อุบัติเหตุนิวเคลียร์เกาะทรีไมล์
From Wikipedia, the free encyclopedia
อุบัติเหตุนิวเคลียร์เกาะทรีไมล์ (อังกฤษ: Three Mile Island accident) เป็นการหลอมละลายทางนิวเคลียร์บางส่วนที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 มีนาคม ค.ศ. 1979 ในเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์หนึ่งในสองเครื่องของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เกาะทรีไมล์ ที่ตั้งอยู่บนเกาะกลางแม่น้ำซัสควีฮานนา ดาวฟินเคาน์ตี ใกล้เมืองแฮริสเบิร์ก เมืองหลวงของรัฐเพนซิลเวเนีย สหรัฐอเมริกา อุบัติเหตุครั้งนี้ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ใช้ในทางพานิชย์ของสหรัฐ[2] และได้รับการจัดความรุนแรงไว้ที่ระดับ 5 จาก 7 ตามมาตราระหว่างประเทศว่าด้วยเหตุการณ์ทางนิวเคลียร์ (INES) แปลว่า อุบัติเหตุนี้'มีผลกระทบในวงกว้างมาก'[3][4]
วันที่ | 28 มีนาคม 1979 (45 ปีก่อน) (1979-03-28) |
---|---|
เวลา | 04:00 (Eastern Time Zone UTC−5) |
ที่ตั้ง | เขตเมืองลอนดอนเดอร์บี, เคาน์ตีเดาฟิน, รัฐเพนซิลวาเนีย |
ผล | มาตราระหว่างประเทศว่าด้วยเหตุการณ์ทางนิวเคลียร์ระดับ 5 (อุบัติเหตุที่มีผลกระทบเป็นวงกว้าง) |
Pennsylvania Historical Marker | |
ขึ้นเมื่อ | March 25, 1999[1] |
อุบัติเหตุเริ่มต้นด้วยความล้มเหลวในระบบรอง (อังกฤษ: secondary system) ที่ไม่ใช่นิวเคลียร์ ตามติดด้วยวาล์วระบายที่ทำงานด้วยการนำร่อง (อังกฤษ: Pilot-Operated Relief Valve (PORV)) ที่ติดขัดและเปิดค้างในระบบหลัก (อังกฤษ: primary system) ทำให้น้ำหล่อเย็นจำนวนมากของเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์รั่วไหลออกมา ความล้มเหลวทางกลไก (อังกฤษ: mechanical failure) ถูกผสมเข้ากับความล้มเหลวแต่แรกของผู้ควบคุมเครื่องโรงไฟฟ้าที่รับรู้สถานการณ์ที่คิดว่าเป็นอุบัติเหตุจากการสูญเสียน้ำหล่อเย็นเนื่องจากการฝึกอบรมที่ไม่เพียงพอและปัจจัยของมนุษย์ (อังกฤษ: human factor) เช่นการมองข้ามการออกแบบที่ให้คอมพิวเตอร์มีปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์ที่เกี่ยวข้องกับตัวชี้วัดในห้องควบคุมที่ไม่ชัดเจนใน user interface ของโรงไฟฟ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไฟแสดงสถานะที่ถูกซ่อนไว้ได้นำผู้ควบคุมเครื่องคนหนึ่งดำเนินการยกเลิกด้วยมือ (อังกฤษ: manually overriding) ของระบบระบายความร้อนฉุกเฉินอัตโนมัติของเครื่องปฏิกรณ์ เพราะผู้ควบคุมเครื่องคนนั้นเข้าใจผิดว่ามีน้ำหล่อเย็นมากเกินไปอยู่ในเครื่องปฏิกรณ์และเป็นสาเหตุให้ความดันไอน้ำถูกปล่อยออกมา[5]
อุบัติเหตุได้ตกผลึกความกังวลด้านความปลอดภัยในการต่อต้านนิวเคลียร์ในหมู่นักเคลื่อนไหวและประชาชนทั่วไป ส่งผลให้เกิดกฎระเบียบใหม่สำหรับอุตสาหกรรมนิวเคลียร์และได้รับการยกฐานะให้เป็นผู้สนับสนุนในการลดลงของโครงการก่อสร้างเครื่องปฏิกรณ์ใหม่ที่อยู่ระหว่างการดำเนินการในช่วงทศวรรษที่ 1970[6] การหลอมละลายบางส่วนส่งผลให้มีการปลดปล่อยปริมาณที่ไม่ทราบจำนวนของก๊าซกัมมันตรังสีและสารกัมมันตรังสีไอโอดีน (iodine-131) เข้าสู่สภาพแวดล้อม การคาดการณ์ที่เลวร้ายถูกจัดทำโดยนักกิจกรรมเคลื่อนไหวต่อต้านนิวเคลียร์[7] แต่การศึกษาด้านระบาดวิทยาที่ทำการวิเคราะห์อัตราการเกิดโรคมะเร็งในพื้นที่และรอบ ๆ พื้นที่ตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุ ได้พิจารณาว่าการมีเพิ่มขึ้นขนาดเล็กที่ไม่ได้มีนัยสำคัญทางสถิติในอัตราการเกิดโรคมะเร็ง จึงไม่สามารถเชื่อมโยงสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งเหล่านี้กับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นได้[8][9][10][11][12][13] การทำความสะอาดได้เริ่มต้นในเดือนสิงหาคมปี 1979 และจบลงอย่างเป็นทางการในเดือนธันวาคมปี 1993 ด้วยค่าใช้จ่ายในการทำความสะอาดรวมประมาณ $ 1 พันล้าน[14]