คำถามยอดนิยม
ไทมไลน์
แชท
มุมมอง

ลิ้นมังกร

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

ลิ้นมังกร
Remove ads

ลิ้นมังกร (ชื่อวิทยาศาสตร์: Dracaena trifasciata; อังกฤษ: snake plant, Saint George's sword หรือ mother-in-law's tongue) เป็นพืชในวงศ์ Asparagaceae เป็นไม้ล้มลุก มีเหง้าใต้ดิน ใบเดี่ยว สีเขียวเข้มแกมเทา อวบน้ำ ดอกช่อ สีขาวมีกลิ่นหอม เป็นพืชท้องถิ่นในแอฟริกาตะวันตกตั้งแต่ไนจีเรียถึงคองโก ใช้เป็นไม้ประดับ ใบใช้ตำละเอียด แก้พิษตะขาบ แมงป่อง

ข้อมูลเบื้องต้น ลิ้นมังกร, การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์ ...
Remove ads
Thumb
ผลลิ้นมังกรในธรรมชาติ
Thumb
ดอกลิ้นมังกร
Thumb
ลิ้นมังกรพันธุ์แคระใบสั้น (Dracaena trifasciata Hahnii)

ชื่อทวินามเดิม Sansevieria trifasciata ปัจจุบันจัดเป็นชื่อพ้องของลิ้นมังกร

Remove ads

อนุกรมวิธานและศัพทมูลวิทยา

เมื่อปี ค.ศ. 1794 ชื่อสกุล Sansevieria ตั้งขึ้นโดยคาร์ล พีเทอร์ ทุนเบอร์ก (Carl Peter Thunberg) เพื่อเป็นเกียรติแก่ไรมอนโด ดี ซานโกร (Raimondo di Sangro) เจ้าชายแห่งเมืองซานเซเวโร (San Severo) ประเทศอิตาลี[2] ในปี ค.ศ. 2017 ชื่อสกุลเปลี่ยนเป็น Dracaena[3] ชื่อลักษณะเฉพาะ trifasciata หมายถึง "สามมัด"[4]

ชื่ออื่นของ Dracaena trifasciata คือ ลิ้นแม่ยาย และอื่น ๆ เช่น ว่านหางเสือ, ว่านงาช้าง, คลีบปลาวาฬ, ลิ้นนาคราช[5]

ชื่ออื่นภาษาอังกฤษคือ mother-in-law's tongue (ลิ้นแม่ยาย-แม่ผัว), Saint George's sword (ดาบของนักบุญจอร์จ) และ snake plant (ต้นงู) จากรูปร่างใบที่แหลม และในชื่อ viper's bowstring hemp (ป่านสายธนูของงูพิษ) เนื่องจากเคยใช้ทำเป็นเส้นใยพืชของสายธนู[6]

Remove ads

ลักษณะ

สรุป
มุมมอง

เป็นไม้ล้มลุกหลายปี ไม่ผลัดใบ มีไหลใต้ดิน เป็นข้อปล้องสั้นๆ บางครั้งอยู่เหนือพื้นดิน

ใบแข็งหนาตั้งตรง รูปใบหอก บางครั้งบิดเล็กน้อยหรือบิดเป็นเกลียว ปลายเรียวแหลม ขอบเรียบ ใบที่โตเต็มที่มีสีเขียวเข้มถึงเขียวอมเทา มีแถบสีเขียวอ่อนหรือสีเทาอมเขียวพาดขวางเป็นระยะตลอดความยาวใบ เป็นลวดลายอยู่ที่แผ่นใบ[7] ในพันธุ์ปลูกต่าง ๆ มีสีและลวดลายที่ต่างกัน บางชนิดมีเส้นใยเหนียวที่ใช้ทำเชือก[8] ใบมักมีความยาวตั้งแต่ 70–90 เซนติเมตร (2.3–3.0 ฟุต) กว้าง 5–6 เซนติเมตร (2.0–2.4 นิ้ว) และอาจยาวได้ถึง 2 เมตร ( 6 ฟุต) หากเติบโตในสภาวะที่เหมาะสม

ช่อดอกออกจากซอกกาบใบ มักชูสูงพ้นพุ่มใบ มีหลายรูปแบบ ทั้งช่อเชิงลด (spike) ช่อกระจะ (raceme) ช่อกระจะแยกแขนง (racemose panicle) บางชนิดเป็นช่อกระจุกที่โคนต้น แต่ละช่อมีดอกจำนวนมาก ดอกสีขาวถึงสีขาวอมชมพู มีวงกลีบรวมเชื่อมติดกันเป็นหลอด ปลายแยกเป็น 6 กลีบบานจากล่างขึ้นบนในช่วงเย็นถึงช่วงเช้าของวันรุ่งขึ้น และมีกลิ่นหอม[8] กลีบดอก 6 กลีบ เกสรตัวผู้ 5 อัน เกสรตัวเมีย 1 อัน[9]

ผลมีเนื้อนุ่ม เมื่อสุกมีสีแดงอมส้ม ภายในมี 1–2 เมล็ด[8]

ลิ้นมังกรเป็นพืชกลางคืน ปิดปากใบเวลากลางวัน เปิดปากใบเฉพาะตอนกลางคืนเท่านั้นเพื่อป้องกันไม่ให้น้ำระเหยในแสงแดดที่ร้อนจัด และเพื่อดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์พร้อมทั้งคายความชื้นและปล่อยแก๊สออกซิเจนออก พืชจะนำก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เก็บไว้ในตอนกลางคืนมาใช้ในกระบวนการสังเคราะห์แสงในตอนเช้า ซึ่งเรียก กระบวนการสังเคราะห์แสงของกรดคราซุลาเซน (crassulacean acid metabolism, CAM) ซึ่งเป็นลักษณะที่พบได้ทั่วไปในพืชอวบน้ำหลายชนิดที่ต้องทนต่อสภาพแห้งแล้ง ลักษณะกระบวนการสังเคราะห์แสงของพืชกลุ่มนี้จะสลับกับพืชทั่วไป ด้วยคุณสมบัติที่ช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในเวลากลางคืนได้ดี จึงทำให้หลายคนนิยมนำเอาพืชกลุ่มนี้มาตกแต่งในอาคาร

Remove ads

การใช้งานและนิเวศวิทยา

สรุป
มุมมอง

นิยมใช้เป็นไม้ประดับกลางแจ้งในสภาพภูมิอากาศร้อนขึ้น และเป็นที่นิยมในฐานะเป็นพืชในร่มในที่อยูอาศัยและสำนักงาน (houseplant) ดูแลง่าย เนื่องจากลิ้นมังกรเป็นไม้อวบน้ำ มีความทนต่อระดับแสงน้อยและการให้น้ำที่ไม่สม่ำเสมอ มักเน่าได้ง่ายถ้าได้รับน้ำมากเกินไป[10] ในช่วงฤดูหนาวต้องการการให้น้ำเพียงครั้งเดียวทุกสองเดือน และควรปลูกในดินร่วนหรือดินปนทราย ระบายน้ำดี[8]

จัดเป็นวัชพืชในบางส่วนของภาคเหนือของออสเตรเลีย[11]

การศึกษาเรื่องอากาศสะอาดของนาซ่า พบว่า ลิ้นมังกร (D. trifasciata) มีศักยภาพในการกรองอากาศภายในอาคาร โดยขจัดสารพิษหลัก 4 ใน 5 ชนิดที่เกี่ยวข้องกับอาการป่วยโรคตึกเป็นพิษ SBS (sick building syndrome)[12] แม้ว่าการใช้งานจริงภายในอาคารพืชมีอัตราการกรองที่น้อยกว่าในชั้นการการศึกษา[13]

ลิ้นมังกรสามารถขยายพันธุ์โดยการตัดหรือแบ่งไหล (เหง้า) ซึ่งเป็นวิธีที่ไม่เกิดการแปรผันทางพันธุกรรม (variegation)[14]

ลิ้นมังกรมีสารซาโปนินซึ่งเป็นพิษเล็กน้อยต่อสุนัขและแมวในระบบทางเดินอาหาร (หากบริโภคเข้าไป)[15] แม้ว่าเป็นพืชที่ไม่เป็นพิษในการทดลองกับหนู ในการศึกษาศักยภาพในการต้านการเกิดแผล[16]

ในประเทศไทย

พืชสกุลลิ้นมังกรกระจายพันธุ์ในเขตร้อนและเขตกึ่งร้อนของทวีปแอฟริกา มาดากัสการ์ อินเดีย และประเทศในแถบอินดีสตะวันออก ซึ่งค้นพบแล้วประมาณ 70 ชนิด โดยประเทศไทยถือเป็นแหล่งปลูกเลี้ยง รวบรวมสายพันธุ์ และผลิตลูกผสมที่มีศักยภาพแห่งหนึ่งของโลก[8]

การปลูกลิ้นมังกรบริเวณรอบรั้วบ้านจะช่วยป้องกันไม่ให้งูหรือสัตว์เลื้อยคลานที่เป็นอันตรายเข้ามาได้ สันนิษฐานว่าลิ้นมังกรมีใบขึ้นเบียดกันหนาแน่น และบางสายพันธุ์มีขอบใบที่เรียบเป็นลักษณะที่สัตว์เลื้อยคลานบางประเภทไม่เข้าใกล้[17]

อ้างอิง

Loading content...
Loading related searches...

Wikiwand - on

Seamless Wikipedia browsing. On steroids.

Remove ads