Loading AI tools
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
กติกาสัญญาความเป็นกลางโซเวียต-ญี่ปุ่น (อังกฤษ: Soviet–Japanese Neutrality Pact) (ญี่ปุ่น: 日ソ中立条約, Nisso Chūritsu Jōyaku) คือสนธิสัญญาระหว่าง สหภาพโซเวียตและจักรวรรดิญี่ปุ่น ลงนามกันเมื่อปี ค.ศ. 1941 สองปีหลังจากสงครามชายแดนโซเวียต-ญี่ปุ่น
หลังจากที่สงครามอุบัติขึ้นในทวีปยุโรประหว่างสหราชอาณาจักรกับฝรั่งเศสฝ่ายหนึ่ง และนาซีเยอรมนีอีกฝ่ายหนึ่ง ตั้งแต่เดือนกันยายน ค.ศ. 1939 สหภาพโซเวียตมองเห็นความจำเป็นที่จะต้องฟื้นฟูความสัมพันธ์กับประเทศในภาคพื้นตะวันออกไกล เพื่อเตรียมตัวรับภัยอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับภาคตะวันตกของประเทศ อีกด้านหนึ่ง คือ ญี่ปุ่น ซึ่งอยู่ระหว่างสงครามกับประเทศจีน และความสัมพันธ์กับสหรัฐอเมริกาก็เริ่มเลวร้ายลงไปทุกขณะ ดังนั้น ญี่ปุ่นจึงมีความต้องการที่จะปรองดองกับสหภาพโซเวียตเพื่อพัฒนาจุดยืนของตนในเวทีโลก และรักษาแนวชายแดนทางเหนือของแมนจูกัว จากการรุกรานของสหภาพโซเวียตที่อาจจะเกิดขึ้นได้
กติกาสัญญาดังกล่าวได้รับการลงนามที่กรุงมอสโก เมื่อวันที่ 13 เมษายน ค.ศ. 1941 โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของญี่ปุ่น นายโยะซุเกะ มะสึโอกะ และเอกอัครราชทูต โยชิสึกุ ทะเทกาวะ ซึ่งเป็นผู้แทนฝ่ายญี่ปุ่น และนายวียาเชสลาฟ โมโลตอฟ ซึ่งเป็นผู้แทนฝ่ายโซเวียต
สภาผู้บริหารสูงสุดแห่งโซเวียต ของสหภาพสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตและฝ่าละอองธุลีพระบาท จักรพรรดิฮิโระฮิโตะ ได้มารวมกันด้วยความปรารถนาที่จะส่งเสริมสันติภาพและสัมพันธไมตรีระหว่างสองประเทศ ได้ตัดสินใจที่จะลงนามในข้อตกลงรักษาความเป็นกลาง เพื่อจุดประสงค์ดังต่อไปนี้:
ผู้ซึ่งหลังจากการแลกเปลี่ยนหนังสือแนะนำตัวกันแล้ว และได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการ ได้สรุปข้อตกลงดังต่อไปนี้:
ในการยืนยันของข้อตกลงที่ได้กล่าวมาข้างต้นทั้งหมด คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายได้ลงนามในสนธิสัญญาดังกล่าวเป็นจำนวนสองฉบับ ซึ่งได้ร่างขึ้นในภาษารัสเซียฉบับหนึ่งและในภาษาญี่ปุ่นอีกฉบับหนึ่ง และได้รับการประทับตราจากผู้แทนของทั้งสองฝ่าย ลงนามในกรุงมอสโก เมื่อวันที่ 13 เมษายน 1941 ซึ่งตรงกับ วันที่ 13 เดือน 4 ปีโชวะที่ 16, วี.โมโลตอฟ; โยะซุเกะ มัสซูโอกะ, โยชิสึกุ ทาเทกาวะ[1]
สนธิสัญญาดังกล่าวได้ขยายตัวขึ้น โดยมีการเชื่อมโยงไปถึงมองโกเลียและแมนจูเรีย สหภาพโซเวียตได้รับประกันต่อความมั่นคงตามอาณาเขตของแมนจูกัว ขณะที่ญี่ปุ่นก็ได้รับประกันความมั่นคงแก่มองโกเลียด้วยเช่นกัน[2] หลังจากนั้น ในปี 1941 ญี่ปุ่น ในฐานะผู้ร่วมลงนามในสนธิสัญญาไตรภาคี มีความวิตกกังวลว่าควรจะมีการเพิกถอนสนธิสัญญาความเป็นกลางโซเวียต-ญี่ปุ่นนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากนาซีเยอรมนีรุกรานสหภาพโซเวียตในปฏิบัติการบาร์บารอสซา แต่ญี่ปุ่นก็ได้ตัดสินใจที่จะยังคงรักษาสัญญานี้ไว้ และจะขยายดินแดนไปทางใต้ และโจมตีอาณานิคมของชาติอาณานิคมยุโรปในทวีปเอเชียแทน
ในวันที่ 5 เมษายน ค.ศ. 1945 สหภาพโซเวียตได้ฉีกสนธิสัญญาดังกล่าว โดยแจ้งแก่รัฐบาลญี่ปุ่นว่า "ตามที่ในข้อสามได้กล่าวเอาไว้ 'ซึ่งได้เปิดโอกาสให้เพิกถอนสนธิสัญญาได้เป็นเวลาหนึ่งปีก่อนหน้าที่ระยะเวลาของสนธิสัญญาจะครบห้าปีตามกำหนด รัฐบาลโซเวียตได้ทราบดีว่ารัฐบาลญี่ปุ่นจะยังสามารถจำสนธิสัญญาในวันที่ 13 เมษายน 1941 นี้ได้'"[3]
ในวันที่ 8 สิงหาคม ค.ศ. 1945 สหภาพโซเวียตประกาศสงครามต่อญี่ปุ่นในปฏิบัติการพายุสิงหาคม ซึ่งเป็นการรักษาสัญญาในที่ประชุมยัลต้า แก่ฝ่ายสัมพันธมิตร ที่จะเข้าสู่สงครามในเวลาสามเดือนหลังจากวันแห่งชัยชนะในทวีปยุโรป[4] ญี่ปุ่นได้โต้แย้งว่า ขณะที่สหภาพโซเวียตชี้ให้เห็นถึงเนื้อหาของข้อสามว่าสนธิสัญญาดังกล่าวจะไม่ได้รับการต่ออายุ ปฏิบัติการพายุสิงหาคมก็ยังละเมิดต่อสนธิสัญญา ซึ่งยังไม่ครบวาระจนกว่าจะถึงวันที่ 13 เมษายน ค.ศ. 1946[5]
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.