พระทุรคา
From Wikipedia, the free encyclopedia
พระทุรคา (สันสกฤต: दुर्गा, IAST: Durgā) เป็นเทวีองค์สำคัญในศาสนาฮินดู บูชาในฐานะปางหลักหนึ่งของมหาเทวี ถือว่าพระทุรคาเป็นเทวีแห่งการปกปักรักษา, พลังอำนาจ, ความเป็นมารดา, การทำลายล้าง และการสงคราม[5][6][7]
พระทุรคา | |
---|---|
เทวมารดา เทวีแห่งพลังอำนาจและการปกป้อง | |
จิตรกรรมยุคศตวรรษที่ 18 แสดงภาพพระทุรคาปราบมหิษาสูร | |
ชื่ออื่น | อาทิศักติ, มหิษาสูรมรรทินี, ภควตี, ภวนี, ชคทัมพา, กาตยายนี |
ชื่อในอักษรเทวนาครี | दुर्गा |
ส่วนเกี่ยวข้อง | เทวี, พระกาลี, มหาเทวี, ลัทธิศักติ, นวทุรคา, พระปารวตี,กัณเฑศวรี, พระแม่ชคัทธาตรี, เกาศิกี หรือ อัมพิกา ไวษโณเทวี |
ที่ประทับ | มณีทวีป, เขาไกรลาศ |
มนตร์ | โอม ศรี ทุรคายะ นะมะห์[1] |
อาวุธ | สุทรรศนจักร, หอยสังข์, ตรีศูล, คฑา, ธนู, ดาบ ขัณฑา, ปัทมะ |
วัน | วันศุกร์ |
พาหนะ | สิงโต, เสือ[2][3] |
คัมภีร์ | เทวีภควตปุราณะ, เทวีมหัตมยะ, กลิกปุราณะ, ศักติอุปนิษัท, ตันตระ |
เทศกาล | ทุรคาบูชา, ทุรคาษฏมี, นวราตรี, วิชัยทัศมี, บาตูกัมมา, ตีจ, กาลีบูชา |
เทพที่เทียบเท่าในความเชื่ออื่น | |
เทียบเท่าในมณีปุระ | ปันโตอีบี[4] |
ตำนานพระทุรคามีจุดศูนย์กลางอยู่ที่การรบของพระนางกับอสูรและพลังอำนาจชั่วร้ายที่เป็นภัยแก่ความสงบสันติ ความเจริญ และธรรม พระนางจึงเป็นภาพแทนของความดีชนะความชั่วร้าย[6][8] เชื่อกันว่าพระทุรคาจะปลดปล่อยความเกรี้ยวกราดของพระนาง (divine wrath) ต่อผู้ที่มีจิตใจชั่วร้าย หรือเพื่อการปลดปล่อยผู้ที่ถูกกดขี่ และนำมาสู่การทำลายล้างเพื่อสนับสนุนการสร้างสรรค์[9] พระทุรคาถูกมองว่าเป็นเทวมารดาและมักแสดงในรูปสตรีรูปงามขี่เสือหรือสิงโต มีมือจำนวนมากถืออาวุธครบมือ และมักแสดงพระนางมีชัยเหนืออสูร[3][10][11][12] มีการบูชาพระนางอย่างกว้างขวางในลัทธิศักติ ซึ่งเป็นนิกายในศาสนาฮินดูที่บูชาเทวสตรีเป็นหลัก และยังคงความสำคัญในนิกายอื่นเช่นลัทธิไศวะและลัทธิไวษณพ[8][13]
คัมภีร์เล่มที่สำคัญที่สุดของนิกายศักติ เทวมหัตมยะ และเทวีภควตปุราณะ สรรเสริญเทวีในฐานะผู้สร้างสรรค์จักรวาลแรกเริ่ม และในฐานะพรหมัน หรือความสัตย์จริงสูงสุด[14][15][16] พระทุรคาถือเป็นหนึ่งในห้าเทพเจ้าที่มีศักดิ์เทียมกันในคติปัญจยาตนบูชาของธรรมเนียมสมารตะ[17][18] มีการบูชาพระทุรคาเป็นพิเศษหลังการเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเทศกาลเช่นทุรคาบูชา, ทุรคาษฏมี, วิชัยทัศมี, ทีปาวลี และ นวราตรี[19][20]