Loading AI tools
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เจียวอ้วน (เสียชีวิต พฤศจิกายนหรือธันวาคม ค.ศ. 246)[a] มีชื่อในภาษาจีนกลางว่า เจี๋ยง หว่าน (จีน: 蔣琬; พินอิน: Jiǎng Wǎn) ชื่อรอง กงเหยี่ยน (จีน: 公琰; พินอิน: Gōngyǎn) เป็นขุนพล ขุนนาง และผู้สำเร็จราชการของรัฐจ๊กก๊กในยุคสามก๊กของจีน[2] เจียวอ้วนเกิดในช่วงปลายราชวงศ์ฮั่นตะวันออก เริ่มรับราชการในฐานะเสมียนและนายอำเภอภายใต้ขุนศึกเล่าปี่ผู้ซึ่งภายหลังเป็นจักรพรรดิผู้ก่อตั้งจ๊กก๊ก หลังเล่าเสี้ยนโอรสของเล่าปี่ขึ้นสืบราชบัลลังก์ถัดจากพระบิดาในปี ค.ศ. 223 เจียวอ้วนค่อย ๆ ขึ้นมามีบทบาทสำคัญภายใต้การปกครองของจูกัดเหลียงผู้เป็นอัครมหาเสนาบดีและผู้สำเร็จราชการแห่งจ๊กก๊ก ระหว่างปี ค.ศ. 228 ถึง ค.ศ. 234 ระหว่างที่จูกัดเหลียงนำทัพจ๊กก๊กบุกขึ้นเหนือรบกับรัฐวุยก๊กที่เป็นรัฐอริของจ๊กก๊ก เจียวอ้วนรับผิดชอบกิจการภายในและสนับสนุนการส่งกำลังบำรุงไปทัพจ๊กก๊กที่แนวหน้า หลังการเสียชีวิตของจูกัดเหลียงในปี ค.ศ. 234 เจียวอ้วนสืบทอดอำนาจของจูกัดเหลียงในฐานะผู้สำเร็จราชการและเพิ่มพูนความเชื่อมั่นของราษฎรจ๊กก๊กได้เป็นอย่างดี ในช่วงเวลานั้นเจียวอ้วนพิจารณาว่าเส้นทางภาคพื้นดินผ่านเทือกเขาฉินหลิ่งที่จูกัดเหลียงใช้ระหว่างการบุกขึ้นเหนือนั้นยากแก่การเดินทัพและขนส่งเสบียง จึงเสนอแผนเปลี่ยนเส้นทางการเดินทัพไปเป็นทางน้ำไปตามแม่น้ำฮั่นซุยมุ่งไปยังอาณาเขตของวุยก๊กในบริเวณที่เป็นมณฑลฉ่านซีและทางเหนือของมณฑลหูเป่ย์ในปัจจุบัน แต่ราชสำนักจ๊กก๊กไม่เห็นด้วยกับแผนของเจียวอ้วนเพราะเห็นว่าเสี่ยงเกินไป ในปี ค.ศ. 243 เจียวอ้วนย้ายจากเมืองฮันต๋งใกล้กับชายแดนวุยก๊ก-จ๊กก๊ก ไปอยู่ที่อำเภอโปยเสีย (ปัจจุบันคือนครเหมี่ยนหยาง มณฑลเสฉวน) เนื่องจาปัญหาสุขภาพ ในช่วงบั้นปลายของการเป็นผู้สำเร็จราชการ สุขภาพของเจียวอ้วนแย่ลงจึงค่อย ๆ สละอำนาจของตนให้กับขุนนางผู้ช่วยคือบิฮุยและตั๋งอุ๋น แต่ตัวเจียวอ้วนยังคงดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการในนาม เจียวอ้วนเสียชีวิตในปี ค.ศ. 246 และบิฮุยขึ้นสืบทอดตำแหน่ง
เจียวอ้วน (เจี๋ยง หว่าน) | |
---|---|
蔣琬 | |
ภาพวาดเจียวอ้วนในยุคราชวงศ์ชิง | |
เสนาบดีกลาโหม (大司馬 ต้าซือหม่า) | |
ดำรงตำแหน่ง เมษายนหรือพฤษาคม ค.ศ. 239 – พฤศจิกายนหรือธันวาคม ค.ศ. 246 | |
กษัตริย์ | เล่าเสี้ยน |
ผู้จัดการกิจการของสำนักราชเลขาธิการ (錄尚書事 ลู่ช่างชูชื่อ) | |
ดำรงตำแหน่ง พฤษภาคม ค.ศ. 235 – พฤศจิกายนหรือธันวาคม ค.ศ. 243 | |
กษัตริย์ | เล่าเสี้ยน |
ก่อนหน้า | จูกัดเหลียง |
ถัดไป | บิฮุย |
มหาขุนพล (大將軍 ต้าเจียงจฺวิน) | |
ดำรงตำแหน่ง พฤษภาคม ค.ศ. 235 – พฤศจิกายนหรือธันวาคม ค.ศ. 243 | |
กษัตริย์ | เล่าเสี้ยน |
ถัดไป | บิฮุย |
ข้าหลวงมณฑลเอ๊กจิ๋ว (益州刺史 อี้โจฺวชื่อฉื่อ) | |
ดำรงตำแหน่ง ค.ศ. 234 – ค.ศ. 244 | |
กษัตริย์ | เล่าเสี้ยน |
ก่อนหน้า | จูกัดเหลียง (ในฐานะเจ้ามณฑล) |
ถัดไป | บิฮุย |
ผู้พิทักษ์นครหลวง (都護 ตูฮู่) (รักษาการ) | |
ดำรงตำแหน่ง ค.ศ. 234 – พฤษภาคม ค.ศ. 235 | |
กษัตริย์ | เล่าเสี้ยน |
หัวหน้าสำนักราชเลขาธิการ (尚書令 ช่างชูลิ่ง) | |
ดำรงตำแหน่ง ค.ศ. 234 – ค.ศ. May 235 | |
กษัตริย์ | เล่าเสี้ยน |
ถัดไป | บิฮุย |
ข้อมูลส่วนบุคคล | |
เกิด | ไม่ทราบ นครเซียงเซียง มณฑลหูหนาน |
เสียชีวิต | พฤศจิกายนหรือธันวาคม ค.ศ. 246[a] นครเหมียนหยาง มณฑลเสฉวน |
ที่ไว้ศพ | นครเหมียนหยาง มณฑลเสฉวน |
บุตร | |
ญาติ | |
อาชีพ | ขุนพล, ขุนนาง, ผู้สำเร็จราชการ |
ชื่อรอง | กงเหยี่ยน (公琰) |
สมัญญานาม | กงโหฺว (恭侯) |
บรรดาศักดิ์ | อานหยางถิงโหฺว (安陽亭侯) |
เจียวอ้วนเป็นชาวอำเภอเซียงเซียง (湘鄉縣 เซียงเซียงเซี่ยน) เมืองเลงเหลง (零陵郡 หลิงหลิงจฺวิ้น) ซึ่งปัจจุบันคือนครเซียงเซียง มณฑลหูหนาน[3] เจียวอ้วนและเล่าปิ้น (劉敏 หลิว หมิ่น) ลูกพี่ลูกน้องมีชื่อเสียงในเมืองเลงเหลงตั้งแต่ก่อนจะเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ (อายุราว 19 ปี)[4]
ราวปี ค.ศ. 209 หรือ ค.ศ. 210[5] เจียวอ้วนเข้ารับราชการกับขุนศึกเล่าปี่ซึ่งเวลานั้นเป็นเจ้ามณฑลเกงจิ๋ว (ครอบคลุมพื้นที่ของมณฑลหูเป่ย์และมณฑลหูหนานในปัจจุบัน) และดำรงตำแหน่งเป็นผู้ช่วยอาลักษณ์ ในปี ค.ศ. 211[5] เจียวอ้วนติดตามเล่าปี่ไปยังมณฑลเอ๊กจิ๋ว (ครอบคลุมพื้นที่ของมณฑลเสฉวนและนครฉงชิ่งในปัจจุบัน) หลังเล่าปี่ยึดครองมณฑลเอ๊กจิ๋วได้ในปี ค.ศ. 214[6] ได้แต่งตั้งให้เจียวอ้วนเป็นนายอำเภอของอำเภอกว่างตู (廣都縣 กว่างตูเซี่ยน; อยู่ทางตะวันออกเฉียงของเขตซฺวางหลิว นครเฉิงตู มณฑลเสฉวนในปัจจุบัน)[7]
ครั้งหนึ่งเมื่อเล่าปี่มาเยือนอำเภอกว่างตู ได้เห็นว่าเจียวอ้วนเอาแต่เสพสุราและละเลยหน้าที่ในฐานะนายอำเภอ เล่าปี่โกรธมากถึงขั้นอยากจะสั่งประหารชีวิตเจียวอ้วนในข้อหาละเลยหน้าที่[8] แต่หัวหน้าที่ปรึกษาจูกัดเหลียงทัดทานและพูดว่า "เจียวอ้วนเป็นเสาหลักสำคัญของบ้านเมือง ความสามารถของเขานั้นยิ่งใหญ่เกินกว่าจะใช้ปกครองพื้นที่เพียง 100 ลี้ รูปแบบการปกครองของเขาเน้นที่การนำสันติและความมั่นคงมาสู่ราษฎร เขาไม่ถือเอาเรื่องผิวเผินมาเป็นสาระสำคัญ ข้าพเจ้าเห็นว่านายท่านควรจะตรวจสอบเรื่องนี้อย่างถี่ถ้วนมากขึ้น"[9] เล่าปี่เคารพความคิดเห็นของจูกัดเหลียงจึงไม่ลงโทษเจียวอ้วน แต่ยังคงปลดเจียวอ้วนออกจากตำแหน่ง[10]
หลังถูกปลดจากตำแหน่ง วันหนึ่งเจียวอ้วนฝันเห็นหัววัวแขวนที่อยู่ที่ประตูและมีเลือดไหลหยดลงมา เจียวอ้วนไม่สบายใจกับความฝันนี้จึงถามนักพยากรณ์ชื่อเตียวติด (趙直 เจ้า จื๋อ) ให้ช่วยตีความความฝัน[11] เตียวติดบอกว่า "การเห็นเลือดหมายถึงมีชะตาที่กระจ่างแจ้ง เขาและจมูกของวัวมีลักษณะคล้ายตัวอักษร กง (公) ท่านจึงจะขึ้นมามีตำแหน่งชั้นก๋ง (公 กง) ในกาลภายหน้า นี่เป็นนิมิตมงคลยิ่ง"[12] ไม่นานหลังจากนั้น เจียวอ้วนก็ถูกเรียกตัวกลับเข้ารับราชการในตำแหน่งนายอำเภอของอำเภอฉือฟาง (什邡)[13]
ในปี ค.ศ. 219 หลังจากเล่าปี่สถาปนาตนขึ้นเป็น "อ๋องแห่งฮันต๋ง" (漢中王 ฮั่นจงหวาง) ภายหลังจากได้รับชัยชนะในยุทธการที่ฮันต๋ง[14] เล่าปี่แต่งตั้งให้เจียวอ้วนเป็นขุนนางในสำนักราชเลขาธิการ[15]
ในปี ค.ศ. 223 เล่าเสี้ยนขึ้นเป็นจักรพรรดิแห่งรัฐจ๊กก๊กภายหลังการสวรรคตของเล่าปี่ผู้เป็นพระบิดา เวลานั้นเล่าเสี้ยนยังทรงพระเยาว์ จูกัดเหลียงผู้เป็นอัครมหาเสนาบดีแห่งจ๊กก๊กจึงทำหน้าที่เป็นผู้สำเร็จราชการ[16] หลังจากนั้นจูกัดเหลียงตั้งคณะเจ้าหน้าที่ส่วนตัวให้ช่วยเหลือตนในการบริหารกิจการของรัฐ โดยตั้งให้เจียวอ้วนเป็นเจ้าหน้าที่ผู้ช่วยในสำนักตะวันออกของตน[17]
ภายหลังเจียวอ้วนได้รับการเสนอชื่อเป็นเม่าไฉ (茂才) แต่เจียวอ้วนปฏิเสธการได้รับเกียรตินี้และเสนอชื่อคนอื่น ๆ แทน เช่น หลิว ยง (劉邕), อิน ฮฺว่า (陰化), ผาง เหยียน (龐延) และเลียวซุน[b] (廖淳 เลี่ยว ฉุน) จูกัดเหลียงห้ามเจียวอ้วนไว้และว่า "ท่านจากบ้านและครอบครัว เดินทางไกลมาเพื่อทำงานรับใช้ราษฎร ข้าพเจ้ารู้สึกนับถือท่าน และอาจยังมีผู้ที่ไม่เข้าใจเจตนาดีของท่าน นั่นคือเหตุผลที่ท่านควรรับเกียรตินี้เพื่อแสดงถึงคุณงามความดีและผลงานของท่าน ทั้งยังเป็นการเน้นย้ำถึงความเที่ยงธรรมและความเข้มงวดของกระบวนการคัดเลือกเม่าไฉ" เจียวอ้วนได้รับการเลื่อนขั้นเป็นที่ปรึกษาทัพ (參軍 ชานจฺวิน) ภายใต้จูกัดเหลียง[18]
ในปี ค.ศ. 227 จูกัดเหลียงระดมกำลังทหารจากทั่วจ๊กก๊กเพื่อเตรียมการสำหรับการทัพครั้งใหญ่ต่อวุยก๊กอันเป็นรัฐอริของจ๊กก๊กในปีถัดไป[16] จากนั้นจึงย้ายไปรวมพลในเมืองฮันต๋ง โดยมอบหมายให้เจียวอ้วนและหัวหน้าเลขานุการเตียวอี้ดูแลสำนักในเซงโต๋นครหลวงของจ๊กก๊ก[19]
ในปี ค.ศ. 230 หลังการเสียชีวิตของเตียวอี้ เจียวอ้วนเข้ารับตำแหน่งแทนเตียวอี้ในฐานะหัวหน้าเลขานุการของจูกัดเหลียงและได้รับการแต่งตั้งเพิ่มเติมเป็นขุนพลสงบทัพ (撫軍將軍 ฝู่จฺวินเจียงจฺวิน)[20]
ระหว่างปี ค.ศ. 228 และ ค.ศ. 234[21] ระหว่างที่จูกัดเหลียงนำทัพจ๊กก๊กบุกขึ้นเหนือรบกับวุยก๊กหลายครั้ง เจียวอ้วนให้การสนันสนุนการส่งกำลังบำรุงเพื่อส่งกำลังเสริมและเสบียงไปถึงทัพจ๊กก๊กในแนวหน้าได้ทันท่วงที[22]
ครั้งหนึ่งจูกัดเหลียงกล่าวว่า "ความทะเยอทะยานของกงเหยี่ยน[c]คือการรับใช้รัฐด้วยความซื่อสัตย์จงรักภักดีอย่างถึงที่สุด เขาจะเป็นผู้ที่สามารถทำงานร่วมกับข้าพเจ้าในการบรรลุการใหญ่ของรัฐ"[23] จูกัดเหลียงยังเคยทูลจักรพรรดิเล่าเสี้ยนเป็นการลับว่า "หากกระหม่อมไม่อยู่แล้ว เจียวอ้วนสามารถสืบทอดถัดจากกระหม่อม"[24]
ในปี ค.ศ. 234 เมื่อจูกัดเหลียงล้มป่วยลงอย่างหนักในยุทธการที่ทุ่งราบอู่จ้าง[25] ได้บอกกับลิฮกว่าเจียวอ้วนเป็นผู้ที่เหมาะสมที่สุดที่สืบทอดตำแหน่งผู้สำเร็จราชการต่อจากตน และบิฮุยก็สามารถสืบทอดถัดจากเจียวอ้วน[26]
ภายหลังจากการเสียชีวิตของจูกัดเหลียงในปี ค.ศ. 234[25] เจียวอ้วนได้สืบทอดอำนาจของจูกัดเหลียงในฐานะผู้สำเร็จราชการและดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าสำนักราชเลขาธิการ (尚書令 ช่างชูลิ่ง) ต่อมาได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรักษาการผู้พิทักษ์นครหลวง (都護 ตูฮู่) ได้รับพระราชทานอาญาสิทธิ์ และได้รับการแต่งตั้งเป็นข้าหลวงมณฑลเอ๊กจิ๋ว (益州刺史 อี้โจฺวชื่อฉื่อ)[27]
ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 235 เจียวอ้วนสละตำแหน่งหัวหน้าสำนักราชเลขาธิการให้กับบิฮุยที่เป็นผู้ช่วย[28] ตัวเจียวอ้วนได้เลื่อนขึ้นเป็นมหาขุนพล (大將軍 ต้าเจียงจฺวิน) และได้รับการแต่งตั้งเพิ่มเติมเป็นผู้จัดการกิจการของสำนักราชเลขาธิการ (錄尚書事 ลู่ช่างชูชื่อ) และยังได้รับบรรดาศักดิ์เป็นอานหยางถิงโหฺว (安陽亭侯)[29]
เวลานั้นการเสียชีวิตของจูกัดเหลียงยังเป็นเรื่องที่เพิ่งรับรู้กัน ราษฎรของจ๊กก๊กรู้สึกทุกข์ใจอย่างมากต่อการจากของจูกัดเหลียงและเริ่มหวาดกลัวต่ออนาคตของรัฐ[30] หลังจากเจียวอ้วนรับหน้าที่เป็นผู้สำเร็จราชการ ก็ได้แสดงความสามารถและทักษะในการจ๊กก๊กเข้าสู่ยุคหลังสมัยจูกัดเหลียง เจียวอ้วนไม่แสดงอาการเศร้าโศกหรือดีใจ ยังคงสำรวมท่าทาง และทำหน้าที่ของตนเหมือนแต่ก่อน เมื่อเวลาผ่านไป เจียวอ้วนก็ค่อยได้รับความเชื่อมั่นจากราชสำนักและราษฎรของจ๊กก๊กในฐานะผู้นำคนใหม่[31]
ในปี ค.ศ. 238 เล่าเสี้ยนจักรพรรดิจ๊กก๊กมีพระราชโองการถึงเจียวอ้วนว่า "ข้าศึกยังไม่ถูกปราบ โจยอยนั้นหยิ่งผยองและชั่วร้าย ราษฎรสามเมืองในเลียวตั๋ง (遼東 เหลียวตง) ได้รับความเดือดร้อนจากการปกครองแบบทรราชมาช้าน้านจึงตัดสินใจรวมกำลังกันและหลุดพ้นจากการปกครองของวุย โจยอยส่งทัพไปโจมตีเลียวตั๋งและปราบปรามกบฏ ในอดีต การล้มสลายของราชวงศ์จิ๋น (秦 ฉิน) เริ่มต้นด้วย การก่อการกำเริบที่นำโดยตันเสง (陳勝 เฉิน เชิ่ง) และเหงากวาง (吳廣 อู๋ กว่าง) กบฏในเลียวตั๋งเป็นโอกาสที่สวรรค์ประทานให้เรา ท่านควรจัดเตรียมกำลังทหารสำหรับการรบ ระดัมพลและเตรียมให้พร้อมในฮันต๋ง เมื่อง่อเคลื่อนไหว ทั้งตะวันออกและตะวันตกจะเปิดการโจมตีประสานต่อวุยก๊กและคว้าโอกาสที่จะได้รับชัยชนะ"[32]
จากนั้นเล่าเสี้ยนจึงพระราชทานอนุญาตให้เจียวอ้วนตั้งคณะเจ้าหน้าที่ของตนเองเพื่อช่วยเหลือเจียวอ้วนในการบริหารราชการแผ่นดิน ในเดือนเมษายนหรือพฤษภาคมของปีถัดมา[33] เจียวอ้วนได้รับการแต่งตั้งเพิ่มเติมเป็นเสนาบดีกลาโหม (大司馬 ต้าซือหม่า)[34]
เจียวอ้วนพิจารณาว่าเหตุผลหนึ่งของความล้มเหลวในการบุกขึ้นเหนือของจูกัดเหลียงเพื่อรบกับวุยก๊กนั้นเพราะจูกัดเหลียงเลือกเส้นทางที่ยากลำบากผ่านเทือกเขาฉินหลิ่ง (秦岭) ภูมิประเทศที่เป็นภูเขาทำให้ทัพจ๊กก๊กยากที่จะเคลื่อนทัพและส่งเสบียงไปยังแนวหน้า เจียวอ้วนจึงคิดจะเปลี่ยนทางเส้นทางเดินทัพจากเส้นทางทางบกไปยังเส้นทางทางน้ำ ในแผนของเจียวอ้วนทัพจ๊กก๊กจะสร้างเรือรบเพิ่มและล้องไปตามแม่น้ำฮั่นซุย (漢水 ฮั่นฉุ่ย) เพื่อเข้าโจมตีเมืองเว่ย์ซิง (魏興) และเซียงหยง (上庸 ซ่างยง) ในอาณาเขตของวุยก๊ก ซึ่งอยู่ทางใต้ของมณฑลฉ่านซีและทางตะวันตกเฉียงเหนือของมณฑลหูเป่ย์ในปัจจุบัน[35]
อย่างไรก็ตาม เนื่องด้วยปัญหาสุขภาพของเจียวอ้วน จึงไม่สามารถทำให้แผนถูกนำไปปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมได้ เมื่อแผนการของเจียวอ้วนถูกยกขึ้นมาอภิปรายในราชสำนักจ๊กก๊ก ขุนนางหลายคนคัดค้านแผนนี้เพราะมีความเห็นว่าเส้นทางทางน้ำมีความเสี่ยงเกินไปและไม่สามารถปฏิบัติได้ในระยะยาว เหตุผลหลักคือหากทัพจ๊กก๊กยึดเมืองเว่ย์ซิงและเซียงหยงไม่สำเร็จ จะยากลำบากในการถอนทัพไปตามแม่น้ำฮั่นซุยมากกว่าการถอยผ่านเส้นทางทางบก[36] จักรพรรดิจ๊กก๊กเล่าเสี้ยนจึงส่งบิฮุยและเกียงอุยไปยังเมืองฮันต๋งเพื่อพบเจียวอ้วนและแจ้งเหตุผลที่ปฏิเสธแผนของเจียวอ้วน[37]
เจียวอ้วนเขียนฎีกาถวายเล่าเสี้ยนว่า:
"เป็นความรับผิดชอบกระหม่อมที่ต้องทำลายความชั่วร้ายและช่วยเหลือราษฎร เป็นเวลาหกปีแล้วที่กระหม่อมได้รับมอบหมายให้ไปประจำการอยู่ที่ฮันต๋ง กระหม่อมไร้ตวามสามารถ ไร้สติปัญญา และสุขภาพไม่ดี จึงไม่สามารถดำเนินแผนการใหญ่ได้ กระหม่อมรู้สึกห่วงพะวงทั้งกลางวันและความคืน ทุกวันนี้วุยครอบครองเก้ามณฑลและมีรากฐานมั่นคงอย่างมาก การกำจัดวุยจึงไม่ใช่เรื่องง่าย หากตะวันออก (ง่อก๊ก) และตะวันตก (จ๊กก๊ก) สามารถร่วมมือกันและเปิดการโจมตีที่ประสานกันได้ อย่างน้อยเราก็จะสามารถแบ่งแยกยึดครองอาณาเขตบางส่วนของวุยและค่อย ๆ บั่นทอนฐานที่มั่นของวุย แม้ว่าเราจะไม่สามารถบรรลุการใหญ่ได้ในเวลาอันสั้น แต่ง่อชะลอปฏิบัติการทางทหารจึงไม่อาจบรรลุเป้าหมายได้ นี่เป็นเรื่องที่น่าวิตกโดยแท้ กระหม่อมไม่อาจกินและนอนได้อย่างสงบใจ เมื่อใดที่กระหม่อมสนทนากับบิฮุยและคนอื่น ๆ กระหม่อมเชื่ออยู่เสมอว่ามณฑลเลียงจิ๋วเป็นตำแหน่งยุทธศาสตร์สำคัญสำหรับทั้งข้าศึกและชนเผ่าท้องถิ่น นอกจากนี้ชาวเกี๋ยงและชาวหูยังระลึกถึงยุคแห่งราชวงศ์ฮั่น ในอดีต เมื่อเราส่งทัพน้อยไปเป็นพันธมิตรกับชาวเกี๋ยง เราสามารถเอาชนะกุยห้วยได้ หลังจากชั่งน้ำหนักพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว กระหม่อมเห็นว่ามณฑลเลียงจิ๋วมีความสำคัญสูงสุดสำหรับเรา เราควรตั้งให้เกียงอุยเป็นข้าหลวงมณฑลเลียงจิ๋ว เกียงอุยสำหรับนำทัพของเราเข้ารบและดึงความสนใจของข้าศึกทางตะวันตกของแม่น้ำอุยโห (渭河 เว่ย์เหอ) ส่วนกระหม่อมจะนำทัพอีกทัพไปช่วยสนับสนุน อำเภอโปยเสียเชื่อมต่อกับพื้นที่โดยรอบและเข้าถึงง่าย หากเกิดศึกขึ้นทางตะวันออกเฉียงเหนือ กระหม่อมสามารถนำทัพไปป้องกันชายแดนของเราได้ในเวลาอันสั้นที่สุดเท่าที่จะทำได้"[38]
ปลายเดือนตุลาคมหรือพฤศจิกายน ค.ศ. 243 เล่าเสี้ยนทรงอนุมัติคำทูลขอของเจียวอ้วนที่ขอย้ายจากเมืองฮันต๋งไปยังอำเภอโปยเสีย (涪縣 ฝูเซี่ยน; ปัจจุบันคือนครเหมี่ยนหยาง มณฑลเสฉวน)[39][33]
ปลายเดือนพฤศจิกายนหรือธันวาคม ค.ศ. 243 ขณะที่สุขภาพของเจียวอ้วนแย่ลง เจียวอ้วนจึงสละตำแหน่งมหาขุนพล (大將軍 ต้าเจียงจฺวิน) และผู้จัดการกิจการของสำนักราชเลขาธิการ (錄尚書事 ลู่ช่างชูชื่อ) ให้กับบิฮุย[40] ทำให้บิฮุยกลายเป็นผู้นำขุนนางของราชสำนักจ๊กก๊กโดยพฤตินัย ในปีถัดมา ตั๋งอุ๋นสืบทอดตำแหน่งหัวหน้าสำนักราชเลขาธิการ (尚書令 ช่างชูลิ่ง) ของบิฮุย[33]
สุขภาพของเจียวอ้วนยังคงแย่ลงเรื่อย ๆ จนกระทั่งเสียชีวิตในช่วงเวลาระหว่างวันที่ 26 พฤศจิกายนและ 25 ธันวาคม ค.ศ. 246[a] เล่าเสี้ยนพระราชทานสมัญญานามว่า "กงโหฺว" (恭侯; มีความหมายว่า "เจ้าพระยาผู้เป็นที่เคารพ") เพื่อเป็นเกียรติแก่เจียวอ้วน[41]
บุตรชายคนโตของเจียวอ้วนคือเจียวปิน (蔣斌 เจี่ยง ปิน) สืบทอดบรรดาศักดิ์ของบิดากลายเป็นอานหยางถิงโหว (安陽亭侯) คนถัดไป เจียวปินรับราชการเป็นขุนพลในจ๊กก๊กเช่นเดียวกับบิดา และมียศเป็นขุนพลสงบยุทธ (綏武將軍 ซุยอู่เจียงจฺวิน) และดำรงตำแหน่งเป็นผู้พิทักษ์ทัพ (護軍 ฮู่จฺวิน) ในอำเภอฮั่นเสีย (漢城縣 ฮั่นเฉิงเซี่ยน; ปัจจุบันคืออำเภอเหมี่ยน มณฑลฉ่านซี)[42]
ในปี ค.ศ. 263 ระหว่างที่วุยก๊กยกทัพบุกจ๊กก๊ก[43] เมื่อจงโฮยขุนพลวุยก๊กยกกำลังเข้าใกล้อำเภอฮั่นเสีย ได้เขียนจดหมายถึงเจียวปินว่า "มีผู้มีความสามารถและคุณธรรมมากมายในจ๊กก๊ก คนเช่นท่านและจูเก่อ ซือยฺเหวี่ยน (จูกัดเจี๋ยม) ก็เฉกเช่นข้าพเจ้า และยังมีคนอื่นอีกมากที่เฉกเช่นท่านเช่นกัน เป็นธรรมเนียมปฏิบัติของบรรพชนที่ต้องสักการมหาปราชญ์ในอดีต บัดนี้เมื่อข้าพเจ้ามาถึงจ๊ก ข้าพเจ้าต้องการไปเยือนหลุมศพของบิดาท่าน ข้าพเจ้าหวังว่าท่านจะบอกข้าพเจ้าว่าหลุมศพนั้นอยู่ที่ใด"[44]
เจียวปินตอบว่า "ข้าพเจ้ารู้ว่าท่านเป็นผู้ที่เข้าใจข้าพเจ้าและข้าพเจ้าอยากจะเป็นมิตรกับท่าน บัดนี้เมื่อท่านร้องขออย่างสุภาพ ก็คงจะเป็นการเสียมารยาทหากปฏิเสธท่าน บิดาผู้ล่วงลับของข้าพเจ้าล้มป่วยเสียชีวิตที่อำเภอโปยเสีย หลังจากที่อาจารย์ด้านฮวงจุ้ยบอกว่าอำเภอโปยเสียเป็นสถานที่ดี เราจึงฝังศพของบิดาที่นั่น ท่านมาตามทางไปจ๊กเพื่อเยี่ยมและคำนับหลุมศพของบิดา งันเอี๋ยน (顏回 เหยียน หุย) ก็แสดงความเป็นผู้มีคุณธรรมเมื่อปฏิบัติต่อขงจื๊อเหมือนเป็นบิดาของตน บัดนี้หลังได้รับจดหมายของท่าน ข้าพเจ้ารู้สึกเสียใจอย่างมากและคิดถึงบิดาของข้าพเจ้ามากยิ่งขึ้น"[45]
จงโฮยรู้สึกประทับใจกับลักษณะนิสัยอันน่านับถือของเจียวปินหลังได้รับการตอบกลับของเจียวปิน จงโฮยจึงมุ่งหน้าไปยังอำเภอโปยเสีย หาสุสานของเจียวอ้วนจนพบและคำนับหลุมศพ[46] หลังการล่มสลายของจ๊กก๊กเมื่อปลายปี ค.ศ. 263 เจียวปินเดินทางไปยังอำเภอโปยเสียเพื่อพบกับจงโฮยแล้วกลายเป็นมิตรกับจงโฮย เจียวปินถูกสังหารโดยทหารที่ก่อการกำเริบในเดือนมีนาคม ค.ศ. 264 [43] เมื่อจงโฮยเริ่มก่อกบฏในเซงโต๋ต่อต้านสุมาเจียวผู้สำเร็จราชการแห่งวุยก๊ก[47]
บุตรชายคนรองของเจียวอ้วนชื่อเจียวเอี๋ยน (蔣顯 เจี๋ยง เสี่ยน) รับราชการเป็นมหาดเล็กของเล่ายอยรัชทายาทแห่งจ๊กก๊ก จงโฮยชื่นชมความสามารถของเจียวเอี๋ยน และผูกมิตรกับเจียวเอี๋ยนเช่นกัน เจียวเอี๋ยนเสียชีวิตพร้อมกับเจียวปินพี่ชายระหว่างความวุ่นวายเพราะกบฏจงโฮยในเดือนมีนาคม ค.ศ. 264[48]
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.