ยุทธการสนามเพลาะ
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
Remove ads
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
สงครามสนามเพลาะ (อาหรับ: غزوة الخندق) รู้จักกันในชื่อ สงครามพันธมิตร (อาหรับ: غزوة الاحزاب) เป็นสงครามที่นานถึง 30 วันในช่วงที่ล้อมเมืองยัษริบ (ปัจจุบันคือ มะดีนะฮ์) โดยชาวอาหรับ และชาวยิว โดยกองทัพสมาพันธ์มีทหารประมาณ 10,000 นาย และทหารม้ากับอูฐอีก 600 นายในขณะที่ชาวมะดีนะฮ์มีทหารประมาณ 3,000 นาย
สงครามสนามเพลาะ (มุสลิม ปะทะ กุเรช) | |||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|
ส่วนหนึ่งของ สงครามระหว่างชาวมุสลิม–กุเรช | |||||||
การต่อสู้ระหว่างอะลี อิบน์ อบีฏอลิบ (ซ้าย) และอัมร์ อิบน์ วุด (ขวา) ในสงครามสนามเพลาะ | |||||||
| |||||||
คู่สงคราม | |||||||
ชาวมุสลิม รวมถึง
|
เผ่าต่างๆ รวมถึง
| ||||||
ผู้บังคับบัญชาและผู้นำ | |||||||
มุฮัมมัด อะลี ซัลมาน ฟารซี[2] |
อบูซุฟยาน อัมร์ อิบน์ วุด ตุลัยฮา | ||||||
กำลัง | |||||||
3,000[3] | 10,000[3] | ||||||
ความสูญเสีย | |||||||
น้อย[4] | เสียหายมาก[4] |
ขาวมุสลิมได้ทำตามศาสดามุฮัมหมัดให้ขุดสนามเพลาะตามคำแนะนำของซัลมาน ฟารซี[5] และปราการธรรมชาติในมะดีนะฮ์ทำให้ทหารม้า (รวมถึงม้าและอูฐ) ของสมาพันธ์ไร้ประโยชน์ และได้ชักชวนเผ่าบนูกุร็อยเซาะฮ์ให้โจมตีฝ่ายมุสลิมทางตอนใต้ แต่อย่างไรก็ตาม แผนทางการทูตของมูฮัมหมัดได้ทำให้ฝ่ายสมาพันธ์แตกแยกโดยสิ้นเชิง พร้อมกับสภาพอากาศที่เลวร้ายทำให้สงครามนี้สิ้นสุดลง
หลังจากที่ชาวมักกะฮ์แพ้สงครามแล้ว พวกเขาสูญเสียทั้งการค้าขายและศักดิ์ศรี[4]
สงครามนี้ได้ชื่อว่า "สนามเพลาะ" หรือ คอนดัค เนื่องจากเป็นการขุดสนามเพลาะโดยชาวมุสลิม คำว่า คอนดัค (خندق) เป็นคำในอาหรับถูกยืมมาจากเปอร์เซียว่า คันดาก (หมายถึง "บริเวณที่ถูกขุด")[6] ซัลมาน ฟารซีได้แนะนำให้มุฮัมหมัดขุดสนามเพลาะทั่วเมือง สงครามนี้ได้ชื่อว่า สงครามสมาพันธ์ (غزوة الاحزاب) ในกุรอานมีซูเราะฮ์ที่มีชื่อว่า สมาพันธ์ (الاحزاب) ในซูเราะฮ์ อัล-อะฮ์ซาบ
เหตุผลส่วนใหญ่นั้น คือการแก้แค้นจากชาวกุเรช เพราะชาวมุสลิมไปสู้รบกับบนูก็อยนูกอ และบนูนาดีร[7][8] อิบน์ คอตีรได้ตอบว่า: "เหตุผลในการทำสงครามครั้งนี้เพราะกลุ่มของผู้นำจากบนูนาดีร เป็นเผ่าที่ศาสนทูตของอัลลอฮ์ ให้เนรเทศออกจากมะดีนะฮ์ไปที่ค็อยบัร คนที่มามักกะฮ์คือซัลลาม อิบน์ อัล-ฮูก็อยก์, ซัลลาม อิบน์ มิชกาม และกินานาฮ์ อิบน์ อัร-ราบี โดยพวกเขามาเพื่อที่จะให้ผู้นำของมักกะฮ์ประกาศสงครามต่อท่านศาสดา"[9]
ทหารในสมาพันธ์ของเผ่าถูกรวบรวมโดยชาวกุเรชแห่งมักกะฮ์ นำโดยอบูซุฟยาน มีทหารเดินเท้า 4,000 นาย, ทหารม้า 300 นาย และทหารบนอูฐ 1,000–1,500 นาย[10]
ส่วนบนูนาดีรได้รวบรวมเผ่าเร่ร่อนแถวแคว้นนัจญ์ โดยเกณฑ์ทหารจากบนูคอตาฟานแล้วจ่ายไปครึ่งหนึ่ง[6][11], ทหาร 2,000 นาย และทหารม้า 300 นาย นำโดยอุนัยนา อิบน์ ฮะซัน ฟาซารี เผ่าบนีอะซัดได้เข้าร่วม[10] แต่เผ่าบนีอะมีร ปฏิเสธที่จะเข้าร่วม เนื่องจากมีข้อตกลงกับมุฮัมหมัด[12] ส่วนเผ่าอื่นเช่นบนูมุรรานำโดยฮารส์ อิบน์ เอาฟ์ มุรรีพร้อมกับทหาร 400 นาย และบนูชูญานำโดยซุฟยาน อิบน์ อับดุลชามพร้อมกับทหาร 700 นาย
ถ้านำมารวมแล้ว ไม่มีใครรู้ว่าจำนวนทหารของสมาพันธ์มีอยู่เท่าใด จึงมีการประมาณว่า มีทหารอยู่ 10,000 นาย และทหารม้า 600 นาย โดยมีอบูซุฟยานเป็นแม่ทัพ[3]
ผู้ชายจากเผ่าบนูคุซาอ์ได้มาหามุฮัมหมัดในเวลา 4 วัน เพื่อเตือนถึงกองทัพสมาพันธ์ที่กำลังมาที่นี่ภายในหนึ่งสัปดาห์[12] มุฮัมหมัดจึงเรียกชาวมะดีนะฮ์เพื่อหาความคิดที่ดีที่สุดในการสู้รบ โดยมีผู้เสนอดังนี้[13]
แต่ความคิดที่ยอมรับมากที่สุดคือ การขุดคูบริเวณทางตอนเหนือของมะดีนะฮ์ที่เสนอโดยซัลมาน ฟารซี โดยที่ชาวมุสลิมในมะดีนะฮ์ขุดคูเสร็จภายใน 6 วัน[14] โดยขุดทางตอนเหนือเท่านั้น ส่วนฝั่งอื่นของมะดีนะฮ์ถูกล้อมรอบโดยภูเขาหินและต้นไม้ ทำให้กองทัพขนาดใหญ่ (โดยเฉพาะทหารม้า) ไม่สามารถผ่านได้ ผู้หญิงและเด็กทุกคนถูกย้ายเข้าไปในตัวเมืองชั้นในให้หมด[6][14] พร้อมกับเก็บเกี่ยวพืชผลก่อนถึงฤดูเก็บเกี่ยว เพื่อให้ฝ่ายสมาพันธ์ใช้แต่เสบียงของพวกเขาเท่านั้น[13][14]
มุฮัมหมัดได้ตั้งทหารประจำที่ภูเขาซาละอ์[6] เพื่อสกัดศัตรูที่กระโดดข้างสนามเพลาะ[11]
สุดท้าย กองทัพที่ปกป้องเมืองมะดีนะฮ์มีอยู่ 3,000 นาย[15] โดยรวมถึงชาวเมืองในมะดีนะฮ์ที่มีอายุมากกว่า 14 ปี ยกเว้นเผ่าบนูกุร็อยเซาะฮ์ (เพราะพวกเขาจัดหาเครื่องมือให้กับชาวมุสลิมในการขุดร่อง)[11]
การล้อมเมืองมะดีนะฮ์เริ่มขึ้นในเดือนมกราคม ค.ศ.627 และใช้เวลา 27 วัน[1] เนื่องจากพวกเขาไม่เคยเจอสนามเพลาะมาก่อน พวกเขาจึงต้องอาศัยม้าในการกระโดดข้างสนามเพลาะ แต่ถูกฝ่ายมุสลิมยิงธนูสวนกลับ[4] แต่มีคนหนึ่งที่ข้ามสนามเพลาะนี้ได้คือกลุ่มทหารของอัมร์ อิบน์ อับดุลวัดด์ (เป็นชายที่มีค่าพอๆ กับทหาร 1000 นาย[16]) และอิกริมะฮ์ อิบน์ อบูญะฮัล โดยการหาบริเวณที่แคบที่สุดของคู จากนั้นจึงท้าให้มีใครซักคนมาสู้กับเขา อะลี อิบน์ อบูฏอลิบได้ตอบรับคำท้าและสู้รบจนเป็นฝ่ายชนะ[17]
มุฮัมหมัดพยายามที่จะเก็บความลับเกี่ยวกับบนูกุร็อยเซาะฮ์ แต่อย่างไรก็ตาม มีข่าวลือว่ามีการโจมตีครั้งใหญ่มาจากเผ่ากุร็อยเซาะฮ์ ซึ่งทำลายความสัมพันธ์ไปมาก[18]
ตอนนี้ฝ่ายมุสลิมเริ่มประสบปัญหาหลายด้าน เช่น: เสบียงเริ่มน้อยลง และในช่วงกลางคืนอากาศหนาวมากขึ้น การนอนหลับไม่เพียงพอทำให้สถานะการณ์แย่ลงกว่าเดิม[19] จนกระทั่งการละหมาดห้าเวลาถูกทอดทิ้งไป เหลือแค่ช่วงกลางคืนเท่านั้นที่ชาวมุสลิมสามารถละหมาดได้[18] รายงานจากอิบน์ อิสฮากว่า สถานะการณ์ตึงเครียดมากขึ้น และมีความกลัวอยู่ทุกที่[20]
มุฮัมหมัดได้ส่งคนไป 100 คนไปในเมืองทันทีหลังจากได้ยินข่าวลือมาจากเผ่ากุร็อยเซาะฮ์ หลังจากนั้นจึงส่งทหารม้า 300 นาย (ทหารม้าไม่จำเป็นต้องอยู่ในสนามเพลาะ)[13] การที่กองทัพได้กล่าวคำสรรเสริญเสียงดัง ทำให้เกิดภาพลวงตาว่าเป็นกองทัพขนาดใหญ่[21]
ในตอนนั้นเอง นุอัยม์ อิบน์ มะซูดได้มาเยี่ยมมุฮัมหมัด โดยที่เขาเป็นผู้นำที่สมาพันธ์เชื่อถือได้ แต่ไม่มีใครรู้ว่าเขาเข้ารับอิสลามอย่างลับๆ แล้ว มุฮัมหมัดได้บอกให้เขาหยุดสงครามนี้โดยการสร้างความแตกแยกในสมาพันธ์
นุอัยม์ยอมรับแผนนี้ โดยที่เขาเริ่มไปหาพวกบนูกุร็อยเซาะฮ์ก่อน แล้วเตือนเรื่องความตั้งใจในของส่วนที่เหลือของสมาพันธ์ ถ้ายุทธวิธีนี้ล้มเหลว ฝ่ายสมาพันธ์ไม่กลัวที่จะทิ้งชาวยิว พร้อมกับให้สันติภาพกับมุฮัมหมัด แล้วพวกกุร็อยเซาะฮ์ต้องนำตัวประกันจากฝ่ายสมาพันธ์ ข้อเสนอแนะนี้ทำให้พวกเขาเริ่มมีความกลัวแล้ว[13][19]
จากนั้น นุอัยม์ได้ไปหาอบูซุฟยาน แล้วเตือนว่าพวกบนูกุร็อยเซาะฮ์ได้ยอมรับมุฮัมหมัดแล้ว และต้องการตัวประกัน เพื่อเป็นการตอบแทนในสิ่งที่ทำลงไป แต่ฝ่ายสมาพันธ์กลับไม่ส่งตัวประกันซักคน
หลังจากนั้น นุอัยม์ได้เผยแพร่ข้อความแบบเดียวกับให้กับเผ่าอื่นๆ ทุกเผ่าในสมาพันธ์[13][19]
แผนการของนูอัยม์ได้ผล หลังจากที่พวกเขาโต้เถียงกันแล้ว ฝ่ายสมาพันธ์ได้ส่งอิกริมะฮ์ไปยังพวกกุร็อยเซาะฮ์ เป็นการส่งสัญญาณว่าพวกเขาจะโจมตีเป็นกลุ่ม แต่ทางเผ่าบนูกุร็อยเซาะฮ์ได้ขอให้ฝ่ายสมาพันธ์ส่งตัวประกันมาให้พวกเขา เพื่อเป็นข้อตกลงว่าจะไม่ทิ้งพวกเขา แต่พวกเขากลับปฏิเสธสัญญานี้[13][19]
อบูซุฟยานได้ส่งฮุยัย อิบน์ อัคตับตามที่เผ่าบนูกุร็อยเซาะตามสัญญา แต่เขาถูกนำตัวกลับไป แล้วถูกอบูซุฟยานตีตราว่า "คนทรยศ" จากนั้นฮุยัยจึงรีบหนีไปยังที่มั่นของเผ่ากุร็อยเซาะฮ์[13][19]
ส่วนเผ่าบนูคอฟาตานและกลุ่มอื่นๆ จากแคว้นนัจญ์ได้รับการประนีประนอมโดยการเจรจากับมูฮัมหมัด เนื่องจากว่าพวกเขาได้เข้าร่วมกลุ่มนี้เพื่อปล้นสดม มากกว่าที่จะมีส่วนอคติเกี่ยวกับอิสลาม พวกเขาเริ่มสูญเสียความหวังที่จะชนะ, เบื่อหน่ายต่อสงครามที่เยือดเยื้อ โดยกองทัพทั้งสองฝ่ายตีตราว่ามีการทะเลาะวิวาทและไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกัน[19]
เสบียงของฝ่ายสมาพันธ์เริ่มหมดลง ม้าและอูฐของพวกเขาตายลงเนื่องจากความหิวโหยและบาดแผล หลายวันผ่านไปสภาพแวดล้อมเริ่มมีอากาศหนาวและชื้น มีพายุลูกใหญ่พัดถล่มค่ายอย่างหนัก ทำให้ฝ่ายสมาพันธ์ไม่มีไฟใช้ แต่ฝ่ายมุสลิมมีบ้านไว้กันพายุลูกใหญ่ไว้แล้ว ค่ายของฝ่ายศัตรูถูกถอนรากถอนโคนหมด ทั้งทรายและฝนได้พัดใส่หน้าพวกเขาอย่างหนัก และกลัวถึงลางบอกเหตุต่อพวกเขา
เช้าวันต่อมา ไม่มีฝ่ายสมาพันธ์เหลืออีกเลย[22]
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.