรรมปลาทะเล (Sea Fish Industry Authority) แห่งสหราชอาณาจักรจัดซาร์ดีนว่าเป็นปลาพิวชาร์ดที่ยังเล็ก[3] นักเขียนผู้หนึ่งเสนอว่า ปลาที่สั้นกว่า 15 ซม. คือซาร์ดีน ปลาที่ใหญ่กว่านั้นเป็นพิวชาร์ด[4] ส่วนมาตรฐานปลาซาร์ดีนกระป๋องขององค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) และองค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุปลา 21 สปีชีส์ว่าเป็นซาร์ดีน[5] ส่วนฐานข้อมูลปลาคือ FishBase เรียกปลาอย่างน้อย 6 สปีชีส์ว่าเป็นพิวชาร์ดโดยส่วนเดียว เรียกปลาเกินกว่าโหลว่าเป็นซาร์ดีนโดยส่วนเดียว และมีปลาอื่น ๆ อีกมากซึ่งมีชื่อสองอย่างเหล่านี้โดยมีคำวิเศษณ์ต่าง ๆ
ปลาซาร์ดีนถูกจับทางพาณิชย์เพื่อการหลายอย่าง เช่น เป็นเหยื่อตกปลา เพื่อบริโภคสด ๆ เพื่อบรรจุกระป๋อง ทำแห้ง ใส่เกลือ หรือรมควัน และเพื่อทำเป็นอาหารสัตว์หรือน้ำมันปลา แต่หลัก ๆ ก็เพื่อป็นอาหารมนุษย์ ส่วนน้ำมันปลาใช้ได้หลายอย่างรวมทั้งการทำสี น้ำมันวาร์นิช และพรมน้ำมัน