เดอะลาสต์ออฟอัส
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เดอะลาสต์ออฟอัส (อังกฤษ: The Last of Us) เป็นเกมแอ็กชันผจญภัยสยองขวัญเอาชีวิตรอด พัฒนาโดยนอตีด็อก และจัดจำหน่ายโดยโซนี่อินเตอร์แอ็กทีฟเอ็นเตอร์เทนเมนต์ ผู้เล่นได้ควบคุมโจล ผู้ลักลอบขนของที่ได้รับภารกิจในการคุ้มกันเอลลี เด็กสาววัยรุ่น ข้ามประเทศสหรัฐอเมริกาหลังเกิดเหตุการณ์หายนะ เกมดำเนินในมุมมองบุคคลที่สาม โดยใช้ปืน อาวุธดัดแปลง และการลอบเร้น เพื่อรับมือกับมนุษย์ที่เป็นศัตรูและสิ่งมีชีวิตกินเนื้อคนที่ติดเชื้อจากเห็ดรากลายพันธุ์ นอกจากนี้ยังมีโหมดผู้เล่นหลายคนออนไลน์ที่รองรับผู้เล่นสูงสุด 8 คน ในรูปแบบการเล่นร่วมมือหรือแข่งขันกัน
เดอะลาสต์ออฟอัส | |
---|---|
![]() ภาพหน้าปกของวิดีโอเกมเดอะลาสต์ออฟอัส แสดงตัวละครหลัก คือโจล (ซ้าย) และเอลลี (ขวา) | |
ผู้พัฒนา | นอตีด็อก |
ผู้จัดจำหน่าย | โซนี่อินเตอร์แอ็กทีฟเอ็นเตอร์เทนเมนต์ |
กำกับ |
|
ออกแบบ | จาค็อบ มินคอฟ |
โปรแกรมเมอร์ |
|
ศิลปิน |
|
เขียนบท | นีล ดรักแมนน์ |
แต่งเพลง | กุสตาโว ซันตาโอลายา |
ชุด | เดอะลาสต์ออฟอัส |
เครื่องเล่น | |
วางจำหน่าย | เพลย์สเตชัน 3
|
แนว | แอ็กชันผจญภัย |
รูปแบบ | ผู้เล่นเดี่ยว, หลายผู้เล่น |
เดอะลาสต์ออฟอัสเริ่มต้นการพัฒนาในปี 2009 หลังจากการวางจำหน่ายอันชาร์ทิด 2: อะมังทีฟส์ ซึ่งเป็นผลงานก่อนหน้าของนอตีด็อก โดยสตูดิโอได้แบ่งทีมออกเป็นสองกลุ่มเป็นครั้งแรก ทีมหนึ่งพัฒนาเดอะลาสต์ออฟอัส ขณะที่อีกทีมดูแลอันชาร์ทิด 3: เดรกส์ดีเซปชัน ทรอย เบเกอร์ และแอชลีย์ จอห์นสัน รับบทเป็นโจลและเอลลีตามลำดับ ผ่านการพากย์เสียงและเทคโนโลยีจับการเคลื่อนไหว และพัฒนาตัวละครและเนื้อเรื่องร่วมกับนีล ดรักแมนน์ ผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ โดยมีแกนหลักเป็นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างโจลกับเอลลี องค์ประกอบอื่น ๆ ถูกสร้างขึ้นโดยอิงจากความสัมพันธ์นี้ ดนตรีประกอบของเกมแต่งและบรรเลงโดยกุสตาโว ซานตาโอลาญา
เดอะลาสต์ออฟอัส วางจำหน่ายบนเครื่องเพลย์สเตชัน 3 ในเดือนมิถุนายน 2013 และได้รับคำชื่นชมอย่างกว้างขวางในด้านเนื้อเรื่อง รูปแบบการเล่น งานภาพ การออกแบบเสียง ดนตรีประกอบ การสร้างตัวละคร การนำเสนอความรุนแรง และการพรรณนาตัวละครหญิง เกมนี้กลายเป็นหนึ่งในวิดีโอเกมที่ขายดีที่สุด โดยมียอดขายกว่า 1.3 ล้านชุดภายในสัปดาห์แรก และทะลุ 17 ล้านชุดภายในเดือนเมษายน 2018 นอกจากนี้ยังคว้ารางวัลมากมายช่วงสิ้นปี รวมถึงรางวัลเกมแห่งปีจากสื่อเกมและงานประกาศรางวัลหลายแห่ง เดอะลาสต์ออฟอัสถูกยกให้เป็นหนึ่งในเกมที่มีความสำคัญที่สุดของคอนโซลยุคที่เจ็ด และเป็นหนึ่งในวิดีโอเกมที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่เคยมีมา
นอตีด็อกปล่อยเนื้อหาดาวน์โหลดเพิ่มเติมหลายรายการ โดยเดอะลาสต์ออฟอัส: เลฟต์บีไฮนด์ เพิ่มโหมดเล่นคนเดียวที่เล่าเรื่องราวของเอลลีและไรลีย์ เพื่อนสนิทของเธอ เดอะลาสต์ออฟอัส รีมาสเตอร์ วางจำหน่ายบนเพลย์สเตชัน 4 ในเดือนกรกฎาคม 2014 ส่วนเวอร์ชันรีเมก เดอะลาสต์ออฟอัส พาร์ต I วางจำหน่ายบนเพลย์สเตชัน 5 ในเดือนกันยายน 2022 และบนวินโดวส์ ในเดือนมีนาคม 2023 ภาคต่อ เดอะลาสต์ออฟอัส พาร์ต II วางจำหน่ายในปี 2020 เดอะลาสต์ออฟอัสสื่ออื่น ๆ ได้แก่ หนังสือการ์ตูนในปี 2013 การแสดงสดในปี 2014 ละครโทรทัศน์โดยเอชบีโอ ในปี 2023 และเกมกระดานโดยธีมบอร์น ในปี 2024
ระบบเกม
สรุป
มุมมอง
เดอะลาสต์ออฟอัสเป็นเกมแนวแอ็กชันผจญภัยที่เล่นในมุมมองบุคคลที่สาม[1] ผู้เล่นจะเดินทางผ่านสภาพแวดล้อมหลังหายนะ เช่น เมือง อาคาร ป่าไม้ และท่อระบายน้ำ เพื่อดำเนินเนื้อเรื่องผู้เล่นสามารถใช้อาวุธปืน อาวุธดัดแปลง การต่อสู้ระยะประชิด และการลอบเร้น เพื่อต่อสู้กับมนุษย์ที่เป็นศัตรูและสิ่งมีชีวิตกินเนื้อคนที่ติดเชื้อจากเชื้อรา Cordyceps กลายพันธุ์ตลอดเกม ผู้เล่นจะรับบทเป็นโจล ชายผู้ได้รับหน้าที่คุ้มกันเอลลี เด็กสาวที่ต้องเดินทางข้ามสหรัฐอเมริกา[2] นอกจากนี้ ผู้เล่นยังได้ควบคุมเอลลีในช่วงฤดูหนาวของเกม และควบคุมซาราห์ ลูกสาวของโจล ในช่วงต้นของเรื่องช่วงสั้น ๆ[3]
ในการต่อสู้ ผู้เล่นสามารถใช้อาวุธระยะไกล เช่น ปืนไรเฟิล ปืนลูกซอง และธนู รวมถึงอาวุธระยะใกล้ เช่น ปืนพกและปืนลูกซองลำกล้องสั้น นอกจากนี้ยังสามารถเก็บอาวุธระยะประชิดที่ใช้ได้จำกัด เช่น ท่อเหล็กหรือไม้เบสบอล และขว้างขวดหรืออิฐเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ ทำให้ศัตรูมึนงง หรือใช้โจมตีได้[4] ผู้เล่นสามารถอัปเกรดอาวุธได้ที่โต๊ะทำงานโดยใช้วัสดุที่เก็บสะสม อุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น ชุดปฐมพยาบาล มีดพก และระเบิดขวด สามารถหาได้หรือประดิษฐ์ขึ้นจากไอเทมที่รวบรวมมา คุณสมบัติต่าง ๆ อย่างเช่นค่าพลังชีวิตและความเร็วในการประดิษฐ์สามารถอัปเกรดได้ด้วยการเก็บสะสมยาและพืชสมุนไพร พลังชีวิตสามารถฟื้นฟูได้จากการกินอาหารหรือใช้ชุดปฐมพยาบาล[5]
แม้ว่าผู้เล่นจะสามารถโจมตีศัตรูโดยตรงได้ แต่ก็สามารถเลือกใช้การลอบเร้นเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกตรวจจับหรือแอบผ่านศัตรูได้เช่นกัน "โหมดการฟัง" ช่วยให้ผู้เล่นระบุตำแหน่งศัตรูผ่านการได้ยินและการรับรู้เชิงพื้นที่ที่เพิ่มขึ้น โดยจะแสดงโครงร่างของศัตรูผ่านผนังหรือสิ่งกีดขวาง[6] ในระบบการหลบซ่อนแบบไดนามิก ผู้เล่นสามารถหมอบหลังสิ่งกีดขวางเพื่อสร้างความได้เปรียบเชิงยุทธวิธีระหว่างการต่อสู้[7] ตัวเกมยังมีช่วงที่ไม่มีการต่อสู้ ซึ่งมักเป็นช่วงสนทนาระหว่างตัวละครเพื่อพัฒนาเนื้อเรื่อง[8] ผู้เล่นสามารถแก้ปริศนาเล็ก ๆ เช่น การใช้พาเลทลอยน้ำพาเอลลี่ข้ามแหล่งน้ำ ซึ่งเอลลีว่ายน้ำไม่เป็น หรือใช้บันไดและถังขยะเพื่อปีนไปยังที่สูงกว่า รวมถึงสามารถเก็บของสะสมจากเนื้อเรื่อง เช่น บันทึก แผนที่ และหนังสือการ์ตูน ซึ่งสามารถเปิดดูได้ในเมนูกระเป๋าเป้[9]
เกมนี้มีระบบปัญญาประดิษฐ์ที่ทำให้ศัตรูมนุษย์ตอบสนองอย่างชาญฉลาดในการต่อสู้ หากพวกเขาพบผู้เล่น อาจหาที่กำบัง ร้องขอความช่วยเหลือ หรือฉวยโอกาสเมื่อผู้เล่นเสียสมาธิ หมดกระสุน หรือกำลังต่อสู้อยู่กับศัตรูอื่น เพื่อนร่วมทางของผู้เล่น เช่น เอลลี่ สามารถช่วยในการต่อสู้ได้หลายรูปแบบ เช่น ขว้างสิ่งของใส่ศัตรูเพื่อทำให้มึนงง แจ้งตำแหน่งของศัตรูที่ผู้เล่นมองไม่เห็น หรือใช้อาวุธอย่างมีดและปืนพกในการโจมตีศัตรูโดยตรง[10]
ผู้เล่นหลายคน
โหมดผู้เล่นหลายคนออนไลน์ ที่เรียกว่า Factions เปิดโอกาสให้ผู้เล่นสูงสุด 8 คนแข่งขันกันในฉากที่ปรับแต่งมาจากโหมดผู้เล่นคนเดียวหลายฉาก เกมมีโหมดผู้เล่นหลายคน 3 แบบ ได้แก่ Supply Raid และ Survivors ซึ่งเป็นการแข่งขันแบบทีมเดธแมตช์ โดย Survivors จะไม่มีระบบฟื้นคืนชีพ[11] Interrogation ที่ผู้เล่นแต่ละทีมต้องสืบหาตำแหน่งกล่องล็อก[12] และทีมที่สามารถยึดกล่องล็อกได้ก่อนจะเป็นผู้ชนะ ในแต่ละโหมด ผู้เล่นจะต้องเลือกฝ่ายระหว่าง ฮันเตอร์ (กลุ่มผู้รอดชีวิตที่เป็นศัตรู) หรือ ไฟร์ฟลายส์ (กลุ่มกองกำลังปฏิวัติ) และต้องรักษากลุ่มของตนให้มีชีวิตรอดด้วยการรวบรวมเสบียงจากการแข่งขัน โดยหนึ่งแมตช์จะนับเป็นหนึ่งวัน หากผู้เล่นสามารถรอดชีวิตได้ครบ 12 "สัปดาห์" ก็จะถือว่าภารกิจเสร็จสิ้นและสามารถเลือกฝ่ายใหม่ได้[13]
ผู้เล่นจะได้รับ "ชิ้นส่วน" จากการทำเครื่องหมายหรือสังหารศัตรู รักษาหรือชุบชีวิตเพื่อนร่วมทีม สร้างไอเท็ม หรือปลดล็อกกล่องล็อกของศัตรู ชิ้นส่วนเหล่านี้สามารถใช้ระหว่างการแข่งขันเพื่ออัปเกรดอาวุธและชุดเกราะ และจะถูกแปลงเป็นเสบียงเมื่อจบแมตช์ นอกจากนี้ยังสามารถเก็บเสบียงเพิ่มเติมจากร่างของศัตรูได้[13] ผู้เล่นยังได้รับคะแนนระหว่างการเล่น ซึ่งสามารถนำไปซื้ออาวุธหรือทักษะเพื่อสร้างโหลดเอาต์แบบกำหนดเองได้[14] เดิมทีเกมยังสามารถเชื่อมต่อกับบัญชีเฟซบุ๊กของผู้เล่น เพื่อเปลี่ยนชื่อและใบหน้าสมาชิกกลุ่มให้ตรงกับเพื่อนในเฟซบุ๊ก[15] ผู้เล่นยังสามารถปรับแต่งตัวละครได้ด้วยไอเท็มต่าง ๆ เช่น หมวก หมวกกันน็อก หน้ากาก และตราสัญลักษณ์[16] สำหรับเซิร์ฟเวอร์โหมดผู้เล่นหลายคนของเกมเวอร์ชันเพลย์สเตชัน 3 ได้ถูกปิดลงเมื่อวันที่ 3 กันยายน 2019[17]
เนื้อเรื่อง
สรุป
มุมมอง
ในปี 2013 เชื้อรา คอร์ดีเซปส์ กลายพันธุ์แพร่ระบาดผ่านการกัดและสปอร์ในอากาศ ก่อให้เกิดความเสียหายรุนแรงทั่วสหรัฐอเมริกา และเปลี่ยนผู้ติดเชื้อให้กลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่ก้าวร้าว ในย่านชานเมืองของเมืองออสติน โจล (ทรอย เบเกอร์) หลบหนีจากความโกลาหลพร้อมทอมมี (เจฟฟรีย์ เพียร์ซ) พี่ชาย และซาราห์ (ฮานา เฮส์) ลูกสาว ระหว่างการหลบหนี ซาราห์ถูกทหารยิงและเสียชีวิตในอ้อมแขนของ ยี่สิบปีต่อมา อารยธรรมถูกทำลายลงจากการระบาด โจลทำงานเป็นผู้ลักลอบขนของผิดกฎหมายร่วมกับเทสส์ (แอนนี เวอร์ชิง) ในเขตกักกันโรคที่บอสตัน รัฐแมสซาชูเซตส์ ทั้งสองตามล่าโรเบิร์ต (โรบิน แอตคิน ดาวส์) พ่อค้าตลาดมืด เพื่อทวงอาวุธที่เขาขโมยไปขายให้กับกลุ่มไฟร์ฟลาย กลุ่มกบฏที่ต่อต้านเจ้าหน้าที่ในเขตกักกัน
มาร์ลีน (เมิร์ล แดนดริดจ์) หัวหน้ากลุ่มไฟร์ฟลาย เสนอเพิ่มรางวัลสองเท่า หากโจลและเทสช่วยลักลอบพา เอลลี (แอชลีย์ จอห์นสัน) เด็กหญิงวัย 14 ปี ไปยังรัฐสภาแมสซาชูเซตส์ ซึ่งเป็นที่ซ่อนของกลุ่ม โจลและเทสพบว่าเอลลีติดเชื้อ แต่เธออ้างว่าตนเองมีภูมิคุ้มกันและอาจช่วยพัฒนาวิธีรักษาได้ เมื่อถึงรัฐสภา ทั้งคู่พบว่าไฟร์ฟลายถูกสังหาร เทสเผยว่าเธอก็ติดเชื้อ และเลือกเสียสละตัวเองต่อสู้กับทหารเพื่อให้โจลกับเอลลีหนีรอด โจลจึงตัดสินใจออกตามหาทอมมี่ อดีตสมาชิกไฟร์ฟลาย ด้วยความหวังว่าเขาจะช่วยหาเส้นทางต่อไปได้
ด้วยความช่วยเหลือจากบิล (ดับเบิลยู. เอิร์ล บราวน์) นักลักลอบขนของและผู้รอดชีวิตในเมืองลินคอล์น รัฐแมสซาชูเซตส์ โจลและเอลลีสามารถหารถที่ใช้งานได้สำเร็จ ขณะเดินทางเข้าสู่เมืองพิตต์สเบิร์ก รัฐเพนซิลเวเนีย ทั้งคู่ถูกโจรซุ่มโจมตีจนรถพังยับเยิน พวกเขาได้ร่วมมือกับสองพี่น้อง เฮนรี (แบรนดอน สกอตต์) และแซม (นาดจี เจเทอร์) เพื่อหาทางหนีออกจากเมือง หลังจากหลบหนีมาได้ แซมถูกกัดแต่ปกปิดไม่ให้ใครรู้ เมื่อการติดเชื้อเริ่มแสดงอาการ เขาเข้าโจมตีเอลลี เฮนรี่จึงยิงน้องชายของตัวเอง ก่อนจะฆ่าตัวตายด้วยความเสียใจ
ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง โจลและเอลลีพบทอมมี่ที่เมืองแจ็กสัน รัฐไวโอมิง ซึ่งเขาได้สร้างนิคมที่มีการป้องกันแน่นหนาใกล้เขื่อนพลังน้ำ ร่วมกับมาเรีย (แอชลีย์ สกอตต์) โจลพยายามจะฝากเอลลีไว้กับทอมมี่ แต่ไม่สำเร็จ และจบลงด้วยการปะทะกันทางอารมณ์เกี่ยวกับซาราห์ ทอมมี่แนะนำให้พวกเขาเดินทางไปยังกลุ่มไฟร์ฟลายที่มหาวิทยาลัยอีสเทิร์นโคโลราโด ที่นั่นพวกเขาพบว่ากลุ่มไฟร์ฟลายได้ย้ายไปที่โรงพยาบาลในเมืองซอลต์เลกซิตี รัฐยูทาห์ ขณะกำลังหลบหนีจากการโจมตีของกลุ่มโจร โจลได้รับบาดเจ็บสาหัส
ในช่วงฤดูหนาว โจลและเอลลีหลบภัยอยู่บนภูเขา ขณะนั้นโจลใกล้ตายและต้องพึ่งเอลลีดูแลอย่างเต็มที่ เอลลีพบกับเดวิด (โนแลน นอร์ท) และเจมส์ (รูเบน แลงดอน) สองนักเก็บของเก่าที่เสนอแลกยาเป็นอาหาร หลังเดวิดเปิดเผยว่ากลุ่มโจรที่มหาวิทยาลัยเป็นพวกของเขา เอลลีก็เริ่มระวังตัวและกลายเป็นศัตรู เธอพยายามล่อกลุ่มของเดวิดให้ห่างจากโจล แต่สุดท้ายก็ถูกจับ เดวิดตั้งใจชักชวนเธอเข้าร่วมกลุ่มกินเนื้อคนของเขา เอลลหลบหนีได้หลังจากฆ่าเจมส์ แต่สุดท้ายก็ถูกเดวิดตามจนมุมในร้านอาหารที่กำลังลุกไหม้ โจลซึ่งฟื้นตัวจากบาดแผลแล้ว ออกตามหาเอลลี และมาถึงทันเวลาที่เธอกำลังใช้มีดพร้าฟันเดวิดจนเสียชีวิต เหตุการณ์นั้นทำให้เอลลีหวาดผวา โจลจึงปลอบเธอก่อนพากันหลบหนีไป
ในฤดูใบไม้ผลิ โจลและเอลลีเดินทางมาถึงเมืองซอลต์เลกซิตี เอลลีหมดสติหลังเกือบจมน้ำ ก่อนจะถูกหน่วยลาดตระเวนของกลุ่มไฟร์ฟลายจับตัวไปที่โรงพยาบาล มาร์ลีนแจ้งโจลว่าเอลลีกำลังถูกเตรียมผ่าตัด โดยหวังว่าจะสามารถผลิตวัคซีนจากการติดเชื้อได้ กลุ่มไฟร์ฟลายต้องการนำส่วนที่ติดเชื้อในสมองของเอลลีออก ซึ่งจะทำให้เธอเสียชีวิต โจลไม่ยอมให้เรื่องนั้นเกิดขึ้น เขาฝ่าทางเข้าไปยังห้องผ่าตัดและสังหารศัลยแพทย์ที่กำลังจะลงมือ จากนั้นเขาพาเอลลีที่ยังหมดสติไปที่โรงจอดรถ และถูกมาร์ลีนดักหน้าไว้ โจลจึงยิงเธอเสียชีวิตเพื่อไม่ให้กลุ่มไฟร์ฟลายตามล่าอีก ระหว่างทางกลับไปหาทอมมี่ เมื่อเอลลีฟื้น โจลโกหกว่าไฟร์ฟลายพบคนอื่นที่มีภูมิคุ้มกันแล้ว แต่ไม่สามารถสร้างวิธีรักษาได้และเลิกล้มความพยายามไป ต่อมาเอลลีเผยความรู้สึกผิดของเธอในฐานะผู้รอดชีวิต และเมื่อเธอยืนกรานขอให้เขาสาบาน โจลยืนยันว่าเรื่องที่เขาเล่าเกี่ยวกับไฟร์ฟลายเป็นความจริง
การพัฒนา
สรุป
มุมมอง
บรูซ สตราลีย์
นีล ดรักแมนน์
สตราลีย์และดรักแมนน์รับหน้าที่เป็นผู้กำกับเกมและผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ตามลำดับ[18]
นอตีด็อกเริ่มพัฒนาเกมเดอะลาสต์ออฟอัส ในปี 2009 หลังจากเปิดตัวอันชาร์ทิด 2: อะมังทีฟส์ โดยเป็นครั้งแรกที่บริษัทแบ่งทีมออกเป็นสองกลุ่ม ทีมหนึ่งพัฒนา อันชาร์ทิด 3: เดรกส์ดีเซปชัน ขณะที่อีกทีมเริ่มทำงานให้กับเดอะลาสต์ออฟอัส[19] นำโดยผู้กำกับเกม บรูซ สตราลีย์ และผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ นีล ดรักแมนน์[18]
ขณะเรียนมหาวิทยาลัย ดรักแมนน์มีแนวคิดที่จะผสมผสานรูปแบบการเล่นของเกม ไอโค (2001) เข้ากับเรื่องราวในโลกที่เกิดเหตุการณ์ซอมบี้ระบาด คล้ายกับภาพยนตร์ ไนต์ออฟเดอะลิฟวิงเดด (1968) ของจอร์จ เอ. โรเมโร โดยมีตัวละครนำซึ่งคล้ายกับจอห์น ฮาร์ทิแกน จากหนังสือการ์ตูนชุดซินซิตี (1991–2000) ตัวละครหลักเป็นตำรวจที่มีหน้าที่ปกป้องเด็กหญิง แต่เนื่องจากปัญหาหัวใจ ผู้เล่นจึงต้องสลับไปควบคุมเด็กหญิงแทน ดรักแมนน์นำแนวคิดนี้ไปพัฒนาต่อในเนื้อเรื่องของเดอะลาสต์ออฟอัส[20] ซึ่งเขามองว่าเป็นเรื่องราวของการเติบโต โดยที่เอลลี เรียนรู้การเอาชีวิตรอดจากการใช้ชีวิตร่วมกับโจล และเป็นการตั้งคำถามถึงขอบเขตที่พ่อคนหนึ่งจะยอมทำเพื่อปกป้องลูกของตน[21]
แนวคิดสำคัญของเกมคือ "ชีวิตต้องดำเนินต่อไป"[22] ซึ่งสะท้อนผ่านฉากที่โจลและเอลลีพบฝูงยีราฟ จอห์น สวีนีย์ นักวาดภาพแนวคิดอธิบายว่าฉากนี้ถูกออกแบบมาเพื่อ "จุดประกายความปรารถนาในการมีชีวิตอยู่ของเอลลีอีกครั้ง" หลังจากเธอผ่านความเจ็บปวดจากการเผชิญหน้ากับเดวิด[23] ผู้ติดเชื้อ ซึ่งเป็นแนวคิดหลักของเกม ได้แรงบันดาลใจจากสารคดี แพลเน็ตเอิร์ธ (2006) ของบีบีซีที่กล่าวถึงเชื้อรา Cordyceps[21] ซึ่งโดยปกติจะติดเชื้อในแมลง ควบคุมการเคลื่อนไหว และใช้ร่างของแมลงเพาะพันธุ์เชื้อรา เกมนี้นำแนวคิดดังกล่าวมาต่อยอด โดยจินตนาการถึงการที่เชื้อราวิวัฒนาการจนสามารถติดเชื้อในมนุษย์[a] และสำรวจผลกระทบโดยตรงจากการระบาดของเชื้อชนิดนี้[21]

ความสัมพันธ์ระหว่างโจลและเอลลี่เป็นแกนหลักของเกม โดยองค์ประกอบอื่น ๆ ถูกพัฒนาขึ้นรอบ ๆ ความสัมพันธ์นี้ ทรอย เบเกอร์ และแอชลีย์ จอห์นสัน รับบทเป็นโจลและเอลลี่ตามลำดับ พร้อมทั้งให้เสียงพากย์และแสดงจับภาพเคลื่อนไหว[28] ทั้งคู่มีบทบาทในการพัฒนาตัวละคร[29] เช่น เบเกอร์โน้มน้าวดรักแมน์ว่าโจลจะใส่ใจเทสส์เพราะความเหงา[30] ขณะที่จอห์นสันเสนอว่าเอลลีควรมีความเข้มแข็งและสามารถป้องกันตัวเองได้มากขึ้น[29] หลังจากมีการเปรียบเทียบเอลลีกับนักแสดงเอลเลียต เพจ ทีมพัฒนาได้ออกแบบรูปลักษณ์ของเอลลีใหม่ให้สะท้อนบุคลิกของจอห์นสันได้ชัดเจนยิ่งขึ้น และให้เธอดูอายุน้อยลง[31][32] ตัวละครอื่นในเกมก็มีการปรับเปลี่ยนเช่นกัน เทสส์ เดิมทีถูกวางให้เป็นตัวร้ายหลัก แต่ทีมงานมองว่าแรงจูงใจของเธอไม่น่าเชื่อถือ[33] ส่วนตัวละครบิล เดิมบทไม่ได้ระบุรสนิยมทางเพศชัดเจน แต่ต่อมามีการปรับให้สื่อถึงความเป็นรักร่วมเพศของเขาอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น[30]
เดอะลาสต์ออฟอัส มีดนตรีประกอบต้นฉบับที่แต่งโดยกุสตาโว ซานตาโอลาญา[27] ซึ่งได้รับการติดต่อมาตั้งแต่ช่วงต้นของการพัฒนา เนื่องจากมีชื่อเสียงด้านการแต่งเพลงแนวมินิมอล เขาใช้เครื่องดนตรีหลากชนิด รวมถึงบางชนิดที่ไม่คุ้นเคย เพื่อสร้างความรู้สึกทั้งอันตรายและไร้เดียงสา[34] แนวทางแบบเรียบง่ายนี้ยังถูกนำไปใช้กับการออกแบบเสียงและงานศิลป์ของเกมด้วย เสียงของผู้ติดเชื้อเป็นหนึ่งในองค์ประกอบแรกที่เริ่มพัฒนา ทีมงานได้ทดลองหลายวิธีเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด สำหรับเสียงของคลิกเกอร์ พวกเขาจ้างนักพากย์ มิสตี ลี ซึ่งให้เสียงที่ฟิลลิป โคแวตส์ หัวหน้าฝ่ายเสียงอธิบายว่าเป็นเสียงที่มาจาก "ด้านหลังของลำคอ"[35] แผนกศิลป์ของเกมนำผลงานหลากหลายมาเป็นแรงบันดาลใจ หนึ่งในนั้นคือภาพถ่ายของโรเบิร์ต โพลิโดรี หลังพายุเฮอริเคนแคทรีนา ซึ่งถูกใช้เป็นต้นแบบในการออกแบบพื้นที่น้ำท่วมในเมืองพิตต์สเบิร์ก[36] ระหว่างการพัฒนา แผนกศิลป์ต้องเจรจาอย่างหนักเพื่อนำเสนอแนวคิดที่ต้องการ เนื่องจากความเห็นที่แตกต่างกันภายในทีม สุดท้ายทีมจึงตกลงกันที่จุดสมดุลระหว่างความเรียบง่ายและความละเอียด โดยสตราลีย์และดรักแมนน์ชอบความเรียบง่าย[37] ขณะที่ทีมศิลป์เน้นรายละเอียด ส่วนเครดิตเปิดของเกมนั้นผลิตโดยซานดิเอโกสตูดิโอของโซนี[38]
ริกกี แคมเบียร์ นักออกแบบเกมเดอะลาสต์ออฟอัส ระบุว่าเกมไอโค และเรซิเดนต์อีวิล 4 เป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบเกม เขาอธิบายว่าน้ำหนักทางอารมณ์ของความสัมพันธ์ในเกมต้องสมดุลกับความตึงเครียดของปัญหาต่าง ๆ ในโลก โดยกล่าวว่า พวกเขา "ต้องการนำการสร้างตัวละครและการโต้ตอบ" จากไอโค "มาผสมผสานกับความตึงเครียดและฉากแอ็กชันของเรซิเดนต์อีวิล 4"[39] ทีมงานได้พัฒนาเอนจินใหม่ขึ้นเพื่อรองรับความต้องการของเกม โดยระบบปัญญาประดิษฐ์ถูกออกแบบมาให้สามารถประสานงานกับผู้เล่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ[40] การเพิ่มเอลลี่เป็นตัวละคร AI ถือเป็นองค์ประกอบหลักที่ผลักดันการพัฒนาเอนจินนี้[41] ขณะเดียวกัน เอนจินแสงก็ถูกสร้างใหม่เพื่อรองรับแสงแบบนุ่มนวล ซึ่งแสดงแสงแดดที่ลอดผ่านช่องว่างและสะท้อนกับพื้นผิว[40] ในส่วนของรูปแบบการเล่น ทีมงานพบว่าท้าทายอย่างมาก เพราะทุกกลไกล้วนต้องได้รับการวิเคราะห์อย่างละเอียด[30] ส่วนการออกแบบอินเทอร์เฟซผู้ใช้ก็มีการปรับเปลี่ยนหลายรอบตลอดกระบวนการพัฒนา[42]
มีการประกาศเกม เดอะลาสต์ออฟอัส อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2011 ในงานสไปก์วิดีโอเกมอะวอดส์[43] พร้อมกับตัวอย่างเปิดตัว[44] การประกาศดังกล่าวสร้างกระแสความคาดหวังอย่างกว้างขวางในวงการเกม ซึ่งนักข่าวมองว่าเป็นผลมาจากชื่อเสียงของนอตีด็อก[45][46] ตัวเกมพลาดกำหนดวางจำหน่ายเดิมในวันที่ 7 พฤษภาคม 2013 และถูกเลื่อนออกไปเป็นวันที่ 14 มิถุนายน 2013 ทั่วโลก เพื่อปรับปรุงคุณภาพเพิ่มเติม[47] นอตีด็อกยังร่วมมือกับร้านค้าปลีกหลายแห่งในการจัดจำหน่ายชุดพิเศษของเกมที่มาพร้อมเนื้อหาเสริม เพื่อกระตุ้นยอดพรีออร์เดอร์[48]
เนื้อหาเสริม
เนื้อหาที่ดาวน์โหลดได้ (DLC) สำหรับเกม เดอะลาสต์ออฟอัส ถูกปล่อยออกมาหลังการวางจำหน่าย ตัวซีซันพาสของเกมของเกมมอบสิทธิ์เข้าถึง DLC ทั้งหมด ความสามารถพิเศษบางอย่าง และสารคดี Grounded: Making The Last of Us[49] ซึ่งเผยแพร่ออนไลน์ในเดือนกุมภาพันธ์ 2014[50] นอกจากนี้ ยังมี DLC สองชุดที่รวมอยู่ในเวอร์ชันพิเศษบางรุ่นของเกมและสามารถใช้งานได้ทันทีเมื่อเกมวางจำหน่าย โดยชุด Sights and Sounds Pack ประกอบด้วยเพลงประกอบเกม ธีมไดนามิกสำหรับหน้าจอหลักของเพลย์สเตชัน 3 และอวาตาร 2 ตัว Survival Pack มอบสกินโบนัสให้ผู้เล่นหลังจากจบแคมเปญ พร้อมเงินในเกม คะแนนประสบการณ์พิเศษ และสิทธิ์เข้าถึงไอเท็มปรับแต่งล่วงหน้าสำหรับโหมดผู้เล่นหลายคน[51] Abandoned Territories Map Pack วางจำหน่ายเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2013 เพิ่มแผนที่ผู้เล่นหลายคนใหม่ 4 แผนที่ ซึ่งอ้างอิงจากสถานที่ต่าง ๆ ในเนื้อเรื่องของเกม[52] Nightmare Bundle เปิดตัวเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2013 เพิ่มไอเท็มศีรษะจำนวน 10 ชิ้น โดย 9 ชิ้นสามารถซื้อแยกได้[53]
เดอะลาสต์ออฟอัส: เลฟต์บีไฮนด์ เพิ่มแคมเปญผู้เล่นคนเดียวที่ประกอบด้วยสองเส้นเรื่อง เส้นหนึ่งเกิดขึ้นหลังจากบทนำของ The Last of Us และอีกเรื่องก่อนบทฤดูหนาว[54] โดยเล่าเรื่องของเอลลี่และไรลีย์ เพื่อนของเธอ วางจำหน่ายในรูปแบบ DLC เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2014[55] และในรูปแบบส่วนขยายแบบสแตนด์อโลน เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2015[56] ชุด DLC ชุดที่สามเปิดตัวเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2014 ประกอบด้วย 5 รายการ ได้แก่ Grounded เพิ่มระดับความยากใหม่ให้กับเกมหลักและเลฟต์บีไฮนด์, Reclaimed Territories Map Pack เพิ่มแผนที่ผู้เล่นหลายคนใหม่ Professional Survival Skills Bundle และ Situational Survival Skills Bundle เพิ่มทักษะผู้เล่นหลายคนใหม่รวมแปดทักษะ; และ Survivalist Weapon Bundle เพิ่มอาวุธใหม่สี่ชนิด[57] ชุด Grit and Gear Bundle ซึ่งเพิ่มไอเท็มหมวก หน้ากาก และท่าทางใหม่ วางจำหน่ายเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2014[58] ส่วน Game of the Year Edition ที่รวมเนื้อหาทั้งหมดได้รับการเผยแพร่ในยุโรปเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2014[59]
รีมาสเตอร์และรีเมก
เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2014 โซนี่ อินเตอร์แอ็กทีฟ เอนเตอร์เทนเมนต์ได้ประกาศเปิดตัว เดอะลาสต์ออฟอัส รีมาสเตอร์ ซึ่งเป็นเกมเวอร์ชันรีมาสเตอร์สำหรับเพลย์สเตชัน 4[60] โดยวางจำหน่ายในช่วงเดือนกรกฎาคมและสิงหาคม 2014[b] เวอร์ชัน รีมาสเตอร์ จะใช้ทัชแพดของดูอัลช็อก 4 เพื่อควบคุมเมนูไอเทม และแถบแสงของคอนโทรลเลอร์จะเปลี่ยนสีตามสถานะสุขภาพของตัวละคร โดยเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีส้มและสีแดงเมื่อได้รับความเสียหาย นอกจากนี้ เสียงบันทึกที่พบในเกมสามารถฟังได้ผ่านลำโพงของคอนโทรลเลอร์ ซึ่งต่างจากเวอร์ชันดั้งเดิมที่ผู้เล่นต้องอยู่ในเมนูเพื่อฟังเสียงบันทึกเหล่านั้น[64] โหมดถ่ายภาพของเกมเปิดโอกาสให้ผู้เล่นสามารถหยุดเกมชั่วคราวและปรับมุมกล้องได้อย่างอิสระเพื่อถ่ายภาพในเกม[65] ภายในเมนู ผู้เล่นยังสามารถรับชมฉากคัตซีนทั้งหมดพร้อมคำบรรยายเสียงจากดรักแมนน์ เบเกอร์ และจอห์นสัน[66] เวอร์ชัน รีมาสเตอร์ มาพร้อมการปรับปรุงกราฟิกและการเรนเดอร์ เช่น การเพิ่มระยะการวาดภาพ อัตราเฟรมที่สูงขึ้น และตัวเลือกเสียงขั้นสูง[67] นอกจากนี้ยังรวมเนื้อหาดาวน์โหลดได้ที่เคยเปิดตัวไปแล้ว เช่น เลฟต์บีไฮนด์ และแผนที่ผู้เล่นหลายคนบางส่วน[68] ทีมพัฒนามุ่งมั่นที่จะสร้างรีมาสเตอร์ "ที่แท้จริง" โดยยังคงไว้ซึ่ง "ประสบการณ์หลัก" ของเกมต้นฉบับ[69]
เดอะลาสต์ออฟอัส พาร์ต I ซึ่งเป็นเวอร์ชันรีเมกของเดอะลาสต์ออฟอัส วางจำหน่ายสำหรับ เพลย์สเตชัน 5 ในวันที่ 2 กันยายน 2022[70] และสำหรับไมโครซอฟท์ วินโดวส์ ในวันที่ 28 มีนาคม 2023[71] ตัวเกมมีการปรับปรุงด้านระบบการเล่นและการควบคุม ประสิทธิภาพโดยรวม เอฟเฟกต์แสงที่ดีขึ้น รวมถึงตัวเลือกการเข้าถึงใหม่ ๆ บนเพลย์สเตชัน 5 เกมรองรับเสียง 3 มิติ การตอบสนองแบบสัมผัส และทริกเกอร์แบบปรับได้ของคอนโทรลเลอร์ดูอัลเซนส์[70][72] การพัฒนาเกมเดอะลาสต์ออฟอัส พาร์ต I นำโดยแมตธิว แกลแลนต์ ในฐานะผู้กำกับเกม และฌอน เอสเคก[72] ในฐานะผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ เกมนี้ถูกสร้างขึ้นใหม่ทั้งหมดเพื่อใช้ศักยภาพของฮาร์ดแวร์เพลย์สเตชัน 5 อย่างเต็มที่ ซึ่งรวมถึงการออกแบบงานศิลป์ แอนิเมชัน และโมเดลตัวละครใหม่ทั้งหมด[73] การยกระดับด้านเทคโนโลยีและกราฟิกมีเป้าหมายเพื่อให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของทีมพัฒนาดั้งเดิม เอสเคกต้องการให้ทุกองค์ประกอบในเกมช่วยสร้างความรู้สึกสมจริงและดึงผู้เล่นให้ดื่มด่ำไปกับโลกของเกม[74] ขณะที่แกลแลนต์ ได้ร่วมมือกับทีมผู้เชี่ยวชาญจาก Descriptive Video Works เพื่อจัดทำคำบรรยายเสียงสำหรับฉากคัตซีน[75] การตอบรับต่อการประกาศรีเมกของเกมมีทั้งด้านบวกและลบ โดยนักข่าวและผู้เล่นบางส่วนมองว่าไม่จำเป็น เนื่องจากเกมต้นฉบับยังไม่เก่ามาก และมีเวอร์ชัน รีมาสเตอร์ อยู่แล้ว[76][77] อีกทั้งยังมีการตั้งคำถามถึงราคาขายที่ 70 ดอลลาร์สหรัฐ[78][79][80] เมื่อวางจำหน่าย เกมได้รับคำวิจารณ์เชิงบวกโดยรวม[81] แม้ว่าการตอบรับเวอร์ชันวินโดวส์จะหลากหลาย[81] และกลายเป็นเกมที่ได้รับคะแนนรีวิวต่ำที่สุดของนอตีด็อก[82]
การตอบรับ
สรุป
มุมมอง
คำวิจารณ์
เดอะลาสต์ออฟอัส ได้รับ "เสียงชื่นชมอย่างเป็นเอกฉันท์" ตามข้อมูลจากเว็บไซต์รวบรวมบทวิจารณ์ เมทาคริติก[83] และเป็นเกมบนเพลย์สเตชัน 3 ที่ได้รับคะแนนสูงเป็นอันดับที่ 5 บนแพลตฟอร์มดังกล่าว[93] นักวิจารณ์ต่างยกย่องการพัฒนาตัวละคร เนื้อเรื่องและประเด็นแฝง การออกแบบภาพและเสียง รวมถึงการนำเสนอภาพของตัวละครหญิงและตัวละคร LGBT อย่างมีมิติ คอลิน โมริอาร์ตี จากไอจีเอ็น เรียกเกมนี้ว่า "ผลงานชิ้นเอก" และ "เกมเอ็กซ์คลูซีฟที่ดีที่สุดของเพลย์สเตชัน 3"[89] ส่วน เอดจ์ ยกให้เป็น "เกมมหากาพย์ที่ขับเคลื่อนด้วยเรื่องราวได้อย่างน่าติดตามและสะเทือนอารมณ์ที่สุด" ในยุคของเครื่องคอนโซล[85] โอลี เวลช์ จากยูโรเกมเมอร์ เขียนว่าเกมนี้คือ "สัญลักษณ์แห่งความหวัง" สำหรับแนวเกมสยองขวัญเอาชีวิตรอด[86] และแอนดี เคลลี จาก คอมพิวเตอร์แอนด์วิดีโอเกมส์ ก็กล่าวว่า นี่คือ "ช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของนอตีด็อก"[84]
แอนดี เคลลี จาก คอมพิวเตอร์แอนด์วิดีโอเกมส์ มองว่าเนื้อเรื่องของเกมนี้น่าจดจำ[94] ขณะที่คอลิน โมริอาร์ตี จากไอจีเอ็นก็ยกให้เนื้อเรื่องเป็นหนึ่งในจุดเด่นสำคัญของเกม[89] เดวิด มีกเลแฮม จากนิตยสาร เพลย์สเตชันออฟฟิเชียลแมกกาซีน เขียนว่าจังหวะการเล่าเรื่องช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับเนื้อหา โดยระบุว่าเกมนี้มอบ "ความรู้สึกถึงเวลาที่ผ่านไปและการเดินทางที่เกิดขึ้นในทุกย่างก้าว"[91] เจมส์ สเตฟานี สเตอร์ลิง จาก เดสทรักทอยด์ ชื่นชมช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความตึงเครียดของเกม[95] ส่วนริชาร์ด มิตเชลล์ จาก จอยสติก มองว่าการเล่าเรื่องของเกมช่วยพัฒนาและเสริมสร้างความสัมพันธ์ของตัวละครได้อย่างลึกซึ้ง[90]
ตัวละคร โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างโจเอลกับเอลลี่ ได้รับเสียงชื่นชมอย่างกว้างขวาง แมตต์ เฮลเกสัน จากเกมอินฟอร์เมอร์ เขียนว่าความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองให้ความรู้สึกเข้าถึงได้ เรียกมันว่า "ซาบซึ้ง" และ "ถ่ายทอดออกมาได้อย่างลึกซึ้ง"[87] โอลี เวลช์ จากยูโรเกมเมอร์ ระบุว่าตัวละครถูกพัฒนาอย่างมีความอดทนและทักษะ พร้อมยกย่องคุณค่าทางอารมณ์ของพวกเขา[86] ขณะที่ริชาร์ด มิตเชลล์ จากจอยสติกมองว่าความสัมพันธ์นี้ "จริงใจ" และเปี่ยมอารมณ์[90] เดวิด มีกเลแฮม จากเพลย์สเตชันออฟฟิเชียลแมกกาซีน ยกให้โจลและเอลลีเป็นตัวละครที่ดีที่สุดของเกมบนเพลย์สเตชัน 3[96] ส่วนคอลิน โมริอาร์ตี จากไอจีเอ็น ก็ชี้ว่าความสัมพันธ์นี้เป็นหนึ่งในจุดเด่นของเกม[89] แอนดี เคลลี จากคอมพิวเตอร์แอนด์วิดีโอเกมส์ บรรยายว่าตัวละคร "มีชีวิตชีวาและเต็มไปด้วยรายละเอียด" จนรู้สึกผูกพันกับเรื่องราวของพวกเขา[94] ฟิลิป โคลลาร์ จากโพลีกอน กล่าวว่าเอลลีมีความน่าเชื่อถือ ทำให้ผู้เล่นสามารถสร้างความผูกพันกับเธอได้ง่ายขึ้น และบทสนทนาเสริมในเกมก็ช่วยพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น[92] มีกเลแฮมยังกล่าวอีกว่าแอนิเมชันขณะไม่ได้ใช้งานของเอลลีที่โต้ตอบกับสิ่งแวดล้อม ทำให้เธอดูเป็นวัยรุ่นที่สมจริง[96] การแสดงของนักแสดงก็ได้รับคำชื่นชม[87][89][95] โดยเอดจ์ และเวลช์จากยูโรเกมเมอร์ ระบุว่าบทพูดของเกมยิ่งน่าประทับใจมากขึ้นจากการแสดงเหล่านี้[85][86]
นักวิจารณ์หลายคนเห็นว่าระบบการต่อสู้ของเดอะลาสต์ออฟอัส แตกต่างจากเกมอื่นอย่างน่าชื่นชม แมตต์ เฮลเกสัน จากเกมอินฟอร์เมอร์ และเดวิด มีกเลแฮม จากเพลย์สเตชันออฟฟิเชียลแมกกาซีน ต่างชื่นชมความรู้สึกเปราะบางระหว่างการต่อสู้[87][97] ขณะที่แอนดี เคลลี จากคอมพิวเตอร์แอนด์วิดีโอเกมส์ ชอบความหลากหลายในการเข้าถึงสถานการณ์ต่อสู้แต่ละแบบ[84] คอลิน โมริอาร์ตี้ จากไอจีเอ็น มองว่าระบบการประดิษฐ์ช่วยเสริมระบบการต่อสู้ และทำให้เรื่องราวมีคุณค่าทางอารมณ์มากขึ้น โดยเสริมว่าศัตรูในเกมให้ความรู้สึกเหมือนเป็น "มนุษย์" จริง ๆ[89] ด้านริชาร์ด มิตเชลล์ จากจอยสติก แสดงความเห็นในทิศทางเดียวกัน โดยกล่าวว่าการต่อสู้ในเกม "ทำให้โจเอลต้องแบกรับความตายไว้บนมือซ้ำแล้วซ้ำเล่า"[90] โอลี เวลช์ จากยูโรเกมเมอร์ มองว่าการเผชิญหน้าที่เต็มไปด้วยความระทึกและคุกคามช่วยเพิ่มความเข้มข้นให้กับเกม[86] อย่างไรก็ตาม ทอม แม็กเชีย จากเกมสปอต วิจารณ์ว่าระบบปัญญาประดิษฐ์ยังมีข้อบกพร่อง โดยศัตรูมักไม่สนใจเพื่อนร่วมทางของผู้เล่น[88] ฟิลิป โคลลาร์ จากโพลีกอน ก็รู้สึกว่าการต่อสู้บางช่วงไม่ยุติธรรม โดยเฉพาะเมื่อต้องสู้กับผู้ติดเชื้อ และยังชี้ให้เห็นถึงความไม่สอดคล้องของระบบ AI ที่ “ทำลายบรรยากาศ” และความสมจริงของตัวละครในบางจังหวะ[92]
คุณสมบัติด้านภาพของเกมได้รับคำชื่นชมจากนักวิจารณ์จำนวนมาก งานออกแบบศิลป์ถูกยกย่องว่า "โดดเด่น" โดยแอนดี เคลลี จากคอมพิวเตอร์แอนด์วิดีโอเกมส์[84] และว่า "น่าทึ่ง" โดยโอลี เวลช์ จากยูโรเกมเมอร์[86] ในทางตรงกันข้าม ทอม แม็กเชีย จากเกมสปอต เห็นว่าภาพของโลกหลังหายนะในเกมดู "ธรรมดา" เนื่องจากแนวทางนี้เคยถูกใช้มาแล้วหลายครั้งก่อนหน้านี้[88] กราฟิกของเกมมักถูกนักวิจารณ์ยกให้เป็นหนึ่งในกราฟิกที่ดีที่สุดบนเพลย์สเตชัน 3 โดยแมตต์ เฮลเกสัน จากเกมอินฟอร์เมอร์ ระบุว่า "ไร้คู่แข่งในวงการเกมคอนโซล"[87] และคอลิน โมริอาร์ตี จากไอจีเอ็น ก็กล่าวว่ากราฟิกช่วยเพิ่มความสมจริงให้กับเกม[89] เจมส์ สเตฟานี สเตอร์ลิง จากเดสทรักทอยด์ เขียนว่า เกมมีภาพที่น่าประทับใจ แต่ก็มีปัญหาทางเทคนิคบางประการ เช่น พื้นผิวที่ดู "ขุ่นมัวและเรียบง่าย" ในช่วงต้นของเกม ซึ่งส่งผลลบต่อภาพรวมในด้านงานภาพเล็กน้อย[95]
โลกและสภาพแวดล้อมในเกมได้รับคำชื่นชมอย่างกว้างขวางจากนักวิจารณ์ แอนดี เคลลี จากคอมพิวเตอร์แอนด์วิดีโอเกมส์ ระบุว่าสภาพแวดล้อมในเกม "กว้างขวาง ละเอียด และเต็มไปด้วยความลับ" พร้อมเสริมว่าเดอะลาสต์ออฟอัส สามารถ "ปกปิด" ความเป็นเส้นตรงของเกม ได้อย่างแนบเนียน[84] เอดจ์แสดงความคิดเห็นในทำนองเดียวกัน โดยกล่าวว่าการออกแบบฉากในเกมสอดรับกับการเล่าเรื่องได้อย่างเหมาะสม[85] แมตต์ เฮลเกสัน จากเกมอินฟอร์เมอร์ เขียนว่าโลกของเกม "ถ่ายทอดความเหงาของเรื่องราวได้อย่างมีประสิทธิภาพและงดงาม"[87] คอลิน โมริอาร์ตี จากไอจีเอ็น ชื่นชมรายละเอียดที่แทรกอยู่ในโลกของเกม เช่น บันทึกและจดหมายที่ซ่อนอยู่ซึ่งช่วยเสริมบรรยากาศให้สมจริงยิ่งขึ้น[89] ขณะที่ไคล์ ฮิลล์ จากไซเอนทิฟิกอเมริกัน ก็กล่าวถึงความน่าเชื่อถือของแนวคิดการติดเชื้อในเกมว่าได้รับการออกแบบอย่างมีเหตุผลและน่าชื่นชม[98]
นักวิจารณ์ต่างชื่นชมการใช้เสียงในเดอะลาสต์ออฟอัส โอลี เวลช์ จากยูโรเกมเมอร์ มองว่าการออกแบบเสียงของเกมโดดเด่นกว่าเกมอื่นอย่างชัดเจน[86] ขณะที่แมตต์ เฮลเกสัน จากเกมอินฟอร์เมอร์ เรียกมันว่า "สุดยอด"[87] ทอม แม็กเชีย จากเกมสปอต ระบุว่าเสียงมีบทบาทสำคัญในการเพิ่มอรรถรสของเกม โดยเฉพาะในช่วงที่ผู้เล่นต้องซ่อนตัวจากศัตรู[88] ด้านแอนดี เคลลี จาก คอมพิวเตอร์แอนด์วิดีโอเกมส์ พบว่าเสียงแวดล้อมมีผลดีต่อการเล่น และชมผลงานดนตรีประกอบของกุสตาโว ซานตาโอลาญา ว่า "เบาบางและละเอียดอ่อน"[84] ทั้งเฮลเกสันจากเกมอินฟอร์เมอร์ และเจมส์ สเตฟานี สเตอร์ลิง จากเดสทรักทอยด์ ต่างก็เรียกดนตรีประกอบว่า "น่าหลอน"[87] โดยสเตอร์ลิงระบุเพิ่มเติมว่าดนตรีช่วยเสริมประสบการณ์การเล่นเกมได้อย่างลงตัว[95]
ภาพความรุนแรงในเดอะลาสต์ออฟอัส ได้รับการพูดถึงอย่างกว้างขวางจากนักวิจารณ์ ก่อนที่เกมจะวางจำหน่าย คีธ สจวร์ต จากเดอะการ์เดียน ระบุว่าความเหมาะสมของความรุนแรงในเกมจะขึ้นอยู่กับบริบทที่นำเสนอ[99] เบน กิลเบิร์ต จากเอนแกดเจต เห็นว่าการเน้นฉากต่อสู้อย่างต่อเนื่องเป็น "ความจำเป็นที่หลีกเลี่ยงไม่ได้" เพื่อพาตัวละครเอกที่เปราะบางไปสู่ความปลอดภัย ไม่ใช่เพียงแค่ใช้ความรุนแรงเพื่อบรรลุเป้าหมาย[100] ขณะที่เคิร์ก แฮมิลตัน จากโคทาคุ มองว่าความรุนแรงในเกมนั้น "หนักหน่วง มีผลตามมา และจำเป็น" ไม่ใช่ความรุนแรงที่เกินเหตุ[1] แอนโธนี จอห์น แอกเนลโล จากยูเอสเกมเมอร์ เขียนว่าเกมจงใจสะท้อนด้านลบของความรุนแรง ทำให้ผู้เล่นรู้สึกไม่สบายใจเมื่อเผชิญหน้ากับฉากต่อสู้อันดุเดือด โดยการเสียชีวิตในเกมล้วนมีเหตุผลและไม่ฟุ่มเฟือย ซึ่งส่งผลให้เนื้อเรื่องทรงพลังยิ่งขึ้น[101] แอนดี เคลลี จากคอมพิวเตอร์แอนด์วิดีโอเกมส์ ระบุว่า แม้ฉากการต่อสู้จะ "โหดร้ายอย่างยิ่ง" แต่ก็ไม่รู้สึกว่าเป็นความรุนแรงที่เกินความจำเป็น[94] เดวิด มีกเลแฮม จากเพลย์สเตชันออฟฟิเชียลแมกกาซีน เห็นว่าความรุนแรงในเกมช่วย "สร้างบรรยากาศได้อย่างน่าเชื่อถือ" และไม่ได้เกิดจากความต้องการยัดเยียด[91] โอลี เวลช์ จากยูโรเกมเมอร์ แสดงความคิดเห็นในทำนองเดียวกันว่า ความรุนแรงในเกมไม่ได้ "ไร้สติหรือชวนด้านชา"[86] แมตต์ เฮลเกสัน จากเกมอินฟอร์เมอร์ สังเกตว่าฉากรุนแรงทำให้ผู้เล่นตั้งคำถามถึงศีลธรรมของตัวเอง[87] ส่วนริชาร์ด มิตเชลล์ จากจอยสติก เขียนว่าความรุนแรงถูกออกแบบมาให้รู้สึกไม่สบายใจ และมีบทบาทสำคัญต่อการสร้างตัวตนของโจเอลในฐานะตัวละครที่มีหลายมิติ[90]
นักวิจารณ์หลายคนกล่าวถึงการพรรณนาตัวละครหญิงในเดอะลาสต์ออฟอัส เจสัน คิลลิงส์เวิร์ธ จากเอดจ์ ชื่นชมการที่เกมไม่มีตัวละครหญิงที่ถูกทำให้เป็นวัตถุทางเพศ โดยระบุว่าเกมนี้ "เป็นเหมือนยาแก้ความลำเอียงและทัศนคติถดถอยทางเพศในวิดีโอเกมฟอร์มใหญ่ส่วนใหญ่"[102] เอลลี กิบสัน จากยูโรเกมเมอร์ ยกย่องตัวละครเอลลี่ว่า "บางครั้งแข็งแกร่ง บางครั้งเปราะบาง แต่ไม่เคยดูซ้ำซาก"[103] เธอเห็นว่า แม้เอลลีจะถูกวางบทให้เป็น "หญิงสาวผู้ตกอยู่ในอันตราย" ในตอนต้น แต่เกมกลับพลิกแนวคิดดังกล่าวอย่างน่าสนใจ[103] แคโรลิน เปอตี จากเกมสปอต กล่าวชมตัวละครหญิงในเกมว่ามีความขัดแย้งในตัวเองและน่าเห็นใจ แต่ก็ย้ำว่าเพศในวิดีโอเกมควรได้รับการพิจารณาจากคุณลักษณะของตัวเกมเอง ไม่ใช่จากการเปรียบเทียบกับเกมอื่น[104] คริส ซูลเลนทรอป จากเดอะนิวยอร์กไทมส์ ยอมรับว่าเอลลีเป็นตัวละครที่มีเสน่ห์และ "ทรงพลังในบางช่วง" แต่แย้งว่าโดยรวมแล้ว เดอะลาสต์ออฟอัสยังเป็น "เรื่องราวของโจเอล" และเป็นอีกหนึ่ง "วิดีโอเกมที่สร้างโดยผู้ชาย เพื่อผู้ชาย และเกี่ยวกับผู้ชาย"[105] เกมยังได้รับคำชมในการพรรณนาตัวละคร LGBT ซัม ไอน์ฮอร์น จากเกย์เกมเมอร์ดอตเน็ต ระบุว่าการเปิดเผยรสนิยมทางเพศของบิล "ช่วยเติมเต็มตัวละครของเขาโดยไม่ทำให้ดูเป็นสัญลักษณ์แทนกลุ่ม"[106] องค์กร GLAAD ของสหรัฐฯ ก็ยกให้บิลเป็นหนึ่งใน "ตัวละคร LGBT ใหม่ที่น่าสนใจที่สุดประจำปี 2013" พร้อมระบุว่าเขา "มีข้อบกพร่องอย่างลึกซึ้งแต่ก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว"[107] การจูบระหว่างตัวละครหญิงสองคนในภาคเสริมเลฟต์บีไฮนด์ ก็ได้รับเสียงตอบรับในเชิงบวกจากนักวิจารณ์และผู้เล่นอย่างแพร่หลาย[108][109]
เดอะลาสต์ออฟอัส รีมาสเตอร์ ได้รับ "เสียงชื่นชมจากทั่วโลก" ตามข้อมูลจากเมทาคริติก[110] โดยเป็นเกมบนเพลย์สเตชัน 4 ที่ได้คะแนนสูงเป็นอันดับสาม เทียบเท่ากับ เพอร์โซนา 5 โรยัล และเป็นรองเพียงแกรนด์เธฟต์ออโต V และ เรดเดดรีเดมพ์ชัน 2[116] นักวิจารณ์ต่างยกย่องกราฟิกที่ได้รับการปรับปรุง[112][113][117] การพัฒนาในด้านเทคนิค[111][114][118] การปรับปรุงระบบควบคุม[112][119] การรวมภาคเสริมเลฟต์บีไฮนด์[112][120][121] การเพิ่มโหมดถ่ายภาพ[112][122] และคำบรรยายเสียงในเกม[92][122][123] ฟิลิป โคลลาร์ จากโพลีกอน เปรียบเทียบเวอร์ชันนี้กับภาพยนตร์ฉบับตัดต่อพิเศษโดยผู้กำกับ[92] ขณะที่เจมส์ สเตฟานี สเตอร์ลิง จากดิเอสเกพิสต์ ยกให้เป็น "เวอร์ชันที่สมบูรณ์แบบที่สุดของเกม"[114]
รางวัล
ก่อนวางจำหน่าย เดอะลาสต์ออฟอัสได้รับรางวัลมากมายจากการนำเสนอในงาน E3[124][125][126][127][128] และหลังวางจำหน่ายก็กลายเป็นเกมที่ได้รับคะแนนรีวิวรวมสูงเป็นอันดับสองของปี 2013 จากเมทาคริติก และ เกมแรงกิงส์ เป็นรองเพียง แกรนด์เธฟต์ออโต V[129][130] เกมนี้ได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในรายชื่อเกมยอดเยี่ยมแห่งปี 2013 จากหลายสื่อ และคว้ารางวัลจากเวทีสำคัญต่าง ๆ ได้แก่ รางวัลแอนนีอะวอดส์ ครั้งที่ 41[131], บริติชอะคาเดมีวิดีโอเกมส์อะวอดส์ ครั้งที่ 10[132], D.I.C.E. อะวอดส์ ครั้งที่ 17[133] และเกมดีเวลอปเปอส์ชอยส์อะวอดส์ ครั้งที่ 14[134] รวมถึงได้รับการยกย่องจากสื่ออย่าง ดิ เอ. วี. คลับ[135], แคนาดา.คอม[136], เดอะเดลีเทเลกราฟ[137], เดสทรักทอยด์[138], ดิเอสเกพิสต์[139], เกมส์เรดาร์[140], เกมเทรลเลอส์[141], เกมเรโวลูชัน[142], ไจแอนต์บอมบ์[143], กูดเกม[144], ฮาร์ดคอร์เกมเมอร์[145], ไอจีเอ็น[146], ไอจีเอ็นออสเตรเลีย[147] , อินเตอร์เนชันแนลบิสซิเนสไทมส์[148], โคทาคุ[149], วีจี247[150] และ วิดีโอเกมเมอร์.คอม[151] เกมยังได้รับตำแหน่งเกมยอดเยี่ยมบนแพลตฟอร์มเพลย์สเตชัน จากเกมสปอต[152], เกมเทรลเลอส์[141], ฮาร์ดคอร์เกมเมอร์[153] และไอจีเอ็น[154] ขณะเดียวกัน นอตีด็อกก็ได้รับรางวัลสตูดิโอแห่งปีและนักพัฒนายอดเยี่ยมจากเดอะเดลีเทเลกราฟ[137] , เอดจ์[155], โกลเดนจอยสติกอะวอดส์[156], ฮาร์ดคอร์เกมเมอร์[157] และ สไปก์วีจีเอกซ์ 2013[158]
เบเกอร์ และจอห์นสัน ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลมากมายจากการแสดงของพวกเขา โดยเบเกอร์คว้ารางวัลจากฮาร์ดคอร์เกมเมอร์[159] และสไปก์วีจีเอกซ์ 2013[158] ส่วนจอห์นสันได้รับรางวัลจากบริติชอะคาเดมีวิดีโอเกมส์อะวอดส์[132], D.I.C.E. อะวอดส์[133], วีจีเอกซ์ 2013[158] และเดอะเดลีเทเลกราฟ[137] เนื้อเรื่องของเกมก็ได้รับรางวัลจากเวทีสำคัญหลายแห่ง ได้แก่ บริติชอะคาเดมีวิดีโอเกมส์อะวอดส์[132], D.I.C.E. อะวอดส์[133], เกมดีเวลอปเปอส์ชอยส์อะวอดส์[134], โกลเดนจอยสติกอะวอดส์[156], รางวัลสมาคมนักเขียนแห่งอเมริกา[160] รวมถึงจากสื่ออย่าง เกมเทรลเลอส์[141], ไจแอนต์บอมบ์[161], ฮาร์ดคอร์เกมเมอร์,[162] และไอจีเอ็น[163] ด้านการออกแบบเสียงและดนตรี เกมได้รับรางวัลจาก D.I.C.E. อะวอดส์[133], อินไซด์เกมมิงอะวอดส์[156] และไอจีเอ็น[164][165] ขณะที่การออกแบบกราฟิกและงานศิลป์ก็ได้รับการยกย่อง โดยคว้ารางวัลจากเดสทรักทอยด์[166], D.I.C.E. อะวอดส์[133], โกลเดนจอยสติกอะวอดส์[156] และไอจีเอ็น[167][168]
เดอะลาสต์ออฟอัส ได้รับรางวัลนวัตดรรมยอดเยี่ยมด้านเกม จาก D.I.C.E. อะวอดส์[133] และ เกมยิงมุมมองบุคคลที่สามยอดเยี่ยมจากเกมเทรลเลอส์[141] นอกจากนี้ยังคว้ารางวัลไอพีใหม่ยอดเยี่ยม จากฮาร์ดคอร์เกมเมอร์[169], เกมมาใหม่ยอดเยี่ยม จากโกลเดนจอยสติกอะวอดส์[156], และเกมเปิดตัวยอดเยี่ยม จากไจแอนต์บอมบ์[170] ในงาน เบสต์ออฟ 2013 อะวอดส์ ของไอจีเอ็น เกมได้รับรางวัล ภาพรวมเสียงยอดเยี่ยม[164], เกมเพลย์สเตชัน 3 ยอดเยี่ยม[171], และ เกมแอ็กชันผจญภัยยอดเยี่ยม ทั้งในหมวดเพลย์สเตชัน 3[172] และรางวัลโดยรวม[173] นอกจากนี้ยังคว้ารางวัล เกมแอ็กชันผจญภัยยอดเยี่ยม จากบริติชอะคาเดมีวิดีโอเกมส์อะวอดส์[132] และดิเอสเกพิสต์[174] รวมถึงเกมแอ็กชันยอดเยี่ยม จากฮาร์ดคอร์เกมเมอร์[175] และเกมผจญภัยแห่งปี จาก D.I.C.E. อะวอดส์[133] เกมยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงเกมรีมาสเตอร์ยอดเยี่ยม ที่เดอะเกมอะวอดส์ 2014[176] และได้รับการกล่าวถึงอย่างมีเกียรติ ในสาขาเทคโนโลยียอดเยี่ยมที่เกมดีเวลอปเปอส์ชอยส์อะวอดส์ ครั้งที่ 15[177] นอกจากนี้ เดอะลาสต์ออฟอัสยังถูกจัดอันดับให้เป็นหนึ่งใน เกมที่ดีที่สุดของทศวรรษ 2010 โดยเดอะฮอลลีวูดรีพอร์เตอร์ [178], แมชเอเบิล[179], เมทาคริติก[180] และ วีจี247[181]
ยอดขาย
สรุป
มุมมอง
ภายในเจ็ดวันหลังวางจำหน่ายเดอะลาสต์ออฟอัส มียอดขายมากกว่า 1.3 ล้านชุด กลายเป็นเกมเปิดตัวที่ใหญ่ที่สุดของปี 2013 ในเวลานั้น[182] สามสัปดาห์ต่อมา ยอดขายทะลุ 3.4 ล้านชุด และถือเป็นเกมต้นฉบับที่เปิดตัวได้ยิ่งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่แอลเอนัวร์[183] ในปี 2011 รวมถึงเป็นเกมบนเพลย์สเตชัน 3 ที่มียอดขายเร็วที่สุดในปี 2013 ในขณะนั้น[184] เกมนี้ยังกลายเป็นเกมที่มียอดดาวน์โหลดสูงสุดบนเพลย์สเตชันสโตร์ สำหรับเพลย์สเตชัน 3[185] ซึ่งต่อมาสถิตินี้ถูกทำลายโดยแกรนด์เธฟต์ออโต V[186] โดยรวม เดอะลาสต์ออฟอัส เป็นเกมที่มียอดขายสูงสุดอันดับ 10 ของปี 2013[185] และมียอดขายรวม 6 ล้านชุดภายในหนึ่งปี[187] ในสหราชอาณาจักร เกมติดอันดับหนึ่งของชาร์ตนานถึงหกสัปดาห์ติดต่อกัน เทียบเท่ากับเกมมัลติแพลตฟอร์มหลายเกม[c] และภายใน 48 ชั่วโมงหลังวางจำหน่าย เกมทำรายได้เกินกว่า 3 ล้านปอนด์ ซึ่งมากกว่าภาพยนตร์บุรุษเหล็ก ซูเปอร์แมนในช่วงเวลาเดียวกัน[189] เดอะลาสต์ออฟอัส ยังครองอันดับหนึ่งของชาร์ตในหลายประเทศ รวมถึง สหรัฐอเมริกา[190] ฝรั่งเศส[191] ไอร์แลนด์[192] อิตาลี[193] เนเธอร์แลนด์[194] สวีเดน[195] ฟินแลนด์[195] นอร์เวย์[195] เดนมาร์ก[195] สเปน[196] และญี่ปุ่น[197]
เดอะลาสต์ออฟอัส เป็นหนึ่งในเกมที่มียอดขายสูงสุดบนเพลย์สเตชัน 3 และเวอร์ชันรีมาสเตอร์ ก็เป็นหนึ่งในเกมขายดีที่สุดบนเพลย์สเตชัน 4 เช่นกัน[198] ภายในเดือนสิงหาคม 2014 เกมมียอดขายรวม 8 ล้านชุด แบ่งเป็น 7 ล้านชุดบนเพลย์สเตชัน 3 และ 1 ล้านชุดบนเพลย์สเตชัน 4[199] ภายในเดือนเมษายน 2018 ยอดขายรวมบนทั้งสองแพลตฟอร์มเพิ่มขึ้นเป็น 17 ล้านชุด[200] และทะลุ 20 ล้านชุดภายในเดือนพฤษภาคม 2019 โดยแบ่งเป็น 8.4 ล้านชุดบนเพลย์สเตชัน 3 และ 11.79 ล้านชุดบนเพลย์สเตชัน 4[187]
สิ่งสืบทอด
สรุป
มุมมอง
นักวิจารณ์มีความเห็นร่วมกันว่า เดอะลาสต์ออฟอัส เป็นหนึ่งในเกมที่ยอดเยี่ยมที่สุดของวิดีโอเกมคอนโซลยุคที่เจ็ด[201] และถือเป็นเกมปิดท้ายยุคก่อนเข้าสู่ยุคที่แปดได้อย่างยิ่งใหญ่[202][203][204] เกมนี้ยังมักได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในวิดีโอเกมที่ดีที่สุด[205] หลายเสียงจากวงการมองว่าเกมนี้เป็นหมุดหมายสำคัญของอุตสาหกรรม ด้วยการผสมผสานระหว่างเนื้อเรื่องที่ลุ่มลึกและรูปแบบการเล่นที่มีประสิทธิภาพ[206][207][208] นักพัฒนาจาก ก๊อดออฟวอร์ (2018) และ อะเพลกเทลอินโนเซนซ์ (2019) ต่างก็กล่าวว่าได้รับแรงบันดาลใจจากการที่ เดอะลาสต์ออฟอัส ให้ความสำคัญกับตัวละคร[209][210] ในเดือนพฤษภาคม 2023 เดอะลาสต์ออฟอัส ได้รับการบรรจุลงเวิลด์วิดีโอเกมฮอลออฟเฟม ที่พิพิธภัณฑ์สตรองเนชันแนลมิวเซียมออฟเพลย์[211] ในเดือนมิถุนายน 2023 เกมเดอะลาสต์โฮป: เดดโซนเซอร์ไววัล จากค่ายเวอร์ชวลโกลบอลเกมส์ ซึ่งวางจำหน่ายบนนินเท็นโด สวิตช์ ถูกสื่อระบุว่าเป็น "เกมลอกเลียน" หรือ "ก็อปปี้" ของเดอะลาสต์ออฟอัส เนื่องจากมีแนวคิด ตัวละคร และดนตรีที่คล้ายกันอย่างชัดเจน[212][213] ตัวอย่างวิดีโอของเกมดังกล่าวถูกลบออกจากยูทูบ หลังโซนี่ยื่นเรื่องละเมิดลิขสิทธิ์ และตัวเกมถูกถอดออกจากนินเท็นโด อีช็อป ในเดือนสิงหาคมของปีเดียวกัน[214][215]
แฟรนไชส์
เดอะลาสต์ออฟอัส กลายเป็นแฟรนไชส์สื่อที่ขยายออกไปหลากหลายรูปแบบ โดยมีมินิซีรีส์การ์ตูนความยาว 4 ฉบับชื่อ เดอะลาสต์ออฟอัส: อเมริกันดรีมส์ จัดพิมพ์โดยดาร์กฮอร์สคอมิกส์ ระหว่างเดือนเมษายนถึงกรกฎาคม 2013 เขียนบทโดยนีล ดรักแมนน์ และวาดภาพโดยเฟธ เอริน ฮิกส์[216] ในเดือนกรกฎาคม 2014 นักแสดงจากเกมได้ร่วมแสดงสดอ่านบทฉากสำคัญของเกมในเมืองซานตาโมนิกา รัฐแคลิฟอร์เนีย พร้อมดนตรีสดจากกุสตาโว ซานตาโอลาญา[217] ภาคต่อของเกม เดอะลาสต์ออฟอัส พาร์ต II วางจำหน่ายบนเพลย์สเตชัน 4 ในเดือนมิถุนายน 2020[218] สำหรับเกมกระดาน มีการเปิดตัว เดอะลาสต์ออฟอัส: เอสเกปเดอะดาร์ก โดยธีมบอร์นในปี 2024[219] และอีกหนึ่งเกมกระดานจาก CMON ชื่อ เดอะลาสต์ออฟอัส: เดอะบอร์ดเกม ประกาศในปี 2020[220]
เดอะลาสต์ออฟอัสเคยมีความพยายามในการดัดแปลงเป็นภาพยนตร์สองครั้ง ครั้งแรกเป็นภาพยนตร์ฉบับคนแสดง เขียนบทโดยนีล ดรักแมนน์ และอำนวยการสร้างโดยแซม ไรมี แต่โครงการนี้ติดอยู่ในขั้นตอนการพัฒนาที่ไม่คืบหน้า (development hell)[221] ส่วนอีกโครงการคือภาพยนตร์แอนิเมชันขนาดสั้นโดยสตูดิโอออดเฟลโลวส์ ซึ่งถูกยกเลิกโดยโซนี่[222] ในเวลาต่อมา ดรักแมนน์ได้ร่วมมือกับเครก เมซิน สร้างซีรีส์ฉบับคนแสดง เดอะลาสต์ออฟอัส โดยมีเปโดร ปัสกัล และเบลลา แรมซีย์ รับบทนำ ซีรีส์ออกฉายครั้งแรกทางเอชบีโอ และเอชบีโอแมกซ์ ในเดือนมกราคม 2023[223]
เชิงอรรถ
- เกมอื่นที่สามารถครองอันดับหนึ่งบนชาร์ตยอดขายในสหราชอาณาจักรติดต่อกันเป็นเวลา 6 สัปดาห์ เช่นเดียวกับ The Last of Us ได้แก่ ฟีฟ่า 12 (2011) และคอลออฟดิวตี: แบล็กออปส์ II (2012)[188]
อ้างอิง
Wikiwand - on
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.