สกุลพุนชัส (อังกฤษ: barb) เป็นสกุลหนึ่งในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) มีอยู่ด้วยกันมากมายหลายชนิด ใช้ชื่อสกุลว่า Puntius

ข้อมูลเบื้องต้น สกุลพุนชัส, การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์ ...
สกุลพุนชัส
Thumb
ปลาเชอร์รี่บาร์บ (P. titteya) ตัวเมีย (บน) และตัวผู้ (ล่าง)
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์
อาณาจักร: Animalia
ไฟลัม: Chordata
ชั้น: Actinopterygii
อันดับ: Cypriniformes
วงศ์: Cyprinidae
สกุล: Puntius
Hamilton, 1822
ชนิดต้นแบบ
Cyprinus sophore
Hamilton, 1822
ชนิด
ประมาณ 53
ชื่อพ้อง
  • Cephalakompsus Herre, 1924
  • Eechathalakenda Menon, 1999
  • Mandibularca Herre, 1924
  • Ospatulus Herre, 1924
  • Spratellicypris Herre & Myers, 1931
ปิด
ปลาตะเพียนหน้าแดง (Sahyadria denisonii) ซึ่งเดิมเคยอยู่ในสกุลนี้ แต่ปัจจุบันแยกอยู่ในสกุล Sahyadria[1]

ที่มาและลักษณะ

สกุลนี้เดิมทีในปี ค.ศ. 1816 คูเวียร์และโคลเกท ได้เสนอให้ตั้งชื่อสกุลของปลาที่อยู่ในวงศ์ย่อย Cyprininae ว่า Barbus โดยใช้ปลาชนิด Cyprinus barbus (Linnaeus, 1758) เป็นต้นแบบ โดยกำหนดลักษณะของปลาที่อยู่ในสกุลนี้ว่า ปากโค้ง อยู่หน้าสุดหรืออยู่ใต้จะงอยปาก ขากรรไกรหุ้มด้วยริมฝีปากซึ่งอาจจะเป็นแผ่นหนังเรียบ แต่ไม่มีตุ่ม มีหนวด 2 คู่ หรือ 1 คู่ หรือไม่มีหนวด ตาไม่มีเยื่อหุ้มเหมือนวุ้นอยู่รอบ ๆ ฟันที่ลำคอมี 3 แถว ครีบหลังค่อนข้างสั้นอยู่ตรงข้ามกับครีบท้อง ก้านครีบเดี่ยวก้านสุดท้ายของครีบหลังอาจแข็ง ขอบอาจจะเป็นฟันหยักคล้ายจักหรือเรียบ ก้านครีบเดี่ยวอาจมีปลายแหลมและไม่แข็ง ครีบก้นค่อนข้างสั้น บางชนิดอาจมีก้านครีบเดี่ยวก้านที่สองของครีบก้นเป็นหนามแข็ง หรือในบางชนิดก้านครีบเดี่ยวก้านสุดท้ายของครีบก้นมีจักเป็นฟันเลื่อย เกล็ดแบบขอบบางเรียบ เกล็ดบริเวณรูทวารไม่ใหญ่กว่าที่อื่น เส้นข้างลำตัวในบางชนิดอาจสมบูรณ์ ในบางชนิดไม่สมบูรณ์ โดยชนิดที่เส้นข้างลำตัวที่สมบูรณ์ส่วนปลายของเส้นไปสิ้นสุดที่กึ่งกลางของฐานครีบหาง

แต่เมื่อพิจารณาแล้วพบว่า หลักเกณฑ์นี้มีขอบเขตที่กว้าง ไม่เหมาะแก่การที่จะเป็นลักษณะทางการอนุกรมวิธานของสกุล ซึ่งเมื่อนักมีนวิทยารุ่นหลังได้ศึกษาเพิ่มเติมพบว่าสามารถแบ่งออกเป็นสกุลอื่น ๆ ได้อีกถึง 10 สกุล และได้มีการตั้งชื่อสกุลใหม่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1822 แฮมิลตัน ได้ตั้งชื่อสกุลนี้ใหม่ว่า Puntius (มาจากภาษาเบงกอลคำว่า pungti หมายถึง ปลาในวงศ์ปลาตะเพียนขนาดเล็ก[2]) และได้กำหนดลักษณะสำคัญของสกุลนี้ไว้ว่า มีลำตัวยาว แบนข้างมากบ้างหรือน้อยบ้าง จะงอยปากทู่สั้น ตำแหน่งของปากอยู่ปลายสุดหรือใต้จะงอยปาก ขากรรไกรบนยื่นมากบ้าง น้อยบ้าง ริมฝีปากบาง มีร่องระหว่างริมฝีปากและกระดูกขากรรไกรบนและล่าง แต่จะมีเอ็นคั่นตรงกึ่งกลางขากรรไกรล่าง นัยน์ตาของบางชนิดมีเยื่อไขมันเป็นวงเล็ก ๆ กระดูกใต้ตาเล็ก มีหนวดที่ริมฝีปากบน 1 คู่ และมุมปาก 1 คู่ บางชนิดอาจไม่มีหนวดที่ริมปาก บนครีบหลังมีก้านครีบแขนง 7-9 ก้าน และที่ฐานครีบมีเกล็ดคลุมตำแหน่งของครีบหลังอาจอยู่ตรงข้ามครีบท้อง หรือาจจะอยู่ด้านหน้าหรือหลังจุดเริ่มต้นของครีบท้อง ก้านครีบเดี่ยวก้านสุดท้ายเป็นหนามแข็ง เกล็ดมีขนาดใหญ่หรือปานกลาง เส้นข้างลำตัวสมบูรณ์ในบางชนิด ไม่สมบูรณ์ในบางชนิด และปลยเส้นข้างลำตัวไปสิ้นสุดที่กึ่งกลางหรือเกือบกึ่งกลางฐานครีบหาง เกล็ดตามแนวเส้นข้างลำตัวมีประมาณ 17-38 แถว ปลายท่อบนเกล็ดเส้นข้างลำตัวไม่แยกเป็นแฉก เยื่อกระดูกแก้มเชื่อมติดกับเอ็นขอบคาง มีฟันที่ลำคอ 3 แถว

ซึ่งแฮมิลตันได้นำไปตั้งให้กับปลาที่พบในประเทศอินเดียเป็นครั้งแรก แต่มิได้ระบุว่าเป็นชนิดใดที่เป็นต้นแบบ ถือเป็นการผิดหลักในการอนุกรมวิธาน เพื่อแก้ปัญหานี้ ต่อมาในปี ค.ศ. 1863 บลีกเกอร์ ได้เสนอให้ใช้ปลาชนิด Puntius sophore (Hamilton, 1822) ตั้งชื่อไว้เป็นต้นแบบ และได้แบ่งสกุลพันชัสนี้ออกเป็น 3 สกุลย่อย โดยใช้หนวดเป็นเกณฑ์

แต่ทว่าการใช้หนวดเป็นเกณฑ์แบ่งแยกนั้น ก็ยังมีข้อจำกัด และได้ก่อให้เกิดการถกเถียงตามมาตลอด จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1996 เรนโบธ ได้เสนอให้แบ่งแยกสกุลของปลาในวงศ์ปลาตะเพียนนี้ที่พบในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ ออกเป็น 4 สกุล โดยสกุลพุนชัสเองก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย และทำให้ชื่อสกุลต่าง ๆ เหล่านี้กลายมาเป็นชื่อพ้องที่ซ้ำซ้อนกันในปัจจุบัน โดยสกุลพุนชัสนี้ได้ข้อสรุปว่า ก้านครีบเดี่ยวของครีบหลังมีขอบเรียบ มีหนวดที่ริมฝีปากบน 1 คู่ และซี่กรองเหงือกของเหงือกอันแรกมีจำนวน 12 ถึง 20 อัน[3]

ต่อมาในปี ค.ศ. 2003 ได้มีการศึกษาและอนุกรมวิธานปลาในวงศ์ปลาตะเพียนใหม่ โดยเฉพาะในสกุลพุนชัสนี้ จึงได้มีการจำแนกแยกออกเป็นสกุลใหม่และนำเข้าผนวกรวมกับสกุลเดิมที่เคยใช้ ทำให้สมาชิกในสกุลพุนชัสลดลง เหลืออยู่ประมาณ 53 ชนิด (จากเดิมประมาณ 140 ชนิด[3])[4][5][6][7]

การจำแนก

อ้างอิง

แหล่งข้อมูลอื่น

Wikiwand in your browser!

Seamless Wikipedia browsing. On steroids.

Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.

Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.