Loading AI tools
นักการเมืองและนักกฎหมายชาวบริติช ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักรตั้งแต่ ค.ศ. 2024 จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เซอร์ เคียร์ รอดนีย์ สตาร์เมอร์ KCB KC (อังกฤษ: Sir Keir Rodney Starmer; เกิด 2 กันยายน ค.ศ. 1962) เป็นนักการเมืองและเนติบัณฑิตชาวบริติช ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักรตั้งแต่ ค.ศ. 2024 และดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคแรงงานตั้งแต่ ค.ศ. 2020 เขาได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกรัฐสภาเขตฮอลบอร์นและเซนต์แพนคราสตั้งแต่ ค.ศ. 2015 และก่อนหน้านั้นเขาดำรงตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านระหว่างปี 2020 ถึง 2024 และเคยดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักอัยการระหว่างปี 2008 ถึง 2013 สตาร์เมอร์ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อจากริชี ซูแน็ก หลังจากพรรคแรงงานชนะในการเลือกตั้งทั่วไป ค.ศ. 2024[1]
เซอร์ เคียร์ สตาร์เมอร์ | |||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
Sir Keir Starmer | |||||||||||||
ภาพถ่ายทางการ ค.ศ. 2024 | |||||||||||||
นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร | |||||||||||||
เริ่มดำรงตำแหน่ง 5 กรกฎาคม ค.ศ. 2024 (0 ปี 141 วัน) | |||||||||||||
กษัตริย์ | สมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 3 | ||||||||||||
รอง | แอนเจลา เรย์เนอร์ | ||||||||||||
ก่อนหน้า | ริชี ซูแน็ก | ||||||||||||
ผู้นำฝ่ายค้าน | |||||||||||||
ดำรงตำแหน่ง 4 เมษายน ค.ศ. 2020 – 5 กรกฎาคม ค.ศ. 2024 | |||||||||||||
กษัตริย์ | สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 สมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 3 | ||||||||||||
นายกรัฐมนตรี | บอริส จอห์นสัน ลิซ ทรัสส์ ริชี ซูแน็ก | ||||||||||||
ก่อนหน้า | เจเรมี คอร์บิน | ||||||||||||
ถัดไป | ริชี ซูแน็ก | ||||||||||||
หัวหน้าพรรคแรงงาน | |||||||||||||
เริ่มดำรงตำแหน่ง 4 เมษายน ค.ศ. 2020 | |||||||||||||
รอง | แอนเจลา เรย์เนอร์ | ||||||||||||
ก่อนหน้า | เจเรมี คอร์บิน | ||||||||||||
| |||||||||||||
สมาชิกรัฐสภา เขตฮอลบอร์นและเซนต์แพนคราส | |||||||||||||
เริ่มดำรงตำแหน่ง 7 พฤษภาคม ค.ศ. 2015 | |||||||||||||
ก่อนหน้า | แฟรงก์ ด็อบสัน | ||||||||||||
คะแนนเสียง | 27,763 (48.9%) | ||||||||||||
ผู้อำนวยการฟ้องคดีอาญาแผ่นดิน | |||||||||||||
ดำรงตำแหน่ง 1 พฤศจิกายน ค.ศ. 2008 – 1 พฤศจิกายน ค.ศ. 2013 | |||||||||||||
แต่งตั้งโดย | บารอเนสสกอตแลนด์แห่งอัสธาล | ||||||||||||
ก่อนหน้า | เคน แม็คโดนัลด์ | ||||||||||||
ถัดไป | แอลลิสัน ชอนเดอรส์ | ||||||||||||
ข้อมูลส่วนบุคคล | |||||||||||||
เกิด | เคียร์ รอดนีย์ สตาร์เมอร์ 2 กันยายน ค.ศ. 1962 เซาธ์วาร์ก, ลอนดอน, อังกฤษ | ||||||||||||
พรรคการเมือง | พรรคแรงงาน | ||||||||||||
คู่สมรส | วิกตอเรีย อาเล็กซานเดอร์ (สมรส 2007) | ||||||||||||
บุตร | 2 | ||||||||||||
การศึกษา | โรงเรียนมัธยมศึกษาไรเกต โรงเรียนดนตรีและการแสดงกิลด์ฮอลล์ | ||||||||||||
ศิษย์เก่า |
| ||||||||||||
ลายมือชื่อ | |||||||||||||
เว็บไซต์ | เว็บไซต์ทางการ | ||||||||||||
สตาร์เมอร์เกิดที่ลอนดอน และเติบโตขึ้นที่เซอร์รีย์ โดยจบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาของรัฐที่โรงเรียนรีเกตแกรมมาสคูลซึ่งต่อมาในระหว่างที่ศึกษาอยู่นั้นได้เปลี่ยนเป็นโรงเรียนเอกชนแทน เขาจบการศึกษาระดับปริญญาตรีด้านนิติศาสตร์จากมหาวิทยาลัยลีดส์เมื่อ ค.ศ. 1985 และต่อมาได้จบการศึกษาระดับสูงกว่าปริญญาตรีด้านนิติศาสตร์ที่เซนต์ เอ็ดมันด์ ฮอลล์ มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด ใน ค.ศ. 1986
ภายหลังจากสำเร็จการศึกษาทางเนติบัณฑิตแล้ว สตาร์เมอร์ได้เริ่มทำงานเป็นทนายความเฉพาะทางด้านจำเลยคดีอาญาซึ่งเน้นคดีความด้านสิทธิมนุษยชน โดยได้เข้าเป็นสมาชิกประจำสำนักงานเนติบัณฑิตโดท์ตีสตรีทก่อนที่จะได้รับแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษากฎหมายในพระราชินีฯ (Queen's Counsel) ใน ค.ศ. 2002 ใน ค.ศ. 2008 สตาร์เมอร์ได้รับตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการสำนักอัยการจนถึง ค.ศ. 2013 โดยภายหลังจากเสร็จสิ้นวาระการทำงานในสำนักอัยการแล้วเขาได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์บาธชั้นอัศวิน (KCB) ใน ค.ศ. 2014
สตาร์เมอร์ชนะการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาสามัญชนใน ค.ศ. 2015 และได้รับตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีการอพยพเงาในปึค.ศ. 2015 และต่อมาได้รับการแต่งตั้งเป็นสมาชิกคณะรัฐมนตรีเงาในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2016 ในตำแหน่งรัฐมนตรีการออกจากสหภาพยุโรปเงาซึ่งมีขึ้นในภายหลังจากเหตุการณ์เบร็กซิต โดยเขาได้เสนอให้มีการทำประชามติครั้งที่สองในเรื่องนี้โดยเขาได้ลงความเห็นว่าจะตัดสินใจเลือกลงคะแนนเพื่อที่จะคงอยู่ในสหภาพยุโรปต่อไป ภายหลังจากการพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งทั่วไป ค.ศ. 2019 เขาได้ขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรคแรงงานแทนเจเรมี คอร์บิน เมื่อเดือนเมษายน ค.ศ. 2020
สตาร์เมอร์นำพรรคแรงงานสู่ชัยชนะอย่างถล่มทลายในการเลือกตั้งทั่วไป ค.ศ. 2024 ทำให้วาระของรัฐบาลพรรคอนุรักษนิยมที่ดำเนินมา 14 ปีสิ้นสุดลง โดยพรรคแรงงานเป็นพรรคที่มีจำนวนที่นั่งมากที่สุดในสภาสามัญชน สตาร์เมอร์กล่าวว่านโยบายภายในประเทศจะให้ความสำคัญกับการทำให้เศรษฐกิจโตขึ้น ปฏิรูประบบการขออนุญาตก่อสร้าง โครงสร้างพื่นฐาน พลังงาน การศึกษา การดูแลเด็กและเยาวชน และการทำให้สิทธิแรงงานเข้มแข็งขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้ได้กล่าวถึงในคำแถลงนโยบายทางการเมืองของพรรคแรงงานที่เปิดเผยก่อนการเลือกตั้ง สตาร์เมอร์ยังมีนโยบายจัดตั้งกองรักษาความมั่นคงชายแดนเพื่อมาแทนที่แผนการส่งผู้ลี้ภัยไปประเทศรวันดาอีกด้วย ในทางการต่างประเทศ สตาร์เมอร์สนับสนุนยูเครนในการต้านการรุกรานของรัสเซีย และสนับสนุนอิสราเอลในสงครามอิสราเอลฮามาส แต่ก็สนับสนุนให้มีการทำข้อตกลงหยุดยิงในฉนวนกาซาทันทีตั้งแต่กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2024 เช่นกัน หลังจากก่อนหน้านี้ปฏิเสธที่จะสนับสนุนการหยุดยิง
เคียร์ รอดนีย์ สตาร์เมอร์เกิดเมื่อวันที่ 2 กันยายน ค.ศ. 1962 ในเซาธ์วาร์ก ลอนดอน[2][3][4] เขาเติบโตในเมืองออกซ์เตดในเซอร์รีย์[5][6][7] เป็นบุตรคนที่สองจากสี่คน โดยมารดาชื่อโจเซฟีน ดำรงอาชีพพยาบาล และบิดาชื่อรอดนีย์ สตาร์เมอร์ ดำรงอาชีพช่างผลิตแม่แบบ[7][8] มารดาของสตาร์เมอร์เป็นโรคสติลล์[9][3] บิดามารดาสตาร์เมอร์เป็นผู้สนับสนุนพรรคแรงงานทั้งสองคน และตั้งชื่อบุตรตามชื่อของผู้นำพรรคแรงงานในสภาคนแรกคือเคียร์ ฮาร์ดี[10][11] แต่สตาร์เมอร์ได้กล่าวใน ค.ศ. 2015 ว่าไม่ทราบว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่[12]
สตาร์เมอร์ผ่านการสอบ 11-plus ซึ่งเป็นการสอบของเด็กประถมเพื่อเข้าโรงเรียนมัธยม และได้เข้ารับการศึกษาที่โรงเรียนมัธยมไรเกต ซึ่ง ณ ตอนนั้นเป็นโรงเรียนมัธยมที่ได้รับการสนับสนุนโดยสมัครใจจากองค์กรไม่แสวงหากำไร และมีคัดเลือกนักเรียนที่ได้เข้ารับการศึกษาตามผลการเรียน[2][11] ต่อมาโรงเรียนมัธยมไรเกตได้เปลี่ยนเป็นโรงเรียนอิสระที่ต้องชำระค่าธรรมเนียมการศึกษาใน ค.ศ. 1976 ขณะที่สตาร์เมอร์ยังเป็นนักเรียนอยู่ โดยในช่วงเปลี่ยนผ่านโรงเรียนได้ทำข้อตกลงกับนักเรียนปัจจุบัน ทำให้บิดามารดาสตาร์เมอร์ไม่ต้องชำระค่าธรรมเนียมการศึกษาจนสตาร์เมอร์อายุครบ 16 ปี[13][14][15] และเมื่อครบกำหนด โรงเรียนซึ่งในตอนนั้นได้เปลี่ยนสถานะเป็นมูลนิธิแล้วได้มอบทุนการศึกษาให้กับสตาร์เมอร์ ทำให้บิดามารดาไม่ต้องชำระค่าเล่าเรียนจนจบการศึกษา สตาร์เมอร์เลือกที่จะเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ดนตรีและฟิสิกส์เป็นวิชาเฉพาะในช่วงการศึกษาสองปีสุดท้าย และได้คะแนน A Level เกรด B B และ C ตามลำดับ[16] สตาร์เมอร์มีเพื่อนร่วมชั้นเรียนที่มีชื่อเสียงได้แก่ นอร์แมน คุก (แฟตบอยสลิม) ซึ่งสตาร์เมอร์ได้เรียนไวโอลินร่วมด้วย แอนดรูว์ คูเปอร์ ซึ่งได้รับการแต่งตั้งเป็นขุนนางพรรคอนุรักษนิยม และนักข่าวสายอนุรักษนิยม แอนดรูว์ ซัลลิแวน สตาร์เมอร์กล่าวว่าเขากับซัลลิแวน "ทะเลาะกันทุกเรื่อง ... การเมือง ศาสนา ว่ามาเรื่องไหนก็ทะเลาะกันหมด"[7]
ในช่วงวัยรุ่น สตาร์เมอร์เคลื่อนไหวทางการเมืองกับพรรคแรงงาน และเป็นสมาชิกของปีกยุวชนสังคมนิยมพรรคแรงงานตอนอายุ 16 ปี[17][7] สตาร์เมอร์เป็นนักเรียนที่ได้รับความช่วยเหลือทางการเงินเพื่อศึกษาในโรงเรียนดนตรีและการแสดงกิลด์ฮอล์จนอายุ 18 โดยสตาร์เมอร์เล่นฟลูต เปียโน รีคอร์เดอร์ และไวโอลิน[18] ในช่วงต้นคริสต์ทศวรรษ 1980 สตาร์เมอร์โดนตำรวจจับระหว่างไปพักร้อนที่โกตดาซูร์เพราะจำหน่ายไอศกรีมโดยผิดกฎหมายระหว่างการเรี่ยไร สตาร์เมอร์หลบหนีได้อย่างสำเร็จ โดยตำรวจยึดไอศกรีมเท่านั้น ไม่มีการจับกุม[19][20] สตาร์เมอร์ศึกษากฎหมายที่มหาวิทยาลัยลีดส์ และได้เข้าร่วมชุมนุมพรรคแรงงานของมหาวิทยาลัย สตาร์เมอร์สำเร็จการศึกษาโดยได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง ปริญญานิติศาสตรบัณฑิตใน ค.ศ. 1985 เป็นคนแรกในครอบครัวที่สำเร็จการศึกษาปริญญาตรี[10][21] สตาร์เมอร์ศึกษาต่อในระดับปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด เป็นนักเรียนวิทยาลัยเซนต์เอดมันด์ฮอลล์ สำเร็จการศึกษาปริญญาโทด้านกฎหมายแพ่งใน ค.ศ. 1986[22][10]
สตาร์เมอร์เริ่มเป็นเนติบัณฑิต โดยเป็นสมาชิกเนติบัณฑิตยสภามิดเดิลเทมเปิลใน ค.ศ. 1987 โดยได้เป็นกรรมการสภาใน ค.ศ. 2009[2][3] และเป็นเจ้าหน้าที่ด้านกฎหมายให้กับกลุ่มเคลื่อนไหว ลิเบอร์ตี จนถึง ค.ศ. 1990[10] สตาร์เมอร์เป็นสมาชิกสำนักงานกฎหมายดาวตีสตรีทเชมเบอร์ส (Doughty Street Chambers) ตั้งแต่ ค.ศ. 1990 เป็นต้นไป โดยทำงานเรื่องเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนเป็นหลัก[9][10]
สตาร์เมอร์ได้รับการประสาทปริญญาเนติบัณฑิตในประเทศแถบแคริบเบียนหลายประเทศ[23] เพื่อว่าความให้กับนักโทษที่ถูกตัดสินคดีให้รับโทษประหารชีวิต[7] สตาร์เมอร์ให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายกับเฮเลน สตีล และเดวิด มอร์ริส เรื่องคดีแมกไลเบลในชั้นต้นและอุทธรณ์ในศาลอังกฤษ และยังว่าความให้ในศาลยุโรปอีกด้วย[24] สตาร์เมอร์ได้รับการแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษากฎหมายในพระราชินีวันที่ 9 เมษายน ค.ศ. 2002 อายุ 39 ปี[25] ในปีเดียวกันนั้น สตาร์เมอร์ได้เป็นรองประธานเจ้าหน้าที่บริหารสำนักงานกฎหมายดาวตีสตรีทเชมเบอร์ส ใน ค.ศ. 2005 สตาร์เมอร์ได้กล่าวว่า "ผมถือว่าการที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษากฎหมายในพระราชินีเป็นเรื่องแปลก เพราะผมเคยชอบสนับสนุนการยกเลิกสถาบันพระมหากษัตริย์"[26] ในช่วงเวลานี้ สตาร์เมอร์ร่วมเดินขบวนชุมนุมและเขียนความเห็นกฎหมายไม่เห็นด้วยกับสงครามอิรัก หลังจากการการบุกครองอิรัก ค.ศ. 2003 โดยเขากล่าวใน ค.ศ. 2015 ว่าสงคราม "ไม่ถูกต้องตามกฎหมายสากลเพราะไม่มีข้อมติสหประชาชาติอนุญาตให้บุกครองได้"[27][7]
สตาร์เมอร์เป็นที่ปรึกษากฎหมายให้กับคณะกรรมการตำรวจไอร์แลนด์เหนือและสมาคมผู้บัญชาการตำรวจ อีกทั้งยังเป็นกรรมการที่ปรึกษาเรื่องโทษประหารชีวิตให้กับกระทรวงการต่างประเทศ เครือจักรภพ และการพัฒนา ตั้งแต่ ค.ศ. 2002 ถึง 2008[3][10] คณะกรรมการไอร์แลนด์เหนือเป็นหนึ่งในส่วนสำคัญช่วยให้ประชาคมกลับมาหลอมรวมกันได้หลังจากรัฐบาลทำความตกลงกู๊ดฟรายเดย์ สตาร์เมอร์ได้อ้างว่าการทำงานในแวดวงตำรวจไอร์แลนด์เหนือเป็นสิ่งที่ทำให้เขาตัดสินในทำงานการเมืองในที่สุด เขากล่าวว่า "ผมสามารถเปลี่ยนแปลงอะไรต่าง ๆ ได้ตอนที่ผมร่วมงานในวงการตำรวจเร็วกว่าตอนที่ผมทำงานดำเนินคดีแบบยุทธศาสตร์ ... ผมเข้าใจมากขึ้นว่าสามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้เมื่ออยู่ข้างในและได้รับความไว้วางใจจากคนทำงาน"[28]
ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2005 อัยการสูงสุดอังกฤษและเวลส์ แพทริเชีย สกอตแลนด์ แต่งตั้งสตาร์เมอร์ให้เป็นผู้อำนวยการสำนักอัยการและผู้อำนวยการฟ้องคดีอาญาแผ่นดิน สตาร์เมอร์ดำรงตำแหน่งต่อจากเคน แมคโดนัลด์ ซึ่งสนับสนุนการแต่งตั้งของสตาร์เมอร์เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน ค.ศ. 2008 อย่างเปิดเผย[10][11] สตาร์เมอร์ถือเป็นผู้ที่ให้ความสำคัญกับสิทธิมนุษยชนในระบบกฎหมายอย่างมาก[10] ใน ค.ศ. 2011 สตาร์เมอร์ทดลองให้มีการนั่งพิจารณาคดีโดยไม่ใช้กระดาษเป็นครั้งแรก[29] สตาร์เมอร์ได้ดูแลคดีใหญ่หลายคดีในช่วงวาระการเป็นผู้อำนวยการ โดยหนึ่งในคดีใหญ่คือคดีฆาตกรรมสตีเฟน ลอว์เรนส์[30]
ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2010 สตาร์เมอร์แถลงว่าสำนักอัยการมีคำสั่งฟ้องคดียื่นบัญชีเท็จสมาชิกรัฐสภาพรรคแรงงานสามคนและสมาชิกสภาขุนนางพรรคอนุรักษนิยมหนึ่งคน เกี่ยวเนื่องกับกรณีอื้อฉาวการเบิกค่าใช้จ่ายของสมาชิกรัฐสภา ซึ่งสมาชิกรัฐสภาทั้งสามคนศาลตัดสินว่ามีความผิดจริง[31][32] หลังจากเหตุจลาจลในประเทศอังกฤษ ค.ศ. 2011 สตาร์เมอร์เน้นการดำเนินคดีผู้ก่อจลาจลอย่างรวดเร็วมากกว่าการเพิ่มโทษจำคุกให้ยาวที่สุด ซึ่งต่อมาสตาร์เมอร์คิดว่าช่วย "ให้สถานการณ์กลับมาเป็นปกติโดยเร็ว"[33][34] ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2012 สตาร์เมอร์แถลงว่าจะมีการสั่งฟ้องคริส ฮิวน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานและการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศในขณะนั้น ความผิดฐานแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม โดยสตาร์เมอร์กล่าวถึงคดีว่า "เมื่อมีหลักฐานเพียงพอ พวกเราก็ไม่เกรงกลัวที่จะฟ้องนักการเมือง"[35] ใน ค.ศ. 2013 สตาร์เมอร์แถลงการปฏิรูปกระบวนการสืบสวนคดีที่เกี่ยวกับความผิดทางเพศ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการยิวทรี รวมถึงการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อพิจารณาคดีเก่าด้วย[36][37][38]
สตาร์เมอร์ลาออกจากการเป็นผู้อำนวยการฟ้องคดีอาญาแผ่นดินในเดือนพฤษจิกายน ค.ศ. 2013 โดยผู้ที่ดำรงตำแหน่งต่อคืออลิสัน ซอนเดอร์ส[39][40] จาก ค.ศ. 2011 ถึง 2014 สตาร์เมอร์ได้รับปริญญากิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยหลายแห่ง และได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์บาธชั้นอัศวิน (KCB) ในบัญชีเครื่องราชอิสริยาภรณ์ปีใหม่ ค.ศ. 2014 สำหรับงานด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมทางอาญา[41][42]
อดีตสมาชิกที่ดำรงตำแหน่งก่อนผม เดอะไรต์ออนะระเบิล แฟรงก์ ดอบสัน ซึ่งผมขอแสดงความขอบคุณยิ่ง เป็นผู้ที่เรียกร้องสิทธิอย่างเข้มแข็งให้กับชาวฮอลบอร์นและเซนต์พานคราสทุกคนตลอดระยะเวลาที่ท่านดำรงตำแหน่งเป็นสมาชิกรัฐสภาอันทรงเกียรติ ท่านเป็นผู้ที่ได้รับความเคารพนับถืออย่างสูง และรับใช้ชาวฮอลบอร์นและเซนต์พานคราสมา 36 ปี แม้ว่าตัวผมเองคงจะอยู่ไม่นานถึง 36 ปีเหมือนกับท่าน แต่ผมตั้งใจที่จะเดินตามรอยเท้าท่านอย่างแน่นอน แม้ว่าผมอาจจะไม่เล่นมุกแรงเท่าท่านหรือไว้เคราเหมือนท่านก็ตาม
— เคียร์ สตาร์เมอร์กล่าวในสุนทรพจน์ครั้งแรกต่อสภาสามัญชน เดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2015
สตาร์เมอร์ได้รับเลือกให้เป็นผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งในนามพรรคแรงงานในเขตเลือกตั้งฮอลบอร์นและเซนต์พานคราสในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2014 ซึ่งถือว่าเป็นที่นั่งปลอดภัย หลังจากที่แฟรงก์ ดอบสันตัดสินใจเกษียณจากการเป็นสมาชิกรัฐสภา[43] สตาร์เมอร์ได้รับการเลือกตั้งในการเลือกตั้งทั่วไป ค.ศ. 2015 ด้วยคะแนนข้างมาก 17,048 คะแนน (%52.9)[44] สตาร์เมอร์ได้รับการเลือกตั้งสมัยที่สองในการเลือกตั้งทั่วไป ค.ศ. 2017 ด้วยคะแนนเสียงเพิ่มขึ้นเป็น 30,509 คะแนน (%70.1) และในการเลือกตั้งทั่วไป ค.ศ. 2019 ชนะด้วยคะแนนเสียงลดลงเป็น 27,763 คะแนน (%64.9) และได้รับการเลือกตั้งใน ค.ศ. 2024 ด้วยคะแนนเสียงที่ลดลงอีกเหลือ 18,884 คะแนน (%48.9)
ช่วงก่อนการลงประชามติว่าด้วยสมาชิกภาพสหภาพยุโรป ค.ศ. 2016 สตาร์เมอร์สนับสนุนกลุ่มรณรงค์ บริเตนแกร่งกว่าในยุโรป (Britain Stronger in Europe) ให้สหราชอาณาจักรยังคงอยู่ในสหภาพยุโรปต่อไป[45] สตาร์เมอร์เข้าร่วมกลุ่มการเมืองรัฐสภาพรรคแรงงานเพื่อนอิสราเอล และกลุ่มพรรคแรงงานเพื่อนปาเลสไตน์และตะวันออกกลาง[46] มีนักกิจกรรมหลายคนที่เรียกร้องให้สตาร์เมอร์ลงรับสมัครเลือกตั้งเป็นหัวหน้าพรรคแรงงานใน ค.ศ. 2015 หลังจากการลาออกของเอ็ด มิลิแบนด์ แต่สตาร์เมอร์ปฏิเสธที่จะลงเลือกตั้งเพราะยังไม่มีประสบการณ์ทางการเมืองมากพอในขณะนั้น[47][48] ระหว่างการเลือกตั้งหัวหน้าพรรคแรงงาน สตาร์เมอร์สนับสนุนแอนดี เบอร์นแฮม ซึ่งได้รับคะแนนอันดับสองรองจากเจเรมี คอร์บิน[49]
ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2015 สตาร์เมอร์ได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการมหาดไทยเงาในคณะรัฐมนตรีเงาของคอร์บิน และสตาร์เมอร์ลาออกจากตำแหน่งนี้ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2016 ร่วมกับรัฐมนตรีเงาคนอื่นที่ลาออกด้วยเพื่อประท้วงการนำพรรคของคอร์บิน[50][51] หลังจากคอร์บินชนะการเลือกตั้งผู้นำพรรคอีกครั้งในเดือนกันยายน ค.ศ. 2016 สตาร์เมอร์รับตำแหน่งใหม่ในฐานะรัฐมนตรีว่าการออกจากสหภาพยุโรปเงา[52]
ในระหว่างที่สตาร์เมอร์ทำหน้าที่เป็นรัฐมนตรีเบร็กซิตเงา สตาร์เมอร์ได้ถามเทรีซา เมย์และรัฐบาลของเมย์ ว่ามีแผนจุดสิ้นสุดหลังจากสหราชอาณาจักรออกจากสหภาพยุโรปเป็นอย่างไร และเรียกร้องให้รัฐบาลเปิดเผยแผนเกี่ยวกับเบร็กซิตต่อสาธารณะ รวมถึงเรียกร้องให้มีการทำประชามติครั้งที่สอง[53] หลังจากที่พรรคแรงงานแพ้การเลือกตั้งทั่วไป ค.ศ. 2019 คอร์บินประกาศว่าจะไม่นำพรรคแรงงานสู่การเลือกตั้งครั้งหน้าหลังจาก "ผ่านกระบวนการคิดไตร่ตรองแล้ว"[54] สตาร์เมอร์เริ่มที่จะถอยห่างจากช่วงที่คอร์บินเป็นผู้นำพรรค และนโยบายหาเสียงหลายอย่าง โดยใน ค.ศ. 2024 สตาร์เมอร์เปิดเผยว่าเขาคิดว่า "ยังไงก็แพ้เลือกตั้ง ค.ศ. 2019 แน่นอน"[55]
วันที่ 4 มกราคม ค.ศ. 2020 สตาร์เมอร์ประกาศลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นหัวหน้าพรรคแรงงาน[56][57][58] สตาร์เมอร์ได้รับการสนับสนุนจากอดีตนายกรัฐมนตรีกอร์ดอน บราวน์ และนายกเทศมนตรีลอนดอนซาดิก ข่าน สตาร์เมอร์หาเสียงเลือกตั้งโดยมีนโยบายฝ่ายซ้าย และมีจุดยืนต่อต้านมาตรการรัดเข็มขัด โดยกล่าวว่าเขาเห็นด้วยกับคอร์บินที่วางตัวพรรคแรงงานเป็นพรรคแห่งการต่อต้านมาตรการรัดเข็มขัด[59][60] สตาร์เมอร์กล่าวว่าจะสานต่อนโยบายยกเลิกค่าธรรมเนียมเล่าเรียน และจัดให้รัฐเป็นเจ้าของกิจการราง ไปรษณีย์ พลังงาน และประปา และเรียกร้องให้ระบบสุขภาพแห่งชาติ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และระบบยุติธรรมเลิกการจ้างภายนอก[61] สตาร์เมอร์ได้รับการประกาศชนะเลือกตั้งหัวหน้าพรรคแรงงานวันที่ 4 เมษายน ค.ศ. 2020 หลังจากได้คะแนนมากกว่า รีเบคกา ลอง-เบลีย์ และลิซา แนนดี โดยได้รับสัดส่วนคะแนน 56.2% ในการเลือกตั้งรอบแรก[62][63][64]
การที่ได้รับเลือกตั้งเป็นหัวหน้าพรรคแรงงานถือเป็นเกียรติอันสูงสุดในชีวิตผม ผมอยากขอบคุณรีเบคกาและลิซาที่หาเสียงเลือกตั้งอย่างทรงพลัง และขอบคุณสำหรับมิตรภาพและการสนับสนุนของทั้งสองท่านตลอดมา ผมขอขอบคุณเจ้าหน้าที่พรรคแรงงานที่ทำงานอย่างหนัก และทีมหาเสียงเลือกตั้งที่สุดยอดของผม เปี่ยมไปด้วยความคิดบวก และจิตที่อยากให้เกิดความหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน ผมขอขอบคุณเจเรมี คอร์บิน ที่นำพรรคเราผ่านช่วงอันยากลำบากไปได้ และเติมพลังให้กับการเคลื่อนไหวของพวกเรา ท่านเป็นเพื่อนร่วมงานและเพื่อนเป็นการส่วนตัวของผม และถึงสมาชิกและผู้สนับสนุนพรรคทุกคนผมขอพูดว่า ไม่ว่าท่านจะเลือกผมหรือไม่ ผมจะเป็นตัวแทนของท่าน ผมจะรับฟังท่าน และผมจะทำให้พรรคเกิดความสามัคคีให้ได้
— เคียร์ สตาร์เมอร์กล่าวสุนทรพจน์รับตำแหน่ง เดือนเมษายน ค.ศ. 2020
เนื่องจากสตาร์เมอร์ได้รับตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 สตาร์เมอร์จึงกล่าวในสุนทรพจน์รับตำแหน่งว่าเขาจะหลีกเลี่ยงการเล่นเกมการเมือง และจะทำงานร่วมกับรัฐบาลเพื่อผลประโยชน์ของชาติ[65] ต่อมาสตาร์เมอร์วิพากษ์วิจารณ์การบริหารการแพร่ระบาดของโควิด 19 ของรัฐบาลมากขึ้นหลังจากเรื่องอื้อฉาวปาร์ตี้เกต[66] ในเดือนพฤษภาคม 2022 สตาร์เมอร์กล่าวว่าเขาจะลาออกหากเขาได้รับใบแจ้งค่าปรับตายตัวสำหรับการละเมิดข้อบังคับโควิด-19 ในขณะรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งซ่อมที่ฮาร์ตลีพูลและการเลือกตั้งท้องถิ่นในปีที่ผ่านมา[67] เรื่องอื้อฉาวที่เกิดขึ้นนี้ถูกเรียกว่าเบียร์เกต[68] ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2022 ตำรวจเดอแรมได้แถลงว่าสตาร์เมอร์ไม่ได้กระทำความผิด[69]
ท่ามกลางการลาออกของรัฐมนตรีในรัฐบาลบอริส จอห์นสันมากเป็นประวัติการในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2022 สตาร์เมอร์ได้เสนอญัตติให้ลงมติไม่ไว้วางใจรัฐบาล โดยกล่าวว่าจอห์นสันไม่ควรอยู่ในตำแหน่งต่อไป[70][71] สตาร์เมอร์ยังวิจารณ์จอห์นสันและผู้สืบทอดตำแหน่งได้แก่ ลิซ ทรัสส์ และริชี ซูนัค เกี่ยวกับปัญหาต่าง ๆ เช่น เรื่องอื้อฉาวของคริส พินเชอร์และวิกฤตรัฐบาลที่ตามมา[72] วิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดจากพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ค.ศ. 2022 และวิกฤตรัฐบาลที่ตามมา[73][74][75] วิกฤตค่าครองชีพ และการนัดหยุดงานของลูกจ้างระบบบริการสุขภาพแห่งชาติและอุตสาหกรรมอื่น ๆ[76][77][78]
ในฐานะผู้นำพรรคแรงงาน สตาร์เมอร์มุ่งเน้นการเปลี่ยนแปลงจุดยืนทางการเมืองให้ถอยห่างจากฝ่ายซ้ายของพรรคและข้อขัดแย้งมากมายที่เกิดขึ้นในช่วงการนำพรรคของคอร์บิน โดยออกนโยบายเกี่ยวกับความมั่นคงทางเศรษฐกิจ การแก้ไขปัญหาการข้ามเรือเล็ก การลดเวลารอคอยในระบบบริการสุขภาพแห่งชาติและ "สร้างระบบบริการสุขภาพแห่งชาติขึ้นใหม่" การเสริมสร้างสิทธิแรงงาน ความเป็นอิสระด้านพลังงานและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การแก้ไขปัญหาอาชญากรรม การปรับปรุงการศึกษาและการฝึกอบรม การปฏิรูประบบบริการสาธารณะ การทำให้ระบบขนส่งทางรางกลับมาเป็นของรัฐ และการสรรหาครูจำนวน 6,500 คน[79] สตาร์เมอร์ยังให้คำมั่นว่าจะปราบปรามการต่อต้านยิวในพรรค[80][81] ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2020 หลังจากรายงานของคณะกรรมการความเสมอภาคและสิทธิมนุษยชน (EHRC) เกี่ยวกับการต่อต้านยิวในพรรค สตาร์เมอร์น้อมรับผลของสอบสวนทั้งหมดและขอโทษชาวยิวในนามของพรรค[82][83] ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2023 การปฏิรูปโครงสร้างพรรคเพื่อปรามแนวคิดต่อต้านยิวของสตาร์เมอร์ทำให้ EHRC ยุติการตรวจสอบพรรค และลูเซียนา เบอร์เกอร์ สมาชิกรัฐสภาพรรคแรงงานที่ลาออกเนื่องจากปัญหาดังกล่าวได้กลับเข้าร่วมพรรคอีกครั้ง[84]
ผู้ได้รับการแต่งตั้งเข้าคณะรัฐมนตรีเงาของสตาร์เมอร์รวมถึงสมาชิกรัฐสภาฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวาของพรรคแรงงาน โดยแอนเจลา เรย์เนอร์ ได้รับการแต่งตั้งเป็นรองหัวหน้าพรรคแรงงานและรองนายกรัฐมนตรีเงา ขณะที่เรเชล รีฟส์ และอีเวตต์ คูเปอร์ ได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีคลังเงาและรัฐมนตรีมหาดไทยเงาตามลำดับ มิลิแบนด์ได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีเงาพลังงานและภูมิอากาศ การแต่งตั้งอื่น ๆ ที่น่าสนใจรวมถึงเดวิด แลมมีในตำแหน่งรัฐมนตรีการต่างประเทศเงา และเวส สตรีทติงในตำแหน่งรัฐมนตรีสาธารณสุขเงา สตาร์เมอร์ได้ปรับคณะรัฐมนตรีเงาสามครั้ง ครั้งแรกในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2021 และครั้งสุดท้ายในเดือนกันยายน ค.ศ. 2023[85][86]
สตาร์เมอร์เคยพิจารณาลาออกหลังจากผลการเลือกตั้งท้องถิ่นปี ค.ศ. 2021 ซึ่งเป็นการเลือกตั้งท้องถิ่นครั้งแรกหลังจากที่สตาร์เมอร์เข้ารับตำแหน่งหัวหน้าพรรคไม่เป็นที่พึงพอใจ แต่ต่อมาเขารู้สึก "มั่นใจ" ในการตัดสินใจอยู่ต่อ โดยกล่าวว่า "ผมพิจารณาลาออกเพราะผมรู้สึกว่าผมไม่ควรใหญ่กว่าพรรค และถ้าผมไม่สามารถนำพรรคสู่ความเปลี่ยนแปลงได้ อาจจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงหัวหน้าพรรค แต่ในที่สุดผมไตร่ตรอง พูดคุยกับหลายคน และตัดสินใจว่าการเปลี่ยนแปลงต้องเกิดขึ้นกับตัวพรรคเอง ไม่ใช่ตัวผม"[87]
ในช่วงที่สตาร์เมอร์ดำรงตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้าน พรรคเสียที่นั่งเดิมในการเลือกตั้งซ่อมที่ฮาร์ตลีพูล ค.ศ. 2021 แต่สามารถรักษาที่นั่งในการเลือกตั้งซ่อมที่แบตลีย์และสเปน ค.ศ. 2021 การเลือกตั้งซ่อมที่เบอร์มิงแฮม เออร์ดิงตัน ค.ศ. 2022 และการเลือกตั้งซ่อมที่ซิตี้ออฟเชสเตอร์ ค.ศ. 2022 และได้รับที่นั่งเพิ่มจากพรรคอนุรักษนิยมในการเลือกตั้งซ่อมที่เวกฟิลด์ ค.ศ. 2022 ในการเลือกตั้งท้องถิ่น ค.ศ. 2023 พรรคแรงงานได้ที่นั่งสมาชิกสภาท้องถิ่นเพิ่มมากกว่า 500 ที่นั่งและได้เสียงข้างมากในสภาท้องถิ่นเพิ่ม 22 แห่ง ทำให้กลายเป็นพรรคที่ใหญ่ที่สุดในกลุ่มรัฐบาลท้องถิ่นเป็นครั้งแรกตั้งแต่ ค.ศ. 2002[88] พรรคแรงงานได้รับที่นั่งเพิ่มเติมอีกในการเลือกตั้งท้องถิ่น ค.ศ. 2024 โดยได้รับที่นั่งเพิ่มจากพรรคอนุรักษนิยมในการเลือกตั้งซ่อมที่แบล็คพูลเซาธ์ และชนะการเลือกตั้งนายกเทศมนตรีเขตเวสต์มิดแลนด์สอย่างเฉียดฉิว[89]
เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม ค.ศ. 2024 ซูนัคประกาศว่าจะมีการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ. 2024 พรรคแรงงานได้คะแนนเหนือพรรคอนุรักษนิยมอย่างมากในการสำรวจความคิดเห็น และจำนวนที่นั่งที่พรรคแรงงานอาจได้เป็นหัวข้อที่ถกเถียงกันในช่วงการหาเสียง[90][91] ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2024 สตาร์เมอร์ได้เปิดตัวถ้อยแถลงนโยบายของพรรคแรงงานชื่อ Change ซึ่งมุ่งเน้นไปที่การเติบโตทางเศรษฐกิจ การปฏิรูประบบการวางแผน โครงสร้างพื้นฐาน พลังงานสะอาด ระบบสุขภาพ การศึกษา การดูแลเด็ก และการเสริมสร้างสิทธิของแรงงาน[92][93] การตั้งรัฐวิสาหกิจพลังงานขึ้นมาใหม่ (Great British Energy) แผน "ความเจริญรุ่งเรืองแบบเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม" การลดเวลารอคอยของผู้ป่วยในระบบสุขภาพแห่งชาติ และการนำระบบขนส่งทางรางกลับมาเป็นของรัฐ (Great British Railways)[94] นอกจากนี้ยังรวมถึงการสร้างความมั่งคั่งและนโยบายสนับสนุนธุรกิจและสนับสนุนแรงงาน ถ้อยแถลงนโยบายยังสัญญาจะให้สิทธิ์เลือกตั้งแก่ผู้ที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป การปฏิรูปสภาขุนนาง และการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มกับค่าธรรมเนียมการศึกษาในโรงเรียนเอกชน โดยเงินที่ได้รับจะถูกนำไปใช้ในการปรับปรุงการศึกษาของรัฐ[95][96]
ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2024 สตาร์เมอร์นำพรรคแรงงานสู่ชัยชนะอย่างถล่มทลายในการเลือกตั้งทั่วไป ทำให้วาระของรัฐบาลพรรคอนุรักษนิยมที่ยาวนานถึงสิบสี่ปีสิ้นสุดลง โดยพรรคแรงงานกลายเป็นพรรคที่ใหญ่ที่สุดในสภาสามัญชน[97] พรรคแรงงานได้เสียงข้างมาก 174 ที่นั่ง และมีจำนวนที่นั่งรวม 411 ที่นั่ง ซึ่งเป็นผลการเลือกตั้งที่ดีที่สุดอันดับสามของพรรคในแง่ของจำนวนที่นั่งนับตั้งแต่การเลือกตั้งทั่วไปค.ศ. 1997 และ ค.ศ. 2001 พรรคกลายเป็นพรรคที่ใหญ่ที่สุดในอังกฤษเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ค.ศ. 2005 ในสกอตแลนด์เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ค.ศ. 2010 และยังคงสถานะเป็นพรรคที่ใหญ่ที่สุดในเวลส์[98]
สตาร์เมอร์กล่าวในสุนทรพจน์ฉลองชัยชนะว่าขอบคุณเจ้าหน้าที่พรรคสำหรับความพยายามอย่างหนักเกือบห้าปีในการปรับปรุงและปรับเปลี่ยนพรรคแรงงานในระหว่างที่พรรคอนุรักษนิยมเป็นใหญ่ และขอให้พวกเขาเฉลิมฉลองเหตุการณ์นี้ แต่เตือนถึงความท้าทายข้างหน้าและให้คำมั่นว่ารัฐบาลจะทำงานเพื่อการฟื้นฟูประเทศชาติ[99][100]
เราทำสำเร็จแล้ว! ท่านรณรงค์ ท่านต่อสู้ ท่านลงคะแนนเสียง และตอนนี้จังหวะก็มาถึงแล้ว การเปลี่ยนแปลงเริ่มต้นขึ้นแล้ว และกระผมต้องยอมรับจริง ๆ ว่ารู้สึกดี เราทำงานเปลี่ยนแปลงพรรคสี่ปีครึ่ง นี่คือเหตุว่าทำไมเราต้องทำ เพื่อพรรคแรงงานที่เปลี่ยนไป พร้อมที่จะรับใช้ประเทศของเรา พร้อมที่จะฟื้นฟูบริเตนเพื่อรับใช้ชนชั้นแรงงาน และประชาชนทั่วประเทศจะตื่นขึ้นมาพร้อมกับข่าวที่บรรเทาความกังวล ภาระที่ยกออกจากบ่าของประเทศที่ยิ่งใหญ่นี้ และตอนนี้เราสามารถมองไปข้างหน้า ก้าวเข้าสู่รุ่งเช้า แสงอาทิตย์แห่งความหวัง ตอนแรกซีดจางแต่เข้มแข็งขึ้นตลอดวัน แสงส่องอีกครั้งในประเทศที่มีโอกาสหลังจากสิบสี่ปีในการกอบกู้อนาคตคืนมา เราสัญญาว่าเราจะยุติความวุ่นวายและเราจะทำตามสัญญา เรากล่าวว่าเราจะเปิดหนังสือหน้าใหม่และเราได้ทำตามนั้น วันนี้เราเริ่มบทถัดไป เริ่มงานของการเปลี่ยนแปลง ภารกิจฟื้นฟูประเทศชาติ และเริ่มสร้างประเทศของเราใหม่
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.