ชาตินิยม

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

ชาตินิยม

ชาตินิยม หรือ ความรักชาติ (อังกฤษ: nationalism) เป็นความคิดและการเคลื่อนไหวที่ถือได้ว่าประเทศชาติควรจะสอดคล้องกับรัฐ[1][2] เนื่องจากการเคลื่อนไหวนี้ ลัทธิชาตินิยมมีแนวโน้มที่จะส่งเสริมผลประโยชน์ของชาติโดยเจาะจง (เช่น ในกลุ่มคน)[3] โดยเฉพาะอย่างยิ่งโดยมีจุดมุ่งหมายในการได้มาและรักษาอำนาจอธิปไตยของชาติ(การปกครองตนเอง) เหนือบ้านเกิดเพื่อสร้างรัฐชาติ ลัทธิชาตินิยมถือได้ว่าแต่ละประเทศควรที่จะปกครองตนเองโดยปราศจากการแทรกแซงจากภายนอก (การกำหนดการปกครองด้วยตนเอง) ว่าประเทศชาตินั้นเป็นพื้นฐานทางธรรมชาติและอุดมคติสำหรับการเมือง[4] และประเทศชาติเป็นแหล่งอำนาจทางการเมืองโดยชอบธรรมเท่านั้น[5][6] นอกจากนี้ยังมุ่งเป้าหมายในการสร้างและรักษาเอกลักษณ์ประจำชาติเพียงอย่างเดียว ตามลักษณะทางสังคมที่ใช้ร่วมกันของวัฒนธรรม ชาติพันธุ์ ที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ ภาษา การเมือง (หรือรัฐบาล) ศาสนา ประเพณี และความเชื่อในประวัติศาสตร์ของนามเอกพจน์ที่ใช้ร่วมกัน[7][8] และส่งเสริมความสามัคคีของชาติหรือภราดรภาพ(solidarity)[9] ลัทธิชาตินิยมจึงพยายามปกปักรักษาและอุปถัมภ์วัฒนธรรมอันเก่าแก่ของประเทศชาติ[10] มีคำจำกัดความต่าง ๆ ของคำว่า "ชาติ" ซึ่งนำไปสู่ลัทธิชาตินิยมประเภทต่าง ๆ มีสองรูปแบบที่แตกต่างกันคือ ลัทธิชาตินิยมที่เน้นทางชาติพันธุ์(ethnic nationalism) และลัทธิชาตินิยมแบบพลเมือง(civic nationalism)

ป้ายประกาศนโยบายรัฐนิยมเรื่องการแต่งกายในประเทศไทยช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง

ความเห็นส่วนใหญ่ในท่ามกลางนักวิชาการคือประเทศชาติต่างถูกสร้างขึ้นโดยสังคมและอาจจะเกิดขึ้นตามประวัติศาสตร์[11] ตลอดช่วงประวัติศาสตร์ ผู้คนมีความผูกผันกับกลุ่มเครือญาติและจารีตประเพณี ผู้มีอำนาจปกครองดินแดนและบ้านเกิดของพวกเขา แต่ลัทธิชาตินิยมไม่ได้กลายเป็นอุดมการณ์ที่มีความโดดเด่นจนถึงปลายศตวรรษที่ 18[12] ทัศนคติที่โดดเด่นมีอยู่สามประการกับลัทธิชาตินิยม ลัทธิบรรพชนนิยม(Primordialism)(นิรันตรนิยม) ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความคิดเห็นของลัทธิชาตินิยมเป็นที่นิยมแต่กลับไม่เป็นที่ยอมรับในท่ามกลางนักวิชาการส่วนใหญ่[13] ได้เสนอแนะว่าประเทศชาติมีอยู่เสมอมาและลัทธิชาตินิยมเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ สัญลักษณ์ประจำชาตินิยม (Ethnosymbolism) ได้อธิบายว่าลัทธิชาตินิยมเป็นปรากฏการณ์วิวัฒนนาการแบบไดนามิกและให้ความสำคัญของสัญลักษณ์ต่าง ตำนานปรัมปรา และประเพณีในการพัฒนาของประเทศชาติและลัทธิชาตินิยม ทฤษฎีความทันสมัย (Modernization Theory) ซึ่งได้เข้ามาแทนที่ลัทธิบรรพชนนิยมเป็นการอธิบายที่โดดเด่นของลัทธิชาตินิยม[14] การใช้แนวทางคอนสตรัคติวิสต์และเสนอแนะให้ลัทธิชาตินิยมได้กำเนิดขึ้น เนื่องจากกระบวนการของความทันสมัย เช่น อุตสาหกรรม การทำให้เป็นเมือง และการศึกษามวลชน ซึ่งทำให้เกิดมีจิตสำนึกของชาติเท่าที่เป็นไปได้[11][15] ผู้เสนอทฤษฏีถัดมานี้ได้บรรยายถึงประเทศชาติว่า เป็น"ชุมชนจินตกรรม"(imagined communities) และลัทธิชาตินิยมคือ "ประเพณีประดิษฐ์"(Invented tradition) ซึ่งความรู้สึกร่วมกันทำให้เกิดรูปแบบอัตลักษณ์ส่วนร่วมและเชื่อมโยงบุคคลเข้าด้วยกันในความเป็นภราดรภาพทางการเมือง "เรื่องราว" ที่เป็นรากฐานของประเทศชาติอาจถูกสร้างขึ้นจากการผสมผสานกันระหว่างคุณลักษณะ ค่านิยม และหลักการทางชาติพันธุ์ และอาจจะเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับการเล่าบรรยายถึงความเป็นเจ้าของ[11][16][17]

คุณค่าทางศีลธรรมของลัทธิชาตินิยม ความสัมพันธ์ระหว่างลัทธิชาตินิยมกับปิตุภูมิ-มาตุภูมินิยม และการเข้าด้วยกันได้ของลัทธิชาตินิยมและความเป็นพลเมืองโลก(Cosmopolitanism) ล้วนเป็นหัวข้อของการอภิปรายเชิงปรัชญา[11] ลัทธิชาตินิยมสามารถรวมเข้ากับเป้าหมายและอุดมการณ์ทางการเมืองที่มีความหลากหลาย เช่น อนุรักษ์นิยม(ชาติอนุรักษ์นิยมและปีกขวาประชานิยม) และสังคมนิยม(ลัทธิชาตินิยมปีกซ้าย)[4][18][19] ในทางปฏิบัติ ลัทธิชาตินิยมสามารถเป็นทั้งเชิงบวกหรือเชิงลบได้ ขึ้นอยู่กับอุดมการณ์และผลลัพธ์ที่ออกมา ลัทธิชาตินิยมเป็นลักษณะอย่างหนึ่งของการเคลื่อนไหวเพื่อเสรีภาพ และความยุติธรรม ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับการฟื้นฟูวัฒนธรรม,[20] และส่งเสริมความภาคภูมิใจในความสำเร็จของประเทศชาติ[21] นอกจากนี้ยังถูกนำมาใช้เพื่อการแบ่งแยกเชื้อชาติ ชาติพันธุ์ และศาสนาโดยชอบด้วยกฎหมาย การปราบปรามหรือโจมตีชนกลุ่มน้อยและบ่อนทำลายสิทธิมนุษยชนและวัฒนธรรมประชาธิปไตย[11] ลัทธิชาตินิยมหัวรุนแรงรวมเข้ากับความเกลียดชังทางเชื้อชาติเป็นปัจจัยที่สำคัญในฮอโลคอสต์ซึ่งถูกกระทำโดยนาซีเยอรมนี[22]

ความต่างระหว่างชาตินิยมกับปิตุภูมิ-มาตุภูมินิยมคือปิตุภูมิ-มาตุภูมินิยมให้ความสำคัญกับสถาบันแห่งรัฐเป็นหลัก มักต้อนรับต่างชาติที่เข้ามาทำให้ประเทศเจริญ ต่างจากความรักชาติให้ความสำคัญกับผลประโยชน์พวกพ้องของตนเป็นหลัก อย่างเช่นในประเทศไทยซึ่งเป็นสวรรค์ของผู้ชายต่างชาติที่เข้ามาหาภรรยาไทย ปิตุภูมิ-มาตุภูมินิยมจะมีความยินดีกับการที่คนกลุ่มนี้เข้ามาใช้จ่ายในประเทศทำให้เศรษฐกิจในประเทศดีขึ้น ขณะที่ชาตินิยมมองว่าคนกลุ่มนี้เข้ามากดขี่เจ้าของประเทศ เข้ามาแย่งน้ำแย่งอาหารแย่งอากาศ และที่สำคัญสุดคือเข้ามาแย่งผู้หญิงในประเทศ ปิตุภูมิ-มาตุภูมินิยมมักไม่ค่อยมีความเห็นอกเห็นใจคนไร้บ้านเพราะมองว่าคนกลุ่มนี้ไม่สร้างประโยชน์ให้กับประเทศ ต่างจากชาตินิยมที่แคร์ความรู้สึกของคนไร้บ้านหากคนนั้นเป็นคนไทยชาติและมองว่านี้เป็นปัญหาระดับชาติ รวมถึงชาตินิยมมักจะโบ้ยความผิดนี้ให้กับต่างชาติ เป็นต้น

อ้างอิง

Wikiwand - on

Seamless Wikipedia browsing. On steroids.