คาร์เธจ
From Wikipedia, the free encyclopedia
คาร์เธจ (อังกฤษ: Carthage)[lower-alpha 1] เป็นนครโบราณทางตะวันออกของทะเลสาบตูนิสในบริเวณที่ปัจจุบันคือประเทศตูนิเซีย คาร์เธจเป็นหนึ่งในศูนย์กลางทางการค้าที่สำคัญที่สุดและเป็นหนึ่งในเมืองที่ร่ำรวยที่สุดในสมัยคลาสสิก โดยกลายเป็นเมืองหลวงของอารยธรรมคาร์เธจโบราณและคาร์เธจของโรมันในภายหลัง
คาร์เธจ * | |
---|---|
แหล่งมรดกโลกโดยยูเนสโก | |
ประเทศ | ตูนิเซีย |
ประเภท | มรดกทางวัฒนธรรม |
เกณฑ์พิจารณา | ii, iii, vi |
ประวัติการขึ้นทะเบียน | |
ขึ้นทะเบียน | 2522 (คณะกรรมการสมัยที่ 3) |
* ชื่อตามที่ได้ขึ้นทะเบียนในบัญชีแหล่งมรดกโลก ** ภูมิภาคที่จัดแบ่งโดยยูเนสโก |
บน: อาสนวิหารคาร์เธจเซนต์-ลุยส์, มัสยิดมะลิก อิบน์ อะนัส, กลาง: พระราชวังคาร์เธจ, ล่าง: โรงอาบน้ำอันโตนินุส, ทวิอัฒจันทร์คาร์เธจ (ทั้งหมดจากซ้ายไปขวา) | |
ที่ตั้ง | ตูนิเซีย |
---|---|
ภูมิภาค | เขตผู้ว่าการตูนิส |
พิกัด | 36.8528°N 10.3233°E / 36.8528; 10.3233 |
นครนี้พัฒนาจากอาณานิคมฟินิเชียไปเป็นเมืองหลวงจักรวรรดิพิวนิกที่กินพื้นที่ส่วนใหญ่ในเมดิเตอร์เรเนียนตะวันตกเฉียงใต้ในช่วงสหัสวรรษที่ 1 ก่อนคริสต์ศักราช[1] พระราชินีเอลิสซา อาลิสซา หรือดีโดในตำนานมาจากไทร์ ถือเป็นผู้ก่อตั้งนครนี้[2] แม้มีการตั้งคำถามถึงความเป็นประวัติศาสตร์ของพระนาง ในตำนาน ดีโดขอที่ดินจากชนเผ่าพื้นเมืองที่บอกพระนางว่าสามารถหาที่ดินได้มากที่สุดเท่าที่ผืนหนังโคครอบคลุมได้ พระนางจึงตัดผืนหนังโคเป็นเส้นแล้ววางขอบรอบของเมืองใหม่[3] เมื่อคาร์เธจเจริญรุ่งเรื่อง ทางหน่วยการเมืองจึงส่งชาวอาณานิคมในต่างประเทศรวมทั้งเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารไปปกครองอาณานิคมด้วย[4]
นครโบราณถูกทำลายในการล้อมคาร์เธจเกือบ 3 ปีโดยสาธารณรัฐโรมันในช่วงสงครามพิวนิกครั้งที่สามเมื่อ 146 ปีก่อน ค.ศ. ภายหลังจึงพัฒนาใหม่ในฐานะคาร์เธจของโรมัน ซึ่งกลายเป็นนครหลักของจักรวรรดิโรมันในมณฑลอัฟริกา ข้อคำถามการเสื่อมถอยและล่มสลายของคาร์เธจยังคงเป็นหัวข้ออภิปรายทางวรรณกรรม การเมือง ศิลปะ และปรัชญาทั้งในประวัติศาสตร์สมัยโบราณและสมัยใหม่[4][5]
คาร์เธจในสมัยโบราณตอนปลายถึงสมัยกลางยังคงมีบทบาทสำคัญทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจในสมัยไบแซนไทน์ นครนี้ถูกปล้นทรัพย์และทำลายโดยกองทัพอุมัยยะฮ์หลังยุทธการที่คาร์เธจใน ค.ศ. 698 เพื่อไม่ให้จักรวรรดิไบแซนไทน์เข้าพิชิตอีกครั้ง[6] โดยยังอยู่ภายใต้การคอรงครองใน่ชวงสมัยมุสลิม[7] และฝ่ายมุสลิมใช้เป็นป้อมจนกระทั่งสมัยราชวงศ์ฮัฟศิดที่พวกครูเสดเข้ายึดครองและสังหารหมู่พลเมืองในช่วงสงครามครูเสดครั้งที่ 8 ราชวงศ์ฮัฟศิดจึตัดสินใจทำลายแนวป้องกันของตน เพื่อไม่ให้นครนี้ถูกใช้เป็นฐานทัพจากฝ่ายที่ไม่เป็นมิตรอีกต่อไป[8] นครนี้ยังคงทำหน้าที่เป็นอิปิสโคปัลซี (episcopal see)
อำนาจภูมิภาคเคลื่อนย้ายไปยังอัลก็อยเราะวานและมะดีนะฮ์แห่งตูนิสในสมัยกลางจนกระทั่งต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 เมื่อเริ่มมีการพัฒนาไปเป็นชานเมืองชายฝั่งของตูนิส ผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของเทศบาลคาร์เธจใน ค.ศ. 1919 มีการสำรวจแหล่งโบราณคดีครั้งแรกใน ค.ศ. 1830 โดย Christian Tuxen Falbe กงสุลชาวเดนมาร์ก จากนั้นจึงมีการขุดค้นในครึ่งหลังของคริสต์ศตวรรษที่ 19 โดย Charles Ernest Beulé กับ Alfred Louis Delattre พิพิธภัณฑ์แห่งชาติคาร์เธจได้รับการสถาปนาใน ค.ศ. 1875 โดยพระคาร์ดินัล Charles Lavigerie การขุดค้นโดยนักโบราณคดีชาวฝรั่งเศสในคริสต์ทศวรรษ 1920 ในตอนแรกได้รับความสนใจเป็นพิเศษ เนื่องจากมีหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับการบูชายัญเด็ก ทำให้มีความขัดแย้งกันในหมู่นักวิชาการอย่างมากว่าคาร์เธจสมัยโบราณมีการบูชายัญเด็กหรือไม่[9][10] พื้นที่โบราณสถานเป็นแหล่งมรดกโลกของยูเนสโก[11]