ไถหนาน
นครในประเทศไต้หวัน จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ไถหนาน (จีนตัวย่อ: 台南; จีนตัวเต็ม: 臺南; พินอิน: Táinán) ชื่ออย่างเป็นทางการว่า นครไถหนาน (จีน: 臺南市; พินอิน: Táinán Shì; Tainan City) เป็นเมืองหนึ่งในภาคใต้ของสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) และเป็นเขตการปกครองประเภทนครปกครองโดยตรง ด้านตะวันตกและด้านใต้ติดกับช่องแคบไต้หวัน มีสมญาว่า "เมืองหงส์" (鳳凰城; Fènghuáng Chéng; Phoenix City) โดยเปรียบกับหงส์จีนซึ่งเชื่อว่า มีฤทธิ์ฟื้นคืนชีพได้ เพราะเมืองนี้ผ่านร้อนผ่านหนาวแล้วกลับรุ่งเรืองหลายครั้ง[2]
นครไถหนาน 臺南市[หมายเหตุ 1] Tâi-lâm | |
---|---|
เวียนขวาตามเข็มนาฬิกา: ใจกลางไถหนาน รูปปั้นวิศวกรโยะอิชิ ฮัตตะ รถไฟฟ้าความเร็วสูงสายไถหนาน บะหมี่หาบ ป้อมโปรวินเทีย และดอกไม้ไฟที่เขตหยานฉุ่ย | |
สมญา: "เมืองหงส์" (鳳凰城; Fènghuáng Chéng; Phoenix City) "เมืองมณฑล" (府城; Fǔ Chéng; Prefecture City) | |
ประเทศ | ไต้หวัน |
ภาค | ตะวันตกเฉียงใต้ |
ศูนย์กลางการปกครอง | เขตอันผิง เขตซินหยิง[1] |
การปกครอง | |
• นายกเทศมนตรี (รักษาการ) | หลี่ เมิ่งยั่น (李孟諺; Lǐ Mèngyàn) |
พื้นที่ | |
• ทั้งหมด | 2,191.6531 ตร.กม. (846.2020 ตร.ไมล์) |
ประชากร (ตุลาคม 2011) | |
• ทั้งหมด | 1,876,312 คน |
• ความหนาแน่น | 854.917 คน/ตร.กม. (2,214.22 คน/ตร.ไมล์) |
เขต | 37 |
นก | สาลิกาปากดำ (Pica hudsonia) |
ดอกไม้ | ยูงทอง (Delonix regia) |
ต้นไม้ | ยูงทอง (Delonix regia) |
เว็บไซต์ | Foreigner.tainan.gov.tw |
เดิมที บริษัทอินเดียตะวันออก (East India Company) ของชาววิลันดา ก่อตั้งเมืองนี้ขึ้นในช่วงวิลันดาครองไต้หวัน เพื่อเป็นนิคมการค้าเรียกว่า "ป้อมวิลันดา" (熱蘭遮城; Rèlánzhē Chéng; Fort Zeelandia) แต่เมื่อเจิ้ง เฉิงกง (鄭成功; Zhèng Chénggōng) ขุนพลจักรวรรดิหมิง นำทัพขับไล่ต่างชาติออกจากเกาะไต้หวันได้อย่างราบคาบในปี 1661 เขาก็สถาปนาอาณาจักรตงหนิง (東寧; Dōngníng; Tungning) ขึ้นบนเกาะ และใช้นิคมดังกล่าวเป็นเมืองหลวงจนถึงปี 1683 เมื่อราชวงศ์ชิงสถาปนาการปกครองบนเกาะไต้หวันได้เป็นผลสำเร็จ อาณาจักรตงหนิงก็กลายเป็นเพียงมณฑลไต้หวันอันเป็นหนึ่งในมณฑลของจักรวรรดิชิง และนิคมดังกล่าวก็เป็นเมืองหลวงของมณฑลไต้หวัน จนมีการย้ายเมืองหลวงไปที่ไทเป (臺北; Táiběi; Taipei) เมื่อปี 1887
คำว่า "ไถหนาน" แปลว่า ไต้หวันใต้ คู่กับ "ไถเป่ย์" (台北; Táiběi) คือ ไทเป ที่แปลว่า ไต้หวันเหนือ "ไถจง" (臺中; Táizhōng) ที่แปลว่า ไต้หวันกลาง และ "ไถตง" (台東; Táidōng) ที่แปลว่า ไต้หวันตะวันออก
ชื่อเก่าของไถหนานคือ "ต้า-ยฺเหวียน" (大員; Dàyuán; Tayouan) แปลว่า ต่างชาติ และมีผู้ถือว่า ชื่อนี้เป็นที่มาของชื่อ "ไต้หวัน" ปัจจุบัน นอกจากเป็นเมืองที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไต้หวันแล้ว ไถหนานยังเป็นแหล่งวัฒนธรรมขนานเอก เพราะมีวัฒนธรรมท้องถิ่นนานัปการ เช่น อาหารพื้นเมืองเลื่องชื่อ พิธีกรรมลัทธิเต๋าซึ่งรักษาไว้เป็นอย่างดี กับทั้งประเพณีชาวบ้านเกี่ยวกับการใช้ชีวิตตั้งแต่ครรภ์มารดาจนถึงเชิงตะกอน[3]
ประวัติ
ประวัติศาสตร์ช่วงต้น
การขุดค้นทางโบราณคดีที่เขตจั่วเจิ้นทำให้ได้ข้อสันนิษฐานว่า มีผู้คนอยู่อาศัยในบริเวณไถหนานมาแล้วอย่างน้อยสองหมื่นปีถึงสามหมื่นหนึ่งพันปี จนคริสต์ศตวรรษที่ 16 ชาวซีลาหย่า (西拉雅; Xīlāyǎ; Siraya) ซึ่งเป็นชนพื้นเมือง จึงได้เถลิงอำนาจเหนือกลุ่มอื่น ๆ ในบริเวณนี้ ในท้องที่นี้ยังมีชนพื้นเมืองอีกหลายกลุ่ม คือ ชาวซินกั่ง (新港; Xīngǎng; Sinckan) ซึ่งตั้งถิ่นฐานกันอยู่ในพื้นที่ที่ปัจจุบันเป็นใจเมือง[4] ตลอดจนชาวเซียวหลง (蕭瓏; Xiāolóng; Soelangh) ชาวหมาโต้ว (麻豆; Mádòu; Mattauw) และชาวมู่เจียลิว (目加溜; Mùjiāliū; Baccloangh) ซึ่งรวมกลุ่มกันอยู่บริเวณชานเมือง
ครั้นปลายคริสต์ศตวรรษที่ 16 พ่อค้าและชาวประมงจากจีนแผ่นดินใหญ่เริ่มตั้งที่อยู่ที่ทำกินริมฝั่งตะวันตกของเกาะไต้หวัน รวมถึงบริเวณสันดอนคั่นหาดซินกั่ง และชาวจีนเหล่านั้นเรียกสันดอนดังกล่าวว่า "ต้า-ยฺเหวียน" มาจากภาษาซีลาหย่าแปลว่า ต่างชาติ ต่อมาชื่อนี้จึงใช้เรียกเกาะไต้หวันทั้งเกาะ ภายหลังมีผู้ถือว่า คำว่า "ไต้หวัน" มาจาก "ต้า-ยฺเหวียน" นี้เอง[4][5][6] นอกจากชาวจีนดังกล่าวแล้ว ยังมีชาวญี่ปุ่นเข้ามาตั้งนิคมการค้าอยู่ด้านเหนือสันดอนต้า-ยฺเหวียน[5] ชาวจีนและชาวญี่ปุ่นทั้งหลายเหล่านั้นพากันค้าขายกับชนพื้นเมือง โดยเฉพาะเกลือ เขากวาง และเนื้อกวางแห้ง ชนพื้นเมืองจึงค่อย ๆ ได้รับอิทธิพลในความเป็นอยู่มาจากชนชาติทั้งสอง เช่น รับคำจีนเข้ามาในภาษาพวกตน และใช้มีดหมอญี่ปุ่นในพิธีกรรมของกลุ่ม เมื่อชนต่างชาติหลั่งไหลเข้ามาเรื่อย ๆ ชนพื้นเมืองจึงเคลื่อนเข้ามาในพื้นที่บกมากขึ้น ครั้นเมื่อฝรั่งเข้ามาก็ปรากฏว่า วัฒนธรรมจีนและญี่ปุ่นกลืนกินเกาะซึ่งเคยเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนนี้ไปทั้งสิ้นแล้ว[5][7]
เมืองขึ้นวิลันดา
ฝรั่งพวกแรก ๆ ที่เข้ามา คือ ชาววิลันดาซึ่งเดิมประสงค์จะยึดครองเกาะมาเก๊า และเกาะเผิงหู (澎湖; Pénghú) แต่ไม่สำเร็จ ในเดือนกรกฎาคม 1622 คอร์เนลิส เรเยิร์ซ (Cornelis Reyersz) พ่อค้าชาววิลันดาจากบริษัทอินเดียตะวันออก จึงล่องเรือมายังเกาะไต้หวันเพื่อหาชัยภูมิสำหรับตั้งนิคมการค้า จนปี 1624 เขาได้ตั้งป้อมเล็ก ๆ บนสันดอนต้า-ยฺเหวียนดังกล่าว เรียกชื่อว่า "ป้อมออเรนจ์" (Orange) เพื่อใช้เป็นที่มั่นต่อต้านคู่แข่งชาวสเปนและเป็นแหล่งค้าขายกับชาวจีนและชาวปัตตาเวียในอินโดนีเซีย ภายหลัง ป้อมดังกล่าวได้ขยายไปมากและเปลี่ยนชื่อเป็น "ป้อมวิลันดา" ป้อมนี้จึงกลายเป็นศูนย๋กลางการค้าของชาววิลันดากับชาวจีน ญี่ปุ่น และฝรั่งชาติอื่น[5][7]
เมื่อวิลันดาสถาปนาการปกครองขึ้นในนิคมการค้านั้นแล้ว ปีเตอร์ นุยส์ (Pieter Nuyts) ได้เป็นผู้ว่าการตั้งแต่ปี 1627 ถึง 1629 เวลานั้น เกิดความบาดหมางระหว่างพ่อค้าวิลันดากับพ่อค้าญี่ปุ่น นุยส์จึงถูกฮะมะดะ ยะเฮ (Hamada Yahee) พ่อค้าญี่ปุ่น จับเป็นตัวประกันไว้คราวหนึ่ง[7][8] ครั้นช่วงปี 1635 ถึง 1636 จึงมีกิจกรรมทางทูตเพื่อหย่าศึกบนเกาะ และปราบปรามชนพื้นเมืองทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ นอกจากนี้ ในปี 1642 กองทัพวิลันดาจึงเข้ายึดป้อมสเปนที่เมืองจีหลง (基隆; Keelung) ไว้ได้ เป็นเหตุให้ชาววิลันดามีอำนาจสิทธิ์ขาดเหนือเกาะไต้หวันทุกหย่อมหญ้า และใช้ป้อมวิลันดาเป็นกองบัญชาการ[9]
แต่การที่ชาววิลันดาเข้าปกครองชนอื่น ๆ บนเกาะไต้หวันนั้นเป็นไปอย่างรีดนาทาเร้น ประกอบกับที่ชาววิลันดาร่วมปล้นแผ่นดินจีนในระหว่างราชวงศ์หมิงล่มสลาย ชาวจีนซึ่งอาศัยอยู่บนเกาะไต้หวันจึงจงเกลียดจงชังวิลันดา นำไปสู่การนองเลือดในเหตุการณ์กบฏกัว ไหฺวอี (郭懷一; Guō Huáiyī; Kuo Huai-i) เมื่อปี 1652 ครั้งนั้น ชาววิลันดามีชัยเหนือชาวจีนเพราะได้ความช่วยเหลือจากชาวซินกั่งชนพื้นเมือง[7] การปกครองก็ดำเนินต่อไปอย่างสงบราบคาบ การค้าขายก็เป็นล่ำเป็นสันมากขึ้น ครัวเรือนบริเวณป้อมวิลันดาจึงขยายตัวด้วย ฉะนั้น ในปี 1653 ชาววิลันดาจึงตั้งป้อมใหม่ ณ ที่อยู่ของชาวซินกั่ง เรียก "ป้อมโปรวินเทีย" (Fort Provintia) เพื่อเป็นนิคมเกษตรกรรม และเชื้อเชิญให้ชาวไร่ชาวสวนจากจีนแผ่นดินใหญ่ย้ายมาตั้งรกรากที่นั้นเพื่อปลูกข้าวและอ้อย กิจกรรมของชาววิลันดาในภาคใต้ของเกาะไต้หวันนี้ประสบความสำเร็จมาก เป็นเหตุให้ชาววิลันดาสามารถยึดครองอินโดนีเซียได้ในคริสต์ทศวรรษที่ 1650 นั้นเอง[5]
อาณาจักรตงหนิง
เมื่อราชวงศ์หมิงล่มสลายนั้น เจิ้ง เฉิงกง ขุนศึกจักรวรรดิหมิง ได้รวมกำลังหนีมายังเกาะไต้หวัน และเข้าโจมตีชาววิลันดาในปี 1661 หลังจากปิดล้อมป้อมวิลันดาไว้ถึงเก้าเดือน เฟรเดริก โกเย็ต (Frederik Coyett) ชาววิลันดาซึ่งเป็นผู้ว่าการไต้หวันอยู่ในขณะนั้น ก็ยอมแพ้เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 1662[5] เป็นอันสิ้นสุดการปกครองของวิลันดาซึ่งดำเนินมายาวนานสามสิบแปดปี จากนั้น เจิ้ง เฉิงกง ได้ใช้เกาะไต้หวันเป็นฐานที่มั่นสำหรับฟื้นฟูจักรวรรดิหมิงต่อไป เขาสถาปนาอาณาจักรขึ้นชื่อว่า "ตงตู" แปลว่า "กรุงบูรพา" (東都; Dōngdū; East Capital) โดยมีเมืองหลวงอยู่ที่ป้อมโปรวินเทีย แล้วตั้งป้อมวิลันดาเป็นตำบลชื่อ "อันผิง" (安平; Ānpíng) ซึ่งก็คือเขตอันผิงในปัจจุบัน ครั้นแล้ว เขาก็ตั้งบ้านตั้งเมืองโดยรอบไว้เลี้ยงกองทัพ[5]
เมื่อเจิ้ง เฉิงกง ตายในปี 1662 เจิ้ง จิง (鄭經; Zhèng Jīng) บุตรของเขา สืบอำนาจต่อ และเปลี่ยนชื่ออาณาจักรเป็น "ตงหนิง" ในสมัยปกครองของเจิ้ง จิงนั้น เฉิง หย่งหฺวา (程永华; Chéng Yǒnghuá) อัครมหาเสนาบดี ได้จัดระเบียบการปกครองแบบจีนขึ้นบนเกาะไต้หวัน และก่อสร้างปูชนียสถานแห่งแรกซึ่งปัจจุบันเรียกว่า "วัดขงจื่อไต้หวัน" (台灣孔廟; Táiwān Kǒngmiào; Taiwan Confucian Temple) กับทั้งยังคิดค้นวิธีผลิตเกลือในบริเวณชายฝั่ง อนึ่ง ช่วงนั้นยังมีการชวนเชิญให้ชาวอังกฤษเข้ามาตั้งถิ่นค้ากับชาวพื้นเมือง ชาวจีน และชาวเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ ที่ตำบลอันผิง เกาะไต้หวันจึงสามารถดำรงความเป็นศูนย์กลางการค้าในภูมิภาคนี้ไว้ได้ต่อไป[10]
เมืองขึ้นจีน
เมื่อเจิ้ง จิง ตายในปี 1681 มีการชิงอำนาจกันสืบ ๆ มา ราชวงศ์ชิงจึงอาศัยความวุ่นวายนี้ส่งกำลังเข้ายึดครองเกาะไต้หวัน ชือ หลัง (施琅; Shī Láng) ผู้บัญชาการราชนาวีชิง นำทัพเรือเข้าหักเอาเกาะไต้หวัน และเอาชัยเหนือทัพเรือตงหนิงบนเกาะเผิงหูได้ในวันที่ 17 กรกฎาคม 1683 สองวันถัดมา กองทัพชิงจึงขึ้นบกเพื่อปราบปรามการแข็งข้อที่ยังมีอยู่อีกประปราย ในที่สุด จักรวรรดิชิงก็สามารถผนวกอาณาจักรตงหนิงเข้าเป็นส่วนหนึ่งของตนได้ในปี 1684 โดยรวมกับมณฑลฝูเจี้ยน เป็นอันสิ้นสุดการปกครองของตระกูลเจิ้งซึ่งมีมาราวยี่สิบปี[7] จากนั้น จักรวรรดิชิงได้ตั้งจังหวัดไต้หวัน (臺灣府; Táiwān Fǔ; Taiwan Prefecture) ขึ้น ณ บริเวณซึ่งเป็นไถหนานปัจจุบัน
ครั้นปี 1721 ชนชั้นรากหญ้าชาวจีนและชาวพื้นเมืองบนเกาะไต้หวันลุกฮือขึ้นต่อต้านการปกครองของราชวงศ์ชิงซึ่งดำเนินไปอย่างกดขี่ข่มเหง จู อีกุ้ย (朱一貴; Zhū Yīguì; Tsu It-Kui) หัวหน้ากบฏ นำกำลังเข้ายึดเมืองไต้หวันได้โดยปราศจากการปะทะต่อสู้ แต่ภายหลังพวกกบฏแตกคอกันเอง ราชวงศ์ชิงจึงส่งกองทัพจากแผ่นดินใหญ่เข้ามาฟื้นฟูความสงบเรียบร้อยได้โดยสะดวก จู อีกุ้ย ถูกจับและประหารชีวิต ราชวงศ์ชิงตรากฎหมายห้ามสร้างกำแพงเมืองไต้หวัน แต่ก็ปลูกป่าไผ่รายรอบเมืองไว้เป็นแนวกันภัยแทน อย่างไรก็ดี มีกบฏเกิดขึ้นอีกหลายครั้ง ราชวงศ์ชิงจึงสร้างกำแพงเมืองไต้หวันขึ้นในปลายคริสต์ทศวรรษที่ 1780[4]
อุทกภัยในปี 1823 ทำให้โคลนเลนเจิ่งนองทั่วฝั่งแม่น้ำในเมืองไต้หวัน แต่นี้ก็ทำให้เกิดท้องดินกว้างขวางเหมาะแก่การเพาะปลูก ต่อมา มีการขุดลอกทะเลเพื่อสร้างระบบแม่น้ำเรียกว่า "คลองห้า" (五條港; Wǔtiáogǎng) สำหรับอำนวยความสะดวกแก่การสัญจรทางน้ำและกันมิให้เรือขนาดใหญ่เข้ามาได้[4]
หลังจากที่เกาะไต้หวันงดติดต่อกับฝรั่งมายาวนานถึงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบสี่ปี ราชวงศ์ชิงได้เปิดท่าเรือที่ตำบลอันผิงตามสนธิสัญญาเทียนจิน (天津条约; Tiānjīn Tiáoyuē; Treaty of Tientsin) เมื่อปี 1858 ครั้นปี 1864 ก็ตั้งด่านศุลกากรที่ท่าเรือดังกล่าว เหล่าพ่อค้าฝรั่งจึงจับกลุ่มกันอยู่ในท้องที่ที่เดิมเป็นป้อมวิลันดา
ในเดือนธันวาคม 1871 ชาวไผวัน (排灣; Páiwān) ชนพื้นเมืองทางภาคใต้ของเกาะไต้หวัน สงสัยว่า ชาวญี่ปุ่นซึ่งเรือแตกเข้ามาอาศัยอยู่ด้วยนั้นคิดไม่ซื่อ และจับตัดศีรษะเสียห้าสิบสี่คน จักรวรรดิญี่ปุ่นจึงส่งกองทัพเข้ารุกรานเกาะไต้หวันในปี 1874 รัฐบาลชิงส่งเฉิน เป่าเจิน (沈葆楨; Chén Bǎozhēn; Shen Pao-chen) ข้าหลวงใหญ่ เข้ามาจัดการป้องกันบนเกาะ เฉินปรับปรุงระบบป้องกันหลายประการที่เมืองไต้หวัน โดยตั้งเครือข่ายโทรเลขระหว่างเมืองไต้หวันกับเซี่ยเหมิน (厦门; Xiàmén; Amoy) และให้ช่างฝรั่งเศสสร้างป้อมเรียก "หอทองคู่ฟ้า" (億載金城; Yìzǎi Jīnchéng; Eternal Golden Castle) ขึ้นที่ตำบลอันผิง[4][7] มีการรื้ออิฐจากป้อมวิลันดามาใช้สร้างบางป้อมดังกล่าวบางส่วนด้วย[11]
พัฒนาการตลอดสองร้อยปีที่ผ่านมาทำให้เมืองไต้หวันกลายเป็นชุมชนใหญ่ที่สุดบนเกาะไต้หวัน วิลเลียม แคมป์เบล (William Campbell) อนุศาสนาจารย์ชาวสกอต พรรณนาสภาพเมืองในช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1870 ไว้ว่า "เกี่ยวกับตัวเมืองไต้หวันนั้น ข้าพเจ้าขอกล่าวว่า กำแพงอิฐรอบเมืองหนาราวสิบห้าฟุต สูงยี่สิบห้าฟุต และมีปริมณฑลราวห้าไมล์ มีการสร้างหอตรวจการณ์สูงตระหง่านบนประตูเมืองทั้งสี่ ส่วนพื้นที่กว้างขวางภายในเมืองนั้นใช้ประดิษฐานวัดหลวง และจวนหรือสำนักราชการบ้านเมืองทั้งฝ่ายพลเรือนและทหาร แต่จำเป็นต้องดำเนินการตามแผนปรับปรุงเมืองไต้หวันอีกมาก แม้เดินทอดน่องไปเรื่อย ๆ ก็สุขใจได้อย่างไม่ต้องสงสัย ส่วนห้างร้านทั้งหลายก็ช่างตกแต่งงามตายิ่งนัก ทว่า กฎระเบียบที่วางไว้ทำให้ถนนแคบเหลือเกิน ทั้งยังคดเคี้ยว ขรุขระ และเหม็นสาบเหม็นเน่าคละคลุ้ง"[12]
ครั้นปี 1885 รัฐบาลชิงได้กำหนดให้เกาะไต้หวันเป็นมณฑลใหม่ต่างหากจากมณฑลฝูเจี้ยน เรียกว่า "มณฑลไต้หวัน" เพื่อให้พัฒนาได้เร็วขึ้น แล้วย้ายเมืองหลวงจากเมืองไต้หวันไปยังไถจง (臺中; Táizhōng) ต่อมาในปี 1887 ก็เปลี่ยนเมืองหลวงเป็นไทเป
เมืองขึ้นญี่ปุ่น
ในปี 1895 รัฐบาลชิงรบกับรัฐบาลญี่ปุ่น นำไปสู่สงครามจีนญี่ปุ่นครั้งแรก และจีนแพ้ศึก รัฐบาลชิงจึงทำสนธิสัญญาหม่ากวัน (馬關條約; Mǎguān Tiáoyuē) ยกเกาะไต้หวันและเกาะเผิงหูให้แก่จักรวรรดิญี่ปุ่น ข้าราชการไต้หวันจึงพร้อมใจกันประกาศเกาะไต้หวันเป็นรัฐเอกราชเรียกว่า "สาธารณรัฐไต้หวัน" (臺灣民主國; Táiwān Mínzhǔ Guó; Republic of Formosa) เพื่อไม่ยอมอยู่ในอำนาจญี่ปุ่น โดยตั้งเมืองหลวงในท้องที่ซึ่งปัจจุบันเป็นไถหนาน แต่เมื่อกองทัพบกญี่ปุ่นขึ้นเกาะในเดือนตุลาคม 1895 ข้าราชการดังกล่าวทั้งหลายก็หนีหายไปสิ้น ทิ้งให้เกาะไร้ผู้ปกครอง บรรดาผู้ดีท้องถิ่นและพ่อค้าฝรั่งในไถหนานจึงเลือกทอมัส บาร์เคลย์ (Thomas Barclay) อนุศาสนาจารย์ชาวอังกฤษ ไปเจรจากับกองทัพญี่ปุ่น ได้ความว่า ไถหนานยอมจำนนโดยไม่ขัดขืน[4]
ดังกล่าวมาแล้วว่า อาณาบริเวณซึ่งเป็นไถหนานในปัจจุบันนั้นเดิมมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า "ไต้หวัน" ก่อนที่ชื่อนี้จะกลายเป็นคำเรียกดินแดนทั้งเกาะ ส่วนชื่อ "ไถหนาน" นั้นใช้เรียกท้องที่ดังกล่าวอย่างเป็นทางการแต่เมื่อใดไม่ปรากฏชัด ทว่า เมื่อญี่ปุ่นได้ครองไต้หวัน ญี่ปุ่นใช้ไถหนานเป็นเมืองหลวงของเกาะไต้หวัน และเปลี่ยนชื่อเมืองนี้ในภาษาตนเองหลายครั้ง ในปี 1895 ใช้ว่า "ไทนังเก็ง" (Tainanken) ในปี 1901 ใช้ "ไทนันโช" (Tainanchō) และในปี 1920 ใช้ "ไทนันชู" (Tainanshū) ช่วงนั้น ไถหนานประกอบด้วยท้องที่ที่ปัจจุบันเป็นเทศมณฑลเจียอี้ (嘉義縣; Jiāyì Xiàn) และเทศมณฑลหยุนหลิน (雲林縣; Yúnlín Xiàn) นอกเหนือไปจากพื้นที่อื่น ๆ[8]
อย่างไรก็ดี แม้ชนชั้นสูงจะยอมจำนน แต่ชนชั้นล่างไม่เห็นด้วยและสะสมความไม่พอใจเรื่อยมา ภายหลังก็ปะทุเป็นการลุกฮือขึ้นต่อต้านญี่ปุ่นตั้งแต่วันที่ 9 เมษายน 1915 โดยเริ่มที่ตำบลเจี้ยวปาเหนียน (噍吧哖; Jiaòbānián; Tapani) ซึ่งปัจจุบันอยู่ในเขตยวี่จิ่ง และมียฺหวี ชิงฟัง (余清芳; Yú Qīngfāng) เป็นหัวหน้า การลุกฮือดังกล่าวขยายวงอย่างรวดเร็ว ในไม่ช้าก็มีผู้ร่วมก่อการทั่วเกาะ ทั้งได้รับความสนับสนุนจากชาวจีนแผ่นดินใหญ่ซึ่งอาศัยอยู่บนเกาะและจากชาวพื้นเมืองของเกาะเอง จักรวรรดิญี่ปุ่นปราบปรามกบฏอย่างรุนแรง ผู้คนจำนวนมากถูกฆ่า และสถานที่หลายแห่งถูกทำลาย ยฺหวี ชิงฟัง ถูกจับได้ในวันที่ 22 สิงหาคม 1915 และถูกพิพากษาประหารชีวิตพร้อมกับชาวไถหนานอีกมากกว่าแปดร้อยคน เมื่อประหารไปได้แล้วกว่าหนึ่งร้อยคน พระเจ้าไทโช (ญี่ปุ่น: 大正; โรมาจิ: Taishō) แห่งญี่ปุ่นก็อภัยโทษคนที่เหลือ[4] เหตุการณ์นี้ทำให้ญี่ปุ่นเปลี่ยนนโยบายที่มีต่อไต้หวันจากการบีบให้จำนนเป็นการผนวกเข้ากับญี่ปุ่นและพัฒนาให้ทันสมัยไปพร้อมกัน รัฐบาลญี่ปุ่นจัดตั้งโครงสร้างพื้นฐานหลายประการขึ้นในเมืองไถหนาน เช่น การศึกษา การศาล การบริหารราชการแผ่นดิน การคมนาคม การขนส่งทางราง การขนส่งทางอากาศ การขนส่งทางน้ำ และการชลประทาน นอกจากนี้ ยังวางผังเมืองแบบสมัยใหม่ กับทั้งรื้อกำแพงเมืองเก่าทิ้ง และสร้างถนนอันกว้างขวางขึ้นแทน[8]
หลังสงครามโลก
ต่อมาในปี 1912 ประเทศจีนเปลี่ยนแปลงรูปแบบรัฐจากระบอบราชาธิปไตยเป็นระบอบสาธารณรัฐ พรรคชาตินิยม (ก๊กมินตั๋ง) ได้เถลิงอำนาจในประเทศจีน และสามารถยึดเกาะไต้หวันคืนไปในปี 1945 หลังสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง เกาะไต้หวันจึงกลับไปเป็นมณฑลหนึ่งของประเทศจีน และไถหนานมีสถานะเป็นเทศมณฑลหนึ่งของมณฑลไต้หวัน
ครั้นปี 1947 เกิดเหตุการณ์ใหญ่ในเทศมณฑลไถหนาน คือ กบฏ 228 จนวันที่ 11 มีนาคม 1947 ทัง เต๋อจัง (湯德章; Tāng Dézhāng; Thng Tek-chiong) นักนิติศาสตร์ลูกครึ่งญี่ปุ่นซึ่งถูกกล่าวหาว่า เป็นสมาชิกกบฏ และลงรับเลือกตั้งเป็นนายกเทศมนตรีเมืองไถหนาน ถูกจับและตั้งข้อหาแบ่งแยกดินแดน วันรุ่งขึ้น เขาถูกทรมานและประหารชีวิตต่อหน้าธารกำนัลในศาลากลางไถหนาน แต่เมื่อเขาตายแล้ว ศาลก็พิพากษาว่า เขาไม่มีความผิด ศาลากลางนั้นจึงจัดตั้งเป็น "อนุสรณ์สถานทัง เต๋อจัง" (湯德章紀念公園; Tāng Dézhāng Jìniàn Gōngyuán; Tang Dezhang Memorial Park) ในภายหลัง[13]
ในปี 1949 เกิดสงครามกลางเมืองในประเทศจีน ส่งผลให้พรรคสังคมนิยม (พรรคคอมมิวนิสต์) ได้เป็นใหญ่ พรรคสังคมนิยมเปลี่ยนรูปแบบการปกครองจากระบอบประชาธิปไตยเป็นระบอบสังคมนิยม และเรียกประเทศเสียใหม่ว่า "สาธารณรัฐประชาชนจีน" พรรคชาตินิยมจึงหนีมายังเกาะไต้หวัน และจัดตั้งการปกครองบนพื้นที่ไต้หวันแยกเป็นประเทศต่างหากจากสาธารณรัฐประชาชนจีน เรียกว่า "สาธารณรัฐจีน" แต่พรรคสังคมนิยมยังคงถือว่า พื้นที่ไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของสาธารณรัฐประชาชนจีน กับทั้งสาธารณรัฐจีนเองก็ยังไม่เป็นที่ยอมรับของนานาชาติว่าเป็นประเทศเอกราชมาจนปัจจุบัน
เมื่อจัดตั้งสาธารณรัฐจีนแล้ว รัฐบาลที่สถาปนาขึ้นได้จัดระเบียบการปกครองบนเกาะไต้หวันเสียใหม่ เทศมณฑลไถหนานเลือกตั้งนายกเทศมนตรีและคณะเทศมนตรีจริง ๆ เป็นครั้งแรกในปี 1950 ต่อมาในช่วงทศวรรษที่ 1960 มีการปรับปรุงท่าเกาสยฺง ทำให้เมืองเกาสฺยง (高雄; Gāoxióng) เติบโตขึ้นเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจทางภาคใต้แทนไถหนาน แต่ไถหนานยังคงได้รับความสำคัญในลำดับต้น ๆ เพราะโครงการพัฒนาระดับชาติหลายโครงการเริ่มที่ไถหนานก่อน ความเจริญรุ่งเรืองขึ้นตามลำดับทำให้เทศมณฑลไถหนานได้รับการยกระดับขึ้นเป็นนครปกครองโดยตรง เขตปกครองชั้นสูงสุด มาจนปัจจุบัน
การปกครอง
วิธีปกครอง
ปัจจุบัน ไถหนานเป็นนครปกครองโดยตรงซึ่งเป็นเขตปกครองชั้นสูงสุดตามกฎหมาย และใช้การปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งแบ่งเป็นสองฝ่าย ฝ่ายบริหารมีนายกเทศมนตรี (市長; Shìzhǎng) คนหนึ่งซึ่งมาจากการเลือกตั้งเป็นผู้นำ ส่วนฝ่ายนิติบัญญัติมีสภานคร (市議會; Shìyìhuì) ดำเนินการ
นครปกครองโดยครงแบ่งเขตปกครองออกเป็นเขต (區; qū) และเขตแบ่งเป็นหมู่บ้านในเมือง (里; lǐ) กับละแวก (鄰; lín) เขตในไถหนานไม่มีอำนาจปกครองตนเอง ขณะที่หมู่บ้านและละแวกปกครองตนเอง
ศูนย์กลางการปกครองของนครไถหนาน คือ เขตอันผิงกับเขตซินหยิง เขตทั้งสองเคยเป็นที่ตั้งที่ว่าการเทศมณฑลซึ่งบัดนี้ใช้เป็นศูนย์ราชการ (administration center) เพื่อบริหารงานพัฒนาทั่วไป เช่น การศึกษา และการผังเมือง ส่วนในเขตที่เหลือมีสำนักงานเขต (district office) เพื่อให้พลเมืองสามารถเข้าถึงบริการของรัฐได้
อนึ่ง ถือกันว่า ไถหนานเป็นฐานอำนาจของพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า (民主進步黨; Mínzhǔ Jìnbù Dǎng) โดยเฉพาะในการเลือกตั้งระดับชาติ
เขตปกครอง
ไถหนานประกอบด้วยเขต 37 เขต ดังนี้
แผนที่ไถหนาน | ||||||
---|---|---|---|---|---|---|
อันติ้ง อันหนาน อันผิง ไป๋เหอ เป่ย์เหมิน ต้าเน่ย์ ตงชัน ตะวันออก กวันเมี่ยว กวันเถียน กุยเหริน โฮ่วปี้ เจียหลี่ เจียง-จฺวิน ลุ่ยเจี่ย ลุ่ยอิ๋ง หลงฉี หมาโต้ว หนานฮว่า หนานซี เหนือ ชีกู่ เหรินเต๋อ ชั่นฮว่า ชันชั่ง ใต้ ตะวันตก กลาง เซี่ยอิ๋ง ซีกั่ง ซินฮว่า ซินชื่อ ซิงอิ๋ง เสฺวเจี่ย หยันฉุ่ย ยฺวี่จิ่ง สั่วเจิ้น | ||||||
ที่ | ชื่อ | ประชากร (2010) |
พื้นที่ (ตารางกิโลเมตร) | |||
ไทย | จีน | พินอิน | โรมัน (อย่างเป็นทางการ) หรืออังกฤษ | |||
1 | กวันเถียน | 官田 | Guāntián | Guantian | 22,284 | 70.7953 |
2 | กวันเมี่ยว | 關廟 | Guānmiào | Guanmiao | 36,109 | 53.6413 |
3 | กุยเหริน | 歸仁 | Guīrén | Guiren | 65,816 | 55.7913 |
4 | เจียง-จฺวิน | 將軍 | Jiāngjūn | Jiangjun | 21,633 | 41.9796 |
5 | เจียหลี่ | 佳里 | Jiālǐ | Jiali | 59,290 | 38.9422 |
6 | ชันชั่ง | 山上 | Shānshàng | Shanshang | 7,912 | 27.8780 |
7 | ชั่นฮว่า | 善化 | Shànhuà | Shanhua | 43,443 | 55.309 |
8 | ชีกู่ | 七股 | Qīgǔ | Qigu | 24,857 | 110.1492 |
9 | ซิงอิ๋ง | 新營 | Xīnyíng | Xinying | 78,155 | 38.5386 |
10 | ซินชื่อ | 新市 | Xīnshì | Xinshi | 34,794 | 47.8096 |
11 | ซินฮว่า | 新化 | Xīnhuà | Xinhua | 44,116 | 62.0579 |
12 | ซีกั่ง | 西港 | Xīgǎng | Xigang | 25,242 | 33.7666 |
13 | เซี่ยอิ๋ง | 下營 | Xiàyíng | Xiaying | 26,165 | 33.5291 |
14 | ตงชัน | 東山 | Dōngshān | Dongshan | 23,182 | 124.91 |
15 | ตะวันตกกลาง | 中西 | Zhōngxī | West Central | 79,286 | 6.2600 |
16 | ตะวันออก | 東 | Dōng | East | 194,608 | 14.4281 |
17 | ต้าเน่ย์ | 大內 | Dànèi | Danei | 10,903 | 70.3125 |
18 | ใต้ | 南 | Nán | South | 126,293 | 27.2681 |
19 | เป่ย์เหมิน | 北門 | Běimén | Beimen | 12,504 | 44.1003 |
20 | ไป๋เหอ | 白河 | Báihé | Baihe | 31,514 | 126.4046 |
21 | ยฺวี่จิ่ง | 玉井 | Yùjǐng | Yujing | 15,442 | 76.366 |
22 | ลุ่ยเจี่ย | 六甲 | Liùjiǎ | Liujia | 23,787 | 64.5471 |
23 | ลุ่ยอิ๋ง | 柳營 | Liǔyíng | Liuying | 22,746 | 61.2929 |
24 | สั่วเจิ้น | 左鎮 | Zuǒzhèn | Zuozhen | 5,531 | 74.9025 |
25 | เสฺวเจี่ย | 學甲 | Xuéjiǎ | Xuejia | 27,943 | 53.9919 |
26 | หนานซี | 楠西 | Nánxī | Nanxī | 10,687 | 109.6316 |
27 | หนานฮว่า | 南化 | Nánhuà | Nanhua | 8,919 | 171.5198 |
28 | เหนือ | 北 | Běi | North | 131,939 | 10.4340 |
29 | หมาโต้ว | 麻豆 | Mádòu | Madou | 45,953 | 53.9744 |
30 | หย่งคัง | 永康 | Yǒngkāng | Yongkang | 217,194 | 40.275 |
31 | หยันฉุ่ย | 鹽水 | Yánshuǐ | Yanshui | 27,220 | 52.2455 |
32 | เหรินเต๋อ | 仁德 | Réndé | Rende | 69,228 | 50.7664 |
33 | หลงฉี | 龍崎 | Lóngqí | Longqi | 4,395 | 64.0814 |
34 | อันติ้ง | 安定 | Āndìng | Anding | 30,200 | 31.2700 |
35 | อันผิง | 安平 | Ānpíng | Anping | 62,520 | 11.0663 |
36 | อันหนาน | 安南 | Ānnán | Annan | 177,960 | 107.2016 |
37 | โฮ่วปี้ | 後壁 | Hòubì | Houbi | 26,002 | 71.2189 |
วัฒนธรรม
ไถหนานถือเป็นเมืองหลวงด้านวัฒนธรรมของไต้หวัน เพราะเป็นแหล่งโบราณสถาน ศาสนสถาน และภูมิปัญญาซึ่งเก่าแก่ที่สุดบนเกาะไต้หวัน นอกจากนี้ ไถหนานยังรักษาของกินอันเป็นเอกลักษณ์เอาไว้มาตลอดประวัติศาสตร์อันยาวนาน
ประเพณีชาวบ้าน
พลเมืองไถหนานจำนวนมากผูกพันใกล้ชิดกับวัดและเทพยดาจีน เช่น บิดามารดามักพาบุตรไปไหว้นางฟ้าเจ็ดดาว (七娘媽; Qīniángmā) ซึ่งเป็นเทวีพิทักษ์เด็ก และตามประเพณีแล้ว ชาวจีนถือว่า เด็กเป็นผู้ใหญ่เมื่ออายุได้สิบหกปี ชาวไถหนานซึ่งได้รับอิทธิพลจากคตินี้ก็จัดพิธีกรรมใหญ่โตให้แก่บุคคลทั้งหลายที่อายุสิบหกปี พิธีกรรมดังกล่าวมีขึ้นในวันที่เจ็ดเดือนเจ็ดของทุกปีตามปฏิทินจันทรคติ เรียกว่า "วันกำเนิดนางฟ้าเจ็ดดาว" (七娘媽的生日; Qīniángmā De Shēngrì) อนึ่ง ในอดีต ครอบครัวชาวไถหนานที่บุตรหลานทำงาน ณ ท่าเรือจะอาศัยวันดังกล่าวเรียกให้เริ่มเพิ่มค่าจ้างเด็กเสมอค่าจ้างผู้ใหญ่ด้วย
นักเรียนนักศึกษาเมื่อจะสอบก็มักไปขอพรจากราชาเหวินชัง (文昌帝君; Wénchāng Dìjūn) เทพแห่งการเล่าเรียน วัดเหวินชังซึ่งนิยมไปกันนั้นตั้งอยู่ ณ บริเวณซึ่งเดิมเป็นป้อมโปรวินเทีย นักเรียนที่กำลังจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยยังมักพากันไปไหว้เหวินชังในเดือนมิถุนายนอันเป็นเดือนก่อนสอบ และผู้ต้องการโชคด้านความรักหรือชีวิตสมรสมักไหว้อาวุโสใต้จันทร์ (月下老人; Yuèxià Lǎorén) ซึ่งเป็นกามเทพจีน ชาวไถหนานยังไหว้เจ้าเข้าวัดด้วยสาเหตุอีกหลายประการ เป็นต้นว่า ไปวิงวอนขอโชคลาภ ไปทำบุญวันเกิด หรือไปทำนายโชคชะตาราศี[14]
ส่วนพิธีมงคลสมรสในไถหนานนั้นเป็นที่ขึ้นชื่อเพราะขั้นตอนพิถีพิถัน ขบวนแห่อึงมี่ และหน้าที่ของบ่าวสาวในการเตรียมข้าวของสิบสองประการซึ่งสื่อความหมายต่าง ๆ ให้เป็นของหมั้นแก่กัน ผู้คนเชื่อว่า ความสลับซับซ้อนนี้เป็นเครื่องสำแดงความเป็นอารยชาติ[14]
ประชาชนในเขตอันผิงยังมักติดรูปสิงห์คาบดาบ (劍獅; jiàn shī) ไว้หน้าบ้านเพื่อไล่ผี ประเพณีนี้มีที่มาจากสมัยอาณาจักรตงหนิง เมื่อไพร่พลรบทัพจับศึกกลับมา มักนำโล่รูปหัวสิงห์แขวนไว้หน้าประตูบ้าน แล้วสอดดาบไว้ในปากสิงห์ ชาวบ้านทั่วไปเห็นก็จดจำมาทำบ้างด้วยเชื่อว่า เป็นสัญลักษณ์แห่งความปลอดภัย ส่วนที่นิยมปฏิบัติกันในท้องถิ่นนี้เพราะครั้งนั้นอันผิงเป็นฐานทัพเรือหลัก[15]
อาหารการกิน
อาหารไต้หวันชื่อดังหลายตำรับกำเนิดที่ไถหนาน และเนื่องจากไถหนานเป็นแหล่งอุตสาหกรรมน้ำตาลมาแต่โบราณกาล อาหารไถหนานจึงมักมีรสหวานกว่าอาหารในภูมิภาคอื่นของประเทศ ที่ขึ้นชื่อที่สุด คือ
- เกี๊ยวกุ้งเนื้อ (蝦仁肉丸; Xiārén Ròuwán; Shrimp and Meat Dumpling)
เป็นเกี๊ยวทำจากแป้งเหนียวหนึบ ใส่ไส้กุ้งและเนื้อโคหมักเปรี้ยว นึ่งสุกหรือทอดกรอบ รับประทานกับน้ำจิ้มเปรี้ยวหวาน - ขนมหีบศพ (棺材板; Guāncái Bǎn; Coffin Bread)
เป็นขนมรูปสี่เหลี่ยมคล้ายหีบศพ ทำจากแป้งชุบไข่ทอดกรอบ ตรงกลางเจาะเป็นช่องใส่ไส้ เช่น เนื้อโคพริกไทยดำ หรือไก่ผัดผงกะหรี่ - ข้าวมัน (油飯; Yóu Fàn; Oily Rice)
เป็นข้าวเหนียวผัดกับน้ำมันส้ม น้ำมันงา ซีอิ๊ว หมูฝอย เห็ด และกุ้งแห้ง - บะหมี่ปลาไหล (鳝鱼面; Shànyú Miàn; Eel Noodles)
เป็นบะหมี่ผัดกับปลาไหลนาทอดและหอมใหญ่ ปรุงรสเปรี้ยวหวาน - บะหมี่หาบ (擔仔麵; Dānzǐ Miàn; Tan-tsu Noodles)
เป็นบะหมี่น้ำ น้ำที่ใช้เป็นน้ำต้มกุ้ง บะหมี่ราดเต้าเจี้ยว น้ำส้มดำ และซีอิ๊ว โรยกระเทียมเจียวและผักชี แล้วใส่กุ้งและไข่พะโล้
อาหารที่โด่งดังในไถหนานหลายรายการทำจากปลานวลจันทร์ทะเล หรือที่ชาวไถหนานเรียก "ปลาราชสกุล" (國姓魚; Guóxìng Yú; Koxing's Fish) เพราะเชื่อว่า ชื่อปลานี้อย่างเป็นทางการในภาษาจีน คือ "ชือมู่-ยฺหวี" (虱目魚; Shīmù Yú) อันแปลว่า "ปลาตาเล็น" นั้น เจิ้ง เฉิงกง หรือบรรดาศักดิ์ว่า "เจ้าราชสกุล" (國姓爺; Guóxìngye; Koxinga) ตั้งให้[14]
อนึ่ง ภัตตาคารร้านรวงจำนวนมากในไถหนานยังมีความเป็นมาย้อนไปถึงสมัยที่ไถหนานเป็นเมืองขึ้นราชวงศ์ชิงและเมืองขึ้นญี่ปุ่นด้วย[14]
วัดวาอาราม
ไถหนานขึ้นชื่อเรื่องมีวัดมาก และบางแห่งเป็นชนิดซึ่งไม่ปรากฏที่ใดในเกาะไต้หวันอีก ศาสนสถานเลื่องชื่อนั้นเรียกรวมกันว่า "เจ็ดวัดแปดอาราม" (七寺八廟; qī sì bā miào; seven temples and eight shrines)[4] วัดเจ็ดแห่งนั้นเป็นพุทธสถาน ส่วนอารามแปดแห่งเป็นศาสนสถานเต๋า
วัดทั้งเจ็ด
ที่ | ชื่อ | ความหมาย | ปี/สมัย ที่สร้าง | ||
---|---|---|---|---|---|
ไทย | จีน | พินอิน | |||
1 | ไค-ยฺเหวียนซื่อ | 開元寺 | Kāiyuán Sì | วัดไค-ยฺเหวียน | 1690 |
2 | จู๋ซีซื่อ | 竹溪寺 | Zhúxī Sì | วัดเวฬุธาร | อาณาจักรตงหนิง |
3 | ฉงชิ่งซื่อ | 重慶寺 | Chóngqìng Sì | วัดสหมงคล | ราชวงศ์ชิง |
4 | ฝ่า-หฺวาซื่อ | 法華寺 | Fǎhuá Sì | วัดสัทธรรมปุณฑริก | อาณาจักรตงหนิง |
5 | หมีถัวซื่อ | 弥陀寺 | Mítuó Sì | วัดอมิตาภ | อาณาจักรตงหนิง |
6 | หลงชันซื่อ | 龍山寺 | Lóngshān Sì | วัดมังกรคีรี | ราชวงศ์ชิง |
7 | หฺวังปั้วซื่อ | 黃檗寺 | Huángbò Sì | วัดหฺวังปั้ว | ราชวงศ์ชิง |
อารามทั้งแปด
ที่ | ชื่อ | ความหมาย | เทวดาประจำ | ปี/สมัย ที่สร้าง | ||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|
ไทย | จีน | พินอิน | ไทย | จีน | พินอิน | |||
1 | ฉุ่ยเซียนกง | 水仙宮 | Shuǐxiān Gōng | เก๋งเทพวารี | เทพวารี | 水仙 | Shuǐxiān | ราชวงศ์ชิง |
2 | ซื่อเตี่ยนอู่เมี่ยว | 祀典武廟 | Sìdiǎn Wǔmiào | วิหารเทพสงคราม | กวัน ยฺหวี่ | 關羽 | Guān Yǔ | 1665 |
3 | ตง-ยฺเว่เตี้ยน | 東嶽殿 | Dōngyuè Diàn | ตำหนักผาบูรพา | มัจจุราช | 閻羅王 | Yánluówáng | 1673 |
4 | ต้าเทียนโฮ่วกง | 大天后宮 | Dàtiānhòu Gōng | เก๋งเจ้าแม่สวรรค์ | เจ้าแม่ทับทิม | 媽祖 | Māzǔ | อาณาจักรตงหนิง |
5 | ฝู่เฉิงหฺวังเมี่ยว | 府城隍廟 | Fǔchénghuáng Miào | อารามเสื้อเมือง | เสื้อเมืองไถหนาน | 府城隍 | Fǔchénghuáng | 1669 |
6 | เฟิงเฉินเมี่ยว | 風神廟 | Fēngshén Miào | อารามเทพวายุ | เทพวายุ | 風神 | Fēngshén | 1739 |
7 | เย่าหวังเมี่ยว | 藥王廟 | Yàowáng Miào | อารามเทพโอสถ | มหาเทพหวง | 黃大仙 | Huáng Dàxiān | 1685 |
8 | หลงหวังเมี่ยว | 龍王廟 | Lóngwáng Miào | อารามนาคราช | นาคราชทะเลตะวันออก | 東海龍王 | Dōnghǎi Lóngwáng | 1716 |
พิพิธภัณฑ์และอุทยาน
ไถหนานมีพิพิธภัณฑ์และอุทยานมากมายเพราะยังดำรงรักษาวัฒนธรรมหลายแขนงไว้เป็นอย่างดี ในบรรดาสถานที่เหล่านี้ ที่โด่งดังได้แก่
- ทัศนสถานแห่งชาติซีลาหย่า (西拉雅國家風景區; Xīlāyǎ Guójiā Fēngjǐng Qū; Siraya National Scenic Area) เป็นเขตรักษาทัศนียภาพ ครอบคลุมพื้นที่ 12 เขตของไถหนาน
- พิพิธภัณฑ์ฉีเหม่ย์ (奇美博物館; Qíměi Bówùguǎn; Chi Mei Museum) เป็นพิพิธภัณฑ์ด้านศิลปะ การดนตรี และประวัติศาสตร์ อยู่ที่เขตเหรินเต๋อ
- พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติว่าด้วยประวัติศาสตร์ไต้หวัน (國立臺灣歷史博物館; Guólì Táiwān Lìshǐ Bówùguǎn; National Museum of Taiwan History) อยู่ที่เขตอันหนาน
- พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติว่าด้วยวรรณกรรมไต้หวัน (國立臺灣文學館; Guólì Táiwān Wénxuéguǎn; National Museum of Taiwan Literature) ตั้งอยู่ในศาลากลางหลังเก่า
- อุทยานแห่งชาติไถเจียง (台江國家公園; Táijiāng Guójiā Gōngyuán; Taijiang National Park) กินพื้นที่ริมฝั่งส่วนใหญ่ของไถหนาน
สถานศึกษา
อุดมศึกษา
- มหาวิทยาลัยคุนชัน (崑山科技大學; Kūnshān Kējì Dàxué; Kun Shan University)
เป็นมหาวิทยาลัยเอกชน เดิมก่อตั้งเป็นวิทยาลัยเทคโนโลยีคุนชัน (Kun Shan Institute of Technology) เมื่อปี 1965 ก่อนยกฐานะขึ้นเป็นมหาวิทยาลัยเมื่อปี 2000 จัดการศึกษาด้านวิศวกรรมศาสตร์ นิเวศวิทยา เทคโนโลยีสารสนเทศ และบริหารธุรกิจ - มหาวิทยาลัยจั่งหรง (長榮大學; Zhǎngróng Dàxué; Chang Jung Christian University)
เป็นมหาวิทยาลัยเอกชนสังกัดคณะเพรสไบทีเรียนไต้หวัน (Presbyterian Church in Taiwan) จัดการศึกษาระดับปริญญาโทและปริญญาเอก กับทั้งส่งเสริมกิจการศาสนาในไต้หวัน - มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีไถหนาน (臺南應用科技大學; Táinán Yngyòng Kējì Dàxué; Tainan University of Technology)
เป็นมหาวิทยาลัยเอกชนจัดตั้งขึ้นเมื่อปี 1964 และจัดการศึกษาระดับปริญญาในสาขาดุริยางคศิลป์ ทัศนศิลป์ และวิทยาศาสตร์ประยุกต์ - มหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไต้หวันใต้ (南台科技大學; Nántái Kējì Dàxué; Southern Taiwan University of Science and Technology)
เป็นมหาวิทยาลัยเอกชนจัดตั้งขึ้นเมื่อปี 1969 - มหาวิทยาลัยศิลปะแห่งชาติไถหนาน (國立臺南藝術大學; Guólì Táinán Yìshù Dàxué; Tainan National University of the Arts)
เป็นมหาวิทยาลัยเอกชนจัดตั้งขึ้นเมื่อปี 1996 มีวัตถุประสงค์ผลิตบัณฑิตด้านศิลปะการแสดง ทัศนศิลป์ การออกแบบภาพและเสียง สถาปัตยกรรมศาสตร์ ศิลปะเชิงอนุรักษ์ ตลอดจนประวัติศาสตร์และการวิจารณ์ศิลปะ - มหาวิทยาลัยแห่งชาติเฉิงกง (國立成功大學; Guólì Chénggōng Dàxué; National Cheng Kung University)
เป็นมหาวิทยาลัยรัฐ เดิมจัดตั้งเป็นวิทยาลัยเพาะช่างไถหนาน (Tainan Technical College) เมื่อปี 1931 ต่อมายกฐานะเป็นมหาวิทยาลัยแห่งมณฑลเมื่อปี 1956 และเป็นมหาวิทยาลัยแห่งชาติตั้งแต่ปี 1971 ปัจจุบัน เป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยเลื่องชื่อของไต้หวัน และโด่งดังด้านวิศวกรรมศาสตร์[16] - มหาวิทยาลัยแห่งชาติไถหนาน (國立臺南大學; Guólì Táinán Dàxué; National University of Tainan)
เป็นมหาวิทยาลัยรัฐ เดิมจัดตั้งเป็นสถาบันผลิตครู (Institute of Teachers' In-service Education) เมื่อปี 1988 ต่อมายกฐานะเป็นมหาวิทยาลัยครูแห่งชาติไถหนาน (National Tainan Teachers College) เมื่อปี 1991 และเป็นมหาวิทยาลัยแห่งชาติไถหนานตั้งแต่ปี 2004 - วิทยาลัยเทววิทยาไถหนาน (臺南神學院; Táinán Shén Xuéyuàn; Tainan Theological College and Seminary)
เป็นสถานศึกษาเอกชน ทอมัส บาร์เคลย์ อนุศาสนาจารย์ชาวอังกฤษ จัดตั้งขึ้นเมื่อปี 1876[17]
มัธยมศึกษา
- โรงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายแห่งชาติซินเฟิง (國立新豐高級中學; Guólì Xīn Fēng Gāojí Zhōngxué; National Hsin-Feng Senior High School)
เป็นโรงเรียนรัฐจัดตั้งขึ้นเมื่อปี 1929 - โรงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายแห่งชาติไถหนานสอง (國立臺南第二高級中學; Guólì Táinán Dì Èr Gāojí Zhōngxué; National Tainan Second Senior High School)
เป็นโรงเรียนรัฐจัดตั้งขึ้นเมื่อปี 1914 ระหว่างที่ไต้หวันเป็นเมืองขึ้นญี่ปุ่น - โรงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายแห่งชาติไถหนานหนึ่ง (國立臺南第一高級中學; Guólì Táinán Dì Yī Gāojí Zhōngxué; National Tainan First Senior High School)
เป็นโรงเรียนรัฐจัดตั้งขึ้นเมื่อปี 1922 รับเฉพาะนักเรียนที่ได้คะแนนสูงสุดสามอันดับแรกในการทดสอบทางการศึกษาทั่วไป - โรงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายแห่งชาติเป่ย์เหมิน (國立北門高級中學; Guólì Běimén Gāojí Zhōngxué; National Pei Men Senior High School)
เป็นโรงเรียนรัฐจัดตั้งขึ้นเมื่อปี 1946 - โรงเรียนสตรีระดับมัธยมศึกษาตอนปลายแห่งชาติไถหนาน (國立臺南女子高級中學; Guólì Táinán Nǚzǐ Gāojí Zhōngxué; National Tainan Girls' Senior High School)
เป็นโรงเรียนรัฐจัดตั้งขึ้นเมื่อปี 1917
กีฬา
ไถหนานเป็นที่อยู่ของสิงห์ยูนิ-เพรสซิเดนต์เซเว่นอีเลฟเว่น (統一7-Eleven獅; Tǒngyī 7-Eleven shī; Uni-President 7-Eleven Lions) ทีมบาสเกตบอลมืออาชีพซึ่งมักแข่งขันที่สนามเบสบอลเทศบาลไถหนาน[18] นอกจากนี้ ไถหนานยังเป็นบ้านเกิดของนักเบสบอลผู้มีชื่อเสียงหลายคน เช่น หวัง เจี้ยนหมิน (王建民; Wáng Jiànmín; Wang Chien-Ming) กัว หงจื้อ (郭泓志; Guō Hóngzhì; Kuo Hong-Chih) กัว ไท่-ยฺเหวียน (郭泰源; Guō Tàiyuán; Kuo Tai-yuan) และหลิน เอิน-ยฺหวี่ (林恩宇; Lín Ēnyǔ; Lin En-yu)
หมายเหตุ
คำในภาษาพื้นเมือง
- อักษรจีนตัวเต็ม: 臺南市
- พินอินภาษาจีนกลาง: Táinán Shì
- ภาษาฮกเกี้ยน: Tâi-lâm Tshī
- ภาษาแคะถิ่นซื่อเซี่ยน: Tǒi-nǎm Sii
- ภาษาแคะถิ่นไห่ลู่: Toi-nam Shi+
อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น
Wikiwand in your browser!
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.