Loading AI tools
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
มีเกลันเจโล หรือที่มักรู้จักกันในชื่อ ไมเคิลแองเจโล มีชื่อเต็มว่า มีเกลันเจโล ดี โลโดวีโก บูโอนาร์โรตี ซีโมนี (อิตาลี: Michelangelo di Lodovico Buonarroti Simoni, [mikeˈlandʒelo di lodoˈviːko ˌbwɔnarˈrɔːti siˈmoːni]; 6 มีนาคม ค.ศ. 1475 – 18 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1564) เป็นจิตรกร สถาปนิก และประติมากรชื่อดังในสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา (Renaissance)
บทความนี้อาจขยายความได้โดยการแปลบทความที่ตรงกันในภาษาอังกฤษ คลิกที่ [ขยาย] เพื่อศึกษาแนวทางการแปล
|
มีเกลันเจโล | |
---|---|
ภาพมีเกลันเจโล โดยดานีเอเล ดา วอลแตร์รา | |
เกิด | มีเกลันเจโล ดี โลโดวีโก บูโอนาร์โรตี ซีโมนี 6 มีนาคม ค.ศ. 1475 กาเปรเซ ใกล้กับอาเรซโซ ฟลอเรนซ์ (ปัจจุบันคือแคว้นตอสคานา อิตาลี) |
เสียชีวิต | 18 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1564 ปี) โรม รัฐสันตะปาปา (ปัจจุบันคือประเทศอิตาลี) | (88
มีชื่อเสียงจาก | ประติมากรรม, จิตรกรรม, สถาปัตยกรรม และกวี |
ผลงานเด่น | |
ขบวนการ | ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการตอนสูง |
ลายมือชื่อ | |
มีเกลันเจโลเกิดเมื่อวันที่ 6 มีนาคม ค.ศ. 1475 ในเมืองกาเปรเซ เขาเติบโตที่เมืองฟลอเรนซ์ หลังจากที่ไปอยู่ที่กรุงโรมเมื่ออายุ 21 ปี และใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นถึง 5 ปี มีเกลันเจโลสร้างประติมากรรมรูปสลัก ดาวิด (มีเกลันเจโล) ขณะมีอายุ 26 ปี จากหินอ่อนก้อนมหึมาที่ถูกทิ้งไว้กลางเมืองฟลอเรนซ์เป็นเวลาหลายปี จึงกลายเป็นที่ฮือฮาของชาวเมือง ด้วยเหตุผลที่ว่า ไม่มีใครกล้าพอที่จะแตะต้องมัน ความสำเร็จหลังจากงานชิ้นนี้ ทำให้ชื่อเสียงของเขาโด่งดังไปทั่วอิตาลี มีเกลันเจโล เดิมทีเป็นคนที่เกลียดเลโอนาร์โด ดา วินชี ถึงแม้ว่าทั้งคู่จะมีอายุห่างกันถึง 23 ปี และไม่ค่อยได้พบกันบ่อยนัก ในช่วงนี้ (ค.ศ. 1497–1500) เขาก็ได้สร้างประติมากรรมหินอ่อนอีกชิ้นหนึ่งที่มีชื่อว่า ปีเอตะ (Pietà) ซึ่งปัจจุบันอยู่ในมหาวิหารนักบุญเปโตรที่กรุงโรม
ตอนอายุได้ 30 ปี เขาได้ถูกเชิญให้กลับมาที่กรุงโรม เพื่อออกแบบหลุมฝังศพให้กับสมเด็จพระสันตะปาปาจูเลียสที่ 2 ซึ่งใช้เวลาประมาณ 40 ปี หลังจากแก้หลายครั้งหลายครา จนมาสำเร็จใน ค.ศ. 1545 ต่อมาใน ค.ศ. 1546 เขาเป็นสถาปนิกคนสำคัญในการสร้างมหาวิหารนักบุญเปโตรที่กรุงโรม ที่มีความยิ่งใหญ่และงดงามเป็นอย่างมาก ซึ่งถือเป็นสถาปัตยกรรมชิ้นเอกของโลก โดยเฉพาะส่วนที่เป็นโดม
เขาใช้ชีวิตในบั้นปลายอยู่ในกรุงโรม ตลอด 30 ปี ช่วงนี้นั้นเองที่เขาเขียนภาพระดับโลกไว้มากมาย โดยเฉพาะภาพ คำพิพากษาครั้งสุดท้าย (The Last Judgment) ซึ่งเขาใช้เวลาในการเขียนภาพขนาดยักษ์นี้นานถึง 6 ปี
มีเกลันเจโล บูโอนาร์โรตี เสียชีวิตที่โรมเมื่อ ค.ศ. 1564 รวมอายุได้ 88 ปี ซึ่งมีคำกล่าวจากสมเด็จพระสันตะปาปาจูเลียสที่ 2 ว่า "ทรงยินดีบั่นทอนชีวิตของท่านลง เพื่อแลกกับชีวิตของมิเกลันเจโลให้ยืนยาวออกไปอีก"
ในเมืองกาเปรเซที่ ณ ปัจจุบัน เรียกกันว่า กาเปรเซมีเกลันเจโล เป็นเมืองเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ใน วัลติเบอริน่า ใกล้กับเมืองอาเรสโซ แคว้นตอสคานา[1] เขาเป็นบุตรของ ลูโดวิโค ดิ เลโอนาโด บัวนารอติ ซิโมนี กับ ฟรานเชสกา ดิ เนรีแห่งมินิอาโตแห่งเซียนา[2] ครอบครัวของเขาเคยเป็นพนักงานธนาคารขนาดเล็กในฟลอเรนซ์ แต่ธนาคารกลับไม่ประสบความสำเร็จ พ่อของเขาจึงรับตำแหน่งราชการในเมืองกาเปรเซ[3] ในขณะที่มีเกลันเกิด พ่อของเขาทำงานเป็นแมยิสเตร็ดและนายกเทศมนตรีของโกมูเนชิว ครอบครัวของเขาเชื่อว่าพวกเขาสืบเชื้อสายมาจากเคาน์เตส มาทิลดาแห่งคาโนสซาแห่งตอสคานาซึ่งเป็นสิ่งที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ แต่มีเกลันเจโลเชื่อว่าเป็นเช่นนั้น[4]
หลายเดือนหลังจากที่มีเกลันเกิด ครอบครัวของเขาได้ย้ายกลับไปอยู่ในฟลอเรนซ์ เขาได้รับการเลี้ยงดูที่นั้น และหลังจากที่แม่ของเขาเสียชีวิตใน ค.ศ. 1481 (เมื่อเขาอายุได้ 6 ขวบ) เขาได้ไปอาศัยอยู่กับพี่เลี้ยงและสามีของเธอซึ่งเป็นคนตัดหินในเมืองเซตติญาโน เมืองที่พ่อของเขาเป็นเจ้าของเหมืองหินอ่อนและฟาร์มเล็ก ๆ[2]
ขณะยังเป็นวัยรุ่น มีเกลันเจโลถูกส่งไปที่เมืองฟลอเรนซ์ เพื่อศึกษาไวยากรณ์ ภายใต้แนวคิดมนุษยนิยมสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา ฟรันเชสโก ดา อูร์บีโน[5][6] แต่เขาไม่แสดงความสนใจในการเรียน เลือกที่จะคัดลอกภาพวาดจากโบสถ์ และหาเพื่อนของจิตรกรคนอื่น[6]
เมืองฟลอเรนซ์ในเวลานั้นเป็นศูนย์กลางศิลปะและการเรียนรู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอิตาลี [7] โดยศิลปะในเมืองนี้ได้รับการสนับสนุนจากซินญอรีอา(สภาเมือง) สมาคมการค้า และเศรษฐีต่าง ๆ เช่น ตระกูลเมดีชี และพนักงานธนาคาร[8] ในยุคเรอแนซ็องส์ หรือยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาได้เกิดการพัฒนาครั้งแรกในเมืองฟลอเรนซ์ ในช่วงต้นศตวรรษที่ 15[7] ฟีลิปโป บรูเนลเลสกี สถาปนิกชาวอิตาลี ได้ศึกษาซากของอาคารคลาสสิกในกรุงโรม และได้สร้างโบสถ์สองแห่งคือ ซาน ลอเรนโซ่ และ ซันโตสปีรีโต โลเรนโซ กีแบร์ตี นักประติมากร ได้ทำงานเป็นเวลาห้าสิบปีเพื่อสร้างประตูทองสัมฤทธิ์ของหอศีลจุ่มซันโจวันนี ซึ่งมีเกลันเจโลอธิบายว่าเป็น "ประตูแห่งสวรรค์" ในช่องภายนอกของโบสถ์ออร์ซันมีเกเล มีแกลเลอรีผลงานของประติมากรที่มีชื่อเสียงที่สุดของฟลอเรนซ์ เช่น อันเดรอา เดล แวร์รอกกีโอ โดนาเตลโล [8] การตกแต่งภายในของโบสถ์เก่าแก่เต็มไปด้วยภาพเฟรสโก (ส่วนใหญ่ในยุคกลางตอนปลาย แต่ยังอยู่ในสไตล์เรอเนซองส์ตอนต้นด้วย) เริ่มด้วยจอตโต ดี บอนโดเน แลัตามด้วย มาซัชโช ในโบสถ์น้อยบรันกัชชี ซึ่งผลงานทั้งสองชิ้น มีเกลันเจโลได้ศึกษาและคัดลอกเป็นภาพวาด[9]
ในช่วงวัยหนุ่ม คณะจิตรกรจากฟลอเรนซ์ไปยังวาติกัน เพื่อตกแต่งผนังโบสถ์น้อยซิสทีน ในคณะนั้นมีโดเมนีโก กีร์ลันดาโย ผู้เชี่ยวชาญด้านภาพเฟรสโก การวาดภาพทิวทัศน์ ภาพเหมือนและภาพต่าง ๆ ที่มีห้องทำงานใหญ่ที่สุดในฟลอเรนซ์[8] ในค.ศ. 1488 เมื่อเขาอายุ 13 ปี มีเกลันเจโลได้ฝึกงานกับโดเมนีโก กีร์ลันดาโย ในค.ศ. 1499 พ่อของเขาเกลี้ยกล่อมให้กีร์ลันดาโย จ่ายเงินให้กับมีเกลันเจโลในฐานะศิลปิน ซึ่งพบได้ยากมากในผู้ที่อายุ 14 ปี[10] และในปีเดียวกันนั้นเอง โลเรนโซ เด เมดีชี ผู้ปกครองโดยพฤตินัยของเมืองฟลอเรนซ์ ได้ขอลูกศิษย์ที่เก่งที่สุด 2 จากกีร์ลันดาโย กีร์ลันดาโยจึงได้ส่งมีเกลันเจโลและฟรันเชสโก กรานัชชี่ไป[11]
ตั้งแต่ ค.ศ. 1490 ถึง ค.ศ. 1492 มีเกลันเจโลได้เข้าเรียนที่สถาบันของเพลโตในเมืองฟลอเรนซ์ ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาด้านมนุษยนิยมที่ก่อตั้งโดยตระกูลเมดีชี ซึ่งทำให้การทำงานและมุมมองของเขาได้รับอิทธิพลจากหลายนักปรัชญาและนักเขียนส่วนใหญ่ที่มีความโดดเด่นทั้งมาร์ซีลีโอ ฟีชีโน, โจวันนี ปีโก เดลลา มีรันโดลา, โพลิเซียโน [12] ในช่วงเวลานี้เองที่มีเกลันเจโลได้แกะสลักรูปพระแม่มารีแห่งบันได (ค.ศ. 1490–1492) และการต่อสู้ของเซนทอร์ (ค.ศ. 1491–1492)[9] โดยในช่วงหลังมีการอิงตามคำแนะนำของโพลิเซียโน ซึ่งเป็นงานตามการมอบหมายของโลเรนโซ เด เมดีชี [13] มีเกลันเจโลได้ทำงานมาเป็นเวลาหนึ่งกับแบร์โตลโด ดิ โจวันนี เมื่อเขาอายุได้ 17 ปี ปิเอโตร ตอร์จิอานี ได้ตีเขาที่จมูกจนทำให้เขาจมูกเขาเสียรูปไปอย่างเห็นได้ชัดในรูปของเขา[14]
โลเรนโซ เด เมดีชีได้เสียชีวิตลงเมื่อวันที่ 8 เมษายน ค.ศ. 1492 ทำให้ชีวิตของมีเกลันเจโลเกิดความผลิกผัน[15] เขาได้ออกจากคฤหาสน์ของตระกูลเมดีชี และกลับไปอยู่ที่บ้านของพ่อชองเขา และในเดือนถัดมาเขาได้แกะสลักไม้เป็นผลงานไม้กางเขนเพื่อเป็นของขวัญให้กับโบสถ์ซานโต สปิริโตแห่งฟลอเรนซ์ ซึ่งอนุญาตให้เขาทำการศึกษากายวิภาคของศพจากโรงพยาบาลของโบสถ์[16] ซึ่งถือเป็นการศึกษากายวิภาคครั้งแรกของมีเกลันเจโลที่ใช้การผ่าศพ
ในช่วงระหว่าง ค.ศ. 1492 ถึง ค.ศ. 1493 เขาได้ซื้อหินอ่อนมาเพื่อแกะสลักรูปปั้นเฮอร์คิวลีสที่มีขนาดใหญ่กว่าตัวจริงซึ่งถูกส่งไปยังฝรั่งเศสและต่อมาก็หายไปในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 18[13] ในวันที่ 21 มกราคม ค.ศ. 1494 หลังจากมีหิมะตกอย่างหนัก ทายาทของโลเรนโซ เด เมดีชี ได้ว่าจ้างให้มีเกลันรูปปั้นหิมะ และมีเกลันเจโลเข้าไปอยู่ในคฤหาสน์ของเมดีชีอีกครั้ง[17]
ในปีเดียวกันนั้นเอง ตระกูลเมดีชีถูกขับไล่ออกจากเมืองฟลอเรนซ์จากการขึ้นมามีอำนาจของจีโรลาโม ซาโวนาโรลา เขาได้ย้ายออกจากเมืองก่อนที่จะสิ้นสุดของการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองไปอยู่ที่เวนิส ก่อนที่จะย้ายต่อไปยังโบโลญญา[15] ในโบโลญญาเขาได้รับมอบหมายให้แกะหุ่นเล็ก ๆ หลายตัวสำหรับวิหารนักบุญโดมินิกเสร็จสมบูรณ์ในโบสถ์ที่อุทิศให้กับนักบุญองค์นั้น ในเวลานั้นเองศึกษาภาพนูนต่ำนูนสูงที่แกะสลักโดยจาโคโป เดลลา เควอร์เซียรอบประตูหลักของมหาวิหารเซนต์เปโตรเนียสรวมทั้งภาพของ The Creation of Eve ซึ่งต่อมาเป็นองค์ประกอบที่ปรากฏขึ้นอีกครั้งบนเพดานของโบสถ์น้อยซิสทีน[18] เนื่องจากในปลาย ค.ศ. 1495 สถานการณ์ทางการเมืองในฟลอเรนซ์เริ่มสงบลง เนื่องจากพระเจ้าชาร์ลที่ 8 แห่งฝรั่งเศสได้รับความพ่ายแพ้ มีเกลันเจโลจึงกลับไปยังฟลอเรนซ์แต่ไม่ได้รับงานใด ๆ จากทางราชการภายใต้การนำของซาโวนาโรลา[19] และเขาได้กลับไปทำงานให้กับตระกูลเมดีชี[20] ในช่วงครึ่งปีที่เขาอยู่ในฟลอเรนซ์ เขาได้ทำรูปปั้นเล็ก ๆ 2 ชิ้น ได้แก่ นักบุญยอห์นผู้ให้บัพติศมาในวัยเด็ก และ กามเทพนอนหลับ ตามที่อัสกานีโอ คอนดิวีเคยเขียนไว้ว่า โลเรนโซ ดิ ปิแอร์ฟรานเชสโก เด เมดีชี ซึ่งมีเกลันเจโลได้แกะสลักนักบุญยอห์นผู้ให้บัพติศมา ได้บอกมีเกลันเจโลว่า"ให้แก้ไขจนเหมือนถูกฝัง" ทำให้มีเกลันเจโลสามารถ"ส่งมันไปยังกรุงโรม ... ส่งต่อมันเป็นงานโบราณ ... และขายได้ดีกว่ามาก" แต่ทั้งโลเรนโซและมีเกลันเจโลถูกพ่อค้าคนกลางโกงมูลค่าที่แท้จริงของชิ้นงานโดยไม่รู้ตัว พระคาร์ดินัลราฟฟาเอล รีอารีโอผู้ที่โลเรนโซขายรูปปั้นนั้นให้ พบว่าเป็นการหลอกลวง แต่ประทับใจในคุณภาพของประติมากรรมมากจนเชิญศิลปินมาที่กรุงโรม[21] ความสำเร็จที่ปรากฏในการขายประติมากรรมของเขาในต่างประเทศรวมถึงสถานการณ์อนุรักษ์นิยมในฟลอเรนซ์นี้เองที่อาจกระตุ้นให้มีเกลันเจโลยอมรับคำเชิญของพระคาร์ดินัลครั้งนี้[20] มีเกลันเจโลได้เดินทางมาถึงโรมเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน ค.ศ. 1496[22] และในวันที่ 4 กรกฎาคม ปีเดียวกันนั้นเองเขาเริ่มงานที่ได้รับการว่าจ้างจากพระคาร์ดินัลราฟฟาเอล รีอารีโอคือรูปปั้นขนาดเท่าของจริงของเทพเจ้าไวน์โรมัน แบคัส แต่เมื่อเสร็จงานพระคาร์ดินัลก็ได้ปฏิเสธงานชิ้นนั้น และต่อมาก็เข้าไปในที่เก็บรวบรวมของนายธนาคารจาโคโป กัลลี สำหรับสวนของเขา
ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1497 เอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำสันตะสำนัก พระคาร์ดินัล ฌ็อง เดอ บิลเฮเรส-ลากราอูลาส ได้มอบหมายให้เขาแกะสลักปิเอตะ ซึ่งเป็นรูปปั้นที่แสดงพระแม่มารีย์กำลังโศกเศร้าบนพระศพของพระเยซู เรื่อง ซึ่งไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการบรรยายเรื่องการตรึงกางเขนในพระคัมภีร์ไบเบิล แต่เป็นประติมากรรมทั่วไปทางศาสนาของยุโรปเหนือในยุคกลางและคงจะคุ้นเคยกับพระคาร์ดินัลมาก สัญญาตกลงกันในเดือนสิงหาคมของปีถัดไป โดยมีเกลันเจโล อายุ 24 ปีในขณะที่สร้างเสร็จ[23] ในไม่ช้าก็ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในงานประติมากรรมชิ้นเอกที่ยิ่งใหญ่ของโลก "การเปิดเผยศักยภาพและพลังของศิลปะประติมากรรม" ความคิดเห็นของคนในสมัยนั้นสรุปโดย จอร์โจ วาซารีว่า "เป็นเรื่องมหัศจรรย์อย่างแน่นอนที่ก้อนหินที่ไม่มีรูปร่างสามารถถูกลดขนาดจนสมบูรณ์แบบที่ธรรมชาติแทบจะไม่สามารถสร้างขึ้นในเนื้อหนังได้"[24] ปัจจุบันตั้งอยู่ในมหาวิหารนักบุญเปโตร
มีเกลันเจโลกลับมายังฟลอเรนซ์ในปี 1499 ซึ่งเป็นช่วงที่สาธารณรัฐฟลอเรนซ์กำลังเปลี่ยนแปลงหลังจากการล่มสลายของผู้นำ จีโรลาโม ซาโวนาโรลา นักบวชผู้ต่อต้านยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา ซึ่งถูกประหารชีวิตในปีค.ศ. 1498 และการมีอำนาจปิเอโร โซเดรินี ทางสมาคมขนสัตว์ ได้ขอให้มีเกลันเจโลทำงานที่ยังไม่เสร็จซึ่ง แอโกสทิโน ดิ ดุชโช เริ่มต้นขึ้นเมื่อ 40 ปีก่อนโดย เป็นรูปปั้นขนาดมหึมาจากหินอ่อนคาราร่า ที่วาดภาพเดวิดว่าเป็นสัญลักษณ์ของเสรีภาพในฟลอเรนซ์ที่จะนำมาวางไว้บนหน้าจั่วของอาสนวิหารฟลอเรนซ์ [25]มีเกลันเจโลตอบตกลงและได้ทำงานที่โด่งดังที่สุดของเขา นั่นคือรูปปั้นของเดวิดในปีค.ศ. 1504 ผลงานชิ้นเอกนี้ได้สร้างชื่อเสียงให้กับเขาในฐานะประติมากรที่มีทักษะทางเทคนิคที่ไม่ธรรมดาและความแข็งแกร่งของจินตนาการเชิงสัญลักษณ์ โดยคณะที่ปรึกษาของเขาอันได้แก่ ซันโดร บอตตีเชลลี , เลโอนาร์โด ดา วินชี , ฟีลิปปีโน ลิปปี , ปีเอโตร เปรูจีโน , โลเรนโซ ดิ เครดี , อันโตนิโอ ดา ซังกัลโล , จูลิอาโน ดา ซานกาลโล , อันเดรอา เดลลา รอบเบีย , โกซีโม รอสเซลลี , ดาวีเด กีร์ลันดาโย , ปีเอโร ดี โกซีโม , อันเดรอา ซานโซวิโน และเพื่อนรักของเขาอย่าง ฟรันเชสโก กรานัชชี่ ได้รับการเรียกตัวเพื่อตัดสินใจเกี่ยวกับการจัดวาง ท้ายที่สุดคือที่ ปิแอซซา เดลลา ซินญอรีอา บริเวณหน้า ปาลาซโซ เวคคิโอ ปัจจุบันตั้งอยู่ใน Academia ในขณะที่รูปปั้นที่อยู่ในจัตุรัสเป็นแบบจำลอง[26] ในช่วงเวลาเดียวกันของการจัดวางเดวิด สันนิษฐานว่ามีเกลันเจโลอาจมีส่วนร่วมในการสร้างประติมากรรมรูปหน้าของเขา ด้านหน้าของ ปาลาซโซ เวคคิโอ ที่รู้จักกันในชื่อ Importuno di Michelangelo โดยภาพนั้นมีความคล้ายคลึงอย่างมากกับรูปของเขาที่วาดโดยศิลปินในต้นศตวรรษที่ 16 ซึ่งปัจจุบันเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์[27]
หลังจากรูปปั้นของเดวิดของเขาเสร็จสิ้นแล้ว เข้าก็ได้รับงานใหม่ในช่วงต้นปี ค.ศ. 1504 เลโอนาร์โด ดา วินชีได้รับมอบหมายให้วาดภาพ ยุทธการอันเกียริ ในห้องประชุมสภาของปาลาซโซ เวคคิโอ ซึ่งแสดงภาพการต่อสู้ระหว่างฟลอเรนซ์และมิลานในปี ค.ศ. 1440 จากนั้นมีเกลันเจโลได้รับมอบหมายให้วาดภาพยุทธการคาสซินา โดยภาพวาดทั้งสองมีความแตกต่างกันมาก ภาพของเลโอนาร์โดจะเป็นภาพทหารต่อสู้บนหลังม้า ขณะที่ภาพของมีเกลันเจโลมีทหารถูกซุ่มโจมตีขณะอาบน้ำในแม่น้ำ ทั้งสองงานไม่มีงานใดเสร็จสมบูรณ์และทั้งสองก็สูญหายไป เมื่อห้องนี้ได้รับการตกแต่งใหม่ แต่สำเนายังคงอยู่ซึ่งผลงานของเลโอนาร์โดถูกคัดลอกโดยรือเบินส์ และผลงานของมีเกลันเจโลโดยบาสเตียโน ดา ซังกัลโล โดยทั้งสองชิ้นได้รับความชื่นชมอย่างมาก[28]
ในช่วงเวลานี้มีเกลันเจโลยังได้รับมอบหมายจากแองเจโล โดนีให้วาดภาพ "ครอบครัวศักดิ์สิทธิ์" เพื่อเป็นของขวัญให้กับ ภรรยาของเขา แมดดาเลนา สโตรซซี่ โดยงานนี้เป็นที่รู้จักกันในชื่อ พระแม่มารีในกรอบกลม (Doni Tondo) ปัจจุบันแขวนอยู่ใน หอศิลป์อุฟฟีซี ในกรอบอันเดิมซึ่งสันนิษฐานว่ามีเกลันเจโลได้ออกแบบด้วยตนเอง[29][30] และยังมีการสันนิษฐานว่าเขาอาจวาดภาพพระแม่มารีสโตคเล็ทกับยอห์นผู้ให้บัพติศมาหรือที่รู้จักในชื่อ แมนเชสเตอร์มาดอนน่า ปัจจุบันอยู่ในหอศิลป์แห่งชาติลอนดอน[31]
มีเกลันเจโลเป็นคาทอลิกผู้เคร่งศาสนาซึ่งมีศรัทธาลึกซึ้งในบั้นปลายชีวิตของเขา[32] บทกวีของเขารวมถึงบรรทัดสุดท้ายต่อไปนี้จากบทกวีที่ 285 (เขียนใน ค.ศ. 1554); “ไม่ว่าภาพวาดหรือประติมากรรมก็ไม่สามารถทำให้จิตวิญญาณของฉันสงบได้อีกต่อไป ตอนนี้ฉันหันไปหาความรักจากสรวงสวรรค์ที่ได้เปิดแขนของพระองค์บนไม้กางเขนเพื่อนำเราเข้าไป” [33]
มีเกลันเจโลเป็นคนไม่ค่อยใส่ใจในชีวิตส่วนตัว เขาเคยกล่าวกับอัสกานีโอ คอนดิวี เด็กฝึกงานของเขาว่า"ถึงฉันจะรวยแค่ไหน แต่เขาก็ใช้ชีวิตเหมือนคนจนมาโดยตลอด"[34] คอนดิวีกล่าวว่า เขามีความแตกต่างในการรับประทานสิ่งต่าง ๆ "ความจำเป็นมากกว่าความสุข"[34] และเขามักจะหลับขณะที่ยังใส่รองเท้าอยู่ ปาโอโล โจวีโอ ผู้เขียนชีวประวัติของเขากล่าวว่า "ธรรมชาติของเขาหยาบกระด้างมากจนนิสัยที่บ้านของเขาแย่มากอย่างน่าเหลือเชื่อ และเป็นการกีดกันลูกศิษย์ที่อาจตามเขาไป"[35] อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้อาจไม่ส่งผลกระทบต่อเขา เนื่องจากเขาเป็นคนโดดเดี่ยวและเศร้าโศกโดยธรรมชาติ[36]
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.