เอ-10 ธันเดอร์โบลท์ 2 (อังกฤษ: A-10 Thunderbolt II) เอ-10 บินครั้งแรกเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 1972 และเริ่มประจำการในกองบินกองทัพอากาศสหรัฐเมื่อวันที่ 20 มีนาคม ค.ศ. 1976[ต้องการอ้างอิง]
A-10 THUNDERBOLT II | |
---|---|
ข้อมูลทั่วไป | |
บทบาท | ภารกิจสนับสนุนทางอากาศ อย่างใกล้ชิด Close air support |
ชาติกำเนิด | สหรัฐ |
บริษัทผู้ผลิต | แฟร์ไชลด์ แอร์คราฟท์ |
สถานะ | ประจำการ |
ผู้ใช้งานหลัก | กองทัพอากาศสหรัฐ |
จำนวนที่ผลิต | 715 ลำ[1] |
ประวัติ | |
เริ่มใช้งาน | พ.ศ 2520 |
เที่ยวบินแรก | 10 พฤษภาคม 2519 |
A-10 เป็นเครื่องบินไอพ่นโจมตีแบบแรกของสหรัฐฯ ที่สนับสนุนหน่วยภาคพื้นดิน โดยเฉพาะการปราบรถถังและรถเกราะลำเลียงพล ด้วยปืนกลขนาดใหญ่ A-10 สามารถบรรทุกอาวุธได้มาก สามารถบินลาดตระเวนได้เป็นเวลานาน มีความคล่องตัวสูงสามารถบินเข้าโจมตีด้วยอัตราเร็วต่ำ มีเกราะป้องกันหัองนักบินเครื่องยนต์และระบบบังคับการบิน[2] เดิมทีนั้นชื่อของA-10 "ธันเดอร์โบลท์" มาจากพี-47 ธันเดอร์โบลท์ที่ใช้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 เพราะเนื่องจากเครื่องบินทั้งสองมีประสิทธิภาพในการทำลายภาคพื้น จึงมีชื่อเหมือนกัน มันเป็นเครื่องบินรบที่ให้การสนับสนุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เอ-10 มีชื่อเล่นว่า"วอร์ธอก" (Warthog) หรือเรียกสั้นๆ ว่า"ฮอค" (Hog)[3] ภารกิจรองลงมาคือมันจะทำหน้าที่นำอากาศยานลำอื่นๆ เข้าสู่เป้าหมายบนพื้นดิน เอ-10 ที่ทำหน้าที่ดังกล่าวเป็นหลักจะถูกเรียกว่าโอเอ-10[4]
การพัฒนา
ที่มาของ A-10
ในช่วงสงครามโลกครั่งที่ 2 ที่การพัฒนาเครื่องบินโจมตีแบบทั่วๆไปของกองทัพอากาศสหรัฐนันเริ่มเงียบลง จากการที่มีการออกแบบเครื่องบินทางยุทธวิถี ในการปล่อยอาวุธนิวเคลียร์ที่มีความเร็วสูงอย่าง McDonnell F-101 Voodoo และ Republic F-105 Thunderchief แต่เมื่อสหรัฐได้เข้าสู่สงครามเวียดนาม เครื่องบินโจมตีหลักที่มี ก็คือ Douglas A-1 Skyraider มันเป็นเครื่องบินโจมตีเพียงแบบเดียวที่บรรทุกอาวุธได้เยอะ และบินลอยลำได้นานเหนื่อพื่นที่เป้าหมาย แต่ด้วยการที่มันเป็นเครื่องบินใบพัก ทำให้มันมีความเร็วที่ต่ำกว่าเสียงและเสี่ยงต่อการถูกยิงด้วยปืนต่อต้านอากาศยาน อีกทั่งมันถูกใช้มานานตั่งแต่สงครามเกาหลี
การพัฒนา A-10 Thunderbolt II
ด้วยการขาดขีดความสามารถที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพ ในวันที 7 มิถุนายน ปี 1961 รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐ Robert McNamara ได้สั่งการให้กองทัพอากาศสหรัฐให้พัฒนาเครื่องบินทางยุทธวิถีสองแบบ โดยแบบแรกจะใช้ในภารกิจขัดขว้างทางอากาศ หรือ Air Intercept และอีกแบบหนึ่งโฟกัสไปที่เครื่องบินขับไล่ทิ้งระเบิด โดยโครงการแรกได้เกิดเป็นโครงการ Tactical Flighter Experimental หรือ TFX ต้นกำเนิดของเครื่องบิน General Dynamics F-111 Aardvark และอีกโครงการ ต้นกำเนิดของตระกูลเครื่องบินขับไล่อย่าง McDonnell Douglas F-4 PHANTOM II ซึ่งทำหน้าที่เป็นเครื่องบินขับไล่ที่ดีและมีความสามารถในการทิ้งระเบิดอีกด้วย แต่ข้อเสียของ PHANTOM จะมี ประสิทธิภาพที่ตำเมื่ออยู่ในความเร็วที่ต่ำและมีระยะเวลาในการลอยลำอยู่เหนือพื่นเป้าหมายที่น้อยอีกทั่งยังมีราคาที่แพงจนเกินไป
ในช่วงเวลาเดียวกันนันกองทัพบกสหรัฐ จึงได้เริ่มนำ เฮลิคอปเตอร์ แบบ Bell UH-1 Iroquois หรือ Huey เข้าประจำการ โดยถูกกำหนดให้ทำหน้าที่หลักในการลำเลียงกำลังพล และไม่นานหลังจากประจำการมันก็ได้ถูกดัดแปลงให้ติดปืนหลายประเภท จนกล้ายเป็น เฮลิคอปเตอร์ ที่รู้จัก กันในชื่อ Gunship มันได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความสำเร็จในการต่อสู้กับข้าศึกที้ไม่ได้หุ้มเกราะหนามากนัก จากนันไม่นานก็มีการ พัฒนา เฮลิคอปเตอร์ โจมตีเป็น Bell AH-1 Cobra ที่ติดอาวุธด้วยจรวดนำวิถี BGM-71 Tow ซึ่งสามารถทำลายรถถังได้จากระยะไกล
การมาของ เฮลิคอปเตอร์ โจมตีนี้ ทำให้กองทัพสหรัฐ มีการปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ในการป้องกันจากกองทัพรถถัง วอร์ซอ แพท ในยุคสงครามเย็น มาใช้งาน เฮลิคอปเตอร์ โจมตีมากกว่าที่จะใช้อาวุธนิวเคลียร์ ทางยุทธวิถี อันเป็นแผน ที่ Nato ยึดถือมาตั่งแต่ ยุค 1950
เฮลิคอปเตอร์ Cobra เป็น เฮลิคอปเตอร์ ที่ผลิตได้อย่างรวดเร็วที่ซึ่งมีพื่นฐานมาจาก UH-1 Iroquois มันถูกนำเสนอออกมาในยุค 1960 โดยการออกแบบแบบชั่วคราว จนกระทั่ง กองทัพบกสหรัฐ เริ่มต้นโครงการ Advanced Aerial Fire Support System และก็ทัพบกสหรัฐได้เลือก เฮลิคอปเตอร์ แบบ Lockheed AH-56 Cheyenna มันดูจะมีขีดความสามารถที่ดีและความเร็วที่สูงในช่วงแรกของการผลิต การพัฒนาโครงการ เฮลิคอปเตอร์ โจมตีแบบใหม่นี้ทำให้กองทัพอากาศสหรัฐกังวลเป็นอย่างมากที่ได้เห็น ขีดความสามารถ ของ เฮลิคอปเตอร์โจมตีในการจัดการกับกองทัพรถถัง ที่เอาชนะหลังนิยมการใช้อาวุธนิวเคลียร์ในยุโรป ทำให้ในปี 1966 ทำให้กองทัพอากาศสหรัฐ ได้ทำการศึกษาขีดความสามารถในการสนับสนุน ทางอากาศอย่างใกล้ชิด หรือ Close air support (CAS) จึงทำให้พบช่องโหวต ที่ เฮลิคอปเตอร์ Cheyenna ไม่สามารถทำได้ การศึกษานี้ชี้ชัดว่ากองทัพอากาศสหรัฐ ต้องการเครื่องบินโจมตีธรรมดา ที่ราคาไม่แพง และต้องมีความสามารถที่มากกว่าหรือเทียบเท่ากับเครื่องบินโจมตีแบบเดิมอย่าง A-1 Skyraider และควรที่จะพัฒนาหลักนิยม ยุทธวิถี และหลักการปฎิบัติต่างๆของการใช้เครื่องบินแบบใหม่นี้b ต่อภารกิจที่เคยใช้ เฮลิคอปเตอร์โจมคีมาก่อน
วันที่ 8 กันยายน 1966 พลอากาศเอก JOHN P McConnell ผู้บัญชาการกองทัพอากาศสหรัฐในขณะนันสังการให้ออกแบบและพัฒนาเครื่องบินสำหรับภารกิจ Cas โดยเฉพาะ และในวันที่ 22 ธันวาคม ปีเดียวกัน ข้อกำหนดและความต้องการต่างๆ ได้ถูกร่างขึ้นเป็นโครงการ Cas A-X หลังจากนันโครงการ Attack Experimental ก็ถูกตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการ คำร้องขอสำหรับข้อมูลสำหรับโครงการ A-X นันได้ถูกส่งต่อไปยัง บริษัททางการป้องกันประเทศกว่า 21 บริษัท ในเดือน พฤษภาคม ปี 1970 กองทัพอากาศสหรัฐ ได้ปรับปรุงคำขอข้อเสนอสำหรับเครื่องบินแบบนี้ หลังจากที่กองกำลังรถถังของโซเวียต มีความสามารถในการรบทุกสภาพอากาศในการปฎิบัติการ ทำให้มีการปรับเปลี่ยนหลายๆจุดไปจนถึงมีการเพิ่มขนาดของปืนที่ติดตั่งบนเครื่องบินเป็นปืนใหญ่ลำกล้องหมุนขนาด 30mm ความเร็วสูงสุดของเครื่องบินกำหนดไว้เป็น 400 น็อต ระยะการวิ่งขึ้นเป็น 4000 ฟุต หรือ 1200 เมตร บรรทุกอาวุธได้ 16000 ปอนด์ มีรัศมีทำการรบที่ 285 ไมล์ หรือ 460 กิโลเมตร
โครงการ A-X จะเป็นการพัฒนาเครื้องบินโจมตีแบบแรก ของกองทัพอากาศสหรัฐที่ถูกออกแบบ CAS โดยเฉพาะ โดนบริษัทที่ถูกคัดเลือกในการแข่งขันคือ Northrop ที่สร้างเครื่องบินต้นแบบ YA-9A และ Fairchild Republic ที่เสนอเครื่องบินต้นแบบ YA-10A ในขณะที่ General electric และ Philco-Ford ให้แข่งขันพัฒนาปืนใหญ่ลำกล้องหมุนขนาด 30 MM GAU-8 ในวันที่18 มกราคม ปี 1973 กองทัพอากาศสหรัฐได้ประกาศให้เครื่องบินต้นแบบ YA-10A ของ Fairchild Republic เป็นผู้ชนะการแข่งขัน และ General electric ได้ถูกเลือกเป็นผู้ผลิตปืนใหญ่ขนาด 30 MM ในเดือนมิถุนายน ปีเดียวกัน
เครื่องบินในสายการผลิต A-10 ลำแรกบินขึ้นในเดือนตุลาคม ปี 1975 และส่งมอบได้ในเดือนมีนาคมปี 1976 ในช่วงการทดสอบมีการทดสอบมีการสร้างเครื่องบิน A-10 แบบสองที่นั่งในชื่อ A-10 night Adverse Weather [N/AW] การเพิ่มที่นั้งสองที่นั้งนี่เพื่อเพิ่มนายทหารระบบอาวุธสำหรับงานต่างๆเช่น สงครามอิสทอนิก การนำทาง และการกำหนดเป้าหมาย แต่มันไม่ได้รับความสนใจ จากกองทัพอากาศสหรัฐ และ ลูกค้าต่างชาติ จึงทำให้มันไม่ถูกสร้างขึ้น เครื่องบินสองที่นั้งสำหรับการฝึกก็ถูกยกเลิกไปในภายหลัง เพื่อเป็นการตัดงบประมาณ ซึ่งทำให้ A-10 ที้มีแต่แบบเครื่องบินที่นังเดียว สายการผลิตแบบเต็มอัตราของ A-10 เริ่มต้นกล้ายผลิตในวันที 10 กุมภาพันธ์ ปี 1976 และเครื้องบิน A-10 ลำแรกได้ส่งมอบให้กองทัพอากาศสหรัฐและเข้าประจำการในกองบัญชาการทางยุทธ์วิถี ในทันที 30 มีนาคม ปีเดียวกัน อัตตาการผลิตสูงสุดเกินขึ้นในปี 1984 เป็นการผลิตเครื่องบิน 13 ลำภายใน 1 เดือน ตลอดสายการผลิต มันถูกสร้างออกมาทั่งหมด 760 ลำ เมื่ออยู่ในกระบวนการผลิตเต็มอัตราเครื่องบิน A-10 ได้ถูกกำหนดให้มีอายุการใช้งานที่ 6000 ชั่วโมงบิน แต่ด้วยการปรับปรุงเล็กน้อยทำให้มีอายุการใช้งานเพิ่มขึ้นเป็น 8000 ชั่วโมงบิน A-10 ได้รับการปรับปรุงอยู่หลายครั่งในช่วงการเข้าประจำการ ในปี 1978 ได้รับการติดตั่ง Pod สำหรับการ ล็อกสัญญาณ เลเซอร์แบบ Pave Penny ที่จะทำหน้าที่ในการรับสัญญาณสะท้อนของเลเซอร์จาก เลเซอร์ชี้เป้านำวิถีลูกระเบิด ที่ถูกส่งออกมาจากแหล่งภายนอก เช่นเครื่องบินลำอื่นหรือกำลังภาคพื่นดิน และในปี 1980 A-10 ก็ได้มีการติดตั้งระบบนำทาง IAS ในปี 1987 บริษัท Grumman Aerospace ได้เข้ามาควบคุมโครงการสนับสนุนเครื่องบิน A-10 และในช่วง ปี 1995 ถึง 1996 มีการพบปัญหาการแตกรอยในโครงสร้างของเครื่องบิน A-10 ในหลายๆเครื่อง ที่มีบ้างเครื่อง ถูกประเมินผลว่ารอยร้าวนี้อาจอยู่ในขั้นอันตรายสูงสุด ทำให้ในปี 1998 Grumman จึงได้เริ่มแผนการใหม่ในการเพิ่มอายุการใช้งานโครงการเครื่องบินของ A-10 เป็น 16000 ชั่วโมง โครงการนี้มีชื่อว่า Horkup มีมีการเปลี่ยนถังเชื่อเพลิงแบบ สูญญากาศ ระบบควบคุมการบินแบบใหม่ และการตรวจเช็คสภาพเครื่องยนต์ แต่ในปี 2001 พบว่ามีรอยร้าวที่อันตรายสูงสุดที่บริเวณส่วนปีกของเครื่องบิน ทำให้จำเป็นต้องมรการเปลี่ยนชิ้นส่วนของเครื่องบิน ทั่งหมดหากยังต้องการคงประจำการเครื่องบิน A10 ซึ่งทางกองทัพอากาศสหรัฐ ได้ประเมิน มีการใช้งบประมาณที่สูงถึง 1.7 พันล้านเหรียญ ในการสร้างชิ้นส่วนปีกขึ้นมาสำหรับอากาศยาน บริษัท Boeing ได้เป็นผู้รับเลือกในการผลิตชิ้นส่วนใหม่นี้ โดยในปี 2001 โดย A-10 สองลำแรกที่ติดตั่งปีกเครื่องบินใหม่ บินขึ้นได้สำเร็จและคาดว่ามันจะถูกใช้ไปถึงปี 2035
A-10 มีชื่อเล่นอีกชื่อหนึ่งว่า Warthog ที่แปลว่าหมูป่่า ซึ่งชื่อนี้ได้มาจากนักบินและลูกเรือสหรัฐที่ได้ทำการบินแบบเครื่องบินแบบนี้ จากการที่เครื่องบิน A-10 เป็นเครื่องบินโจมตีแบบสุดท้าย ของบริษัท Republic และเครื่องบินที่สร้างมาก่อนหน้าที่มีชื่อเล่นว่า Hawk เช่น
F-84 THUNDERJET มีชื่อเล่นว่า "Hawk"
F-84F Thunderstreak มีชื่อเล่นว่า "SuperHawk"
F-105 THUNDERCHIEF มีชื่อเล่นว่า "Ultrahawk" ทำให้ชื่อ Warthog จึงถูกเรียกกับ A-10 ซึ่งเป็นที่นิยมมากในหมู่นักบินและทหารอากาศสหรัฐ
การออกแบบ
A-10 เป็นเครื่องบินที่มีลำตัวยาวมีปีกที่รูปทรงคล้ายสีเหลียมผืนผ้าที่ด้านล่างของลำตัวชายขอบหน้าปีกมีมุมรูดเล็กน้อย เครื่องบินมีความคล่องตัวที่สูงเมื่ออยู่ในความเร็วตำจากขนาดพื่นที่ผิวปีกที่ใหญ่รวมถึงมีความสามารถในการใช้ทางวิ่งขึ้นระยะสั้นเพื่อใช้ในการวางกำลังในสนามบินส่วนหน้ามันวามารถบินลอยลำในเพดานบินที่ต่ำในความเร็วประมาณ 300 น็อต ที่จะทำให้มีความสามารถในการโจมตีเป้าหมายภาคพื่นได้ดีกว่าเครื่อวบินขับไล่ที่มีความเร็วสูง เครื่องบิน A-10 ยังถูกออกแบบให้ทำการเติมเชื่อเพลิงติดตั่งอาวุธและซ่อมบำรุงด้วยอุปกรณ์ที่น้อยการออกแบบที่เรียบง่ายและการซ่อมบำรุงที่ไม่ซับซ้อน มีไว้เพื้อวางกำลังในฐานบินส่วนหน้าที่มีข้อจำกัดสูงห้องนักบินถูกหุ้มเกราะไทเทเนียมที่มีน้ำหนักถึง 520 กิโลกรัม มันสามารถกันกระสุนได้ถึงขนาดระดับ 23 mm ความหนาของเกราะอยู่ที่ 0.5 ถึง 1.5 นิ้ว อีกทั้งกระจกห้องนักบินยังสามารถป้องกันกระสุนขนาดเล็กได้ ปืนใหญ่ Gatling 7 ลำกล้อง GAU-8 Avenger ใช้กระสุนขนาด 30 mm ติดตั่งอยู่ภายในลำตัวของเครื่องบิน ส่วนปากกระบอกปืนอยู่ที่ด้านหน้าข้างล่าง ของเครื่องบิน ปืน GAU-8 บรรจุกกระสุนได้เต็มที่ จะมีน้ำหนักร่วมอยู่ที่ 4600 ปอนด์ ทำให้เครื่องบินมีน้ำหนักตัวเปล่าอยู่ที่ประมาณ 25000 ปอนด์และมีน้ำหนักวิ่งขึ้นสูงสุดที้ 50000 ปอนด์
ความทนทาน
เอ-10 มีความคงทนที่ดีเยี่ยม เพราะมันมีโครงสร้างที่แข็งแรงจนสามารถรอดจากกระสุนเจาะเกราะและระเบิดแรงสูงขนาด 23 ม.ม.ที่ยิงเข้ามาตรงๆ ได้ เครื่องบินมีความซับซ้อนถึงสามชั้นในระบบการบินของมัน ด้วยระบบกลไกที่คอยช่วยเหลือระบบไฮดรอลิกทั้งสอง สิ่งนี้ทำให้นักบินทำการบินและลงจอดได้เมื่อระบบหรือกำลังของไฮดรอลิกหรือส่วนใดส่วนหนึ่งของปีกหายไป ในการบินโดยปราศจากกำลังของไฮดรอลิกมักจะใช้ระบบควบคุมด้วยมือ ในโหมดนี้เอ-10 จะสามารถควบคุมได้อย่างมีประสิทธิภาพภายใต้สภาพที่เหมาะสมเพื่อบินกลับฐานและลงจอดถึงแม้ว่าพลังในการควบคุมจะต้องใช้มากกว่าปกติก็ตาม เครื่องบินถูกออกแบบให้บินได้ด้วยเครื่องยนต์เดียว หางเดียว และปีกที่เหลือครึ่งเดียวได้[8] ถังเชื้อเพลิงที่ผนึกตัวถูกป้องกันโดยโฟมที่ลดการจุดติดไฟ นอกจากนี้ล้อลงจอดหลักยังถูกออกแบบให้ลงจอดได้ถึงแม้ว่ามันจะกางออกมาได้เพียงครึ่งเดียวซึ่งทำให้มันต้องลงจอดด้วยท้องหรือแบบที่ไม่กางล้อนั่นเอง แต่ระบบของมันทำให้การลงจอดแบบดังกล่าวทำความเสียหายต่อส่วนท้องเครื่องบินให้น้อยที่สุด พวกมันยังมีบานพับที่ด้านหลังของเครื่องบินเผื่อหากว่ากำลังของไฮดรอลิกเสียหายนักบินจะได้ปล่อยล้อออกและผสมผสานแรงดึงดูดเข้ากับแรงต้านลมเพื่อเปิดล้อและล็อกมันให้เข้าตำแหน่ง
ห้องนักบินและส่วนของระบบควบคุมการบินถูกป้องกันโดยเกราะไทเทเนียมน้ำหนัก 408 กิโลกรัม มันถูกเรียกว่า"ถังไทเทเนียม[9] ถังแบบนี้ถูกทดสอบให้ทนทานต่อการโจมตีจากปืนใหญ่ขนาด 23 ม.ม.และกระสุนขนาด 57 ม.ม.ได้[9] มันทำมาจากแผ่นไทเทเนียมที่มีความหนาตั้งแต่ครึ่งนิ้วจนถึงหนึ่งนิ้วครึ่ง การป้องกันนี้ต้องแลกด้วยบางอย่าง ตัวเกราะเองนั้นมีน้ำหนักถึง 6% ของเครื่องบินทั้งลำ เพื่อป้องกันนักบินจากสะเก็ดระเบิดจากการปะทะของกระสุนที่กระทบเข้ากับตัวเกราะ นักบินจึงถูกหุมด้วยเกราะเคฟลาร์ กระจกครอบประกอบด้วยอาร์คริลิกแบบกันกระสุนที่สามารถทนทานต่ออาวุธขนาดเบาและป้องกันสะเก็ดระเบิด
การพิสูจน์ล่าสุดถึงความทนทานของเอ-10 นั้นเกิดขึ้นเมื่อร้อยเอกคิม แคมพ์เบลล์แห่งกองทัพอากาศสหรัฐฯ ทำการบินสนับสนุนภาคพื้นดินเหนือแบกแดดในช่วงบุกอิรักเมื่อปีพ.ศ. 2546 เครื่องบินของเธอได้รับความเสียหายจากปืนต่อต้านอากาศยาน การยิงของข้าศึกสร้างความเสียหายให้กับเครื่องยนต์เครื่องหนึ่งและทำให้ระบบไฮดรอลิกหยุดทำงาน บังคับให้ระบบกลไกสำรองทำหน้าที่ควบคุมความเสถียรของเครื่องบินและควบคุมการบิน ถึงกระนั้นแคมพ์เบลล์ก็สามารถบินได้อยู่หนึ่งชั่วโมงและลงจอดอย่างปลอดภัย
เครื่องยนต์ =
เครื่องยนต์ General electric TF-34 จำนวนสองเครื่องยนต์ ถูกติดตังที่ด้านท้ายนอกลำตัวของเครื่องบิน A-10 มันมีกำลังเครื่องยนต์อยู่ที่ 9275 ปอนด์ เครื่องยนต์ชนิดนี้ไม่มีการเผาไม้สันดาบท้าย แต่ก็สามารถทำให้ A-10 มีความเร็วเดินทางที่ 300 น็อต และความเร็วสูงสุดที่ระดับน้ำทะเลคือ 380 น็อต ถังเชื่อเพลิงภายในบรรจุถังเชื่อเพลิงได้ 11,000 ปอนด์ เพื่อพอต่อสำหรับภารกิจ Close air support ในรัศมีทำการรบที่ 220 ไมล์ทะเล ที่ต้องลอยลำเกือบสองชั่วโมงที่ความสูง 5000 ฟุต นอกจากนี้เครื่องบินยังสามารถเติมเชื่อเพลิงกลางอากาศด้วยระบบ Boom เพื่อเพิ่มระยะในการปฎิบัติการที่ไกลขึ้น และการสนับสนุนภารกิจที่นานขึ้น
ระบบอาวุธ
ปืนใหญ่ Gatling 7 ลำกล้อง ขนาด 30mm GAU-8 บรรจุกระสุนได้1174 นัด มีระยะยิงหวังผลที่ 4000 ฟุต มันถูกสร้างมาเพื่อทำลายหน่วยทหารราบ พาหนะ และรถถังและอาวุธต่างๆ จุดติดตั่งอาวุธทั้งหมด 11 จุด รอรับน้ำหนักบรทุกได้ 16000 ปอนด์
[11] ซึ่งภายหลังถูกเปลี่ยนเป็นอัตราการยิงตายตัวที่ 3,900 นัดต่อนาที[12] ปืนใหญ่ยังเร็วขึ้นดังนั้น 50 นัดแรกจึงยิงออกไปในวินาที นัดที่ 65 หรือ 70 จะเร็วขึ้นหลังจากนั้น ปืนมีความแม่นยำที่สอดคล้องกัน มันสามารถยิงได้แม่นยำถึง 80% ภายในระยะ 12.4 เมตรขณะบิน[13] จีเอยู-8 ถูกใช้ในแนวเอียงในระยะ 1,220 เมตรโดยทำมุม 90 องศา[14]
[15] ตัวอย่างเช่น ล้อส่วนหน้าที่ยื่นไปทางขวาซึ่งทำให้ลำกล้องของปืนที่ยิงในตำแหน่ง 9 นาฬิกาเป็นแนวเดียวกับตัวเครื่องบิน ทั้งนั่นมันสามารถบรรจุ กระสุนขนาด 30 ม.ม.ได้ 1,175 นัด[14] เอ-10 รุ่นแรกนั้นจะบรรทุกกระสุน 1,350 นัดแต่ถูกแทนที่เนื่องจากแบบขดนั้นเสียหายง่ายในตอนบรรจุกระสุน กระสุนแบบกลมที่มีจำนวน 1,174 นัดจึงถูกนำมาใช้แทน การเสียหายจะเกิดขึ้นโดยบางส่วนของกระสุนที่ยิงก่อนกำหนดเนื่องจากการปะทะของกระสุนระเบิดจะสร้างความหายนะ ด้วยเหตุผลนี้เองความเหมาะสมจึงตกมาที่แพ็กกระสุนแบบกลมแทน มีแผ่นมากมายที่แตกต่างกันในความหนาระหว่างส่วนกลมและผิว แผ่นเหล่านี้ถูกเรียกว่าแผ่นจุดชนวนเพราะว่าเมื่อกระสุนระเบิดเข้าชนเป้าหมายมันก็จะเจาะทะลุเกราะก่อนที่จะจุดชนวนระเบิด ตามที่แบบกลมมีชั้นมากมายการจุดระเบิดของกระสุนจึงถูกจุดชนวนก่อนที่มันจะถึงส่วนกลม ชั้นสุดท้ายของเกราะรอบๆ ส่วนกลมก็คือการป้องกันมันจากสะเก็ดระเบิด
อาวุธอีกอย่างของมันก็คือขีปนาวุธอากาศสู่พื้นดินแบบเอจีเอ็ม-65 มาเวอร์ริกด้วยแบบที่แตกต่างกันไปทั้งนำวิถีด้วยโทรทัศน์หรืออินฟราเรด มาเวอร์ริกสามารถเข้าปะทะเป้าหมายได้ในระยะที่ไกลกว่าปืนใหญ่ได้มากทำเครื่องบินอยู่ในตำแหน่งที่ปลอดภัยจากระบบต่อต้านอากาศยานสมัยใหม่ ในพายุทะเลทรายกล้องอินฟราเรดของมาเวอร์ริกถูกใช้ในภารกิจกลางคืน อาวุธอื่นๆ ก็รวมทั้งคลัสเตอร์บอมบ์และจรวดไฮดรา แม้ว่าเอ-10 จะบรรทุกระเบิดนำวิถีด้วยเลเซอร์ พวกมันก็ใช้งานในแบบที่ไม่ปกติ ในระดับความสูงต่ำและความเร็วปกติของเอ-10 ระเบิดแบบธรรมดาก็มีความแม่นยำเพียงพอแล้ว ในสถานการณ์ใดๆ ก็ตามอาวุธนำวิถีจะเพิ่มข้อได้เปรียบเพียงเล็กน้อย ด้วยการที่บางครั้งก็แทบไม่มีเวลาสำหรับการหาวิถี เอ-10 มักบินพร้อมกับกระเปาะอีซีเอ็มรุ่นเอแอลคิว-131 ที่อยู่ใต้บินข้างใดข้างหนึ่งและขีปนาวุธอากาศสู่อากาศแบบเอไอเอ็ม-9 ไซด์ไวน์เดอร์สองลูกที่ใต้ปีกอีกข้างหนึ่งสำหรับป้องกันตัวเอง
การพัฒนาให้ทันสมัยขึ้น
โครงการปรับแต่งของเอ-10 มีมูลค่า 420 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเอ-10 จำนวน 356 ลำจะได้รับคอมพิวเตอร์การบินแบบใหม่ ฝาครอบแบบใหม่ จอสีแสดงผลขนาด 5.5 นิ้วแบบใหม่พร้อมแผนที่เคลื่อนที่[16]
ทุนอื่นๆ เข้าการพัฒนากองบินเอ-10 ที่รวมทั้งการเชื่อมข้อมูลแบบใหม่ ความสามารถในการใช้อาวุธอัจฉริยะอย่างเจแดมและความสามารถในการบรรทุกกระเปาะล็อกเป้าอย่างไลท์เทนนิ่งของนอร์ทธรอป กรัมแมนหรือเอทีพีของล็อกฮีด มาร์ติน นอกจากนั้นยังมีระบบสำหรับส่งข้อมูลเซ็นเซอร์ให้กับคนที่อยู่บนพื้นอีกด้วย[17]
การพัฒนาด้านโครงสร้างจะเป็นการเปลี่ยนปีกใหม่ทั้งหมดให้กับเอ-10 จำนวน 242 ลำซึ่งเดิมทีเป็นปีกแบบบาง[17] มีการให้ทุนระยะยาวเพื่อพัฒนาแรงขับของเครื่องยนต์ให้มากขึ้น
ในวันที่ 2 เมษายน พ.ศ.ทางสำนักงานบัญชีของรัฐบาลได้ประมาณค่าใช้จ่ายในการพัฒนา บำรุงรักษา และแผนในการยืดอายุการใช้งานของเอ-10 สูงขึ้นถึง 4.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ [18]
ประวัติการใช้งาน
หน่วยแรกที่ได้รับเอ-10 ธันเดอร์โบลท์ 2 คือฝูงบินที่ 355 ที่ประจำการอยู่ที่ฐานทัพอากาศเดวิส-มอนแธนในแอริโซนาเมื่อเดือนมีนาคมพ.ศ. 2519 หน่วยแรกที่ใช้มันเข้าทำการต่อสู้คือฝูงบินที่ 354 ที่ฐานทัพอากาศไมเทิล บีชในเซาท์แคลิฟอร์เนียเมื่อพ.ศ. 2521
ในตอนแรกนั้นเอ-10 ถูกต้อนรับไม่ค่อยดีนักจากมุมมองของคนใหญ่คนโตในกองทัพอากาศ เมื่อผู้นำอาวุโสของกองทัพอากาศส่วนมากเพิ่มขึ้นมาจากสังคมของนักบินขับไล่ กองทัพอากาศชอบเครื่องเอฟ-15 อีเกิลและเอฟ-16 ไฟท์ติ้งฟอลคอนมากกว่าและดื้อดึงที่จะทิ้งงานสกปรกในการเข้าสนับสนุนระยะใกล้ให้กับเฮลิคอปเตอร์ของกองทัพบก (การสร้างขีปนาวุธต่อต้านยานเกราะเอจีเอ็ม-114 เฮลไฟร์และเฮลิคอปเตอร์จู่โจมแบบเอเอช-64 อาพาชี่ทำให้กองทัพอากาศมีอากาศยานต่อต้านรถถัง) การพยายามย้ายเอ-10 เข้ากองทัพบกและนาวิกโยธินถูกห้ามในตอนแรกและจากนั้นมันก็ถูกยอมรับด้วยความน่าประทับใจของมันในสงครามอ่าวเมื่อปีพ.ศ. 2534
เอ-10 ได้แสดงการรบครั้งแรกในสงครามอ่าวเมื่อพ.ศ. 2534 มันได้ทำลายรถถังอิรักมากกว่า 900 คัน พาหนะทางทหาร 2,000 คัน และปืนใหญ่ 1,200 แห่ง เอ-10 ได้ยิงเฮลิคอปเตอร์ของอิรักสองลำตกด้วยปืนจีเอยู-8 อเวนเจอร์[5] หนึ่งในนั้นเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534 เมื่อร้อยเอกโรเบิร์ต สเวนยิงเฮลิคอปเตอร์หนึ่งลำของอิรักตกเหนือคูเวต[19] เอ-10 สี่ลำถูกยิงตกในสงครามซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นเพราะขีปนาวุธพื้นสู่อากาศ[20] เอ-10 มีภารกิจ 95.7% บินอีก 8,100 เที่ยว และยิงขีปนาวุธเอจีเอ็ม-65 มาเวอร์ริกไป 90%[21] ไม่นานหลังจากสงครามอ่าวกองทัพอากาศได้ล้มเลิกความคิดที่จะแทนที่เอ-10 ด้วยเอฟ-16 รุ่นใหม่[22]
ในปีพ.ศ. 2533 เอ-10 หลายลำถูกเปลี่ยนให้ทำหน้าที่ควบคุมแนวหน้าทางอากาศและได้รับชื่อใหม่ว่าโอเอ-10 ในบทบาทนี้เอ-10 มักจะติดตั้งจรวดไฮดราขนาด 70 ม.ม. 6 ตำแหน่งซึ่งมักเป็นหัวรบควันหรือฟอสฟอรัสขาวเพื่อทำตำแหน่งของเป้าหมาย โอเอ-10 ยังคงอยู่ในประจำการถึงแม้ว่าจะเปลี่ยนชื่อไปก็ตาม
เอ-10 ได้เข้าประจำการอีกครั้งในพ.ศ. 2542 ในสงครามคอซอวอ ในสงครามอัฟกานิสถาน ในปฏิบัติการอานาคอนดาในอัฟกานิสถานเมื่อเดือนมีนาคมพ.ศ. 2545 และในสงครามอิรักปีพ.ศ. 2546 ในอัฟกานิสถานเอ-10 ตั้งฐานอบู่ที่บาแกรม
ในวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2546 กองทัพอากาศสหรัฐฯ ส่วนกลางได้ประกาศอย่างเปิดเผยถึงภารกิจทางอากาศในสงคราม มีเอ-10 จำนวนหกสิบลำถูกใช้ในอิรัก มีหนึ่งลำถูกยิงตกใกล้กับสนามบินนานาชาติของแบกแดด ในเอ-10 ทั้งหมดที่ถูกวางพลมี 47 ลำเป็นเครื่องบินของกองกำลังป้องกันชาติและ 12 ลำมาจากกองกำลังสำรองของกองทัพอากาศ เอ-10 ทำภารกิจ 80% ของสงครามและยิงกระสุนขนาด 30 ม.ม.ไป 311,597 นัด เอ-10 ยังได้ทำภารกิจอีก 32 ภารกิจซึ่งได้ทิ้งใบปลิวประชาสัมพันธ์เหนืออิรัก[23]
เอ-10 ถูกวางกำลังครั้งแรกในอิรักในไตรมาสที่สามของปีพ.ศ. 2550 พร้อมกับฝูงบินที่ 104 จากกองกำลังรักษาดินแดนของแมรี่แลนด์ เครื่องเจ็ทยังรวมทั้งการพัฒนาแบบใหม่มาด้วย[24] ระบบดิจิทัลและการสื่อสารของเอ-10 ได้ลดเวลาในการเข้าโจมตีเป้าหมายลงไปมาก[25]
เอ-10 ถูกกำหนดให้อยู่ในประจำการในกองทัพอากาศสหรัฐฯ จนกระทั่งปี 2571 และอาจต่อจากนั้น[26] เมื่อมันอาจถูกแทนที่โดยเอฟ-35 ไลท์นิ่ง 1[27] เอ-10 ทั้งกองบินในปัจจุบันยังคงอยู่ภายใต้การพัฒนา เอ-10 อาจอยู่ในกระจำการนานขึ้นเนื่องมาจากมันมีราคาถูกและความสามารถที่ไม่เหมือนใคร อย่างปืนใหญ่ของมัน ความทนทาน และความสามารถในการบินเป็นเวลานาน
แบบต่างๆ
- วายเอ-10เอ
- รุ่นต้นแบบสองลำแรก
- เอ-10เอ
- แบบที่นั่งเดียวสำหรับการสนับสนุนทางอากาศและโจมตีภาคพื้นดิน
- เอ-10เอ+ (พลัส)
- แบบที่นั่งเดียวสำหรับการสนับสนุนทางอากาศและโจมตีภาคพื้นดิน รวมทั้งการพัฒนาทั้งหมด
- โอเอ-10เอ
- แบบที่นั่งเดียวสำหรับการควบคุมทางอากาศในแนวหน้า
- วายเอ-10บี ไนท์/แอดเวิร์ส เวทเธอร์
- แบบสองที่นั่งที่เป็นรุ่นทดลองสำหรับการทำงานตอนกลางคืนและสภาพอากาศที่เลวร้าย ต่อมามันมีชื่อใหม่ว่าวายเอ-10บี มีแบบนี้เพียงหนึ่งลำเท่านั้นที่ถูกสร้างขึ้นมาซึ่งปัจจุบันถูกนำไปแสดงเพียงอย่างเดียว
- เอ-10ซี
- เอ-10 ที่ได้เข้าโครงการพัฒนาด้านอาวุธโดยมีฝาครอบแบบใหม่ การเชื่อมข้อมูล และอาวุธหลากสภาพอากาศและความสามารถในการใช้เลเซอร์ล็อกเป้า[18]
รายละเอียด เอ-10 ธันเดอร์โบลท์ 2
- ผู้สร้าง:บริษัทแฟร์ไชลด์ รีพับลิก (สหรัฐอเมริกา)
- ประเภท:เจ๊ตโจมตีสนับสนุนหน่วยทหารภาคพื้นดิน
- เครื่องยนต์:เทอร์โบแฟน เยเนอรัล อีเล็คตริค ทีเอฟ-34 ยีอี-100 ให้แรงขับสถิตเครื่องละ 4,112 กิโลกรัม 2 เครื่อง
- กางปีก:17.53 เมตร
- ยาว:16.25 เมตร
- สูง:4.47 เมตร
- พื้นที่ปีก:47.01 ตารางเมตร
- น้ำหนักเปล่า: 9,176 กิโลกรัม
- น้ำหนักวิ่งขึ้นสูงสุด: 21,148 กิโลกรัม
- อัตราเร็วขั้นสูง: ไม่เกิน 834 กิโลเมตร/ชั่วโมง
- อัตราเร็วในการรบ 721 กิโลเมตร/ชั่วโมง ที่ระยะสูง 3,050 เมตร และ 697 กิโลเมตร/ชั่วโมง ที่ระดับน้ำทะเล
- อัตราเร็วเดินทาง 555 กิโลเมตร/ชั่วโมง
- อัตราไต่สูงสุด 1,826 เมตร/นาที
- รัศมีทำการรบ: 463 กิโลเมตร เมื่อบรรทุกลูกระเบิดหนัก 4,327 กิโลกรัม
- พิสัยบินไกลสุด: 4,647 กิโลเมตร
- อาวุธ:ปืนใหญ่อากาศ เยเนลรัล อีเล็กตริค จีเอยู-8 อเวนเจอร์ ขนาด 30 มม ชนิดลำกล้องหมุนได้ 7 ลำกล้อง อัตรายิงเร็ว 4,200 นัด/นาที 1 กระบอก ที่ใต้ลำตัวส่วนหัว พร้อมกระสุน 1,350 นัด
- สามารถติดตั้งอาวุธใต้ลำตัว 3 ตำแหน่งและ ใต้ปีกข้างละ 4 ตำแหน่ง รวม 11 ตำแหน่ง
- รวมคิดเป็นน้ำหนักกว่า 7,257 กิโลกร้ม
อ้างอิง
Wikiwand in your browser!
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.