วอยเอจเจอร์ 1
From Wikipedia, the free encyclopedia
วอยเอจเจอร์ 1 (อังกฤษ: Voyager 1) เป็นยานสำรวจอวกาศ (space probe) แบบไร้คนขับซึ่งองค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐหรือองค์การนาซาได้ทำการปล่อยขึ้นสู่อวกาศเมื่อวันที่ 5 กันยายน ค.ศ. 1977 ภายใต้โครงการวอยเอจเจอร์ ซึ่งเป็นเวลา 16 วันหลังการปล่อยยาน วอยเอจเจอร์ 2 เป้าหมายเพื่อทำการศึกษาบริเวณรอบนอกของระบบสุริยะและห้วงอวกาศระหว่างดวงดาว (interstellar space) ส่วนที่ไกลออกไปจากอาณาเขตเฮลิโอสเฟียร์ (heliosphere) ปัจจุบันยานปฏิบัติภารกิจในอวกาศเป็นเวลา 46 ปี 8 เดือน 24 วัน (พฤษภาคม 29, 2024 UTC [รีเฟรช]) และยังคงสื่อสารกับพื้นโลกผ่านทางเครือข่ายอวกาศห้วงลึก (DSN) เพื่อรับคำสั่งประจำและส่งข้อมูลกลับมายังโลก โดยข้อมูลระยะทางและความเร็วของยานตามเวลาจริงสามารถดูได้จากเว็บไซต์ของนาซาและห้องปฏิบัติการแรงขับเคลื่อนไอพ่น[4] ปัจจุบันด้วยระยะทางของยานสำรวจที่อยู่ไกลจากโลกราว 162.3 หน่วยดาราศาสตร์ (24 พันล้าน กิโลเมตร; 15 พันล้าน ไมล์) ข้อมูลเมื่อ สิงหาคม 2023[update][5] ส่งผลให้ยาน วอยเอจเจอร์ 1 เป็นวัตถุที่สร้างโดยมนุษย์ที่อยู่ไกลจากโลกมากที่สุด[6]
ลิงก์ข้ามภาษาในบทความนี้ มีไว้ให้ผู้อ่านและผู้ร่วมแก้ไขบทความศึกษาเพิ่มเติมโดยสะดวก เนื่องจากวิกิพีเดียภาษาไทยยังไม่มีบทความดังกล่าว กระนั้น ควรรีบสร้างเป็นบทความโดยเร็วที่สุด |
วอยเอจเจอร์ 1 | |
---|---|
ภาพแบบจำลองยานโครงการวอยเอจเจอร์ | |
ประเภทภารกิจ | สำรวจดาวเคราะห์ชั้นนอก เฮลิโอสเฟียร์ และมวลสารระหว่างดาว |
ผู้ดำเนินการ | นาซา ห้องปฏิบัติการแรงขับเคลื่อนไอพ่น |
COSPAR ID | 1977-084A[1] |
SATCAT no. | 10321[2] |
เว็บไซต์ | voyager |
ระยะภารกิจ |
|
ข้อมูลยานอวกาศ | |
ชนิดยานอวกาศ | มาริเนอร์ จูปิเตอร์-แซทเทิร์น (Mariner Jupiter-Saturn) |
ผู้ผลิต | ห้องปฏิบัติการแรงขับเคลื่อนไอพ่น |
มวลขณะส่งยาน | 815 kg (1,797 lb)[3] |
กำลังไฟฟ้า | 470 วัตต์ (ขณะปล่อยยาน) |
เริ่มต้นภารกิจ | |
วันที่ส่งขึ้น | 5 กันยายน ค.ศ. 1977, 12:56:00 UTC |
จรวดนำส่ง | Titan_IIIE |
ฐานส่ง | ฐานปล่อยจรวด 41 ฐานทัพอากาศแหลมคะแนเวอรัล |
สิ้นสุดภารกิจ | |
ติดต่อครั้งสุดท้าย | รอการยืนยัน |
บินผ่านดาวพฤหัสบดี | |
เข้าใกล้สุด | 5 มีนาคม ค.ศ. 1979 |
ระยะทาง | 349,000 km (217,000 mi) |
บินผ่านดาวเสาร์ | |
เข้าใกล้สุด | 12 พฤศจิกายน ค.ศ. 1980 |
ระยะทาง | 124,000 km (77,000 mi) |
บินผ่านดวงจันทร์ไททัน (สำรวจชั้นบรรยากาศ) | |
เข้าใกล้สุด | 12 พฤศจิกายน ค.ศ. 1980 |
ระยะทาง | 6,490 km (4,030 mi) |
ตราภารกิจโครงการวอยเอจเจอร์ ยานสำรวจอวกาศที่สำคัญ |
ภารกิจของยานสำรวจคือการบินเฉียดดาวพฤหัสบดี ดาวเสาร์ และดวงจันทร์ไททัน (ดาวบริวารที่ใหญ่ที่สุดของดาวเสาร์) ซึ่งต่างจากแผนการบินเดิมคือการบินเฉียดดาวพลูโตโดยการไม่ผ่านดวงจันทร์ไททัน แต่ภายหลังได้มีการปรับเปลี่ยนแผนการบินเป็นการบินเฉียดดวงจันทร์ไททัน ซึ่งมีความสำคัญมากกว่า โดยพุ่งเป้าไปที่ชั้นบรรยากาศ[7][8][9] วอยเอจเจอร์ 1 ได้ทำการสำรวจสภาพอากาศ สภาพสนามแม่เหล็ก และวงแหวนของทั้งดาวพฤหัสบดีและดาวเสาร์ นอกจากนี้ยังเป็นยานสำรวจลำแรกที่ได้ถ่ายภาพเผยให้เห็นรายละเอียดของกลุ่มดาวบริวารของดาวเคราะห์เหล่านี้อีกด้วย
ภายหลังเสร็จสิ้นภารกิจหลักในโครงการวอยเอจเจอร์เช่นเดียวกับยานคู่แฝด วอยเอจเจอร์ 2 ยานสำรวจ วอยเอจเจอร์ 1 ได้รับภารกิจเพิ่มเติมให้ทำการระบุและศึกษาอาณาเขตอวกาศส่วนนอกของพื้นที่ยังได้รับอิทธิพลจากลมสุริยะหรือเฮลิโอสเฟียร์ และเริ่มการสำรวจมวลสารระหว่างดาวฤกษ์ โดยยานสำรวจ วอยเอจเจอร์ 1 ได้สร้างประวัติศาสตร์ในการเป็นยานสำรวจลำแรกที่เดินทางผ่านชั้นเฮลิโอพอสไปยังพื้นที่มวลสารระหว่างดาวฤกษ์เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม ค.ศ. 2012[10][11] สองปีต่อมายาน วอยเอจเจอร์ 1 ได้เผชิญกับคลื่นยักษ์จากการปลดปล่อยมวลจากชั้นโคโรนาของดวงอาทิตย์ (coronal mass ejection) เรื่อยมาจนสิ้นสุดเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม ค.ศ. 2014 ซึ่งเป็นการยืนยันแล้วว่ายานได้ในอยู่ในมวลสารระหว่างดาวฤกษ์แล้ว [12]
ในช่วงปลายของปี ค.ศ. 2017 ทีมงานของวอยเอจเจอร์ประสบความสำเร็จในการทดลองจุดชุดเครื่องยนต์ไอพ่นที่ใช้ในการควบคุมแนวโคจร (TCM) ซึ่งไม่ได้ใช้งานมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1980 ส่งผลให้สามารถขยายเวลาทำภารกิจของยานไปได้อีกสองถึงสามปี[13] โดยคาดว่ายาน วอยเอจเจอร์ 1 จะสามารถทำภารกิจได้ต่อไปจนถึงปี ค.ศ. 2025 ซึ่งเครื่องกำเนิดไฟฟ้าด้วยความร้อนจากไอโซโทปรังสี (RTG) จะผลิตพลังงานไฟฟ้าไม่เพียงพอเพื่อหล่อเลี้ยงเครื่องมือวัดทางวิทยาศาสตร์ภายในยาน และหลังจากนั้นยานจะลอยเคว้งคว้างเป็นวัตถุเร่ร่อนในอวกาศ[14]
เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม ค.ศ. 2023 นาซาได้ประกาศว่าระบบข้อมูลการบินของ "วอยเอจเจอร์ 1" ประกาศว่าไม่สามารถใช้งานหน่วยการกล้ำสัญญาณโทรมาตร ทำให้ไม่สามารถส่งข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ได้[15] เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2024 นาซาได้แก้ปัญหาและการส่งข้อมูลกลับมาใช้งานได้ในอีกสองวันถัดมา[16][17][18]