กรดไขมันโอเมกา-3
From Wikipedia, the free encyclopedia
กรดไขมันโอเมกา-3 ' (อังกฤษ: Omega-3 fatty acid, ω-3 fatty acid, n-3 fatty acid[1]) เป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัวมีพันธะคู่หลายคู่ (polyunsaturated fatty acid, PUFA)[2][3] ปลายข้างหนึ่งเป็นกรดคาร์บอกซิลิก (-COOH) ซึ่งจัดว่าเป็นต้นของโซ่ ดังนั้นจึงเรียกว่า อัลฟา ปลายอีกข้างเป็นเมทิล (methyl, -CH3) ซึ่งจัดว่าเป็นหางโซ่ ดังนั้น จึงเรียกว่า โอเมกา วิธีการตั้งชื่อกรดไขมันอย่างหนึ่งก็คือโดยตำแหน่งของพันธะคู่แรกนับจากหางโซ่ คือจากปลายโอเมกา (ω-) หรือปลาย n- ดังนั้น กรดไขมันโอเมกา-3 จึงมีพันธะคู่ระหว่างอะตอมคาร์บอนตำแหน่งที่สามกับสี่นับจากหางโซ่ แต่ระบบการตั้งชื่อสากลคือ IUPAC จะนับจากปลายที่เป็นคาร์บอกซิล
กรดไขมันโอเมกา-3 สามอย่างในร่างกายมนุษย์คือ กรดลิโนเลนิกอัลฟา (α-linolenic acid, ALA) ที่พบในน้ำมันพืช, eicosapentaenoic acid (EPA) และ docosahexaenoic acid (DHA) โดยทั้งสองพบอย่างสามัญในน้ำมันสัตว์/พืชทะเล[2] สาหร่ายทะเลและแพลงก์ตอนพืชเป็นแหล่งหลักของกรดไขมันโอเมกา-3 ส่วนน้ำมันพืชที่มี ALA รวมทั้งวอลนัต, เมล็ดพืชที่ทานได้, น้ำมันเมล็ด Salvia sclarea (clary sage ในวงศ์กะเพรา), น้ำมันเมล็ดแฟลกซ์, น้ำมันต้น Plukenetia volubilis (Sacha Inchi), น้ำมันต้น Echium plantagineum (Echium) และน้ำมันกัญชง น้ำมันสัตว์ที่มี EPA และ DHA รวมทั้งปลา, น้ำมันปลา, ไข่จากไก่ที่ได้อาหารมี EPA และ DHA, น้ำมันปลาหมึก และน้ำมันเคย แต่การทานอาหารเสริมเป็นกรดไขมันโอเมกา-3 ดูเหมือนจะไม่มีผลต่อความเสี่ยงตาย มะเร็ง และโรคหัวใจ[4][5] อนึ่ง งานศึกษาอาหารเสริมเป็นน้ำมันปลาไม่ให้หลักฐานสนับสนุนว่า สามารถป้องกันกล้ามเนื้อหัวใจตายเหตุขาดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง หรือมีผลต่อโรคหลอดเลือด[6][7]
กรดไขมันโอเมกา-3 สำคัญต่อเมแทบอลิซึมปกติ[8] แม้สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมจะไม่สามารถสังเคราะห์กรดนี้ได้ แต่ก็ได้ ALA ที่มีโซ่สั้นกว่า (มีคาร์บอน 18 อะตอมและพันธะคู่ 3 คู่) จากอาหาร แล้วใช้สร้างกรดไขมันโอเมกา-3 ที่ยาวว่าและสำคัญกว่า คือ EPA (มีคาร์บอน 20 อะตอมและพันธะคู่ 5 คู่) ซึ่งก็ใช้สร้าง DHA ที่สำคัญสุด[8] แต่สมรรถภาพการสร้างกรดไขมันดโซ่ยาวจาก ALA อาจแย่ลงเมื่ออายุมากขึ้น[9] กรดไขมันโอเมกา-3 เป็นโครงสร้างทางไขมันที่สำคัญในสมองและจอประสาทตา[10]
ในอาหารที่ถูกกับอากาศ กรดไขมันไม่อิ่มตัวไม่อิ่มตัวจะไวต่อกระบวนการออกซิเดชันและการเหม็นหืน[11]