Loading AI tools
สปีชีส์ของนก จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
นกกางเขน หรือ นกกางเขนบ้าน (อังกฤษ: Oriental magpie robin, ชื่อวิทยาศาสตร์: Copsychus saularis) เป็นนกชนิดหนึ่งที่กินแมลง มีขนาดไม่ใหญ่นัก ยาวประมาณ 18-20 เซนติเมตร[2] ส่วนบนลำตัวสีดำเงา ส่วนล่างตั้งแต่หน้าอกลงไปจะเป็นสีขาวหม่น ใต้หางและข้างหางมีสีขาว ปีกมีลายพาดสีขาวทั้งปีก ตัวผู้สีจะชัดกว่าตัวเมีย ส่วนที่เป็นสีดำในตัวผู้ ในตัวเมียจะเป็นสีเทาแก่ ปากและขาสีดำ มักจะพบเป็นตัวเดียวหรือเป็นกลุ่มเล็ก ๆ[3] หากินแมลงตามพุ่มไม้ บางครั้งก็โฉบจับแมลงกลางอากาศ หางของมันมักกระดกขึ้นลง ร้องเสียงสูงบ้าง ต่ำบ้าง ฟังไพเราะ ทำรังตามโพรงไม้ที่ไม่สูงนัก มันจะวางไข่ครั้งละ 4-5 ฟองและตัวเมียเท่านั้นจะกกไข่ และจะฟักไข่นานประมาณ 8-14 วัน[2][4] อายุ 15 วัน แล้วจะเริ่มหัดบิน ในประเทศไทยพบทั่วไปในทุกภาคแม้ในเมืองใหญ่ ๆ เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535[5]
นกกางเขน | |
---|---|
ตัวผู้ (♂) ที่ดอยอ่างกา | |
ตัวเมีย (♀) ที่ดอยอ่างกา | |
สถานะการอนุรักษ์ | |
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์ | |
อาณาจักร: | Animalia |
ไฟลัม: | Chordata |
ชั้น: | Aves |
อันดับ: | Passeriformes |
วงศ์: | Muscicapidae |
สกุล: | Copsychus |
สปีชีส์: | C. saularis |
ชื่อทวินาม | |
Copsychus saularis (Linnaeus, 1758) | |
นกกางเขนเป็นนกเกาะคอน (อันดับ Passeriformes) ที่เคยจัดเป็นวงศ์นกเดินดง (Turdidae) แต่ปัจจุบันจัดอยู่ในวงศ์นกจับแมลงและนกเขน (Muscicapidae)[2] เป็นนกสีดำขาวที่เด่น มองเห็นได้ง่าย มีหางยาวที่จะกระดกขึ้นลงเมื่อหาอาหารที่พื้นหรือจับบนต้นไม้ เป็นนกที่มีอยู่กระจายไปทั่วเอเชียใต้และบางส่วนของเอเชียอาคเนย์ เป็นนกที่สามัญทั้งตามสวนในเมืองและในป่า เป็นนกที่รู้จักกันดีเพราะร้องเสียงเพราะ และเคยเป็นนกเลี้ยงที่นิยม นกกางเขนเป็นนกประจำชาติของประเทศบังกลาเทศ ซึ่งเรียกนกว่า "Doyel"
ชื่ออังกฤษของนกคือ Oriental Magpie Robin อาจจะเป็นเพราะนกดูคล้ายนกสาลิกาปากดำ (Common Magpie) [6]
นกสปีชีส์นี้ยาวประมาณ 19 ซ.ม. รวมหาง มีรูปร่างคล้ายกับ European robin (Erithacus rubecula) แต่หางจะยาวกว่า ตัวผู้มีส่วนบนเป็นสีดำตรงส่วนของหัวและคอ ที่ต่างหากจากแถบขาวตรงไหล่และปีก ส่วนข้างล่างและด้านข้างของหางยาวเป็นสีขาว ตัวเมียมีสีดำออกเทาด้านบนและสีขาวออกเทาด้านล่าง ส่วนลูกนกจะมีมีสีน้ำตาลเป็นเกล็ดด้านบนและที่หัว (ดูภาพด้านล่าง) นกกางเขนเป็นนกประจำชาติของประเทศบังกลาเทศ
สปีชีส์ย่อยต้นแบบ (nominate subspecies) พบในเอเชียใต้ ตัวเมียของพันธุ์ย่อยนี้มีสีอ่อนที่สุด ส่วนตัวเมียของหมู่เกาะอันดามันมีชื่อสปีชีส์ย่อยเป็น andamanensis มีสีเข้มกว่า มีปากที่แข็งแรงกว่า และมีหางที่สั้นกว่า ส่วนสปีชีส์ย่อยในประเทศศรีลังกาที่มีชื่อว่า ceylonensis (ซึ่งก่อนหน้านี้รวมนกในอินเดียที่อยู่ทางใต้เขตแม่น้ำกาเวรี[7]) และสปีชีส์ย่อยต้นแบบที่อยู่ทางใต้ของอินเดียประกอบด้วยตัวผู้ตัวเมียที่มีสีเกือบเหมือนกัน
ส่วนนกในเขตประเทศภูฏานและประเทศบังกลาเทศมีขนหางที่ดำมากกว่า และก่อนหน้านี้มีชื่อต่างหากว่า erimelas[8] ส่วนนกในประเทศพม่าและทางใต้ของไทย มีชื่อสปีชีส์ย่อยว่า musicus[9] (เป็นคุณศัพท์ภาษาละตินแปลว่า "เกี่ยวกับดนตรี") ซึ่งต่างที่ขนคือ ขนหางคู่ที่ 3 เป็นสีดำโดยมาก และคู่ที่ 4 เป็นสีดำล้วนหรือเกือบล้วน ส่วนใต้ปีกก็เป็นสีดำล้วนหรือเกือบล้วน[10] มีชื่อสปีชีส์ย่อยอื่น ๆ ตามเขตภูมิภาครวมทั้ง prosthopellus (ฮ่องกง), nesiotes, zacnecus, nesiarchus, masculus, pagiensis, javensis, problematicus, amoenus, adamsi, pluto, deuteronymus และ mindanensis[11] แต่ว่า พันธุ์ย่อย ๆ หลายอย่างเหล่านี้ไม่มีความแตกต่างที่ชัดเจน และยังไม่มีมติที่ลงตัวกัน[12] มีบางสปีชีส์ย่อยเช่น mindanensis ที่นักวิชาการบางพวกปัจจุบันจัดเป็นสปีชีส์ต่างหากเช่น Philippine magpie-robin[13] ขนของตัวเมียต่างไปตามเขตภูมิภาคมากกว่าของตัวผู้[10]
นกมักจะเห็นในที่ใกล้ ๆ พื้น กระโดดไปมาตามกิ่งไม้ หรือหาอาหารตามใบไม้แห้งโดยมีหางกระดกขึ้นลง ตัวผู้จะร้องเสียงดังไพเราะจากกิ่งไม้สูงในฤดูผสมพันธุ์[8]
นกกางเขนเป็นนกอยู่ประจำในเขตร้อนของทวีปเอเชีย ตั้งแต่ประเทศบังกลาเทศ, ทางใต้ของประเทศจีน, ประเทศอินเดีย, ทางตะวันออกของประเทศอินโดนีเซีย, ประเทศมาเลเซีย, ทางตะวันออกของประเทศปากีสถาน, ประเทศสิงคโปร์, ประเทศศรีลังกา, ประเทศไทย[8] และเป็นนกนำเข้าในประเทศออสเตรเลีย[14]
นกกางเขนมักจะพบในป่าโปร่ง ป่าชายเลน พื้นที่เกษตรกรรม สวนผลไม้ สวนสาธารณะในเมือง เมืองใหญ่ มักจะอยู่ใกล้ที่อยู่ของมนุษย์ เป็นนกที่พบได้ทั่วประเทศไทย[15]
นกกางเขนผสมพันธุ์กันในระหว่างเดือนมีนาคมจนถึงเดือนกรกฎาคมในอินเดีย และในระหว่างเดือนมกราคมจนถึงเดือนมิถุนายนในเอเชียอาคเนย์ ตัวผู้ร้องเสียงไพเราะจากที่สูงในช่วงจีบตัวเมีย ลีลาแสดงตัวของตัวผู้รวมทั้งทำขนให้ฟูขึ้น ยกปาก คลี่หาง และเดินวางมาด[7] นกทำรังในโพรงไม้ หรือที่เวิ้งกำแพงหรืออาคาร และบางครั้งจะเข้าไปอยู่ในกล่องที่ทำไว้ให้นกอยู่ นกจะเอาหญ้าและฟางมาปูรัง ตัวเมียจะทำการสร้างรังมากกว่า และจะทำก่อนการวางไข่ประมาณอาทิตย์หนึ่ง นกจะวางไข่ 4-5 ฟองภายใน 24 ชม. ไข่มีรูปร่างกลมรี มีสีเขียวอ่อน ๆ มีจุดสีน้ำตาล ดูเข้ากับสีของหญ้าและฟางที่ปูในรัง ตัวเมียเท่านั้นจะกกไข่เป็นเวลา 8-14 วัน[2][4][16] รังนกจะมีกลิ่นแบบเฉพาะตัว[2]
ตัวเมียเลี้ยงลูกมากกว่าตัวผู้ ส่วนตัวผู้จะค่อนข้างดุในฤดูผสมพันธุ์ จะป้องกันอาณาเขตของตน[17] และจะมีปฏิกิริยาต่อเสียงนกอื่นในอาณาเขต หรือแม้แต่เงาในกระจกของตนเอง[18] ตัวผู้จะทำการป้องกันอาณาเขตมากกว่าตัวเมีย[19] งานศึกษาต่าง ๆ พบว่า เสียงร้องของนกจะต่างไปตามถิ่น แม้แต่นกที่อยู่ใกล้ ๆ กัน[20] นกอาจจะเลียนแบบเสียงร้องของนกสปีชีส์อื่น ๆ[21][22] ซึ่งอาจจะแสดงว่า นกที่โตแล้วจะย้ายกระจายไปที่อื่น ไม่กลับมาที่กำเนิด (philopatric)[23] ตัวเมียอาจจะส่งเสียงร้องระยะสั้น ๆ เมื่อเจอตัวผู้[24]
นอกจากเพลงที่ร้องแล้ว นกยังส่งเสียงร้องประเภทหลัก ๆ รวมทั้งการประกาศอาณาเขต (territorial call) การออกและการกลับรัง (emergence and roosting call) การแสดงภัย (threat call) การยอมแพ้ (submissive call) การขออาหาร (begging call) และการร้องทุกข์ (distress call) ส่วนเสียงร้องประเภทอื่น ๆ ที่ใช้เป็นบางครั้งคือ เสียงร้องหนี (escape call) และเสียงร้องฉุน (anger call)[25] นอกจากนั้นแล้ว ยังมีเสียงร้องให้รุมตี (mobbing call) อีกด้วย[7][8][26] อาหารโดยมากเป็นแมลงและสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังอื่น ๆ แต่บางครั้งก็จะกินน้ำหวานดอกไม้ ตุ๊กแก (และจิ้งจก)[27][28] ปลิง[29] ตะขาบ[30] และแม้แต่ปลาด้วย[31]
นกจะออกมาหากินบ่อยครั้งในยามสายัณห์[8] บางครั้งจะเล่นน้ำฝนที่รวมอยู่ที่ใบไม้[32]
นกกางเขนเป็นนกขยันทำมาหากิน เมื่ออิ่มก็จะบินขึ้นไปเกาะที่โล่ง ๆ สูง ๆ เช่นสายไฟ เสาอากาศ แล้วร้องเสียงไพเราะ และเมื่อหิวก็จะลงมาหากินใหม่ มักจะได้ยินเสียงทั้งในเวลาอรุณและในยามสายัณห์[15]
โดยทั่วไปนกกางเขนนี้มีสถานะความเสี่ยงต่ำต่อการสูญพันธุ์ (little concern) แต่ในบางภูมิภาคประชากรเริ่มลดจำนวนลง และบางแห่งลดอย่างรวดเร็วจนกระทั่งมีนักวิชาการท้องถิ่นสนับสนุนมาตรการเพื่อช่วยให้นกสามารถอยู่รอดได้ โดยอ้างว่า[2]
นกกางเขนกำลังหมดไปรวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ เป็นนกที่รู้จักกันดีเพราะเพลงที่มีเสน่ห์และขนที่สวยงาม เป็นนกที่ช่วยรักษาความสมดุลในระบบนิเวศและมีประโยชน์ต่อเกษตรกรรมเพราะโดยทั่วไปกินแมลงที่ทำอันตรายและหนอนก่อโรค ควรทำทุกอย่างเพื่อสนับสนุนให้มีสำนึกเกี่ยวกับ C. saularis และเพื่อรักษามรดกธรรมชาตินี้[2]
การจับไปเป็นสัตว์เลี้ยงและการเปลี่ยนแปลงทางนิเวศน์ก็มีส่วนทำให้ลดจำนวนลง ดังนั้นจึงเป็นนกที่มีกฎหมายป้องกันในบางพื้นที่[33]
ในประเทศสิงคโปร์และฮ่องกง นกชนิดนี้ค่อนข้างจะสามัญในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1920 แต่เริ่มลดจำนวนลงในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1970 เชื่อกันว่าเพราะเหตุการแข่งขันจากนกเอี้ยงสาริกาที่นำมาจากถิ่นอื่น[34] ปัจจุบันยังจัดอยู่ในประเภท "สิ่งมีชีวิตที่ใกล้การสูญพันธุ์" (endangered) ในประเทศสิงคโปร์[35]
ในประเทศไทย เป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535 จึงห้ามล่า พยายามล่า ห้ามค้า ห้ามนำเข้าหรือส่งออก ห้ามครอบครอง ห้ามเพาะพันธุ์ ห้ามเก็บหรือทำอันตรายรัง การห้ามการครอบครองและการค้ามีผลไปถึงไข่และซาก[5]
นกกางเขนมีนกล่าเหยื่อที่เป็นศัตรูน้อย แต่ว่ามีการรายงานถึงเชื้อโรคและปรสิตหลายอย่าง
ในอดีต คนอินเดียได้เลี้ยงนกกางเขนเพราะมีเสียงเพราะและเพื่อการตีนก[40] และปัจจุบันก็ยังเป็นนกที่ถูกจับมาเลี้ยงในบางส่วนของเอเชียอาคเนย์
นกกางเขนเป็นนกประจำชาติของประเทศบังกลาเทศซึ่งมีนกอยู่ทั่วไปอย่างสามัญโดยเรียกว่า Doyel หรือ Doel (เบงกอล: দোয়েল) มีการใช้เป็นสัญลักษณ์ต่าง ๆ เป็นจำนวนมากในประเทศ รวมทั้งบนธนบัตร มีจุดสำคัญในมหานครธากาที่เรียกว่า Doyel Chatwar แปลว่า จตุรัสนกกางเขน
นกกางเขนเป็นสัญลักษณ์ของสมาคมอนุรักษ์นกและธรรมชาติแห่งประเทศไทย (Bird Conservation Society of Thailand) ก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2529[6] และในวัฒนธรรมปักษ์ใต้ของไทย โดยเฉพาะเพลงร่วมสมัย มักจะมีการอ้างอิงถึงนกกางเขนบ่อย ๆ โดยเรียกว่า "นกบินหลา" ด้วยเป็นนกที่รักและหวงถิ่นฐาน เหมือนคนใต้รักถิ่นที่อยู่[41]
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.