Loading AI tools
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ตัวแปรการผลิต (อังกฤษ: Factors of production) ทรัพยากร หรือวัตถุขาเข้า ในเชิงเศรษฐศาสตร์หมายถึงสิ่งที่ใช้ในกระบวนการผลิตเพื่อให้ได้มาซึ่งวัตถุขาออก – เช่น สินค้าสำเร็จรูปหรือบริการต่าง ๆ โดยภายใต้ความสัมพันธ์ที่เรียกว่าฟังก์ชันการผลิตนั้น ปริมาณของวัตถุขาเข้าที่นำมาใช้ ทำหน้าที่เป็นตัวชี้วัดถึงปริมาณวัตถุขาออก ตัวแปรการผลิตหรือทรัพยากรพื้นฐานมีอยู่ 3 รายการ ได้แก่ ที่ดิน แรงงาน และทุน ตัวแปรเหล่านี้มักเรียกกันว่า “สินค้าชั้นกลาง หรือบริการชั้นกลาง” เพื่อให้มีความหมายแตกต่างจากสินค้าหรือบริการที่ผู้บริโภคซื้อหา ที่มักเรียกกันว่า “สินค้าอุปโภคบริโภค”
นอกจากนี้ตัวแปรการผลิตยังแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ตัวแปรการผลิตขั้นปฐมภูมิ และทุติยภูมิ ตัวแปรขั้นปฐมภูมิได้แก่ที่ดิน แรงงาน และทุน ส่วนวัตถุดิบและพลังงานนับเป็นตัวแปรขั้นทุติยภูมิในเศรษฐศาสตร์คลาสสิค เนื่องจากสิ่งเหล่านี้ถือเป็นผลิตผลจากที่ดิน แรงงาน และทุนอีกทอดหนึ่ง ดังนั้นตัวแปรขั้นปฐมภูมิถือเป็นเป็นปัจจัยที่สนับสนุนการผลิต แต่มิได้เป็นส่วนหนึ่งของการผลิต (เมื่อเทียบกับวัตถุดิบ) ตลอดจนมิได้ถูกแปรรูปอย่างมีนัยยะสำคัญในกระบวนการผลิตดังกล่าว (เมื่อเทียบกับพลังงานที่ถูกใช้ไปเพื่อขับเคลื่อนเครื่องจักร) ที่ดินมิได้หมายถึงทำเลที่ใช้ในการผลิตเท่านั้น แต่รวมถึงทรัพยากรธรรมชาติที่ปรากฏอยู่ทั้งบนดินและใต้ดิน นิยามภายหลังของตัวแปรการผลิตยังมีการแยกข้อแตกต่างระหว่างทุนมนุษย์ (องค์ความรู้สะสมในพลังแรงงาน) ออกจากตัวแรงงานอีกด้วย[1] ในบางกรณีกิจการวิสาหกิจอาจนับเป็นตัวแปรการผลิต[2] ส่วนความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีบางกรณีก็ถือเป็นตัวแปรการผลิตเช่นกัน[3] เพราะฉะนั้น จำนวนและนิยามของตัวแปรการผลิตอาจมีแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับความมุ่งหมายของทฤษฎี หลักฐานเชิงประจักษ์ หรือสำนักคิดทางเศรษฐศาสตร์[4]
นักเศรษฐศาสตร์สายนีโอคลาสสิค ให้การตีความในเชิงเศรษฐศาสตร์คลาสสิคที่เป็นกระแสหลักในปัจจุบันว่า คำว่า “ตัวแปร” ไม่เคยปรากฏมาก่อนจนกระทั่งยุคคลาสสิคสิ้นสุดลง ตลอดจนไม่พบบรรญัติศัพท์นี้ในวรรณกรรมจากยุคดังกล่าวเช่นกัน[5]
ดังนั้น เมื่อจะต้องตัดสินว่าตัวแปรใดเป็นตัวแปรที่สำคัญที่สุด นิยามของตัวแปรการผลิตจากสำนักคิดต่าง ๆ จึงมีลักษณะตายตัวในตัวเอง
ฟิซิโอแครต (มาจากคำศัพท์กรีกโบราณ “ผู้บริบาลธรรมชาติ”) เป็นทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ที่พัฒนาขึ้นมาในยุคเรืองปัญญาแห่งศตวรรษที่ 18 โดยกลุ่มนักเศรษฐศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ซึ่งเชื่อว่าความมั่งคั่งของประชาชาตินั้นล้วนขึ้นอยู่กับมูลค่าของ “ที่ดินการเกษตร” หรือ “การพัฒนาที่ดิน” และเน้นว่าควรมีการกำหนดราคาผลผลิตทางการเกษตรในระดับสูง
เศรษฐศาสตร์คลาสสิคแบบอดัม สมิธ เดวิด ริคาร์โด และนักเศรษฐศาสตร์อื่น ๆ นั้น นิยามตัวแปรการผลิตโดยเน้นไปที่ทรัพยากรเชิงกายภาพ และถกกันในแง่การกระจายตัวของต้นทุน ตลอดจนมูลค่าของตัวแปรเหล่านั้น สมิธและริคาร์โดมักอ้างถึง “องค์ประกอบของราคา”[6] ในฐานะต้นทุนของสิ่งต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
นักเศรษฐศาสตร์สายคลาสสิคมักใช้คำว่า “ทุน” เมื่อเอ่ยถึงเงิน อย่างไรก็ดี เงินไม่นับเป็นตัวแปรการผลิตโดยนัยยะของทุน เนื่องจากเงินมิได้ถูกนำไปแปรรูปเป็นสินค้าอื่นโดยตรง[7] ผลตอบแทนที่ได้จากเงินกู้ยืมเรียกว่าดอกเบี้ย ในขณะที่ผลตอบแทนที่เจ้าของกิจการได้รับจากทุน (เช่นเครื่องมือ) นั้น เรียกว่ากำไร (ดูเพิ่มเติมเรื่อง ผลตอบแทน)
มากซ์มีทัศนะว่า “ตัวแปรพื้นฐานของกระบวนการแรงงาน” หรือ “พลังการผลิต” นั้น ได้แก่
“วัตถุทางแรงงาน” หมายถึงทรัพยากรธรรมชาติและวัตถุดิบ รวมถึงที่ดิน ในขณะที่ “เครื่องมือทางแรงงาน” คือ เครื่องไม้เครื่องมือในนัยยะโดยกว้าง ซึ่งรวมถึงอาคารโรงงาน โครงสร้างพื้นฐาน และวัตถุอื่น ๆ ที่ทำจากมนุษย์ อันมีส่วนช่วยในการผลิตสินค้าและบริการของแรงงาน
ทัศนะนี้ดูคล้ายกับแนวคิดของเศรษฐศาสตร์สายคลาสสิค แต่สิ่งที่ไม่เหมือนกับสายคลาสสิคและสายร่วมสมัยอื่น ๆ นั้น อยู่ที่ว่า มากซ์มีการแยกประเภทอย่างชัดเจนระหว่าง แรงงานที่ได้ลงแรงใช้ไป กับ “พลังแรงงาน” ของแต่ละบุคคล หรือที่เรียกกันว่า ความสามารถในการทำงาน ดังนั้น แรงงานที่ได้ลงแรงใช้ไปจึงมีความหมายสมัยใหม่ว่าเป็น “ความอุตสาหะ” หรือ “บริการทางแรงงาน” ในขณะที่พลังแรงงานหมายถึง ตัวแปรสต็อก ซึ่งสามารถนำมาสร้างตัวแปรไหลเวียนของแรงงานอีกทอดหนึ่ง
แรงงาน (มิใช่พลังแรงงาน) เป็นตัวแปรการผลิตที่มีความสำคัญสำหรับมากซ์ตลอดจนพื้นฐานทฤษฎีมูลค่าแรงงานของมากซ์ การจ้างพลังแรงงานซึ่งมีการจัดการและการกำกับดูแลอย่างมีระบบ (มักดูแลโดย “ทีมผู้บริหาร”) จะทำให้ได้เพียงผลลัพธ์ในรูปการผลิตสินค้าและบริการ (“มูลค่าใช้สอย") เท่านั้น ในขณะที่ปริมาณแรงงานที่ได้ลงแรงใช้ไปอย่างแท้จริงนั้น ขึ้นอยู่กับนัยยะความสำคัญของข้อขัดแย้ง หรือข้อตึงเครียด ในตัวกระบวนการทางแรงงานเอง
เศรษฐศาสตร์นีโอคลาสสิค เป็นหนึ่งสาขาย่อยของเศรษฐศาสตร์กระแสหลัก มีแนวคิดตั้งต้นเรื่องตัวแปรการผลิตที่ประกอบไปด้วยที่ดิน แรงงาน และทุน เหมือนกับเศรษฐศาสตร์สายคลาสสิค อย่างไรก็ดี แนวคิดสายนีโอคลาสสิคมีการพัฒนาทฤษฎีมูลค่า และทฤษฎีการกระจายตัว ที่เป็นทางเลือกอีกด้วย นักเศรษฐศาสตร์สายนี้ได้เสนอจำนวนตัวแปรการผลิตเพิ่มเติมอีกจำนวนหนึ่ง (ดูเพิ่มเติมด้านล่าง)
ข้อแตกต่างสำคัญระหว่างเศรษฐศาสตร์จุลภาคสายคลาสสิคและสายนีโอคลาสสิค มีดังต่อไปนี้
เศรษฐศาสตร์นิเวศวิทยา เป็นสำนักทางเลือกของสำนักนีโอคลาสสิค ซึ่งมีการบูรณาการกฏข้อแรกและข้อสองจากกฏของอุณหพลศาสตร์ (ดูเพิ่มเติมที่ กฎของอุณหพลศาสตร์) เพื่อนำมาเข้าสูตรระบบเศรษฐกิจที่สะท้อนความเป็นจริงยิ่งขึ้น ในขณะที่ตระหนักถึงข้อจำกัดพื้นฐานทางกายภาพไปพร้อม ๆ กัน และนอกเหนือจากหลักคิดเรื่องประสิทธิภาพในการจัดสรรของเศรษฐศาสตร์สายนีโอคลาสสิคแล้วนั้น สำนักนิเวศวิทยายังเน้นถึงความยั่งยืนในขนาดการกระจายตัว ตลอดจนความเป็นธรรมของการกระจายตัวอีกด้วย ความแตกต่างอีกประการของเศรษฐศาสตร์สำนักนิเวศวิทยาและทฤษฎีสายนีโอคลาสสิค อยู่ที่นิยามของตัวแปรการผลิต ซึ่งนำมาใช้ทดแทนกันดังต่อไปนี้[10][11]
ความสำคัญอีกประการของเศรษฐศาสตร์เชิงนิเวศวิทยา คือแนวคิดที่ระบุว่า: ณ อัตราสูงสุดที่สสารและพลังงานมีการดูดซึมอย่างยั่งยืนนั้น หนทางเดียวที่จะเพิ่มผลิตภาพทางการผลิต คือการเพิ่มภูมิปัญญาในการออกแบบ แนวคิดนี้เป็นแกนกลางของทฤษฎีเศรษฐศาสตร์สำนักนิเวศวิทยา ซึ่งเรียกว่า การเติบโตที่ไม่รู้จบย่อมเป็นไปไม่ได้[10]
ในครึ่งแรกของศตวรรษที่ 20 นักเขียนบางท่านมีการเพิ่มเรื่องของระบบการจัดการ หรือวิสาหกิจ (หรือการประกอบการ) ในฐานะตัวแปรการผลิตลำดับที่ 4[12] และกลายเป็นมาตรฐานการสังเคราะห์ของเศรษฐศาสตร์สายนีโอคลาสสิคยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ยกตัวอย่างเช่น จอห์น บี. คลาร์ก ได้เห็นถึงฟังก์ชันร่วมในการผลิตและการกระจายตัว จากกิจกรรมของผู้ประกอบการ; แฟรงก์ ไนท์ กล่าวถึงผู้จัดการผู้ซึ่งประสานประโยชน์ของกิจการโดยใช้เงินส่วนตัว (ทุนทางการเงิน) และทุนทางการเงินของผู้อื่น ในทางกลับกัน นักเศรษฐศาสตร์จำนวนมากถือว่า “ทุนมนุษย์” (การศึกษาและทักษะ) เป็นตัวแปรการผลิตลำดับที่ 4 โดยอธิบายว่าทักษะการประกอบการนั้นรูปแบบหนึ่งของทุนมนุษย์ นอกจากนี้ยังมีนักเศรษฐศาสตร์อีกจำนวนหนึ่งชี้ว่า ทุนทางปัญญา ก็เป็นตัวแปรตัวที่ 4 และไม่นานมานี้ ก็มีผู้กล่าวถึง “ทุนทางสังคม” ว่าเป็นอีกหนึ่งตัวแปร ในฐานะที่มีคุณูปการในการผลิตสินค้าและบริการเช่นกัน
ภายใต้เศรษฐกิจตลาด ผู้ประกอบการวิสาหกิจทำหน้าที่ประสานตัวแปรที่ดิน แรงงาน ทุน และตัวแปรอื่น ๆ เข้าด้วยกันเพื่อทำกำไร ผู้ประกอบการเหล่านี้มักถูกมองว่าเป็นนักนวัตกรรม ผู้ซึ่งคิดค้นสินค้าใหม่ ตลอดจนพัฒนาหนทางการผลิตใหม่ ๆ ส่วนเศรษฐกิจแบบวางแผนนั้น ผู้วางแผนส่วนกลางเป็นผู้ตัดสินใจว่าควรจะนำที่ดิน แรงงาน และทุน มาใช้ประโยชน์อย่างไร เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่พลเมืองทั้งหมด แต่มีสิ่งที่เหมือนกับผู้ประกอบการภายใต้เศรษฐกิจตลาดในข้อที่ว่า ประโยชน์ที่พึงได้รับทั้งหลายอาจตกอยู่กับผู้วางแผนดังกล่าวเสียเอง
นักสังคมวิทยา ชาร์ลส์ ไรท์ มิลส์ มีการอ้างถึง “ผู้ประกอบการหน้าใหม่” ผู้ซึ่งต้องประสานงานทั้งกับองค์กรเอกชนและองค์กรรัฐ ในรูปแบบใหม่ที่มีความแตกต่างจากเดิม[13] ส่วนท่านอื่น (เช่นผู้ซึ่งยึดถือแนวทางทฤษฎีทางเลือกสาธารณะ) มีการกล่าวถึงคำว่า “นักธุรกิจการเมือง” โดยยกตัวอย่าง บรรดานักการเมือง และผู้เล่นรายอื่น ๆ
ข้อวิพากษ์ในแนวคิดการใช้วิสาหกิจในฐานะตัวแปรที่ 4 นั้น ส่วนใหญ่มักตกอยู่กับหัวข้อเรื่องผลประโยชน์ที่ผู้ประกอบการพึงมีพึงได้ แต่ประเด็นที่แท้จริงกลับเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ว่า ผู้ประกอบการสามารถดำเนินงานในองค์กรของตนเอง (ไม่ว่าจะอยู่ภายใต้กฎของตลาด กฎของเศรษฐกิจแบบวางแผน ระเบียบแห่งรัฐ และอิทธิพลของรัฐ) เพื่อรับใช้สังคมได้ดีเพียงใด ซึ่งประเด็นเหล่านี้มักมีความสำคัญเชิงเปรียบเทียบต่อภาวะความล้มเหลวของตลาด และความล้มเหลวของรัฐ ด้วยเช่นกัน
ในหนังสือ บัญชีแห่งมโนทัศน์ คำว่า “ความมั่งคั่งสัมบูรณ์” เป็นบรรญัติศัพท์ใหม่ มีข้ออธิบายว่าแยกตัวออกมาจากสินทรัพย์ เพื่อบวกกลับเข้าไปในตัวแปรการผลิตที่วิจัยขึ้นมาใหม่ของระบบทุนนิยม ดังนั้นคำว่าสินทรัพย์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทุนนั้น จึงถูกแยกออกเป็น 2 ส่วนคือ สินทรัพย์ และความมั่งคั่งสัมบูรณ์ วิสาหกิจจึงแยกประเภทได้เป็นวิสาหกิจที่พึ่งพาเครือข่าย และวิสาหกิจที่พึ่งพาการรังสรรค์ โดยฟังก์ชันของการพึ่งพาเครือข่ายนั้นอยู่ในกรอบนิยามของสินทรัพย์ ในขณะที่ฟังก์ชันของการพึ่งพาการรังสรรค์อยู่ในกรอบนิยามของความมั่งคั่งสัมบูรณ์[14]
ไอเรสและวารร์ (2010) นับเป็นหนึ่งในนักเศรษฐศาสตร์ที่วิพากษ์ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์แบบดั้งเดิม ซึ่งมองข้ามบทบาทของทรัพยากรธรรมชาติ ตลอดจนมองข้ามผลกระทบจากการเสื่อมลงของทุนทรัพยากร[9] (ดูเพิ่มเติมเรื่อง เศรษฐศาสตร์ทรัพยากรธรรมชาติ)
พลังงานมักถูกมองว่าเป็นตัวแปรการผลิตในตัวเอง เนื่องจากมีความยืดหยุ่นมากกว่าแรงงาน[15] ทั้งนี้ การวิเคราะห์เชิงดุลยภาพระยะยาว ยังได้สนับสนุนผลลัพธ์ซึ่งได้จากการคำนวณฟังก์ชันการผลิตแบบก้าวกระโดดเชิงเส้นตรง (LINEX)[16]
คลิฟฟอร์ด เอช. ดักลาส เห็นแย้งกับนักเศรษฐศาสตร์สำนักคลาสสิค ผู้ซึ่งยอมรับเฉพาะตัวแปรการผลิตว่ามีเพียง 3 ประการ แม้ดักลาสมิได้ปฏิเสธถึงบทบาทของตัวแปรการผลิตเหล่านี้ แต่ก็แย้งว่า “มรดกทางวัฒนธรรม” ควรนับเป็นตัวแปรขั้นปฐมภูมิเช่นกัน ดักลาสนิยามมรดกทางวัฒนธรรมว่าเป็นองค์ความรู้ เทคนิค และกระบวนการที่สะสมต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น ซึ่งย้อนหลังกลับไปได้ถึงต้นกำเนิดแห่งอารยธรรม (หรือเรียกกันว่า ความก้าวหน้าทางประวัติศาสตร์) ด้วยเหตุนี้ มนุษยชาติจึงไม่มีความจำเป็นต้อง “คิดค้นวงล้อใหม่” ตลอดเวลา ดักลาสกล่าวว่า “เราเป็นเพียงผู้ดูแลมรดกทางวัฒนธรรมเหล่านี้ และด้วยนิยามนั้นเอง มรดกทางวัฒนธรรมนับเป็นทรัพย์สินของเราทุกคนโดยไม่มีข้อยกเว้น”[17] ในขณะที่อดัม สมิธ เดวิด ริคาร์โด และคาร์ล มากซ์ ต่างอ้างว่า แรงงานเป็นผู้สรรค์สร้างมูลค่าทั้งปวง เพียงเท่านั้น แม้ดักลาสมิได้ปฏิเสธว่าต้นทุนทั้งปวงล้วนเกี่ยวโยงกับค่าใช้จ่ายทางแรงงานไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง (ไม่ว่าจะเป็นอดีตหรือปัจจุบัน) แต่ดักลาสปฏิเสธว่าแรงงานในโลกยุคปัจจุบันนั้นเป็นเพียงตัวแปรเดียวที่ก่อให้เกิดความมั่งคั่ง ดักลาสวิเคราะห์อย่างระมัดระวังเพื่อระบุข้อแตกต่างระหว่างมูลค่า ต้นทุน และราคา และกล่าวอ้างว่าตัวแปรหนึ่งที่มักทำให้เกิดความเข้าใจผิดในเรื่องธรรมชาติและฟังก์ชันของเงินตรา คือการที่นักเศรษฐศาสตร์ทั้งหลายมักเสพย์ติดในประเด็นข้อที่ว่า มูลค่ามีความสัมพันธ์กับการกำหนดราคาและรายได้[18] ในอีกแง่มุมนั้น แม้ดักลาสยอมรับในเรื่อง “มูลค่าใช้สอย” ในฐานะที่เป็นทฤษฎีมูลค่าที่ชอบธรรม แต่ดักลาสแย้งว่ามูลค่านั้นเป็นเพียงดุลยพินิจ และไม่สามารถวัดได้ในฐานะวัตถุ
ปีเตอร์ โครพอตกิน เสนอว่าทรัพย์สินทางปัญญาควรถือกรรมสิทธิ์โดยส่วนรวม เนื่องจากชิ้นงานเหล่านี้เป็นผลมาจากการทำงานร่วมกันเป็นหมู่คณะเพื่อรังสรรค์ขึ้น โครพอตกินมิได้แย้งว่าสินค้าที่แรงงานเป็นผู้ลงมือผลิตควรเป็นกรรมสิทธิ์ของแรงงานเอง แต่ชี้ให้เห็นว่าสินค้าแต่ละชิ้นล้วนมาจากน้ำพักน้ำแรงของปัจเจกแต่ละคน เนื่องจากปัจเจกเหล่านั้นย่อมต้องพึ่งพาภูมิปัญญาและแรงงานกายภาพของผู้ที่ได้ลงแรงก่อนหน้า เช่นเดียวกับผู้ที่สร้างสรรค์โลกทั้งใบก่อนหน้าห้วงเวลาดังกล่าว ด้วยเหตุนี้เอง โคพอตกินจึงประกาศว่ามนุษย์ทุกคนต่างมีส่วนคุณูปการต่อผลิตภัณฑ์ทางสังคมโดยรวม [19] โคพอตกินยังกล่าวต่อไปว่า อุปสรรคสำคัญที่ขัดขวางมิให้มนุษย์อ้างในสิทธิ์ดังกล่าว คือกลไกของรัฐที่พร้อมปกป้องทรัพย์สินเอกชนด้วยความรุนแรง นอกจากนี้โคพอตกินยังได้เปรียบเทียบความสัมพันธ์นี้กับระบบศักดินา และสรุปว่า แม้รูปแบบการปกป้องเช่นนี้จะเปลี่ยนแปลงไป แต่หัวใจสำคัญของความสัมพันธ์ระหว่างผู้ที่ได้รับการปกป้องในทรัพย์สินกับผู้ไร้ที่ดินนั้น เหมือนกันสนิทกับความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าศักดินาและไพร่ติดที่ดิน[19]
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.