โรคอารมณ์สองขั้ว
โรคทางจิต / From Wikipedia, the free encyclopedia
โรคอารมณ์สองขั้ว (อังกฤษ: bipolar disorder ตัวย่อ BPD[7], BD) ที่เคยเรียกว่า manic depression (โรคซึมเศร้าที่มีอาการฟุ้งพล่าน) เป็นความผิดปกติทางจิต (mental disorder) ที่เป็นเหตุให้เกิดคราวซึมเศร้าและคราวอารมณ์ดีผิดปกติ[4][5][8] อารมณ์จะดีอย่างสำคัญโดยเป็นอาการฟุ้งพล่าน/เมเนีย (mania) หรืออาการเกือบฟุ้งพล่าน/ไฮโปเมเนีย (hypomania) อย่างหลังรุนแรงน้อยกว่าและไม่มีอาการโรคจิต[4] ในคราวที่เกิดอาการฟุ้งพล่าน คนไข้จะแสดงออกและรู้สึกอย่างผิดปกติว่า มีกำลัง มีความสุข หรือหงุดหงิด[4] มักตัดสินใจไม่ดีโดยไม่คำนึงถึงผลที่จะติดตามมา[5] และจำเป็นต้องนอนน้อยลง[5] ในคราวซึมเศร้า คนไข้อาจร้องไห้ มองชีวิตในแง่ลบ และไม่สบตากับผู้อื่น[4] ความเสี่ยงการฆ่าตัวตายของคนไข้จะสูงคือมากกว่า 6% ภายใน 20 ปีและจะทำร้ายตัวเองถึง 30-40%[4] โรคนี้สัมพันธ์อย่างสามัญกับปัญหาสุขภาพจิตอื่น ๆ เช่น โรควิตกกังวล และโรคใช้ยาเสพติด (SUD)[4]
โรคอารมณ์สองขั้ว (Bipolar disorder) | |
---|---|
ชื่ออื่น | Bipolar affective disorder (BPAD)[1], bipolar illness, manic depression, manic depressive disorder, manic-depressive illness[2], manic-depressive psychosis, circular insanity[2], bipolar disease[3] |
โรคอารมณ์สองขั้วมีอาการเป็นคราวซึมเศร้าและคราวฟุ้งพล่าน | |
สาขาวิชา | จิตเวช |
อาการ | ความซึมเศร้าและอารมณ์ดีเป็นระยะ ๆ[4][5] |
ภาวะแทรกซ้อน | ฆ่าตัวตาย ทำร้ายตนเอง[4] |
การตั้งต้น | 25 ปี[4] |
ประเภท | โรคอารมณ์สองขั้วประเภท 1, โรคอารมณ์สองขั้วประเภท 2 และอื่น ๆ[5] |
สาเหตุ | สิ่งแวดล้อมและยีน[4] |
ปัจจัยเสี่ยง | ประวัติในครอบครัว ถูกทารุณกรรมในวัยเด็ก ความเครียดระยะยาว[4] |
โรคอื่นที่คล้ายกัน | โรคสมาธิสั้น ความผิดปกติทางบุคลิกภาพ โรคจิตเภท โรคใช้สารเสพติด (SUD)[4] |
การรักษา | จิตบำบัด ยา[4] |
ยา | ลิเทียม ยารักษาโรคจิต ยากันชัก[4] |
ความชุก | 1-3%[4][6] |
แม้เหตุจะยังไม่ชัดเจน แต่ทั้งสิ่งแวดล้อมและยีนอาจเป็นปัจจัย[4] ยีนหลายอย่าง แต่ละอย่างมีผลเล็กน้อย ล้วนมีผลต่อโรค[4][9] ปัจจัยเสี่ยงทางสิ่งแวดล้อมรวมประวัติถูกทารุณกรรมในวัยเด็กและความเครียดระยะยาว[4] ความเสี่ยง 85% เชื่อว่ามาจากพันธุกรรม[10] โรคจัดว่า โรคอารมณ์สองขั้วประเภท 1 (bipolar I disorder) ถ้ามีคราวฟุ้งพล่าน (manic episode) อย่างน้อยหนึ่งคราว และมีหรือไม่มีคราวซึมเศร้าก็ได้ เทียบกับโรคอารมณ์สองขั้วประเภท 2 (bipolar II disorder) ที่มีคราวเกือบฟุ้งพล่าน (hypomanic episode) อย่างน้อยหนึ่งคราว ไม่มีคราวฟุ้งพล่านเต็ม ๆ และมีคราวซึมเศร้า (major depressive episode) อย่างน้อยหนึ่งคราว[5] ในคนไข้ที่มีอาการรุนแรงน้อยกว่าแต่เป็นระยะเวลานาน อาจวินิจฉัยว่าเป็นโรคไซโคลไทเมีย (เรียกอีกอย่างว่า cyclothymic disorder)[5] ถ้าอาการมีเหตุจากยาหรือโรค/อาการอื่น ๆ ก็จะจัดว่าเป็นโรคอื่น[5] โรคอื่น ๆ ที่อาจปรากฏอาการคล้าย ๆ กันรวมทั้งโรคสมาธิสั้น (ADHD) ความผิดปกติทางบุคลิกภาพ (PD) โรคจิตเภท และโรคใช้ยาเสพติดโดยยังมีโรคอื่น ๆ อีก[4] การตรวจด้วยเครื่องมือหรือทางแล็บไม่จำเป็นเพื่อวินิจฉัย แต่การตรวจเลือดหรือการถ่ายภาพ (เช่น ด้วย MRI) อาจทำเพื่อกันว่าเป็นโรคอื่น ๆ[11]
โรครักษาด้วยยา เช่น ยาปรับอารมณ์ให้เสถียร (mood stabilizer) ยารักษาโรคจิต (antipsychotic) และจิตบำบัด (psychotherapy)[4][12] ยาปรับอารมณ์ให้เสถียรอาจลดปัญหาทางอารมณ์ รวมยาลิเทียม (lithium) และยากันชักบางอย่าง เช่น คาร์บามาเซพีนและ valproate[4] อาจต้องกักคนไข้ไว้ในสถานพยาบาลจิตเวชถ้ามีความเสี่ยงต่อตนเองหรือผู้อื่นและไม่ยอมรักษา[4] ปัญหาทางพฤติกรรมที่หนัก เช่น ความไม่สงบวุ่นวายหรือการชวนวิวาท อาจรักษาด้วยยารักษาโรคจิตระยะสั้นหรือเบ็นโซไดอาเซพีน[4] ในคราวฟุ้งพล่าน แนะนำไม่ให้กินยาแก้ซึมเศร้า[4] เมื่อใช้ยาแก้ซึมเศร้าในคราวซึมเศร้า ควรใช้ร่วมกับยาปรับอารมณ์ให้เสถียร[4] การรักษาทางจิตเวชด้วยไฟฟ้า (ECT) แม้จะไม่มีข้อมูลงานวิจัยมาก อาจลองได้สำหรับคนไข้ที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาอื่น ๆ[4][13] ถ้าจะหยุดการรักษา แนะนำให้ค่อย ๆ หยุด[4] คนไข้จำนวนมากมีปัญหาทางการเงิน ทางสังคม และทางอาชีพเพราะโรคนี้[4] โดยปัญหาเกิดในอัตรา 25-33% โดยเฉลี่ย[4] ความเสี่ยงตายเพราะเหตุธรรมชาติ เช่น โรคหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจ (CHD) ในคนไข้สูงเป็นสองเท่าของกลุ่มประชากรทั่วไปเพราะวิถีการดำเนินชีวิตและผลข้างเคียงของยา[4]
โรคมีผลต่อประชากรโลกประมาณ 1%[14] ในสหรัฐ คนประมาณ 3% ประเมินว่าจะมีโรคในชีวิตของตนช่วงหนึ่ง โดยอัตราการเกิดดูเหมือนจะคล้ายกันทั้งหญิงชาย[6][15] อายุสามัญที่อาการเริ่มเกิดอยู่ที่ 25 ปี[4] ภาระทางเศรษฐกิจเกี่ยวกับโรคในสหรัฐประเมินว่าอยู่ที่ 45,000 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 1991 (ประมาณ 1.2 ล้านล้านบาท)[16] ส่วนใหญ่เป็นเรื่องการหยุดงานมากกว่าปกติโดยประเมินว่าอยู่ที่ 50 วันต่อปี[16] คนไข้มักมีปัญหาความเป็นมลทินทางสังคม[4]