วิตามินเอ
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
วิตามินเอ เป็นวิตามินที่ละลายได้ในไขมัน[1] มีส่วนประกอบสำคัญของคอร์เนีย และยังมีผลต่อการเจริญเติบโต การสร้างกระดูก และระบบสืบพันธุ์ นอกจากนี้ ยังป้องกันการติดเชื้อระบบทางเดินอาหาร ระบบทางเดินหายใจ และระบบขับปัสสาวะ ทำให้ผิวและผมแข็งแรง

ค้นพบโดย ดร. อี.วี. แมคคอลลัม (E.V. McCollum) นักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกัน
วิตามินเอ แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม
- อยู่ในรูปแบบวิตามินอยู่แล้ว (Proformed Vitamin A) หรือเรียกว่า Retinol ซึ่งได้มาจากเนื้อสัตว์ เช่น น้ำมันตับปลา
- กำลังจะเป็นวิตามินเอ (Provitamin A) หรือเรียกว่า Carotene เป็นสารที่เมื่อเข้าสู่รางกายจึงได้รับการเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ พบมากในผักสีต่างๆ เช่น แครอท ผักโขม
ประโยชน์
ช่วยในการมองเห็นในที่มืดและป้องกันการแพ้แสงต่างๆที่เป็นผลเสียต่อสายตาอีกด้วย
แหล่งวิตามินเอ
ผักผลไม้ที่ให้วิตามินเอส่วนใหญ่จะมีสีเหลือง ส้ม แดง และเขียวเข้ม เพราะมีเบต้าแคโรทีนและแคโรนอยด์ที่ร่างกายจะเปลี่ยนเป็นวิตามินเอต่อไป เนื่องด้วยวิตามินเอในผักผลไม้มีความไวต่อออกซิเจนมาก ดังนั้นวิธีการต้มที่ป้องกันการสูญเสียวิตามินได้ดีทีสุดคือ ควรปิดฝาภาชนะขณะต้มและใส่น้ำน้อยๆ
ร่ายกายต้องการวิตามินเอในแต่ละวันอยู่ที่วันละ 4,000-5,000 IU
แหล่งวิตามินในธรรมชาติ | จำนวน | ปริมาณสารอาหารที่ได้รับ |
ผักตำลึง | น้ำหนัก 100 กรัม | 18,608 IU |
ยอดชะอม | น้ำหนัก 100 กรัม | 10,066 IU |
คะน้า | น้ำหนัก 100 กรัม | 9,300 IU |
แครอท | น้ำหนัก 100 กรัม | 9,000 IU |
ยอดกระถิน | น้ำหนัก 100 กรัม | 7,883 IU |
ผักโขม | น้ำหนัก 100 กรัม | 7,200 IU |
ฟักทอง | น้ำหนัก 100 กรัม | 6,300 IU |
มะม่วงสุก | 1 ผล(โดยเฉลี่ย) | 4,000 IU |
บรอกโคลี | 1 หัว(โดยเฉลี่ย) | 3,150 IU |
แคนตาลูบ | น้ำหนัก 100 กรัม | 3,060 IU |
แตงกวา | 1 กิโลกรัม | 1,750 IU |
ผักกาดขาว | น้ำหนัก 100 กรัม | 1,700 IU |
มะละกอสุก | 1 ชิ้นยาว(โดยเฉลี่ย) | 1,500 IU |
หน่อไม้ฝรั่ง | น้ำหนัก 100 กรัม | 810 IU |
มะเขือเทศ | น้ำหนัก 100 กรัม | 800 IU |
พริกหวาน | 1 เม็ด(โดยเฉลี่ย) | 500-700 IU |
แตงโม | 1 ชิ้นใหญ่ | 700-1,000 IU |
กระเจี๊ยบเขียว | น้ำหนัก 100 กรัม | 470 IU |
อันตรายจากการขาดวิตามินเอ
- โรคผิวหนัง เนื่องจากวิตามินเอมีส่วนสำคัญในการรักษาสภาพเยื่อบุผิวหนัง ขาดวิตามินเอทำให้ผิวพรรณขาดความชุ่มชื้น หยาบกร้าน แห้งแตก โดยเฉพาะผิวหนังบริเวณข้อศอก ตาตุ่มและข้อต่อต่างๆ ซึ่งอาจนำไปสู่โรคผิวหนัง เช่น สิวและโรคติดเชื้ออื่นๆ ได้
- ตาฟาง หน้าที่ของวิตามินเอคือช่วยในการสร้างสารที่ใช้ในการมองเห็น หากขาดจะทำให้มองเห็นได้ยากในเวลากลางคืนหรือในที่แสงสว่างน้อย และทำให้เยื่อบุตาแห้ง กระจกตาเป็นแผล ในกรณีที่ร่างกายขาดวิตามินเออย่างรุนแรงอาจทำให้ตาบอดได้
- ความต้านทานโรคต่ำ วิตามินเอเป็นตัวช่วยสำคัญที่ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายของเราทำงานตามปกติ การขาดวิตามินเอจึงทำให้เกิดโรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจได้ง่าย อีกทั้งยังทำให้เกิดการอักเสบในโพรงจมูก ช่องปาก คอ และที่ต่อมน้ำลาย
อันตรายจากการได้รับวิตามินเอเกินขนาด
- แท้งลูกหรือพิการ หญิงมีครรภ์ที่ได้รับวิตามินเอมากเกินไปมีความเสี่ยงต่อภาวะทารกในครรภ์คลอดออกมาพิการหรือแท้งได้ เนื่องจากวิตามินเอมีผลต่อการเจริญเติบโตของเด็กในครรภ์ ซึ่งอาจทำให้เด็กมีความผิดปกติที่ทางเดินปัสสาวะ กระดูกผิดรูป หรือมีติ่งปูดออกมาที่บริเวณหู
- อ่อนเพลีย หากร่างกายได้รับวิตามินเอเกินครั้งละ 15,000 ไมโครกรัม จะมีผลทำให้รู้สึกอ่อนเพลียและอาเจียนได้
- เจ็บกระดูกและข้อต่อ เบื่ออาหาร เซื่องซึม นอนไม่หลับ กระวนกระวาย ผมร่วง ปวดศีรษะ ท้องผูก ทั้งหมดนี้เป็นโทษในระยะยาวที่เกิดจากการรับประทานวิตามินเอมากเกินไป
- ในสัตว์กระเพาะเดี่ยวเมื่อได้รับเกินความต้องการ 4-10 เท่า จะทำให้โครงกระดูกผิดปกติ
- ในสัตว์เคี้ยวเอื้องเมื่อได้รับเกิน 30 เท่า จะเกิดอาการผิดปกติ
อ้างอิง
Wikiwand - on
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.