![cover image](https://wikiwandv2-19431.kxcdn.com/_next/image?url=https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/6/67/Two_Peak_Flow_Meters.jpg/640px-Two_Peak_Flow_Meters.jpg&w=640&q=50)
โรคหืด
From Wikipedia, the free encyclopedia
โรคหืด (อังกฤษ: asthma) หรือ โรคหอบหืด[10] เป็นโรคการอักเสบเรื้อรังของทางเดินอากาศหายใจที่พบบ่อย ลักษณะคือ มีอาการหลายอย่างแบบเป็นซ้ำ มีการอุดกั้นทางเดินอากาศหายใจและหลอดลมหดเกร็งแบบย้อนกลับได้[11] อาการทั่วไปมีเสียงหวีด ไอ แน่นหน้าอกและหายใจกระชั้น[2]
โรคหืด (Asthma) | |
---|---|
![]() | |
อุปกรณ์ทดสอบสมรรถภาพปอด ใช้สำหรับตรวจวัดอัตราลมหายใจออกสูงสุด มีความสำคัญทั้งในการติดตามและการวินิจฉัยโรคหืด[1] | |
สาขาวิชา | วิทยาปอด |
อาการ | หายใจมีเสียงหวีดซ้ำเป็นชุด, ไอ, แน่นหน้าอก, หายใจไม่อิ่ม[2] |
ระยะดำเนินโรค | ระยะยาว[3] |
สาเหตุ | พันธุกรรม และปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม[4] |
ปัจจัยเสี่ยง | มลภาวะทางอากาศ, สารก่อภูมิแพ้[3] |
วิธีวินิจฉัย | ขึ้นอยู่กับอาการ, การตอบสนองต่อการบำบัด, ตรวจด้วยสไปโรมิเตอร์[5] |
การรักษา | หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น, คอร์ติโคสเตอรอยด์ชนิดสูดพ่น, ซัลบูทามอล[6][7] |
ความชุก | 358 ล้านคน (ค.ศ. 2015)[8] |
การเสียชีวิต | 397,100 คน (ค.ศ. 2015)[9] |
เชื่อว่าโรคหืดเกิดจากปัจจัยทางพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อมผสมกัน[12] การวินิจฉัยโดยปกติอาศัยรูปแบบของอาการ การตอบสนองต่อการรักษาตามเวลาและการวัดปริมาตรอากาศหายใจ (spirometry)[13] ในทางคลินิก จำแนกตามความถี่ของอาการ ปริมาตรการหายใจออกเบ่งใน 1 วินาที (FEV1) และอัตราการไหลของการหายใจออกสูงสุด (peak expiratory flow rate)[14] โรคหืดยังอาจจำแนกเป็นแบบภูมิแพ้กรรมพันธุ์ (atopic) หรือภายนอก (extrinsic) หรือไม่ใช่ภูมิแพ้กรรมพันธุ์ (non-atopic) หรือภายใน (intrinsic)[15] โดยภูมิแพ้กรรมพันธุ์หมายถึงความไวแฝงรับโรค (predisposition) ต่อการเกิดปฏิกิริยาไวเกินชนิดที่ 1[16]
![](http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/8/87/Gnome-mime-sound-openclipart.svg/50px-Gnome-mime-sound-openclipart.svg.png)
หากมีปัญหาในการเล่นไฟล์นี้ ดูที่วิธีใช้สื่อ
การรักษาอาการเฉียบพลันโดยปกติใช้ตัวทำการบีตา-2 ที่ออกฤทธิ์สั้นแบบสูด (inhaled short-acting beta-2 agonist) เช่น ซัลบูทามอล เพื่อให้มีฤทธิ์ขยายหลอดลม และคอร์ติโคสเตอรอยด์ทางปาก[7] ในผู้ป่วยที่อาการรุนแรงมาก อาจต้องใช้คอร์ติโคสเตอรอยด์ แมกนีเซียมซัลเฟตทางหลอดเลือดดำ และให้เข้ารักษาในโรงพยาบาล[17] อาการสามารถป้องกันได้โดยการเลี่ยงสิ่งกระตุ้น เช่น สารก่อภูมิแพ้[6]และยาระคาย และโดยการใช้คอร์ติโคสเตอรอยด์แบบสูด[18] ตัวทำการบีตาที่ออกฤทธิ์ยาว (LABA) หรือสารต้านลิวโคไตรอีน (antileukotriene) อาจใช้เพิ่มเติมจากคอร์ติโคสเตอรอยด์แบบสูดหากยังควบคุมอาการโรคหืดไม่ได้[19][20]
การเกิดโรคหืดเพิ่มขึ้นอย่างสำคัญนับแต่คริสต์ทศวรรษ 1970 ในปี พ.ศ. 2554 มีผู้ได้รับวินิจฉัยเป็นโรคหืดทั่วโลก 235–300 ล้านคน[21][22] และเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 250,000 คน[22] ส่วนใหญ่เป็นคนในประเทศกำลังพัฒนา ผู้ป่วยส่วนใหญ่เริ่มมีอาการตั้งแต่วัยเด็ก ประวัติศาสตร์ของโรคหืดมีย้อนไปถึงสมัยอียิปต์โบราณ