Loading AI tools
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
โดโด (อังกฤษ: Dodo) เป็นนกชนิดหนึ่ง อาศัยอยู่แถบหมู่เกาะมอริเชียสในมหาสมุทรอินเดีย เป็นนกที่บินไม่ได้อยู่ในตระกูลเดียวกับนกพิราบ
บทความนี้ได้รับแจ้งให้ปรับปรุงหลายข้อ กรุณาช่วยปรับปรุงบทความ หรืออภิปรายปัญหาที่หน้าอภิปราย
|
ลิงก์ข้ามภาษาในบทความนี้ มีไว้ให้ผู้อ่านและผู้ร่วมแก้ไขบทความศึกษาเพิ่มเติมโดยสะดวก เนื่องจากวิกิพีเดียภาษาไทยยังไม่มีบทความดังกล่าว กระนั้น ควรรีบสร้างเป็นบทความโดยเร็วที่สุด |
โดโด ช่วงเวลาที่มีชีวิตอยู่: สมัยโฮโลซีน | |
---|---|
การฟื้นฟูโดโดสะท้อนงานวิจัยใหม่ที่พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด | |
สถานะการอนุรักษ์ | |
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์ | |
อาณาจักร: | Animalia |
ไฟลัม: | Chordata |
ชั้น: | Aves |
อันดับ: | Columbiformes |
วงศ์: | Columbidae |
สกุล: | Raphus Brisson, พ.ศ. 2303 |
สปีชีส์: | R. cucullatus |
ชื่อทวินาม | |
Raphus cucullatus Linnaeus, พ.ศ. 2301 | |
Former range (in red) | |
ชื่อพ้อง | |
Struthio cucullatus Linnaeus, 1758 |
ในปี พ.ศ. 2048 ชาวโปรตุเกสเป็นชาวยุโรปพวกแรกที่พบ และเพียงประมาณปี พ.ศ. 2224 มันก็สูญพันธุ์อย่างรวดเร็วโดยมนุษย์ รวมถึงสุนัขล่าเนื้อ หมู หนู ลิง ที่ถูกนำเข้าโดยชาวยุโรป
โดโด ไม่ใช่นกเพียงชนิดเดียวในมอริเชียสที่สูญพันธุ์ในศตวรรษนี้ จากนกกว่า 45 ชนิดที่พบบนเกาะ มีเพียง 21 ชนิดเท่านั้นที่เหลือรอด นกสองชนิดซึ่งเป็นญาติใกล้ชิดกับโดโดก็สูญพันธุ์ไปเช่นกัน คือ Reunion solitaire (Raphus solitarius) ประมาณปี พ.ศ. 2289 และ Rodrigues solitaire (Pezophaps solitaria) ประมาณปี พ.ศ. 2333 เมื่อทศวรรษ พ.ศ. 2533 วิลเลียม จ. กิบบอนส์ นำคณะสำรวจขึ้นค้นหาบนเขาบนเกาะมอริเชียส แต่ก็ไม่มีใครค้นพบ จึงประกาศการสูญพันธุ์อย่างเป็นทางการ
ความรู้ปัจจุบันเกี่ยวกับโดโด มาจากทั้งบันทึกและข้อเขียนของกะลาสีและกัปตันเรือที่ขึ้นฝั่งมอริเชียส เมื่อ พ.ศ. 2143-พ.ศ. 2243 ภาพวาดจากผู้คนน้อยนิดที่เคยเห็นขณะพวกมันมีชีวิต (แม้ว่าจะไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าศิลปินเหล่านั้นตอกไข่ใส่สีโดโดจากที่เห็นบ้างหรือไม่)
ซากฟอสซิลเล็กน้อยที่ขุดค้นได้จากเกาะถูกเก็บรักษาที่บริติชมิวเซียม รอยเท้ารอยจิกถูกเก็บรักษาไว้ที่ออกซฟอร์ด จากบันทึกและภาพเหล่านี้ นักวิทยาศาสตร์และนักปักษีวิทยาร่วมกันปะติดปะต่อรายละเอียดที่ประกอบขึ้นเป็นโดโด
ธันวาคม พ.ศ. 2548 พบหลักฐานสำคัญบนเกาะมอริเชียส พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติแห่งดับลินรวบรวมข้อมูลจากกระดูกเท้าและหัวที่ยังไม่บุบสลาย ซึ่งบรรจุเนื้อเยื่ออ่อนของสัตว์ชนิดนี้ ซากโดโดสต๊าฟชิ้นสุดท้ายที่พิพิธภัณฑ์ Ashmolean Museum ในออกซฟอร์ดถูกเผาในปี ค.ศ. 1755 โดยสามารถกู้เท้าและหัวได้และถูกจัดแสดงถึงปัจจุบัน
โดโด ตัวใหญ่
หนักถึง 23 กิโลกรัม (50 ปอนด์) มีขนสีเทาถึงน้ำเงิน 23 เซนติเมตร (9 นิ้ว)
หัวมีสีเทาเทาอ่อนกว่าตัว ตาเล็กสีเหลือง ปากโต โค้งและเป็นตะขอ สีเขียวอ่อนหรือเหลืองเพล อันเป็นจุดเด่นที่สุด จะงอยปากค่อนข้างดำ มีจุดแดงเรื่อ ปกคลุมด้วยขนสีเทาอ่อนนุ่ม มีปุยสีขาวหยิกชูเชิดเป็นหาง
โครงสร้างหน้าอกไม่รองรับการบิน ปีกไร้ประโยชน์ที่เล็กมาก บอบบางเกินจะยกโดโดขึ้นจากพื้น จึงบินไม่ได้ ผู้คนที่เคยเห็นมักคิดว่ามันไม่มีปีก อย่างที่เขาเรียกว่า ปีกเล็กที่เล็ก (little winglets) เพราะเป็นนกบนพื้นดิน ที่วิวัฒนาการมาเฉพาะนิเวศวิทยาของเกาะ ซึ่งไม่เคยมีสัตว์นักล่า อย่างไรก็ตาม การศึกษาจากกระดูก โดโดอาจใช้ปีกง่ายกว่าการบิน นั่นคือใช้ว่ายอย่างปีกเพนกวิน
ขาสั้น อ้วนเตี้ย หนาแข็งแรง สีเหลือง มีนิ้วเท้าหนากลม 4 นิ้ว 3 นิ้วข้างหน้าและ 1 นิ้วโป้งอยู่ข้างหลัง มีเล็บสีดำ
หมู่เกาะแห่งมอริเชียส เป็นบ้านของแหล่งนิเวศหลากหลาย ทั้งที่ราบ ภูเขาลูกเล็ก ป่าโปร่ง ป่าดิบ และแนวปะการังขนานตลอดชายฝั่ง ป่าดงดิบเขตร้อน ป่าละเมาะเขตร้อน ทุ่งหญ้าสะวันนาเขตร้อน
แม้ว่าภาพและเรื่องประมาณมากมายจะสื่อว่าโดโดอยู่ตามชายฝั่งทะเลของมอริเชียส แต่ที่จริงมันเป็นนกป่า โดโดทำรังอย่างง่าย ๆ บนพื้นป่า
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
เชื่อว่า กินผลไม้เป็นอาหาร กะลาสีบางคนคุยว่าเคยเห็นโดโดลุยลงสระน้ำไปจับปลา อ้างว่า มันเป็นนักล่าที่แข็งแรงและจอมเขมือบ ซึ่งกล่าวเกินจริง
อย่างไรก็ตาม อาจเป็นความจริงที่ว่า โดโดกินหินและก้อนโลหะบ่อย ๆ อย่างไม่เดือดร้อน คาดว่าหินช่วยให้ย่อยง่าย (ซึ่งเป็นธรรมดาพบเห็นได้บ่อย ที่สัตว์กินพืชเช่นนกหรือวัว กลืนหินลงกระเพาะ เพื่อช่วยบดพืชซึ่งย่อยยาก)
ภาพของโดโดนั้น อ้วน งุ่มง่าม ถูกค้านโดย แอนดรูว์ คิทเชนเนอร์ นักชีววิทยาจากพิพิธภัณฑ์แห่งชาติสกอตแลนด์ ในรายงานข่าวของเนชันแนลจีโอกราฟิก กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2545 ใครจะเชื่อว่า วาดเขียนเก่าแก่ทั้งหลาย วาดเกินจริง
ขณะที่ มอริเชียส อยู่ระหว่างฤดูฝนและหนาว โดโดอาจจะอ้วนขึ้น ด้วยผลไม้สุกเมื่อปลายฤดูฝน เพื่อให้รอดตลอดฤดูหนาวที่อาหารขาดแคลน ในรายงานเดียวกัน อ้างถึงคำกล่าวอ้างที่ว่า นกพวกนี้กินอย่างตะกละตะกรามหิวกระหาย ด้วยเหตุนี้ ขณะที่นกยังหาอาหารได้ ก็จะกินเกินพิกัดได้ง่าย ๆ
พวกมันมีชีวิตอยู่เป็นเวลากว่า 1,000 ปี บนมอริเชียส โดยปราศจากนักล่า ซ้ำยังเป็นสัตว์ตัวใหญ่สุดบนเกาะ (ก่อนหน้านี้มอริเชียสไม่เคยมีมนุษย์ชนพื้นเมืองมาก่อน)
การวิจัยเมื่อเร็ว ๆ นี้ได้ค้านคำอธิบายที่สืบเนื่องกันมา จากการตรวจวัดกระดูกจาก oxford ร่วมกับอีกกว่า 100 ชิ้นที่สะสมใน Natural History Museum and the Cambridge Zoology Museum นำมาคำนวณว่า น้ำหนักเท่าไหร่ที่มันจะแบกไหว
พบว่า โดโดที่อ้วนมาก จะหนักเกินกว่ากระดูกจะรับได้ ถึงขั้นกระดูกหัก ปะติดปะต่อใหม่ได้ว่า โดโดต้องผอมบางกว่าที่จินตนาการ
เฉพาะการจับคู่และระยะเวลาฟักไข่ ที่ไม่รู้ หลายคนอ้างว่า รังนกโดโด อยู่ลึกในป่า ในรังหญ้า
ที่นั่น ตัวเมียจะวางไข่ 1ฟอง ซึ่งมันจะปกป้องและเลี้ยงดู กะลาสีผู้หนึ่งเล่าว่า ได้ยินเสียงร้องของลูกโดโดที่อยู่ในรัง เสียงเหมือนลูกห่าน
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
ที่มาของชื่อโดโดมีแนวคิด 2 ทาง ที่ยอมรับกันทั่วไปคือ ภาษาดัชท์ dodaar หมายถึง เฉื่อยชา
อีกแนวคิดหนึ่งว่า มาจาก ภาษาโปรตุเกส doudo หมายถึง โง่เง่าตัวตลก
กะลาสีที่ขึ้นฝั่ง มอริเชียส พบความขบขันยิ่งนัก เมื่อเฝ้าดูพฤติกรรมงุ่มง่ามของโดโด มีเรื่องเล่าถึง โดโดที่พยายามวิ่งลนลาน ขณะที่มันกำลังเดินโซเซ พุงของมันจะลากไปกับพื้น ทำให้มันวิ่งช้า ทั้งโดโดก็ไม่กลัวคนด้วย
ส่วนใหญ่แล้วโดโดถูกกล่าวถึงในแง่ความเฉื่อยชา ค่อนข้างไปทางตลกโง่เง่า มันไม่มี กลไกการป้องกันตัวจากผู้ล่า ที่เห็นได้ชัด เว้นแต่ จะงอยปากใหญ่โต ซึ่งกัดได้อย่างน่ากลัว ถ้ามีจังหวะ แต่ปกติก็ไม่ค่อยได้ใช้ นอกจากเพื่อปกป้องตัวเองและลูกน้อย
ประกอบกับที่มันบินไม่ได้ด้วย เหตุผลเหล่านี้รวมกัน ทำให้ถูกล่าโดยง่าย
กะลาสี ล่ามันมาเป็นอาหารอยู่บ่อย ๆ เมื่อครั้งยังไม่สูญพันธุ์บนเกาะมอริเชียส แม้จะมักถูกกล่าวถึงว่า เนื้อโดโด ไม่อร่อย แต่ก็ยังถูกล่ามากมาย เพราะจับง่าย บางครั้งกะลาสีนำกลับมาได้ถึง 50 ตัวในครั้งเดียว ถ้ากินไม่หมด ก็ดองและนำกลับไปด้วย
เกาะนี้ถูกค้นพบครั้งแรกโดยชาวโปรตุเกส แต่ชาวดัตช์เป็นผู้ยึดครองอย่างถาวรแท้จริง เชื่อว่า กะลาสีกลุ่มแรกที่มาถึง มอริเชียส เป็นชาวโปรตุเกส นำโดยกัปตัน มาสคาแร็กนาส ใน พ.ศ. 2048-พ.ศ. 2050 พวกเขาตั้งใจไปตั้งถิ่นฐานด้วยความหวังในแอฟริกาใต้ แต่ติดพายุทำให้ติดเกาะและลงเอยที่ มอริเชียส คณะเดินทางอื่น ๆ หลังจากโปรตุเกสในปีต่อ ๆ มา มีทั้งดัทช์ บริติช และอื่น ๆ
นกโดโด กะลาสีได้พบขบขัน และเมื่อพวกเขาขาดอาหารประทังชีวิต ก็ได้อาหาร ชาวดัตช์ ประกาศ มอริเชียส เป็นอาณานิคม เรือนำแมว สุนัข หมู และลิง มาพร้อมกับผู้คนกลุ่มหนึ่ง สัตว์ต่างถิ่นแพร่พันธุ์และรุกรานป่าอย่างรวดเร็ว เหยียบย่ำรังนก ทำให้นกเสียขวัญ ล่าทำลายไข่กับลูกอ่อนของโดโด
ทั้งการล่าเป็นอาหารอย่างต่อเนื่องจากมนุษย์ ประกอบกับการแทรกแซงจากสัตว์ต่างถิ่น นำมาสู่การสูญพันธ์ ประมาณ พ.ศ. 2236
เดวิด รอเบิตส์ (David Roberts) แถลงการสูญพันธุ์ของโดโดอย่างเป็นทางการถึง ซึ่งยืนยันการพบเห็นครั้งสุดท้ายเมื่อ พ.ศ. 2205 ที่รายงานโดยกะลาสีเรืออับปาง วอลเกนต์ เอเวอร์ตซ (Volkert Evertsz) ซึ่งตรวจพบต่อมาใน พ.ศ. 2224 โรเบิร์ตชี้ว่า จากการที่คำบอกเล่าของอธิการโบสถ์ พ.ศ. 2181-พ.ศ. 2205 ดูเหมือนว่ามันจะหาได้ยากแล้วเมื่อ พ.ศ. 2203 อย่างไรก็ตาม ทางสถิติวิเคราะห์ จากบันทึกการล่าของ ไอแซค โจน ลาโมเทียส ได้คะเนเวลาที่สูญพันธุ์ ใน พ.ศ. 2236 และเชื่อมั่นถึง 95% ว่าเกิดขึ้นในช่วง พ.ศ. 2231-พ.ศ. 2258
ที่แน่ชัดคือ โดโดถูกฆ่ามากภายใน 100 ปีหลังการค้นพบสปีชีส์นี้ ไม่มีตัวอย่างที่สมบูรณ์ถูกรักษาไว้ แม้แต่สักพิพิธภัณฑ์ที่จะเก็บกระดูกมันไว้ ไข่โดโดใบหนึ่งถูกจัดแสดงที่ East London museum ในแอฟริกาใต้
หลักฐานทางพันธุกรรมมาจากสิ่งนี้ เมื่อวิเคราะห์ดีเอ็นเอ ยืนยันว่าโดโดเป็นญาติใกล้ชิดกับนกพิราบ ซึ่งมีถิ่นกำเนิดคาบเกี่ยวกัน คือในแอฟริกาถึงเอเชียใต้
ไม่มีใครสนใจอย่างจริงจังในการสูญพันธุ์ของมัน กระทั่งถูกเอาชื่อไปเป็นตัวละครในนิยาย อลิซผจญภัยในแดนมหัศจรรย์ ของ ลูอิส คาร์รอลล์ ทำให้เกิดคำสแลงว่า "ตายอย่างโดโด"
มีความพยายามที่จะนำโดโดกลับมามีชีวิต ถ้าสำเร็จผู้ดำเนินการจะได้ประโยชน์จากการท่องเที่ยวดูนกที่ไม่เหมือนใครทั่วยุโรป แสดงพวกมันในกรงและสาธิตนกกินหินกินเหล็กดังที่ตำนานอ้างไว้
โดโดถูกจัดหมวดหมู่ไว้ในตระกูล Raphidae แบ่งย่อยมาอยู่ในวงศ์ Columbiformes ซึ่งเป็นวงศ์หนึ่งจาก 2 วงศ์ที่อยู่ในตระกูลนี้ อีกวงศ์หนึ่งคือ Columbidae ซึ่งได้แก่ นกพิราบและนกเขาทั้งหลาย
นกตระกูลเดียวกับโดโด ที่เรียกว่า นกช้อน หรือ โซลิแตร์ ถูกรายงานโดยกะลาสีที่อาศัยบนเกาะใกล้ ๆ มอริเชียส ปี พ.ศ. 2156 พบ Reunion solitaire หรือ Raphus solitarius บนเกาะเรอูว์นียง (reunion) และปี พ.ศ. 2234 พบ Rodrigues solitaire หรือ Pezophaps solitarius บนเกาะร๊อดริเกส (rodrigues) ซึ่งพันธุ์หลังได้สูญพันธ์เช่นกัน ระหว่างปี พ.ศ. 2303 ไม่มีหลักฐานใดรองรับการมีอยู่ของ Reunion solitaire นักปักษีวิทยาเชื่อว่า นกที่เห็นแท้จริงคือนกช้อนบินไม่ได้บนเกาะเรอูว์นียง หรือ Threskiornis solitarius ซึ่งก็สูญพันธุ์ไปเช่นกัน เพราะมันสืบพันธุ์ด้วยกัน จึงถูกเรียกว่า โดโดสีขาว อย่างที่นักเดินทางอธิบายว่า นกช้อนบินไม่ได้ ที่ถูกต้องเป็นสีขาวเป็นหลัก และอย่างที่ปรากฏในภาพเขียนบางชิ้นของโดโดสีขาว เชื่อว่าแสดงถึง โดโดตัวปลอมที่ถูกทึกทักแห่งเกาะเรอูว์นียง
อย่างไรก็ตาม คำพรรณนาน้อยนิดที่ให้ความชัดเจนว่า ปีกและหางของ Reunion solitaire มีสีดำ เหมือนที่พบได้ใน นกช้อนคอถุง (Sacred Ibis) ญาติใกล้ชิด ขณะที่ภาพวาดแสดงให้เห็นว่านกเป็นสีขาวทั้งตัว (ไม่นับว่ากรณีเป็นไปได้ว่าเป็นรอยเปื้อนสกปรกของขน)
ภาพวาดส่วนมาก เป็นนกที่ขังในโรงเลี้ยงชาวยุโรป จะแสดงปากที่เป็นวง ไม่ใช่แค่ตะขอ ดูเหมือนใช้เป็นสัญญาณเตือนป้องกันผู้บุกรุก (นักเดินทางอ้างว่า ถ้าต้อนเข้ามุมโดโดจะกัดโมโหร้ายทีเดียว ขนาดคาดหวังให้เฝ้าสินค้าสำคัญทั้งกองได้)
ภาพวาดโดโดสีขาวจากแหล่งที่คล้ายกันส่วนใหญ่มี โดโดเผือก เพียงน้อย บางทีอาจมีเพียงหนึ่ง ที่ถึงมือชาวยุโรปและถูกเก็บรักษาอย่างสนใจใคร่รู้
ดร.อลัน คูเปอร์ กับ ดร.เบธ ชาปิโร จาก ศูนย์ชีวโมเลกุลโบราณเฮนรีเวลคัมแห่งออกซฟอร์ด, ดร.ดีแอน ซิบธอร์ปี, แอนดรูว์ แรมบอต, ดร.แกรแฮม แวรกก์, ดร.โอลาฟ บ.อีมอนด์ส กับ ดร.แพทรีเซีย ลี จากภาควิชาสัตววิทยาแห่งออกซฟอร์ด, และ ดร.เจเรมี ออสติน จากพิพิธภัณฑ์ประวัติธรรมชาติลอนดอน ร่วมกันวิจัย ในปี พ.ศ. 2545 สกัดชิ้นส่วนเล็กน้อยของดีเอ็นเอโดโด ตัวอย่างถูกนำมาจาก หลักฐานชิ้นเดียวซึ่งมีเนื้อเยื่ออ่อน อายุ 300 ปีที่หลงเหลือ จากพิพิธภัณฑ์ประวัติธรรมชาติมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด
ทั้งสกัดดีเอ็นเอจากกระดูกของโซลิแตร์ด้วย กระดูกขุดจากถ้ำบนเกาะร็อดริเกส ผลลัพธ์การวิเคราะห์แสดงว่าโดโดและ โซลิแตร์ เป็นญาติใกล้ชิดกันมาก และแยกมาเล็กน้อยจากวงศ์ของ นกพิราบ
ผลของดีเอ็นเอสรุปว่าโดโดและโซลิแตร์ ที่จริงเป็นอยู่ในตระกูลเดียวกับตระกูลนกพิราบ และเป็นญาติใกล้ชิดกับพิราบนิโคบาร์ หรือชื่อวิทยาศาสตร์ Caloenus nicobarica
ในปี พ.ศ. 2516 นักวิทยาศาสตร์พบว่า พันธุ์ไม้บนมอริเชียสที่ชื่อ ต้นโดโด หรือชื่อวิทยาศาสตร์ Sideroxylon grandiflorum หรือ Calvaria major กำลังผลัดใบ มีเพียง 13 ตัวอย่าง ที่ไม่พบรายงาน และพวกมันทั้งหมดอายุประมาณ 300 ปี นับจากโดโดตัวสุดท้ายถูกฆ่า พบว่านกโดโดกินเมล็ดของต้นโดโดแล้วเมล็ดก็ผ่านทางเดินอาหารของโดโด ออกมาทางอุจจาระ และตื่นตัวเริ่มงอก หลังจากที่พบว่าเกิดผลแบบเดียวกันกับการให้ไก่งวงกินเมล็ดนี้ พันธุ์ไม้นี้จึงยังคงอยู่รอด
อย่างไรก็ตาม รายงานเมื่อเร็ว ๆ นี้สืบพบว่า ตัวอย่างพืชรุ่นใหม่ ไม่ได้ด้อยลง อาจเป็นไปได้ที่ นกแก้วจะงอยกว้างที่สูญพันธุ์แล้ว หรือ Lophopsittacus mauritianus ต่างหาก ที่มีความสำคัญต่อการกระจายเมล็ด ยิ่งกว่าโดโด รายละเอียดเพิ่มเติม ให้ศึกษาจากบทความเกี่ยวกับ ต้นโดโด (dodo tree)
พร้อมเพลงใหม่ชื่อโดโดชุดนี้จำหน่ายซ้ำในปี 2003 * ปี 1996 ตอนหนึ่งของการ์ตูนเรื่องยาว The Simpsons (ตอน Homer the Smithers) คุณเบิร์น สั่งให้ โฮเมอร์ เตรียมไข่โดโดเป็นอาหารกลางวัน เป็นมุกหนึ่งที่สื่อว่าตัวละคร คุณเบิร์น หลุดโลกาภิวัฒน์
เครื่องบินโดโด ปรากฏตัวอีกครั้งใน The Dodo reappears in Grand Theft Auto: San Andreas เป็นฉากสนามบิน Las Venturas
ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ Raphus cucullatus ที่วิกิสปีชีส์
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.