ภาษาถิ่นโตเกียว (ญี่ปุ่น: 東京方言; โรมาจิ: Tōkyō hōgen; ทับศัพท์: โทเกียวโฮเง็ง หรือ ญี่ปุ่น: 東京弁; โรมาจิ: Tōkyō-ben; ทับศัพท์: โทเกียวเบ็ง) หมายถึง ภาษาญี่ปุ่นถิ่นที่ประชากรที่อาศัยอยู่ในกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ใช้สื่อสารกัน และมักใช้กล่าวถึงเฉพาะภาษาถิ่นที่ใช้ในย่านเมืองเก่า แบ่งเป็นภาษาถิ่นย่อยได้ 2 ภาษาถิ่นย่อย ได้แก่ ภาษาถิ่นย่อยที่ใช้ในย่านยามาโนเตะ เรียกว่า ยามาโนเตะโคโตบะ (ญี่ปุ่น: 山の手ことば; โรมาจิ: Yamanote Kotoba) กับภาษาถิ่นย่อยที่ใช้ในย่านชิตามาจิ เรียกว่า ชิตามาจิโคโตบะ (ญี่ปุ่น: 下町ことば; โรมาจิ: Shitamachi Kotoba)[1][2]

ข้อมูลเบื้องต้น ภาษาถิ่นโตเกียว, ประเทศที่มีการพูด ...
ภาษาถิ่นโตเกียว
ประเทศที่มีการพูดประเทศญี่ปุ่น
ภูมิภาคโตเกียว
ตระกูลภาษา
ตระกูลภาษาญี่ปุ่น
รหัสภาษา
ISO 639-3
ปิด

เมื่อเข้าสู่ยุคเมจิ ภาษาถิ่นของย่านยามาโนเตะซึ่งเป็นภาษาของคนชั้นกลาง-สูงได้พัฒนามาเป็นภาษามาตรฐาน (ภาษากลาง) จึงมีคนเข้าใจผิดว่าภาษาถิ่นโตเกียวกับภาษากลางเป็นสิ่งเดียวกัน อย่างไรก็ตาม ภาษาถิ่นของย่านชิตามาจิมีลักษณะการออกเสียงและสำนวนที่ต่างจากภาษาถิ่นของย่านยามาโนเตะหลายประการ

ประวัติ

สรุป
มุมมอง
Thumb
ภาพแสดงบริเวณย่านยามาโนเตะกับย่านชิตามาจิ (แดง: ยามาโนเตะ, น้ำเงิน: ชิตามาจิ)

ภาษาถิ่นโตเกียวพัฒนามาจากภาษาเอโดะ (ญี่ปุ่น: 江戸言葉; โรมาจิ: Edo Kotoba; ทับศัพท์: เอโดะโคโตบะ) ถือกำเนิดขึ้นพร้อม ๆ กับการพัฒนาเมืองเอโดะหลังจากที่โทกูงาวะ อิเอยาซุ ย้ายศูนย์กลางการปกครองมาที่เมืองดังกล่าว ภาษาเอโดะเป็นภาษาที่เกิดจากการผสมผสานระหว่างภาษาญี่ปุ่นถิ่นตะวันออกกับภาษาญี่ปุ่นถิ่นตะวันตกเนื่องจากมีผู้คนจากถิ่นต่าง ๆ หลั่งไหลเข้ามายังเอโดะไม่ขาดสาย[3] อย่างไรก็ตาม ภาษาคามิงาตะ (ญี่ปุ่น: 上方言葉; โรมาจิ: Kamigata Kotoba; ทับศัพท์: คามิงาตะโคโตบะ) มีอิทธิพลต่อภาษาเอโดะเป็นอย่างมากเนื่องจากเป็นภาษาถิ่นที่ใช้ในกลุ่มชนชั้นสูงหรือชนชั้นปกครอง และต่อมาก็ขยายมายังกลุ่มชนชั้นกลางในช่วงท้ายของยุคเอโดะ[4] เมื่อเข้าสู่ยุคเมจิ เอโดะได้เปลี่ยนชื่อเป็นโตเกียว (ญี่ปุ่น: 東京; โรมาจิ: Tōkyō; ทับศัพท์: โทเกียว) ในช่วงนั้นกระแสชาตินิยมสืบเนื่องจากการล่าอาณานิคมของชาติตะวันตกทำให้ญี่ปุ่นต้องรีบพัฒนาประเทศอย่างรวดเร็ว รัฐบาลจึงยกภาษาถิ่นโตเกียวย่านยามาโนเตะ (ยามาโนเตะโคโตบะ) ซึ่งเป็นภาษาของคนชั้นกลาง-สูงขึ้นมาเป็นแม่แบบของภาษามาตรฐานและบรรจุลงในหลักสูตรการเรียนการสอนภาคบังคับทั่วประเทศ[3] โดยที่ไม่ได้นำภาษาถิ่นโตเกียวย่านชิตามาจิ (ชิตามาจิโคโตบะ) ซึ่งเป็นภาษาของชนชั้นแรงงานมาเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาภาษามาตรฐาน[4]

การออกเสียง

สรุป
มุมมอง

ลักษณะเด่นด้านการออกเสียงของภาษาถิ่นโตเกียวมีดังนี้

  1. มักลดความก้อง (devoicing) เสียงสระ /i/ และ /u/ ที่อยู่ระหว่างเสียงพยัญชนะไม่ก้องหรือปรากฏหน้าการหยุด (เช่น การเว้นวรรคระหว่างพูด) เช่น 「ネクタイです。」 /nekutai desu/ มักจะออกเสียงเป็น [nekɯ̥taidesɯ̥] ฟังคล้าย [nektaides]
  2. 「が」「ぎ」「ぐ」「げ」「ご」 ที่ไม่ได้อยู่ต้นคำออกเสียงเป็น [ŋa] [ŋi] [ŋɯ] [ŋe] [ŋo] ตามลำดับ (ดูหัวข้อ "เสียงขุ่นนาสิก" ประกอบ)

ต่อไปนี้เป็นลักษณะเด่นที่พบมากในภาษาถิ่นโตเกียวย่านชิตามาจิ

  1. ai (アイ) กับ oi (オイ) ออกเสียงเป็น ee(エー) เช่น
    • amai → amee(あまい→あめえ) "หวาน"
    • arumai → arumee(あるまい→あるめえ) "ไม่น่าจะมี"
    • osoi → osee(遅い→おせえ) "ช้า, สาย"
    • ikitai → ikitee(行きたい→行きてえ) "อยากไป"
  2. พบการใช้เสียงพยัญชนะซ้ำในคำประสมหรือคำที่ประกอบด้วยคำอุปสรรคเน้นย้ำ เช่น
    • oppajimeru おっぱじめる "เริ่ม" (มาจาก oshihajimeru 押し始める)[5]
    • buppanasu ぶっぱなす "ยิง" (มาจาก buchihanasu ぶち放す)[2]
    • kawappuchi 川っぷち "ริมแม่น้ำ" (มาจาก kawabuchi 川縁)[2]
    • okkochiru 落っこちる "ตก, ร่วงตก" (มีความหมายเหมือน ochiru 落ちる)[5]
    • nokkeru 乗っける "ให้ (คน) ขึ้นรถ/เรือ ฯลฯ" (มีความหมายเหมือน noseru 乗せる)[5]
  3. ออกเสียง ju(じゅ),shu(しゅ)เพี้ยนเป็น ji「じ」,shi「し」 ตามลำดับ เช่น
    • junbi じゅんび(準備) "เตรียม" → jinbi じんび 
    • bijutsu びじゅつ(美術) "ศิลปะ" → bijitsu びじつ
    • shinjuku しんじゅく(新宿) "ชินจูกุ" → shinjiku しんじく
    • shukō しゅこう(趣向) "ความคิดใหม่ ๆ" → shikō しこう 
  4. ออกเสียง hi(ひ)กับ shi(し) สลับกันไปมา โดยทั่วไปจะออกเสียง hi เป็น shi และพบการออกเสียง shi เป็น hi บ้างเมื่อผู้พูดแก้ไขเกินเหตุ (hypercorrection) เช่น
    • shiohigari しおひがり(潮干狩り) "การไปเก็บหอย กุ้ง ปู ขณะน้ำลง" → hioshigari ひおしがり
    • hito ひと(人) "คน" → shito しと
    • hitsuzen ひつぜん(必然 ) "การกำหนดไว้แล้วตายตัว" →  shitsuzen しつぜん
    • hiroshima ひろしま(広島) "ฮิโรชิมะ" → shiroshima しろしま
    • hitsuyō ひつよう(必要) "จำเป็น" ←→ shitsuyō しつよう(執拗) "ยืนกราน, ดื้อดึง"
    • hitsuji ひつじ(羊) "แกะ ←→ shitsuji しつじ(執事) "หัวหน้าคนใช้ในบ้านผู้สูงศักดิ์"
    • hiretsu ひれつ(卑劣) "(นิสัย) ต่ำช้า" ←→ shiretsu しれつ(熾烈) "รุนแรง, ดุเดือด"

เสียงสูงต่ำ

ภาษาถิ่นโตเกียวย่านยามาโนเตะและย่านชิตามาจิมีคำศัพท์บางคำที่เสียงสูงต่ำต่างกัน ดังที่ยกตัวอย่างต่อไปนี้ (ฝั่งซ้ายคือยามาโนเตะ ฝั่งขวาคือชิตามาจิ)

  • [6] サカ ⇔ サ "เนิน, ที่ลาด"
  • [6] ツキ゚ ⇔ ツキ゚ "ถัดไป"
  • [6] ス ⇔ ス "ซูชิ"
  • [6] ツユ ⇔ ツ "น้ำค้าง"
  • [6] スナ ⇔ スナ "ทราย"
  • [6] シワ ⇔ シワ "ริ้วรอย"
  • [6] タマコ゚ ⇔ タマコ゚ "ไข่"
  • [6] カタナ ⇔ カタナ "ดาบ"
  • [6] アタマ ⇔ アタマ "หัว"
  • [6] ハサミ ⇔ ハサミ "กรรไกร"
  • [6] ココロ ⇔ ココロ "ใจ"
  • [7] クニ ⇔ クニ "ประเทศ"
  • [7] ニジ ⇔ ニジ "รุ้งกินน้ำ"
  • 坂東[8] ンドー ⇔ バンドー "บันโด ชื่อเดิมของคันโต"
  • 朝日[9] サヒ ⇔ アサヒ "พระอาทิตย์ยามเช้า"

นอกจากนี้ ในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง ประชากรในเขตอาดาจิ เขตเอโดงาวะ และเขตคัตสึชิกะ ซึ่งติดกับจังหวัดไซตามะและจังหวัดชิบะใช้เสียงสูงต่ำตามภาษาถิ่นไซตามะ[10]

สำนวน

  • ภาษาถิ่นคันโตและโทโฮกุเดิมมีรูปประโยคที่ลงท้ายด้วย「べい」/「べえ」/「べ」 แต่ภาษาถิ่นโตเกียวใช้「~う」หรือ「~よう」 เช่น 「行くべい」=「行こ」,「これだべい」=「これだろ
  • ภาษาถิ่นโตเกียวใช้คำช่วย「へ」 (แสดงทิศทาง) เช่นเดียวกับภาษาถิ่นคิงกิ ต่างจากภาษาถิ่นโทโฮกุที่นิยมใช้คำช่วย「さ」
  • พบคำศัพท์ที่รับมาจากภาษาถิ่นคิงกิจำนวนมาก เช่น 「怖い」 "กลัว" 「ふすま」 "ประตูเลื่อนกรอบไม้กรุด้วยกระดาษอย่างหนา" 「うろこ」 "เกล็ด" 「つゆ(梅雨)」 "ช่วงฤดูฝนก่อนเข้าฤดูร้อน" 「塩辛い」 "เค็ม" 「つらら」 "แท่งน้ำแข็งตามชายคาบ้าน เกิดจากน้ำไหลลงมาแล้วแข็งตัว" 「けむり」 "ควัน" 「しあさって」 "วันมะเรื่อง (วันถัดจากวันมะรืน)"[11]
  • พบสำนวนภาษาสุภาพ(敬語)ที่รับมาจากภาษาถิ่นคิงกิจำนวนมาก เช่น กริยาถ่อมตัว「おる」, รูปปฏิเสธแบบสุภาพ「~ません」 รวมถึงเสียงสะดวก -u(ウ音便) เช่น 「ごきげんよう」 (มาจาก ごきげんよく), 「おさむございます」 (มาจาก おさむございます)
  • ประชากรในโตเกียวใช้สำนวนภาษาสุภาพ「~れる」「~られる」ค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับถิ่นอื่น ๆ[12]
  • แม้ว่าปัจจุบันใช้กริยานุเคราะห์ปฏิเสธ「ない」หรือ「ねえ」 แต่ก่อนหน้านี้ก็เคยใช้「ぬ」หรือ「ん」แบบเดียวกับภาษาถิ่นภาษาญี่ปุ่นตะวันตก และยังคงเหลือให้เห็นในสุภาษิต คำพังเพย จนถึงปัจจุบัน
  • 「~てしまう」กลายเป็น「~ちまう」「~ちゃう」 เช่น 「わってしまう」→「わっちまう」/「わっちゃう
  • พบการใช้ภาษาผู้หญิง「わ」「こと」「てよ」 ฯลฯ ตั้งแต่เข้าสู่ยุคเมจิ

สถานการณ์ในปัจจุบัน

การปนกันของภาษาถิ่นย่านยามาโนเตะและชิตามาจิ การอพยพของคนถิ่นเดิมเนื่องจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในคันโตและการทิ้งระเบิดโตเกียว การอพยพเข้ามาของคนต่างถิ่นเนื่องจากการเติบโตทางเศรษฐกิจหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ล้วนแต่ส่งผลกระทบต่อภาษาถิ่นโตเกียวให้กลายเป็นภาษาใกล้สูญ ปัจจุบัน "ภาษาถิ่นเขตอภิมหานครโตเกียว"(首都圏方言)ซึ่งเป็นภาษาถิ่นที่ผสมผสานระหว่างภาษากลาง (ภาษาถิ่นโตเกียว) กับภาษาถิ่นในภูมิภาคคันโตได้เข้ามามีอิทธิพลในโตเกียวเป็นอย่างมาก เช่น

  • ใช้คำแสดงทัศนภาวะ (modality) 「~じゃん・~じゃんか」 มีความหมายเหมือน「~じゃないか」ในภาษาถิ่นโตเกียว มาจากภาษาถิ่นภูมิภาคชูบุและเข้ามาในโตเกียวผ่านทางโยโกฮามะ[13]
  • ใช้「ちがかった」「ちがくて」แทนการใช้「ちがった」「ちがって」 มาจากภาษาถิ่นโทโฮกุตอนใต้และคันโตตอนเหนือ[13]
  • ใช้「みたく」แทนการใช้「みたいに」เช่น「神様かみさまみたく尊敬そんけいする」 = 神様かみさまみたいに尊敬そんけいする」 "นับถือเหมือนเทพเจ้า" มาจากภาษาถิ่นโทโฮกุและคันโตตอนเหนือ[13]

อ้างอิง

Wikiwand - on

Seamless Wikipedia browsing. On steroids.