Loading AI tools
อุบัติเหตุทางนิวเคลียร์ขั้นร้ายแรงในยูเครน จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ภัยพิบัติเชียร์โนบีล[1] (ยูเครน: Чорнобильська катастрофа, Čornobyľśka katastrofa; อังกฤษ: Chernobyl disaster) เป็นอุบัติเหตุทางนิวเคลียร์ขั้นร้ายแรงที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 26 เมษายน ค.ศ. 1986 ที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์เชียร์โนบีล ตั้งอยู่ที่นิคมเชียร์โนบีล ริมฝั่งแม่น้ำนีเปอร์ ใกล้เมืองปรือปิยัจ แคว้นเคียฟ ทางตอนเหนือของยูเครน ใกล้ชายแดนเบลารุส (ในขณะนั้นยูเครนและเบลารุสยังเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต) อุบัติเหตุที่เชียร์โนบีลนี้เป็นอุบัติเหตุที่เกิดกับโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ในแง่ของค่าใช้จ่ายและชีวิต
บทความนี้อาจต้องการตรวจสอบต้นฉบับ ในด้านไวยากรณ์ รูปแบบการเขียน การเรียบเรียง คุณภาพ หรือการสะกด คุณสามารถช่วยพัฒนาบทความได้ |
เครื่องปฏิกรณ์หมายเลข 4 ในหลายเดือนหลังภัยพิบัติเชียร์โนบิล สามารถเห็นเครื่องปฏิกรณ์หมายเลข 3 ได้ หลังปล่องระบายอากาศ | |
วันที่ | 26 เมษายน 1986 |
---|---|
เวลา | 01:23:40 MSD (UTC+04:00) |
ที่ตั้ง | โรงไฟฟ้านิวเคลียร์เชียร์โนบีล, ปรือปิยัจ, Chernobyl Raion, แคว้นเคียฟ, สาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตยูเครน, สหภาพโซเวียต (ในปัจจุบันคือ แคว้นเคียฟ, ยูเครน) |
ประเภท | อุบัติเหตุจากนิวเคลียร์และรังสี |
สาเหตุ | ข้อบกพร่องจากการออกแบบ และความผิดพลาดจากมนุษย์ |
ผล | มาตราระหว่างประเทศว่าด้วยเหตุการณ์ทางนิวเคลียร์อยู่ที่ระดับ 7 (อุบัติเหตุรุนแรงที่สุด) ดูที่ ผลกระทบของภัยพิบัตเชียร์โนบิล |
เสียชีวิต | เสียชีวิตจากอุบัติเหตุในครั้งนี้ น้อยกว่า 100 ราย ค่าประมาณการเสียชีวิตนั้นเพิ่มขึ้นในคริสต์ทศวรรษที่ต่อ ๆ ไป ในรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป (ดูที่ การเสียชีวิตอันเนื่องจากภัยพิบัติ) |
อุบัติเหตุดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวิศวกรได้ทำการทดสอบการทำงานของระบบหล่อเย็น และระบบทำความเย็นฉุกเฉินของแกนปฏิกรณ์นิวเคลียร์ แต่การทดสอบระบบได้ล่าช้ากว่ากำหนดจนต้องทำการทดสอบโดยวิศวกรกะกลางคืน ได้เกิดแรงดันไอน้ำสูงขึ้นอย่างฉับพลัน แต่ระบบตัดการทำงานอัตโนมัติไม่ทำงาน ส่งผลให้เกิดความร้อนสูงขึ้นจนทำให้แกนปฏิกรณ์นิวเคลียร์หมายเลข 4 หลอมละลาย และเกิดระเบิดขึ้น ผลจากการระเบิดทำให้เกิดขี้เถ้าปนเปื้อนกัมมันตภาพรังสีพวยพุ่งขึ้นสู่บรรยากาศ ปกคลุมทางตะวันตกของสหภาพโซเวียต ยุโรปตะวันออก ยุโรปตะวันตก ยุโรปเหนือ ทางการยูเครน เบลารุส และรัสเซีย ต้องอพยพประชากรมากกว่า 336,431 คน ออกจากพื้นที่อย่างฉุกเฉิน
อุบัติเหตุครั้งนี้เป็นหนึ่งในสองครั้งที่ได้รับการจัดความรุนแรงไว้ที่ระดับ 7 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดตามมาตราระหว่างประเทศว่าด้วยเหตุการณ์ทางนิวเคลียร์ ซึ่งเกิดอีกครั้งหนึ่งในภัยพิบัตินิวเคลียร์ฟุกุชิมะไดอิชิในปี 2011[2]
สงครามเพื่อต่อสู้กับการปนเปื้อนและป้องกันไม่ให้เกิดการสูญเสียมากไปกว่านี้เกี่ยวข้องกับคนงานทั้งทหารและพลเรือนกว่า 500,000 คนและค่าใช้จ่ายประมาณ 18 พันล้านรูเบิ้ล[3] ในขณะที่เกิดอุบัติเหตุขึ้น มีผู้เสียชีวิตทันที 31 ราย และผลกระทบระยะยาวเช่นมะเร็งอยู่ระหว่างการสืบสวน มีการประมาณการว่ามีผู้ได้รับผลกระทบจากการระเบิดโดยตรงมากกว่า 600,000 คน แต่ผู้เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งจากการสัมผัสกัมมันตรังสีอาจสูงถึง 4,000 คน [4]
ภัยพิบัติเริ่มในช่วงการทดสอบระบบในวันเสาร์ที่ 26 เมษายน 1986 ที่เครื่องปฏิกรณ์หมายเลขสี่ของโรงไฟฟ้าเชียร์โนบีล มีพลังงานกระชาก (อังกฤษ: power surge) ที่ฉับพลันและไม่คาดคิด และเมื่อมีความพยายามที่จะปิดแบบฉุกเฉิน พลังงานกระชากขนาดที่ใหญ่กว่ามากก็เกิดขึ้นในส่วนของพลังงานส่งออก ซึ่งนำไปสู่การแตกของ 'อ่างปฏิกรณ์' (อังกฤษ: reactor vessel) และการระเบิดเป็นชุดของไอน้ำ เหตุการณ์เหล่านี้เปิดให้ตัวหน่วงปฏิกิริยานิวตรอนที่ทำด้วยกราไฟท์ (อังกฤษ: graphite neutron moderator) ของเครื่องปฏิกรณ์ได้สัมผัสกับอากาศ ก่อให้เกิดการลุกไหม้[5] ไฟที่ไหม้ส่งกลุ่มฝุ่น (อังกฤษ: fallout) ที่มีกัมมันตรังสีสูงออกสู่ชั้นบรรยากาศและทั่วพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่กว้างขวาง รวมทั้งเมือง Pripyat กลุ่มฝุ่นกัมมันตรังสีลอยเหนือส่วนใหญ่ของภาคตะวันตกของสหภาพโซเวียตและยุโรป จากปี 1986-2000 ประชาชน 350,400 คนได้รับคำสั่งให้อพยพไปตั้งถิ่นฐานใหม่ออกจากพื้นที่ส่วนใหญ่ที่ปนเปื้อนอย่างรุนแรงของเบลารุส รัสเซียและยูเครน[6][7] ตามข้อมูลอย่างเป็นทางการของโซเวียตช่วงหลังจากสลายตัว[8][9] ประมาณ 60% ของกลุ่มฝุ่นกัมมันตรังสีตกลงในเบลารุส
รัสเซีย ยูเครนและเบลารุสต้องรับภาระในการลบล้างการปนเปื้อนและค่าใช้จ่ายในการดูแลสุขภาพอย่างต่อเนื่องและมีความสำคัญอันเนื่องมาจากอุบัติเหตุที่เชียร์โนบีล รายงานจากสำนักงานพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศได้ทำการตรวจสอบผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมอันเนื่องมาจากอุบัติเหตุ[9] อีกหน่วยงานของสหประชาชาติ ได้แก่ UNSCEAR ได้ประมาณการปริมาณสะสมทั่วโลกของการสัมผัสกับรังสีจากอุบัติเหตุ "เทียบเท่ากับค่าเฉลี่ย 21 วันที่เพิ่มขึ้นจากการเปิดรับรังสีพื้นหลังในธรรมชาติ (อังกฤษ: natural background radiation) ของโลก" ปริมาณของแต่ละบุคคลที่สัมผัสมีค่าสูงมากกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกในหมู่ผู้ที่สัมผัสมากที่สุด รวมทั้งคนงานท้องถิ่นกู้ภัย 530,000 คนที่มีค่าเฉลี่ยของรังสีที่เทียบเท่ากับปริมาณรังสียังผล (อังกฤษ: effective dose) มากจากปกติอีก 50 ปีของรังสีพื้นหลังธรรมชาติโดยทั่วไปของการได้รับรังสีในแต่ละคน[10][11][12] หลายการประมาณการของจำนวนผู้เสียชีวิตที่ในที่สุดจะเป็นผลมาจากอุบัติเหตุมีความแตกต่างกันอย่างมหาศาล; ความแตกต่างสะท้อนให้เห็นถึงทั้งการขาดข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่แข็งแกร่งและวิธีการที่แตกต่างกันที่ใช้ในการวัดปริมาณการตาย ขึ้นอยู่กับว่าการปรึกษาหารือมีการจำกัดวงให้อยู่ในพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่เฉพาะเจาะจงหรือว่าขยายไปทั่วโลก และขึ้นอยู่กับว่าการเสียชีวิตเกิดขึ้นโดยทันทีหรือในช่วงระยะสั้นหรือในช่วงระยะยาว
จำนวนผู้เสียชีวิต 31 คน ที่ต้องเสียชีวิตโดยตรงจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น ทั้งหมดเป็นเจ้าหน้าที่เครื่องปฏิกรณ์และคนงานฉุกเฉิน[13] รายงานของ UNSCEAR แสดงการเสียชีวิต ณ ปี 2008 รวม 64 ราย ที่ยืนยันแล้วว่าเกิดจากรังสี ในขณะที่เชียร์โนบีลฟอรั่มคาดการณ์ว่า ยอดเสียชีวิตในที่สุดอาจสูงถึง 4,000 รายในหมู่ผู้ที่สัมผัสกับรังสีระดับสูง (คนงานฉุกเฉิน 200,000 คน, ผู้อพยพ 116,000 ตนและผู้อาศัย 270,000 คนที่อยู่ในพื้นที่ปนเปื้อนมากที่สุด) ตัวเลขนี้เป็นการประมาณการของการตายตามสาเหตุทั้งหมด รวมคนงานฉุกเฉินที่เสียชีวิตประมาณ 50 รายไม่นานหลังจากอุบัติเหตุด้วยโรครังสีเฉียบพลัน เด็ก 9 รายที่ผู้เสียชีวิตจากโรคมะเร็งต่อมไทรอยด์และที่คาดการณ์ในอนาคตไว้รวม 3,940 รายจากการเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งและมะเร็งเม็ดเลือดขาวที่เกิดจากรังสี[14]
ในสิ่งพิมพ์หนึ่งที่มีการตรวจสอบโดยเพื่อนร่วมงาน (อังกฤษ: peer-reviewed publication) ใน'วารสารนานาชาติสำหรับโรคมะเร็ง'ในปี 2006 ผู้เขียน (หลังจากวิธีการสรุปที่แตกต่างกันในการศึกษาของเชียร์โนบีลฟอรั่ม ซึ่งปรากฏยอดการตายที่คาดการณ์รวม 4,000 รายหลังจากที่นำปัจจัยของอัตราการรอดตายจากโรคมะเร็งในสหรัฐมาใช้) กล่าวว่า (โดยปราศจากเข้าสู่การอภิปรายเกี่ยวกับการเสียชีวิต) ในแง่ของการเกิดโรคมะเร็งส่วนเกินทั้งหมดมีสาเหตุมาจากอุบัติเหตุ[15]
ประมาณการความเสี่ยงแนะนำว่า ณ ตอนนี้เชียร์โนบีลอาจทำให้เกิดโรคมะเร็งต่อมไทรอยด์ประมาณ 1,000 กรณีและทำให้เกิดโรคมะเร็งอื่น ๆ ในยุโรปอีก 4,000 กรณี คิดเป็นประมาณ 0.01% ของมะเร็งในทุกกรณีที่เกิดขึ้นนับตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุ มีหลายโมเดลที่คาดการณ์ว่าภายในปี 2065 โรคมะเร็งต่อมไทรอยด์ประมาณ 16,000 กรณีและโรคมะเร็งอื่น ๆ อีก 25,000 กรณีคาดว่าอาจจะเกิดจากรังสีจากอุบัติเหตุ ในขณะที่ผู้ป่วยโรคมะเร็งหลายร้อยล้านกรณีคาดว่ามาจากสาเหตุอื่น ๆ
นอกจากนี้ยังขึ้นอยู่กับการประมาณค่านอกช่วง (อังกฤษ: extrapolation) จากโมเดลเชิงเส้นที่ไม่มีขีดจำกัด (อังกฤษ: linear no-threshold model) ของความเสียหายที่เกิดจากรังสี ให้ลดลงไปที่ศูนย์ สหภาพนักวิทยาศาสตร์ที่เป็นห่วง (อังกฤษ: Union of Concerned Scientist) ประมาณการว่า ในหมู่หลายร้อยล้านคนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่กว้างขึ้น จะมีผู้ป่วยโรคมะเร็งเกิน 50,000 กรณีซี่งจะทำให้เกิน 25,000 รายเสียชีวิตจากมะเร็ง[16]
สำหรับกลุ่มที่กว้างกว่านี้ รายงานของ TORCH ในปี 2006 ที่เรียบเรียงโดยพรรคการเมือง European Greens คาดการณ์ว่ามีเกิน 30,000 ถึง 60,000 รายเสียชีวิตจากมะเร็ง[17] ในแง่ของสื่อสิ่งพิมพ์ที่ไม่ใช่ทางวิทยาศาสตร์ สองรายงานถูกเผยแพร่ออกมาจากกลุ่มต่อต้านนิวเคลียร์กรีนพีซ หนึ่งในนั้นรายงานตัวเลขที่ 200,000 รายหรือมากกว่า[18]
ในบทหนึ่งของกรีนพีซ ผู้ก่อตั้งภูมิภาคนั้นชาวรัสเซียยังประพันธ์หนังสือเล่มหนึ่งที่ชื่อว่า "เชียร์โนบีล: ผลกระทบของภัยพิบัติที่เกิดกับผู้คนและสิ่งแวดล้อม" ซึ่งสรุปได้ว่าท่ามกลางผู้คนนับพันล้านคนทั่วโลกที่ได้สัมผัสกับการปนเปื้อนของสารกัมมันตรังสีจากภัยพิบัติ เกือบหนึ่งล้านคนเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งก่อนวัยอันควรระหว่างปี 1986 ถึงปี 2004 [19] อย่างไรก็ตาม หนังสือเล่มนี้ล้มเหลวในกระบวนการ peer review [20][21] ในห้าความคิดเห็นที่ตีพิมพ์ในสิ่งพิมพ์ทางวิชาการ สี่ความคิดเห็นพิจารณาว่าหนังสือเล่มนี้มีข้อบกพร่องและขัดแย้งอย่างรุนแรง และหนึ่งความคิดเห็นยกย่องในขณะที่มีการตั้งข้อสังเกตถึงข้อบกพร่องบางอย่าง ความคิดเห็นโดย M.I. Balonov เผยแพร่โดย 'สถาบันวิทยาศาสตร์นิวยอร์ก' สรุปว่ารายงานมีค่าเป็นลบเพราะมันมีประโยชน์ทางวิทยาศาสตร์น้อยมากในขณะที่สร้างความเข้าใจผิดอย่างมากให้กับผู้อ่าน มันประมาณการผู้เสียชีวิตเกือบหนึ่งล้านคนในดินแดนของนิยายมากกว่าในดินแดนของวิทยาศาสตร์[22]
อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นสร้างความกังวลเกี่ยวกับพลังงานนิวเคลียร์ไปทั่วโลกและทำให้มีการชะลอตัวหรือพิจารณายกเลิกแผนการขยายตัวของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์[23] นอกจากนี้อุบัติเหตุที่เกิดยังสร้างความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของอุตสาหกรรมพลังงานนิวเคลียร์ของสหภาพโซเวียตอีกด้วย ทำให้มีการชะลอการขยายจำนวนปีของการใช้งานและมีการบังคับให้รัฐบาลโซเวียตให้เก็บความลับเกี่ยวกับขั้นตอนให้น้อยลง[24][notes 1] การปกปิดเรื่องภัยพิบัติของ Chernobyl ของรัฐบาลเป็น "ตัวเร่งปฏิกิริยา" สำหรับโครงการ Glasnost ซึ่ง "ปูทางไปสู่การปฏิรูปที่นำไปสู่การล่มสลายของสหภาพโซเวียต"[25]
วันที่ 26 เมษายน 1986 เวลา 01:23 (เวลารัสเซีย UTC+3) เครื่องปฏิกรณ์ตัวที่สี่มีปัญหาจากการเพิ่มขึ้นของพลังงานที่นำไปสู่ภัยพิบัติได้ นำไปสู่การระเบิดหลายครั้งในแกนกลางของมัน ทำให้เกิดการฟุ้งกระจายในปริมาณมากของเชื้อเพลิงและวัสดุแกนกลางที่มีกัมมันตรังสีเข้าสู่ชั้นบรรยากาศ[26]: 73 และจุดประกายไฟให้กับตัวหน่วงปฏิกิริยานิวเคลียร์กราไฟท์ที่ติดไฟได้ (อังกฤษ: combustible nuclear graphite moderator) ตัวหน่วงกราไฟท์ที่กำลังเผาไหม้ไปเพิ่มการปล่อยอนุภาคกัมมันตรังสีที่ปนไปกับควันเนื่องจากเครื่องปฏิกรณ์ไม่ได้ถูกห่อหุ้มด้วยภาชนะบรรจุชนิดแข็งใด ๆ อุบัติเหตุเกิดขึ้นในระหว่างการทดสอบที่กำหนดไว้เพื่อทดสอบคุณสมบัติการระบายความร้อนที่อาจเกิดขึ้นในแกนกลางในกรณีฉุกเฉิน ซึ่งเกิดขึ้นในระหว่างขั้นตอนการปิดตัวลงตามปกติ
ในการทำงานในระยะคงที่ (อังกฤษ: steady state operation) ส่วนที่สำคัญ (ประมาณ 5%) ของพลังงานที่ได้จากเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ไม่ได้มาจากปฏิกิริยาฟิชชัน แต่มาจากความร้อนที่เกิดจากการสลายตัว (อังกฤษ: Decay heat) ของผลผลิตจากฟิชชั่น (อังกฤษ: Fission product) ที่สะสม ความร้อนนี้ยังคงเกิดในช่วงระยะเวลาหนึ่งหลังจากปฏิกิริยาลูกโซ่หยุดการทำงาน (เช่น หลังการปิดเครื่องปฏิกรณ์ฉุกเฉินด้วยการกดปุ่ม Scram (อังกฤษ: Safety Control Rods Activator Mechanism)) และมักจะต้องทำการระบายความร้อนที่ค้างอยู่เพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายของแกนกลาง เครื่องปฏิกรณ์แบบ RBMK เช่นที่เชียร์โนบีล ใช้น้ำเป็นสารหล่อเย็น[27][28] เครื่องปฏิกรณ์ตัวที่ 4 ที่เชียร์โนบีลประกอบด้วยช่องเชื้อเพลิงประมาณ 1,600 ช่อง แต่ละช่องต้องการน้ำหล่อเย็นไหลผ่าน 28 ตัน (28,000 ลิตรหรือ 7,400 แกลลอน) ต่อชั่วโมง[26]
เนื่องจากปั๊มระบายความร้อนต้องใช้กระแสไฟฟ้าเพื่อระบายความร้อนให้กับเครื่องปฏิกรณ์หลังจากการชัตดาวน์แบบฉุกเฉิน ในกรณีที่ไฟฟ้าดับ เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ของเชียร์โนบีลทั้งหมดมีเครื่องกำเนิดไฟฟ้าดีเซลสำรอง 3 เครื่อง เครื่องเหล่านี้น่าจะสตารต์เครื่องภายในเวลา 15 วินาที แต่มันใช้เวลาถึง 60-75 วินาที[26]: 15 เพื่อที่จะให้ได้ความเร็วเต็มกำลังส่งออกได้ถึง 5.5 เมกะวัตต์ (MW) ที่จำเป็นในการหมุนอย่างน้อยหนึ่งปั๊มหลัก[26]: 30
เพื่อแก้ปัญหาช่องว่างหนึ่งนาทีนี้ ซึ่งถูกพิจารณาว่าเป็นความเสี่ยงด้านความปลอดภัยที่ยอมรับไม่ได้ มีทฤษฎีว่าพลังงานเฉี่อยจากการหมุนของกังหันไอน้ำ (ซึ่งควรจะสิ้นสุดลงภายใต้แรงดันไอน้ำที่ยังค้างอยู่) ควรสามารถนำมาใช้ในการสร้างพลังงานไฟฟ้าที่จำเป็นต้องใช้ การวิเคราะห์แสดงให้เห็นว่าโมเมนตัมและแรงดันไอน้ำที่ค้างอยู่นี้อาจจะเพียงพอที่จะหมุนปั๊มน้ำหล่อเย็นได้เป็นเวลา 45 วินาที[26]: 16 สามารถปิดช่องว่างระหว่างความล้มเหลวจากไฟภายนอกและความพร้อมใช้งานเต็มรูปแบบของเครื่องกำเนิดไฟฟ้าฉุกเฉินทั้งหมด[29]
ความสามารถนี้ยังคงต้องได้รับการยืนยันโดยการทดลอง และการทดสอบก่อนหน้านี้ได้สิ้นสุดลงอย่างไม่ประสบความสำเร็จ การทดสอบครั้งแรกที่ดำเนินการในปี 1982 แสดงให้เห็นว่าแรงดันไฟฟ้าจากการกระตุ้นของกังหันเครื่องกำเนิดไฟฟ้ามีไม่เพียงพอ มันก็ไม่ได้รักษาระดับสนามแม่เหล็กตามที่ต้องการหลังจากที่กังหันหมุน ระบบได้รับการดัดแปลงและถูกทดสอบซ้ำในปี 1984 แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จอีกครั้ง ในปี 1985 การทดสอบได้พยายามเป็นครั้งที่สาม แต่ยังส่งผลในเชิงลบ ขั้นตอนการทดสอบจะถูกทำซ้ำอีกครั้งในปี 1986 และถูกกำหนดให้มีขึ้นในระหว่างการชัตดาวน์เพื่อซ่อมบำรุงของเครื่องปฏิกรณ์ตัวที่สี่[29]
การทดสอบที่มุ่งเน้นไปที่การเปลี่ยนลำดับของแหล่งจ่ายกระแสไฟฟ้าสำหรับเครื่องปฏิกรณ์ ขั้นตอนการทดสอบเริ่มต้นด้วยการปิดฉุกเฉินแบบอัตโนมัติ เนื่องจากไม่มีผลกระทบกับความปลอดภัยของเครื่องปฏิกรณ์ที่ได้คาดการณ์ไว้ ดังนั้นโปรแกรมการทดสอบจึงไม่ได้มีการประสานงานอย่างเป็นทางการกับทั้งหัวหน้าฝ่ายออกแบบของเครื่องปฏิกรณ์ (NIKIET) หรือผู้จัดการด้านวิทยาศาสตร์ แต่มันก็ได้รับการอนุมัติโดยผู้อำนวยการของโรงงานเท่านั้น (แม้ว่าการอนุมัตินี้จะไม่สอดคล้องกับขั้นตอนที่ได้มีการจัดทำขึ้น)[30]
เมื่อพูดถีงพารามิเตอร์ของการทดสอบ พลังงานความร้อนที่ส่งออกจากเครื่องปฏิกรณ์ควรจะ 'ไม่ต่ำกว่า' 700 เมกะวัตต์ในช่วงเริ่มต้นของการทดลอง หากเงื่อนไขการทดสอบเป็นไปตามแผน ขั้นตอนดังกล่าวแน่นอนว่าเกือบจะดำเนินการไปอย่างปลอดภัย แต่ในที่สุดภัยพิบัติก็เกิดขึ้นเป็นผลมาจากความพยายามที่จะเพิ่มการส่งออกพลังงานของเครื่องปฏิกรณ์ทันทีที่การทดลองเริ่มต้นซึ่งไม่สอดคล้องกับขั้นตอนที่ได้รับการอนุมัติ[30]
โรงไฟฟ้าเชียร์โนบีลได้ดำเนินงานมาเป็นเวลาสองปีโดยปราศจากความสามารถในการวิ่งผ่าน 60-75 วินาทีแรกของการสูญเสียพลังงานไฟฟ้าทั้งหมด และนี่เองที่ทำให้ขาดคุณลักษณะด้านความปลอดภัยที่สำคัญ สันนิษฐานว่าผู้จัดการโรงไฟฟ้ามีความปรารถนาที่จะแก้ไขปัญหานี้ในโอกาสแรก ซึ่งอาจอธิบายได้ว่าทำไมพวกเขาจึงยังคงทดสอบต่อไปแม้ว่าในขณะที่มีปัญหาร้ายแรงได้เกิดขึ้น และว่าทำไมการอนุมัติที่จำเป็นสำหรับการทดสอบไม่ได้ถูกส่งไปขอที่หน่วยงานกำกับดูแลนิวเคลียร์ของสหภาพโซเวียต (แม้ว่าจะมีตัวแทนที่อาคารของเครื่องปฏิกรณ์ 4)[notes 2]: 18–20
ขั้นตอนการทดลองที่ตั้งใจจะให้ทำงานดังต่อไปนี้:
เงื่อนไขในการดำเนินการเพื่อการทดสอบถูกจัดทำขึ้นก่อนกะกลางวันของวันที่ 25 เมษายนปี 1986 คนงานกะกลางวันได้รับคำสั่งล่วงหน้าและมีความคุ้นเคยกับขั้นตอนที่จัดทำขึ้น ทีมพิเศษของวิศวกรไฟฟ้าก็มาถึงเพื่อทดสอบระบบควบคุมแรงดันไฟฟ้าใหม่[31] ตามแผน การลดลงอย่างค่อยเป็นค่อยไปของการส่งออกของหน่วยพลังงานเริ่มต้นเมื่อเวลา 01:06 ของวันที่ 25 เมษายนและระดับพลังงานลดลงที่ 50% (ที่ 1,600 MW) ของระดับความร้อนสูงสุดของมันที่ 3,200 เมกะวัตต์เมื่อเริ่มต้นของกะกลางวัน
ณ จุดนี้ โรงไฟฟ้าอื่นในภูมิภาคได้ปิดทำการไปโดยไม่คาดคิด และศูนย์ควบคุมกริดไฟฟ้าที่เมืองเคียฟได้ขอให้การลดลงต่อไปของการส่งออกของเชียร์โนบีลถูกเลื่อนออกไป เนื่องจากพวกเขาต้องการพลังงานไฟฟ้าที่จำเป็นเพื่อตอบสนองความต้องการสูงสุดในช่วงเย็น ผู้อำนวยการโรงไฟฟ้าเชียร์โนบีลก็เห็นด้วยและเลื่อนการทดสอบออกไป แม้จะมีการเลื่อน แต่การเตรียมการสำหรับการทดสอบที่ไม่ได้มีผลกระทบต่อการใช้พลังงานของเครื่องปฏิกรณ์ฯ ได้ดำเนินการต่อ รวมถึงมีการปิดใช้งานของระบบระบายความร้อนแกนกลางฉุกเฉินหรือ ECCS ซึ่งเป็นระบบแบบพาสซีฟ/แอคทีฟของการทำความเย็นที่แกนกลางที่ระบบนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อจ่ายน้ำให้กับแกนกลางหลักในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุเนื่องจากการสูญเสียน้ำหล่อเย็น แม้ว่าจะเป็นเหตุการอื่น ระบบนี้จะถูกใช้งานที่จำกัด แต่การปิดใช้งานของมันเหมือนเป็นขั้นตอน "ประจำ" ของการทดสอบเป็นการแสดงให้เห็นถึงการขาดความสนใจอย่างแท้จริงที่จะสนองความปลอดภัยสำหรับการทดสอบนี้[32] นอกจากนี้ ถ้าเครื่องปฏิกรณ์ถูกปิดลงในวันนั้นตามที่วางแผนไว้ ก็เป็นไปได้ว่าน่าจะมีการเตรียมความพร้อมให้มากขึ้นไว้ล่วงหน้าก่อนการทดสอบ
เมื่อเวลา 23:04 น. ศูนย์ควบคุมกริดเมืองเคียฟได้อนุญาตให้ปิดเครื่องปฏิกรณ์ ความล่าช้านี้มีผลกระทบบางอย่างที่รุนแรง: กะกลางวันอยู่มานาน กะเย็นก็กำลังเตรียมที่จะกลับบ้านและกะกลางคืนก็จะไม่รับงานต่อจนกว่าจะถึงเที่ยงคืน ตามแผนการทดสอบควรจะเสร็จสิ้นในระหว่างกะกลางวัน และกะกลางคืนก็เพียงแต่รักษาระบบระบายความร้อนจากการสลายตัวในโรงงานที่กำลังชัตดาวน์[26]: 36–38
กะกลางคืนมีระยะเวลาที่จำกัดมากที่จะเตรียมความพร้อมสำหรับดำเนินการทดลอง การลดอย่างรวดเร็วต่อไปของระดับพลังงานจาก 50% มีการดำเนินงานในระหว่างการเปลี่ยนกะ อเล็กซานเดอร์ Akimov เป็นหัวหน้าของกะกลางคืน และ Leonid Toptunov เป็นผู้เดินเครื่องที่รับผิดชอบในการดำเนินงานของระบบปฏิกรณ์ ซึ่งรวมถึงการเคลื่อนที่ของแท่งควบคุม Toptunov ซึ่งเป็นวิศวกรหนุ่มที่เคยทำงานอิสระ เป็นวิศวกรอาวุโสได้ประมาณสามเดือน[26]: 36–38
แผนการทดสอบต้องการให้มีการลดลงอย่างค่อยเป็นค่อยไปของการส่งออกพลังงานจากเครื่องปฏิกรณ์ตัวที่ 4 ถึงระดับความร้อนที่ 700-1,000 เมกะวัตต์[33] การส่งออกที่ 700 เมกะวัตต์ก็มาถึงที่เวลา 00:05 น. ของวันที่ 26 เมษายน แต่เนื่องจากการผลิตตามธรรมชาติของซีนอน-135 ซึ่งเป็นตัวดูดซับนิวตรอน (อังกฤษ: neutron absorber) ตัวหนึ่งจากการสลายตัวของผลผลิตจากฟิชชัน ไอโอดีน-135 พลังงานในแกนกลางยังคงลดลงต่อไปโดยปราศจากการควบคุมของผู้ควบคุมเครื่องตามกระบวนการที่เรียกว่า'วางยาพิษเครื่องปฏิกรณ์' (อังกฤษ: reactor poisoning) เมื่อพลังงานส่งออกจากเครื่องปฏิกรณ์ลดลงอีกจนถึงประมาณ 500 เมกะวัตต์ Toptunov ทำผิดพลาดโดยกดแท่งควบคุมลึกมากเกินไป (หน่วงปฏิกิริยาฟิชชั่นมากเกินไป) สถานการณ์ที่แน่นอนที่ทำให้ Toptunov กระทำแบบนี้ไม่สามารถรู้ได้เพราะ Akimov และ Toptunov เสียชีวิตในโรงพยาบาลในวันที่ 10 และ 14 พฤษภาคมตามลำดับ การรวมกันของปัจจัยทั้งหลายเหล่านี้ทำให้เครื่องปฏิกรณ์อยู่ในสถานะ'ใกล้ชัตดาว์น'โดยไม่ได้ตั้งใจที่มีการส่งออกพลังงาน 30 เมกะวัตต์ความร้อนหรือน้อยกว่า
ซีนอน-135 ในเครื่องปฏิกรณ์หนึ่งจะทำงานตรงตามหน้าที่เหมือนกับว่าแท่งควบคุมหลายแท่งมากถูกเสียบเข้าไปลึก ในสถานะการทำงานที่คงที่นั้น มันจะถูก "เผาผลาญ" เนื่องจากมันถูกสร้างขึ้นจากไอโอดีน 135 โดยการดูดซับนิวตรอนที่เกิดจากปฏิกิริยาลูกโซ่ที่กำลังดำเนินการอยู่และกลายเป็นซีนอน-136 ที่เสถียร แต่เมื่อพลังงานของเครื่องปฏิกรณ์ถูกลดลง ไอโอดีน 135 ที่ผลิตได้ก่อนหน้านี้สลายตัวกลายเป็นซีนอน-135 เร็วกว่านิวตรอนฟลักซ์ที่ถูกลดลงจะสามารถทำลายมันได้ เครื่องปฏิกรณ์ที่ถูก "วางยาพิษ" จะมีระดับพลังงานที่ลดลงต่ำมาก ผู้เดินเครื่องจะต้องทำอย่างใดอย่างหนึ่ง อย่างแรกได้แก่รอให้ซีนอนสลายตัวซึ่งอาจใช้เวลาเป็นวัน หรืออย่างหลังดึงแท่งควบคุมขึ้นเพื่อเอาชนะมัน ผู้เดินเครื่องหน่วยที่ 4 ที่ไม่ได้รับการฝึกฝนอย่างถูกต้อง งงงันจากการลดลงของพลังงานไม่สามารถควบคุมได้ เลือกที่จะดำเนินการอย่างหลังและสร้างสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนและเป็นอันตรายสูงโดยไม่เจตนา นั่นคือ เมื่อซีนอน-135 ถูกเผาผลาญ มีนิวตรอนที่มากขึ้นถูกปล่อยให้ไม่ถูกดูดซับเพื่อส่งเสริมให้ปฏิกิริยาลูกโซ่ดำเนินต่อไป เป็นการสร้างนิวตรอนมากขึ้นให้ทำการเผาผลาญซีนอน-135 มากขึ้น และเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก จนกระทั่งเครื่องปฏิกรณ์เข้าสู่สภาวะ "วิกฤตยิ่งยวดเฉียบพลัน" (อังกฤษ: prompt supercritical) และพลังงานจะโดดเป็นแท่งแหลมที่สูงมาก ๆ ในเวลาไม่กี่วินาที ขั้นตอนการดำเนินงานมาตรฐานสำหรับ 28 แท่งควบคุมก็คือจะต้องใส่พวกมันให้ลึกเสมอเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดสภาวะวิกฤตยิ่งยวดเฉียบพลัน อย่างที่ Grigoriy เมดเวเดฟเขียน "... ความจุของเครื่องปฏิกรณ์ที่ผิดปกติขณะนี้ได้เกินความสามารถของระบบความปลอดภัยที่มีอยู่ในการปิดตัวมัน"[34]
ตอนนี้ เครื่องปฏิกรณ์กำลังผลิตร้อยละ 5 ของระดับพลังงานตั้งต้นขั้นต่ำที่ถูกออกแบบว่าปลอดภัยสำหรับการทดสอบ[30]: 73 บุคลากรในห้องควบคุมตัดสินใจที่จะใส่คืนพลังงานโดยการปิดระบบควบคุมแท่งแบบอัตโนมัติและแยกส่วนใหญ่ของแท่งควบคุมของเครื่องปฏิกรณ์ด้วยมือ (อังกฤษ: manual) ให้ขึ้นไปจนถึงตำแหน่งบนสุดของพวกมัน[35] หลายนาทีผ่านไประหว่างการแยกแท่งควบคุมและจุดที่พลังงานส่งออกเริ่มที่จะเพิ่มขึ้นและต่อมาคงที่ที่ 160-200 เมกะวัตต์ (ความร้อน) ซึ่งเป็นค่าที่น้อยกว่าที่วางแผนไว้ที่ 700 เมกะวัตต์มาก การลดลงอย่างรวดเร็วของพลังงานในช่วงเริ่มต้นชัดดาวน์และการดำเนินการตามมาในระดับที่น้อยกว่า 200 เมกะวัตต์นำไปสู่การเป็นพิษที่เพิ่มขึ้นของแกนกลางเครื่องปฏิกรณ์จากการสะสมของซีนอน-135[36][37] นี่จำกัดการเพิ่มขึ้นต่อเนื่องใด ๆ ของพลังงานของเครื่องปฏิกรณ์และทำให้มันจำเป็นที่จะต้องแยกแท่งควบคุมเพิ่มเติมจากแกนเครื่องปฏิกรณ์เพื่อที่จะต่อสู้กับพิษ
การทำงานของเครื่องปฏิกรณ์ที่ระดับพลังงานต่ำและมีระดับพิษสูงจะมาพร้อมกับอุณหภูมิแกนและการไหลของน้ำหล่อเย็นที่ไม่เสถียรและเป็นไปได้โดยความไม่เสถียรของนิวตรอนฟลักซ์ซึ่งไปกระตุ้นการเตือนภัย ห้องควบคุมได้รับสัญญาณฉุกเฉินซ้ำ ๆ เกี่ยวกับระดับต่างๆในถังอบไอน้ำ/ถังแยกน้ำ และการแปรปรวนหรือการเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่ของอัตราการไหลของน้ำป้อนจากภายนอก รวมทั้งจากวาล์วระบาย (อังกฤษ: relief valve) ที่เปิดเพื่อระบายไอน้ำส่วนเกินเข้าสู่เครื่องควบแน่นระบายความร้อนแบบกังหัน และจากตัวควบคุมพลังงานนิวตรอน ในช่วงเวลา 0:35-00:45 น. สัญญาณเตือนภัยฉุกเฉินเกี่ยวกับพารามิเตอร์ความร้อนไฮดรอลิคถูกละเลย เห็นได้ชัดว่าเพื่อสงวนระดับพลังงานของเครื่องปฏิกรณ์[38]
เมื่อระดับพลังงานที่ 200 เมกะวัตต์มาถึงในที่สุด การเตรียมการสำหรับการทดลองก็ถูกทำต่อไป เนื่องจากเป็นส่วนหนึ่งของแผนการทดสอบ ปั๊มน้ำส่วนเพิ่มถูกเปิดใช้งานเมื่อเวลา 01:05 น.ของวันที่ 26 เมษายน เพื่อเพิ่มปริมาณของน้ำ อัตราการไหลของน้ำหล่อเย็นผ่านเครื่องปฏิกรณ์ที่เพิ่มขึ้นทำให้น้ำหล่อเย็นช่วงขาเข้าของแกนปฏิกรณ์มีอุณหภูมิสูงขึ้น (น้ำหล่อเย็นไม่ได้มีเวลามากพอที่จะปลดปล่อยความร้อนของมันออกไปในกังหันและหอระบายความร้อน) ซึ่งขณะนี้เข้าใกล้อุณหภูมิเดือดนิวเคลียร์ (อังกฤษ: nucleate boiling temperature) ของน้ำมากยิ่งขึ้น เป็นการลดส่วนต่างเผื่อเหลือเผื่อขาดด้านความปลอดภัย (อังกฤษ: safety margin)
การไหลเกินขีดจำกัดที่ยอมได้ตอน 01:19 น. ทำให้เกิดการเตือนภัยว่าแรงดันไอน้ำต่ำในตัวแยกไอน้ำ (อังกฤษ: steam separators) ในขณะเดียวกันการไหลของน้ำส่วนเพิ่มไปลดอุณหภูมิแกนโดยรวมและลด 'ไอน้ำโมฆะ' (อังกฤษ: steam voids) ที่มีอยู่ในแกนและในตัวแยกไอน้ำ[39] เนื่องจากน้ำดูดซับนิวตรอนได้แย่มาก (และน้ำในสถานะของเหลวที่มีความหนาแน่นสูงขึ้นทำให้มันดูดซับได้ดีกว่าไอน้ำ) การเปิดเครื่องสูบน้ำเพิ่มเติมจึงช่วยลดพลังงานของต้วปฏิกรณ์ลงต่อไป เจ้าหน้าที่ตอบสนองโดยการปิดปั๊มหมุนเวียนสองตัวเพื่อลดการไหลของน้ำป้อนขาเข้า ในความพยายามที่จะเพิ่มความดันไอน้ำ และเพื่อถอดถอนแท่งควบคุมแบบแมนนวลมากขึ้นเพื่อรักษาระดับพลังงาน[32][40]
การกระทำทั้งหมดเหล่านี้นำไปสู่รูปแบบการทำงานของเครื่องปฏิกรณ์ที่ไม่แน่นอนอย่างมาก เกือบทั้งหมดของแท่งควบคุมถูกถอดออกด้วยแมนนวล ยกเว้น 18 ใน 28 แท่งควบคุมเป็นอย่างน้อยที่ "ไม่ปลอดภัย" ซึ่งมีเจตนาที่จะยังคงถูกเสียบลงไปจนสุดเพื่อควบคุมเครื่องปฏิกรณ์แม้ในกรณีที่ขาดน้ำหล่อเย็น จากทั้งหมด 211 แท่งควบคุม ในขณะที่ระบบ SCRAM ฉุกเฉินที่ควรจะเสียบแท่งควบคุมทั้งหมดเพื่อชัตดาวน์เครื่องปฏิกรณ์จะยังคงสามารถเปิดใช้งานได้ด้วยมือ (ด้วยปุ่ม "AZ-5") ระบบอัตโนมัติที่สามารถทำได้เช่นเดียวกัน ได้ถูกปิดการใช้งานเพื่อรักษาระดับพลังงาน และคุณสมบัติด้านความปลอดภัยแบบอัตโนมัติและแม้กระทั่งแบบพาสซีฟอื่น ๆ อีกมากมายของเครื่องปฏิกรณ์ได้ถูกบายพาสไปแล้ว มากกว่านั้น น้ำหล่อเย็นสำหรับเตาปฏิกรณ์ได้ถูกสูบให้น้อยลง ซึ่งเป็นการจำกัดส่วนเผื่อเหลือเผื่อขาดที่มีอยู่ ดังนั้นสิ่งผิดปกติใด ๆ ของพลังงาน ก็จะทำให้น้ำหล่อเย็นนั้นเกิดการเดือด ซึ่งจะลดการดูดซึมนิวตรอนของน้ำ เครื่องปฏิกรณ์ได้อยู่ในสภาวะที่ไม่เสถียรที่เห็นได้ชัดว่าอยู่นอกขอบเขตการดำเนินงานที่ความปลอดภัยที่ผู้ออกแบบได้จัดทำขึ้น หากมีสิ่งใดที่ผลักดันให้มันอยูในสภาวะวิกฤตยิ่งยวด มันก็จะไม่สามารถถูกกู้คืนได้โดยอัตโนมัติ
เมื่อเวลา 01:23:04 น. การทดลองเริ่มต้น มีการใช้งานปั๊มหมุนเวียนหลัก (MCP) 4 ตัว จากทั้งหมดแปดตัว ซึ่งในระหว่างการดำเนินงานปกติจะมีการใช้งานหกตัว ไอน้ำที่ให้กับกังหันถูกปิดลง เริ่มต้นปิดการทำงานของเครื่องกำเนิดไฟฟ้ากังหัน เครื่องกำเนิดไฟฟ้าดีเซลเริ่มต้นทำงานและจ่ายไฟฟ้าให้โหลดตามลำดับ; เครื่องกำเนิดไฟฟ้าจะต้องจ่ายไฟฟ้าให้กับ MCPs ได้อย่างสมบูรณ์ตอน 1:23:43 น. ในระหว่างที่ MCPs ยังไม่ได้กำลังไฟฟ้าเต็ม MCPs จะได้กำลังไฟฟ้าจากเครื่องกำเนิดไฟฟ้ากังหันในขณะที่เครื่องกำเนิดไฟฟ้ากังหันกำลังชะลอความเร็ว อย่างไรก็ตาม ในขณะที่โมเมนตัมของเครื่องกำเนิดไฟฟ้ากังหันกำลังลดลง พลังงานที่มันผลิตให้เครื่องสูบน้ำก็ลดลงด้วย อัตราการไหลของน้ำก็ลดลง ทำให้มีการเพิ่มขึ้นของโมฆะไอน้ำ (อังกฤษ: steam voids) (ฟอง) ในแกน
เพราะค่าสัมประสิทธิ์ของโมฆะ (อังกฤษ: void coefficient) เป็นเชิงบวกของเครื่องปฏิกรณ์แบบ RBMK ที่ระดับพลังงานเครื่องปฏิกรณ์ต่ำ มันถูกจัดเตรียมไว้ในขณะนี้ที่จะเริ่มดำเนินการในงาน positive feedback loop ซึ่งในโครงการนี้ การก่อตัวของโมฆะไอน้ำจะลดความสามารถของน้ำหล่อเย็นในรูปของเหลวในการดูดซับนิวตรอน ซึ่งผลที่ได้จะเพิ่มการส่งออกพลังงานของเครื่องปฏิกรณ์ เรื่องนี้ยังเพิ่มน้ำให้กลายเป็นไอน้ำมากขึ้น ยังจะทำให้พลังงานเพิ่มมากขึ้นไปอีก เกือบตลอดระยะเวลาของการทดสอบ ระบบควบคุมอัตโนมัติได้ประสบความสำเร็จในการต่อสู้กับ positive feedback นี้ โดยการเสียบแท่งควบคุมลงไปในแกนเครื่องปฏิกรณ์อย่างต่อเนื่องเพื่อจำกัดพลังงานไม่ให้เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามระบบนี้ทำการควบคุมเพียง 12 แท่งเท่านั้นและเกือบทั้งหมดที่เหลือถูกดึงออกแบบแมนนวล
เมื่อเวลา 1:23:40 น. ตามที่ได้บันทึกไว้โดยระบบการควบคุม SKALA ส่วนกลาง การปิดฉุกเฉินของเครื่องปฏิกรณ์ (ซึ่งไม่ได้ตั้งใจที่จะสะกิดให้มีการระเบิด) ได้ถูกเริ่มขึ้น กลไกการขับเคลื่อนแท่งควบคุมเพื่อความปลอดภัย (อังกฤษ: Safety Control Rods Actuator Mechanism (SCRAM)) เริ่มต้นเมื่อมีการกดปุ่ม EPS-5 (หรือเรียกว่าปุ่ม AZ-5) ซึ่งเป็นระบบป้องกันฉุกเฉินเครื่องปฏิกรณ์ ระบบนี้ต่ออยู่กับกลไกที่เสียบแท่งควบคุมทั้งหมดให้ลงไปจนสุด รวมทั้งแท่งควบคุมแบบแมนนวลที่ถูกดึงออกอย่างไม่ระมัดระวังก่อนหน้านี้ เหตุผลที่ว่าทำไมไม่มีใครรู้ว่าปุ่ม EPS-5 ถูกกด หรือว่ามันถูกกดเนื่องจากมันเป็นมาตรการฉุกเฉินในการตอบสนองต่ออุณหภูมิที่สูงขึ้น หรือเพียงแค่เป็นวิธีการตามปกติของการปิดเครื่องปฏิกรณ์เมื่อเสร็จสิ้นการทดลอง
มีมุมมองหนึ่งที่ว่า SCRAM อาจจะถูกสั่งการให้ตอบสนองต่อการเพิ่มขึ้นของพลังงานอย่างรวดเร็วโดยไม่คาดคิด แม้ว่าจะไม่มีข้อมูลบันทึกไว้แน่ชัดเพื่อพิสูจน์สมมติฐานนี้ บางคนแนะนำว่าปุ่มไม่ได้ถูกกดแต่สัญญาณที่ถูกผลิตขึ้นอัตโนมัติโดยระบบป้องกันฉุกเฉิน; แต่ระบบ SKALA ได้บันทึกสัญญาณ SCRAM แบบแมนนวลอย่างชัดเจน ทั้งๆที่มันเกิดสัญญาณนี้ขึ้น ได้มีการโต้แย้งในคำถามที่ว่าปุ่ม EPS-5 ถูกกดเมื่อไรหรือแม้แต่ที่ว่ามันได้ถูกกดจริงๆหรือไม่ มีการยืนยันว่าเกิดแรงกดดันจากการเร่งพลังงานอย่างรวดเร็วในช่วงเริ่มต้น และกล่าวหาว่าปุ่มไม่ได้ถูกกดจนกระทั่งเครื่องปฏิกรณ์เริ่มที่จะทำลายตัวเอง แต่คนอื่น ๆ ยืนยันว่ามันเกิดขึ้นก่อนหน้านี้แล้วและอยู่ในสภาพที่สงบ[41]: 578 [42]
หลังจากที่ปุ่ม EPS-5 ถูกกด การเสียบของแท่งควบคุมลงไปในแกนเครื่องปฏิกรณ์ก็เริ่มต้นขึ้น กลไกควบคุมการเสียบจะเคลื่อนแท่งควบคุมที่ความเร็ว 0.4 เมตร/วินาทีเป็นเวลา 18-20 วินาทีในการเดินทางเต็มความยาวของแกนปฏิกรณ์ประมาณ 7 เมตร ปัญหาที่ใหญ่กว่าเป็นข้อบกพร่องของปลายกราไฟท์ของแกนควบคุม ซึ่งในตอนแรกจะแทนที่น้ำหล่อเย็นที่ทำหน้าที่ดูดซับนิวตรอนด้วยกราไฟท์ที่เป็นตัวหน่วงก่อนที่จะเริ่มการเปลี่ยนไปใช้วัสดุโบรอนเพื่อดูดซับนิวตรอนเพื่อที่จะชะลอการเกิดปฏิกิริยา ผลที่ได้ SCRAM จะทำการเพิ่มอัตราการเกิดปฏิกิริยาในครึ่งบนของแกนเมื่อปลายแทนที่น้ำ ลักษณะนี้เป็นที่รู้จักกันดีหลังจากที่ปิดเครื่องปฏิกรณ์ RBMK เครื่องอื่น ๆ ที่เหนี่ยวนำให้เกิดพลังงานพุ่งสูงเป็นแท่งแหลม (อังกฤษ: power spike) ในช่วงเรื่มต้น แต่เนื่องจาก SCRAM ของเครื่องปฏิกรณ์ตัวนั้นทำงานประสบความสำเร็จ ข้อมูลจึงไม่ได้เปิดเผยอย่างกว้างขวาง
ไม่กี่วินาทีหลังจากเริ่ม SCRAM ปลายแท่งกราไฟท์เข้าสู่กองเชื้อเพลิง แท่งแหลมของพลังงานมหาศาลก็เกิดขึ้นและแกนมีความร้อนสูงมากเกินไป ทำให้บางส่วนของแท่งเชื้อเพลิงแตกหักไปขวางช่องแท่งควบคุมและทำให้แท่งควบคุมติดขัดที่ความลึกหนึ่งในสาม ในขณะที่ปลายกราไฟท์อยู่ในช่วงกลางของแกน ภายในสามวินาที การส่งออกเครื่องปฏิกรณ์เพิ่มขึ้นมากกว่า 530 เมกะวัตต์[26]: 31
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามมาไม่ได้ถูกบันทึกโดยเครื่องมือ; แต่เป็นที่รู้จักกันเพียงเป็นผลมาจากการจำลองทางคณิตศาสตร์ เห็นได้ชัดว่าแท่งแหลมพลังงานทำให้เชื้อเพลิงมีอุณหภูมิเพิ่มขึ้นและสร้างการสะสมไอน้ำขนาดใหญ่ที่นำไปสู่การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของแรงดันไอน้ำ เรื่องนี้ทำให้ปลอกหุ้มเชื้อเพลิงล้มเหลว ปลดปล่อยองค์ประกอบเชื้อเพลิงลงในน้ำหล่อเย็นและทำให้ช่องบรรจุองค์ประกอบเหล่านี้แตกออก[43]
จากนั้น ประมาณการว่าเครื่องปฏิกรณ์กระโดดไปที่ประมาณ 30,000 เมกะวัตต์ความร้อน สิบเท่าของการส่งออกในการดำเนินงานตามปกติ ค่าที่อ่านได้ล่าสุดบนแผงควบคุมเป็น 33,000 เมกะวัตต์ มันเป็นไปไม่ได้ที่จะสร้างลำดับที่ถูกต้องขึ้นใหม่ของกระบวนการที่จะนำไปสู่การล่มสลายของเครื่องปฏิกรณ์และเครื่องสร้างหน่วยพลังงานไฟฟ้า แต่เป็นการระเบิดของไอน้ำ เหมือนการระเบิดของหม้อไอน้ำจากความดันไอน้ำที่มากเกินไป ที่ดูเหมือนจะเป็นเหตุการณ์ที่จะเกิดต่อไป มีความเข้าใจทั่วไปว่ามันเป็นเพราะไอน้ำจากช่องเชื้อเพลิงที่อับปางหลุดลอดเข้าไปในโครงสร้างการระบายความร้อนภายนอกของเครื่องปฏิกรณ์ที่ก่อให้เกิดการทำลายของเปลือกห่อหุ้มเครื่องปฏิกรณ์ ฉีกมันออกและยกแผ่นบนที่หนัก 2,000 ตันขึ้น ซึ่งแผ่นนี้ถูกยึดเข้ากับแท่น ส่งเครื่องปฏิกรณ์ทั้งหมดทะลุหลังคาของอาคารเครื่องปฏิกรณ์ เห็นได้ชัดว่านี่คือการระเบิดครั้งแรกที่หลายคนได้ยิน[44]: 366 ระเบิดครั้งนี้ฉีกช่องเชื้อเพลิงให้กว้างขึ้นอีก พร้อมกับการตัดส่วนใหญ่ของสายการหล่อเย็นที่ป้อนให้กับห้องเครื่องปฏิกรณ์ และเป็นผลให้น้ำหล่อเย็นที่เหลืออยู่พ่นเป็นประกายไอน้ำและหนีออกจากแกนเครื่องปฏิกรณ์ การสูญเสียน้ำทั้งหมดรวมกับค่าสัมประสิทธิ์โมฆะในเชิงบวกที่สูงช่วยเพิ่มพลังงานความร้อนของเตาปฏิกรณ์ให้สูงขึ้นไปอีก
ระเบิดครั้งที่สองมีประสิทธิภาพมากกว่าเกิดขึ้นประมาณสองหรือสามวินาทีหลังจากครั้งแรก; ระเบิดส่งแกนหลักที่เสียหายกระจัดกระจายและสิ้นสุดปฏิกิริยาลูกโซ่นิวเคลียร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตามการระเบิดนี้ยังทำลายสิ่งห่อหุ้มเครื่องปฏิกรณ์และพุ่งก้อนตัวหน่วงกราไฟท์ที่ร้อนอย่างยวดยิ่งออกมาอีกด้วย กราไฟท์ที่พุ่งออกมาและช่องทางที่พังยับเยินที่ยังคงอยู่ในซากเครื่องปฏิกรณ์ทำให้เกิดไฟไหม้เมื่อสัมผัสกับอากาศ เอื้ออย่างมากต่อการแพร่กระจายของสารกัมมันตรังสีและการปนเปื้อนของพื้นที่ห่างไกล[32]
ตามคำบอกเล่าชองผู้สังเกตการณ์นอกหน่วยที่ 4 ก้อนเผาไหม้ของวัสดุและประกายไฟถูกยิงขึ้นไปในอากาศเหนือเครื่องปฏิกรณ์ บางส่วนของพวกมันตกลงบนหลังคาของห้องโถงเครื่องยนต์และเริ่มไฟไหม้ ประมาณร้อยละ 25 ของก้อนกราไฟท์ที่ร้อนแดงและวัสดุที่ร้อนมากจากช่องเชื้อเพลิงก็ถูกพุ่งออกมา หลายส่วนของบล็อกราไฟท์และช่องเชื้อเพลิงพุ่งออกจากอาคารเตาปฏิกรณ์ ผลจากความเสียหายของอาคาร การไหลของอากาศผ่านแกนก่อตั้งขึ้นโดยอุณหภูมิสูงของแกน อากาศจุดประกายกับกราไฟท์ร้อนและเริ่มไฟใหม้กราไฟท์[26]: 32
มีหลายสมมติฐานขั้นต้นเกี่ยวกับธรรมชาติของการระเบิดที่สอง มุมมองหนึ่งก็คือว่าการระเบิดครั้งที่สองมีสาเหตุมาจากไฮโดรเจน ซึ่งถูกสร้างขึ้นอย่างใดอย่างหนึ่งจากปฏิกิริยาเซอร์โคเนียมไอน้ำที่ร้อนจัดหรือจากปฏิกิริยาของกราไฟท์ร้อนแดงกับไอน้ำที่ผลิตไฮโดรเจนและก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ สมมติฐานอีกประการหนึ่งคือการระเบิดที่สองเป็นการระเบิดจากความร้อนของเครื่องปฏิกรณ์ที่เป็นผลมาจากการหลบหนีที่ไม่สามารถควบคุมได้ของนิวตรอนเร็ว (อังกฤษ: fast neutron) ที่เกิดจากการสูญเสียน้ำอย่างสิ้นเชิงในแกนของเครื่องปฏิกรณ์[45] สมมติฐานที่สามก็คือการที่ระเบิดเป็นระเบิดด้วยไอน้ำครั้งที่สอง ตามเวอร์ชันนี้ การระเบิดครั้งแรกเป็นเพียงการระเบิดของไอน้ำเล็ก ๆ น้อย ๆ ในวงหมุนเวียนมากกว่า ทำให้เกิดการสูญเสียของการไหลของน้ำหล่อเย็นและความดัน ที่สุดท้ายแล้วทำให้น้ำที่ยังคงอยู่ในแกนกระจายเป็นไอน้ำ จากนั้นการระเบิดครั้งที่สองนี้สร้างความเสียหายส่วนใหญ่ของกับเครื่องปฏิกรณ์และอาคารที่บรรจุมัน
อย่างไรก็ตาม แรงเฉือนของการระเบิดครั้งที่สองและอัตราส่วนของไอโซโทปซีนอน (อังกฤษ: xenon radioisotopes) ที่ปล่อยออกมาในช่วงเหตุการณ์ระบุว่าระเบิดครั้งที่สองน่าจะเป็นพลังงานนิวเคลียร์ชั่วคราวซึ่งเป็นผลมาจากการละลายของวัสดุแกน เนื่องจากขาดเปลือกหุ้ม และน้ำหล่อเย็นของต้วหน่วง ทำให้เกิดการวิกฤตเฉียบพลันอย่างรุนแรงคล้ายกับการระเบิดของอาวุธนิวเคลียร์[46] ที่ปลดปล่อยพลังงานออกมา 4 หมื่นล้านจูลส์ เทียบเท่ากับประมาณสิบตันของทีเอ็นที การวิเคราะห์แสดงให้เห็นว่าการระเบิดของนิวเคลียร์ถูกจำกัดให้อยู่ในส่วนเล็ก ๆ ของแกน[46]
ซึ่งขัดแย้งกับกฎระเบียบด้านความปลอดภัย น้ำมันดิน (อังกฤษ: bitumen) ซึ่งเป็นวัสดุที่ติดไฟได้ ได้ถูกนำมาใช้ในการก่อสร้างหลังคาของอาคารเครื่องปฏิกรณ์และห้องโถงของกังหัน วัสดุที่พุ่งออกมาจุดประกายไฟอย่างน้อยห้าจุดบนหลังคาของเครื่องปฏิกรณ์ตัวที่ 3 ที่อยู่ติดกัน ซึ่งยังคงดำเนินงานอยู่ มันเป็นความจำเป็นที่จะต้องดับไฟเหล่านั้นและปกป้องระบบระบายความร้อนของเตาปฏิกรณ์ตัวที่ 3 [26] ภายในเครื่องปฏิกรณ์ตัวที่ 3 หัวหน้ากะกลางคืน ยูริ Bagdasarov อยากจะปิดเครื่องปฏิกรณ์ทันที แต่หัวหน้าวิศวกร นิโคไล โฟมิน ไม่อนุญาตให้ทำ ผู้เดินเครื่องได้รับเครื่องช่วยหายใจและยาเม็ดโพแทสเซียมไอโอไดด์และถูกสั่งให้ดำเนินการต่อ อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลา 05:00 Bagdasarov ตัดสินใจด้วยตัวของเขาเองที่จะปิดเครื่องปฏิกรณ์ เหลือไว้แต่เฉพาะผู้เดินเครื่องที่จะต้องทำงานกับระบบระบายความร้อนฉุกเฉินเท่านั้น[26]: 44
ระดับรังสีโดยประมาณในสถานที่ที่แตกต่างกันไม่นานหลังจากการระเบิดมีดังนี้[47]
สถานที่ | ปริมาณรังสี (หน่วยเป็นรึนเกนส์ต่อชม.) | ซีเวิท (Sievert) ต่อชม. (หน่วย SI) |
---|---|---|
บริเวณใกล้เคียงกับแกนเครื่องปฏิกรณ์ | 30,000 | 300 |
เศษเชื้อเพลิง | 15,000–20,000 | 150–200 |
กองซากที่จุดติดตั้งปั้มน้ำหมุนเวียน | 10,000 | 100 |
เศษซากใกล้เครื่อง electrolyzers | 5,000–15,000 | 50–150 |
น้ำในห้องจ่ายน้ำที่ระดับ +25 | 5,000 | 50 |
ระดับ 0 ของห้องกังหัน | 500–15,000 | 5–150 |
พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ | 1,000–1,500 | 10–15 |
น้ำในห้อง 712 | 1,000 | 10 |
ห้องควบคุม | 3–5 | 0.03–0.05 |
สถานที่ติดตั้ง Hydropower | 30 | 0.3 |
หน่วยผสมคอนกรีตใกล้เคียง | 10–15 | 0.10–0.15 |
ขึ้นอยู่กับภาพของโรงงาน[48]
ระดับ | วัตถุ |
---|---|
เมตร | ระดับเหนือ (หรือต่ำกว่าถ้าเป็นค่าลบ) พื้นดินที่จุดนี้น |
49.6 | หลังคาอาคารเครื่องปฏิกรณ์ แกลเลอรี่ของกลไกเติมเชื้อเพลิง |
39.9 | หลังคาแกลเลอรี่ตัวตัดอากาศ (อังกฤษ: Deaerator) |
35.5 | พื้นห้องโถงเครื่องปฏิกรณ์หลัก |
31.6 | ด้านบนของส่วนป้องกันแบบชีววิทยาชุดบน พื้นของที่ว่างสำหรับท่อไปยังตัวแยกไอน้ำ |
28.3 | ด้านล่างของหลังคาห้องโถงกังหัน |
24.0 | พื้นตัวตัดอากาศ ห้องเครื่องมือวัดและควบคุม |
16.4 | พื้นห้องแนวท่อในแกลเลอรี่ของตัวตัดอากาศ |
12.0 | พื้นหลักของห้องโถงกังหัน พื้นของห้องมอเตอร์ปั้มหมุนเวียนหลัก |
10.0 | ห้องควบคุม พื้นใต้ส่วนป้องกันแบบชีววิทยาชุดล่างของเครื่องปฏิกรณ์ ปั้มหมุนเวียนหลัก |
6.0 | ทางเดินกระจายไอน้า |
2.2 | บ่อปราบปรามความดันด้านบน |
0.0 | ระดับดิน ห้อง switchgear ระดับห้องโถงกังหัน |
−0.5 | บ่อปราบปรามความดันด้านล่าง |
−5.2, −4.2 | ระดับห้องโถงกังหันอื่น |
−6.5 | ชั้นฐานรากของห้องโถงกังหัน |
บทความหลัก: การมีส่วนร่วมของแต่ละบุคคลในอุบัติภัยเชียร์โนบีล
ระดับรังสีในพื้นที่ที่เลวร้ายที่สุดของอาคารเตาปฏิกรณ์คาดว่าจะเป็น 5.6 roentgens ต่อวินาที (R/s) คิดเป็นกว่า 20,000 roentgens ต่อชั่วโมง ปริมาณที่ทำให้เสียชีวิตอยู่ที่ประมาณ 500 roentgens (~ 5 Gray (unit), Gy) นานกว่า 5 ชั่วโมง ดังนั้นในบางพื้นที่ คนงานที่ไม่มีการป้องกันได้รับในปริมาณที่เป็นอันตรายถึงชีวิตในเวลาน้อยกว่าหนึ่งนาที อย่างไรก็ตาม เครื่องวัดปริมาณรังสี (อังกฤษ: dosimeter) ตัวหนึ่งซึ่งสามารถวัดได้ถึง 1000 R/s ได้ถูกฝังอยู่ในซากปรักหักพังของส่วนที่ทรุดตัวของอาคาร และอีกเครื่องหนึ่งล้มเหลวเมื่อเปิดเครื่อง เครื่อง dosimeters ทั้งหมดที่เหลืออยู่มีข้อ จำกัดในการวัดอยู่ที่ 0.001 R/s ดังนั้นพวกมันจึงอ่าน "เกินสเกล" เพราะฉะนั้น คนงานเครื่องปฏิกรณ์สามารถยืนยันได้เพียงว่าระดับรังสีมีปริมาณมากกว่า 0.001 R/วินาที (3.6 R/ชม) ในขณะที่ระดับที่แท้จริงมีสูงกว่านี้มากในบางพื้นที่[26]: 42–50
ก็เพราะว่าการอ่านในค่าต่ำที่ไม่ถูกต้อง หัวหน้าคนงานเครื่องปฏิกรณ์อเล็กซานเดอร์ Akimov สันนิษฐานว่าเครื่องปฏิกรณ์ทำงานได้ตามปกติ หลักฐานของชิ้นส่วนของกราไฟท์และเชื้อเพลิงเครื่องปฏิกรณ์ที่กระจายอยู่รอบอาคารถูกละเลย และการอ่านของเครื่อง dosimeter อื่น ๆ ถูกนำเข้ามาเมื่อเวลา 04:30 น. ก็ถูกเพิกเฉยภายใต้สมมติฐานที่ว่า dosimeter เครื่องใหม่น่าจะชำรุด[26]: 42–50 Akimov อยู่กับทีมงานของเขาในอาคารเครื่องปฏิกรณ์จนถึงเช้า มีการส่งสมาชิกของทีมงานของเขาเพิ่อพยายามที่จะสูบน้ำเข้าไปในเครื่องปฏิกรณ์ ไม่มีใครสักคนสวมใส่เกียร์ป้องกันใด ๆ พวกเขาส่วนใหญ่ รวมทั้ง Akimov เสียชีวิตจากการสัมผัสรังสีภายในสามสัปดาห์[34]: 247–48
ไม่นานหลังจากที่เกิดอุบัติเหตุ นักผจญเพลิงก็มาถึงและพยายามที่จะดับไฟ คนแรกที่จุดเกิดเหตุเป็นนักผจญเพลิงโรงไฟฟ้าเชียร์โนบีลภายใต้คำสั่งของร้อยโท Vladimir Pravik ที่เสียชีวิตเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 1986 เนื่องจากการเจ็บป่วยจากรังสีเฉียบพลัน พวกเขาไม่ได้รับการบอกกล่าวถึงอันตรายของสารกัมมันตรังสีจากควันและเศษซาก และอาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นเป็นอะไรที่มากไปกว่าไฟที่เกิดจากไฟฟ้าปกติ: "เราไม่รู้เลยว่ามันเป็นเครื่องปฏิกรณ์ ไม่มีใครบอกกับเรา"[49]
Grigorii Khmel พนักงานขับรถของหนึ่งในรถดับเพลิงวันนั้นได้อธิบายต่อสิ่งที่เกิดขึ้น:
เรามาถึงที่นั่นเมื่อเวลาอีก 10 หรือ 15 นาทีก่อนถึงสองนาฬิกาในตอนเช้า .... เราเห็นกราไฟท์เกลื่อนไปทั่ว Misha ถามว่า: "นั่นใช่กราไฟท์หรือเปล่า?" ผมเตะมันออกไป แต่หนึ่งในนักผจญเพลิงบนรถบรรทุกคันอื่นหยิบมันขึ้นมา "มันร้อน" เขากล่าว ชิ้นส่วนของกราไฟท์มีขนาดแตกต่างกัน บางอันขนาดใหญ่ บางอันขนาดเล็ก เพียงพอที่จะหยิบพวกมันขึ้นมา ... เราไม่รู้มากนักเกี่ยวกับรังสี แม้แต่คนที่ทำงานที่นั่นก็ไม่รู้ ไม่มีน้ำเหลืออยู่ในรถบรรทุก Misha เติมถังน้ำและเราฉีดน้ำไปที่ด้านบน จากนั้นพวกชายหนุ่มที่ตอนนี้ได้ตายไปแล้วก็ปีนขึ้นไปบนหลังคา - Vashchik, Kolya และคนอื่น ๆ และ Volodya Pravik .... พวกเขาปีนขึ้นบันได ... และผมก็ไม่เคยเห็นพวกเขาอีกเลย[50]: 54
Anatoli Zakharov นักดับเพลิงที่ประจำการอยู่ในเชียร์โนบีลตั้งแต่ปี 1980 ให้รายละเอียดที่แตกต่างกันในปี 2008:
ผมจำได้ว่าเคยล้อเล่นกับคนอื่น ๆ "จะต้องมีปริมาณที่เหลือเชื่อของรังสีที่นี่ เราจะโชคดีถ้าเราทุกคนยังคงมีชีวิตอยู่ในตอนเช้า"[51]
เขายังกล่าวอีกว่า
แน่นอนเรารู้! ถ้าเราทำตามกฎระเบียบ เราจะไม่มีทางเข้าใกล้เครื่องปฏิกรณ์ แต่มันก็เป็นภาระผูกพันทางจริยธรรม - หน้าที่ของเรา เราเป็นเหมือนกามิกาเซ่[51]
ลำดับความสำคัญที่ต้องทำทันทีคือการดับไฟบนหลังคาของสถานีและบริเวณโดยรอบอาคารที่ติดตั้งเครื่องปฏิกรณ์หมายเลข 4 เพื่อป้องกันหมายเลข 3 และปล่อยให้ระบบระบายความร้อนหลักทำงานต่อไป ไฟถูกดับตอน 05:00 น. แต่นักผจญเพลิงจำนวนมากได้รับปริมาณรังสีที่สูงมาก ไฟภายในเครื่องปฏิกรณ์หมายเลข 4 ยังคงเผาไหม้จนถึงวันที่ 10 พฤษภาคม 1986 เป็นไปได้ว่ามากกว่าครึ่งหนึ่งของกราไฟท์เผาจนหมด[26]: 73
ไฟถูกดับด้วยความพยายามร่วมกันของเฮลิคอปเตอร์ที่เททราย ตะกั่ว ดินเหนียว และโบรอนที่ดูดซับนิวตรอนมากกว่า5,000ตันลงบนเครื่องปฏิกรณ์ที่กำลังเผาไหม้และมีการฉีดไนโตรเจนเหลว ผู้สร้างภาพยนตร์ชาวยูเครน Vladimir Shevchenko สามารถจับภาพของเฮลิคอปเตอร์ Mi-8 ในขณะที่ปีกหมุนหลักของมันชนเข้ากับสายเครนก่อสร้างในบริเวณใกล้เคียง ทำให้เฮลิคอปเตอร์ตกใกล้กับอาคารเตาปฏิกรณ์ที่ได้รับความเสียหายและทำให้ลูกเรือสี่คนของเครื่องเสียชีวิต[52] ตอนนี้เป็นที่รู้จักกันว่าแทบไม่มีตัวดูดซับนิวตรอนสามารถเข้าถึงแกนปฏิกรณ์[53]
จากประจักต์พยานที่ดูแลนักผจญเพลิงที่เกี่ยวข้องก่อนที่พวกเขาจะเสียชีวิต (ตามที่รายงานในซีรีส์ทางโทรทัศน์ CBC เรื่อง "พยาน") นักผจญเพลิงคนหนึ่งได้เล่าประสบการณ์ของเขากับรังสีว่า "มีรสชาติเหมือนโลหะ" และมีความรู้สึกคล้ายกับว่ามีหมุดและเข็มแทงทั่วใบหน้าของเขา (นี้จะคล้ายกับคำอธิบายที่ให้โดยหลุยส์ Slotin นักฟิสิกส์โครงการแมนฮัตตันที่เสียชีวิตหลายวันหลังจากได้รับรังสีเกินขนาดจนเป็นอันตรายถึงชีวิตจากอุบัติเหตุเนื่องจากวิกฤตที่แกนปฏิกรณ์)[54]
การระเบิดและไฟได้ส่งอนุภาคร้อนของเชื้อเพลิงนิวเคลียร์และผลผลิตจากฟิชชั่นที่อันตรายอย่างมากขึ้นสู่อากาศ พร้อมกับไอโซโทปกัมมันตรังสีเช่นซีเซียม 137, ไอโอดีน 131, strontium-90 และกัมมันตรังสีอื่น ๆ ผู้อยู่อาศัยในบริเวณโดยรอบสังเกตเห็นเมฆกัมมันตรังสีในคืนของการระเบิด
อุปกรณ์ถูกหลอมรวมเข้าด้วกัน เช่น รถเกลี่ยดินและรถหุ่นยนต์ควบคุมระยะไกลที่สามารถตรวจจับกิจกรรมของรังสีและสามารถบรรทุกเศษซากที่ร้อนได้ Valery Legasov (รองผู้อำนวยการคนแรกของสถาบันพลังงานปรมาณู Kurchatov ในมอสโก) กล่าวในปี 1987 ว่า: "แต่เราได้เรียนรู้ว่าหุ่นยนต์ไม่ใช่วิธีการแก้ไขที่ดีสำหรับทุกอย่าง ในบริเวณที่มีรังสีสูงมาก หุ่นยนต์จะหยุดการเป็นหุ่นยนต์ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์หยุดการทำงาน"[55]
‡ยกเว้นไฟภายในเครื่องปฏิกรณ์ 4 ซึ่งยังคงเผาไหม้เป็นเวลาหลายวัน[26]: 73
เมือง Pripyat ที่อยู่ใกล้เคียงไม่ได้มีการอพยพโดยทันที ชาวเมืองดำเนินธุรกิจไปตามปกติของพวกเขา ไม่ได้ตระหนักถึงสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นแม้แต่น้อย อย่างไรก็ตาม ภายในไม่กี่ชั่วโมงของการระเบิด หลายสิบคนเริ่มล้มป่วยลง ต่อมา พวกเขารายงานอาการปวดหัวอย่างรุนแรงและรู้สึกถึงรสชาติของโลหะในปากของพวกเขา พร้อมกับการไอและอาเจียนที่ไม่สามารถควบคุมได้[58]
เนื่องจากว่าโรงไฟฟ้าได้รับการดำเนินการโดยหน่วยงานในมอสโก รัฐบาลของยูเครนจึงไม่ได้รับข้อมูลอย่างรวดเร็วเกี่ยวกับอุบัติเหตุ[59] Valentyna Shevchenko ที่ขณะนั้นเป็นประธานคณะกรรมการบริหารของ Verkhovna Rada ของ SSR ของยูเครน, จำได้ว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงกิจการภายในของยูเครน นาย Vasyl Durdynets ได้โทรหาเธอที่ที่ทำงานเมื่อเวลา 09:00 น. เพื่อรายงานสถานการณ์ปัจจุบัน; เพียงในตอนท้ายของการสนทนาเท่านั้นที่เขารายงานเพิ่มว่ามีไฟไหม้ที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์เชียร์โนบีล แต่มันก็ถูกดับลงไปแล้วและทุกอย่างก็เรียบร้อย เมื่อ Shevchenko ถามว่า "ประชาชนเป็นอย่างไรบ้าง?" เขาตอบว่าไม่มีอะไรจะต้องเป็นกังวล: "บางคนกำลังเฉลิมฉลองงานแต่งงาน บางคนกำลังทำสวนและคนอื่น ๆ กำลังตกปลาในแม่น้ำ Pripyat" [59] จากนั้น Shevchenko ได้พูดกับ Volodymyr Shcherbytsky หัวหน้าคณะกรรมการกลางของพรรคคอมมิวนิสต์ยูเครน (CPU) และประมุขแห่งรัฐโดยพฤตินัย Shcherbytsky กล่าวว่าเขาคาดว่าคณะผู้แทนของคณะกรรมการของรัฐจะนำโดยรองประธานสภารัฐมนตรีของสหภาพโซเวียต[59]
คณะกรรมการถูกจัดตั้งขึ้นในวันเดียวกัน (26 เมษายน) เพื่อตรวจสอบการเกิดอุบัติเหตุ นำโดย Valery Legasov รองผู้อำนวยการคนที่หนึ่งของสถาบันพลังงานปรมาณู Kurchatov และร่วมด้วยผู้เชี่ยวชาญนิวเคลียร์ชั้นนำ Evgeny Velikhov, นักอุตุนิยมวิทยาน้ำ ยูริ อิสราเอล, นักรังสี Leonid Ilyin และอื่น ๆ พวกเขาบินไปยังสนามบินนานาชาติ Boryspil และมาถึงที่โรงไฟฟ้าในช่วงเย็นของวันที่ 26 เมษายน[59] ณ เวลานั้น คนสองคนเสียชีวิตแล้วและอีก 52 คนถูกนำส่งโรงพยาบาล คณะผู้แทนในไม่ช้ามีหลักฐานเพียงพอที่ว่าเครื่องปฏิกรณ์ถูกทำลายแล้วและระดับที่สูงมากของรังสีได้ก่อให้เกิดการป่วยเจ็บจำนวนมากจากการสัมผัสกับรังสี ในชั่วโมงแรก ๆ ของวันที่ 27 เมษายน มากกว่า 24 ชั่วโมงหลังจากการระเบิดครั้งแรก พวกเขาได้สั่งให้มีการอพยพของพลเมืองของ Pripyat ในตอนแรกมีการตัดสินใจที่จะอพยพประชากรเป็นเวลาสามวัน ต่อมามันถูกเปลี่ยนให้เป็นถาวร[59]
ประมาณ 11:00 น. ของวันที่ 27 เมษายน รถโดยสารมาถึง Pripyat เพื่อเริ่มต้นการอพยพ[59] การอพยพเริ่มเวลา 14:00 น ข้อความที่ตัดตอนมาแปลของการประกาศอพยพมีดังต่อไปนี้[60]}}
สำหรับความสนใจของผู้อยู่อาศัยใน Pripyat! สภาเทศบาลเมืองแจ้งให้คุณทราบว่าเนื่องจากอุบัติเหตุที่โรงไฟฟ้าเชียร์โนบีล ในเมือง Pripyat สภาวะของรังสีในบริเวณใกล้เคียงกำลังทวีความรุนแรงขึ้น พรรคคอมมิวนิสต์ เจ้าหน้าที่ และกองกำลังติดอาวุธกำลังทำตามขั้นตอนที่จำเป็นเพื่อต่อสู้นี้ แต่ด้วยมุมมองที่จะทำให้คนมีความปลอดภัยและมีสุขภาพเท่าที่จะเป็นไปได้ เด็ก ๆ จะเป็นความสำคัญสูงสุด เราต้องอพยพชั่วคราวประชาชนในเมืองที่ใกล้ที่สุดของเคียฟแคว้นปกครองตนเอง ด้วยเหตุผลเหล่านี้ เริ่มจาก 27 เมษายน 1986 02:00 pm แต่ละอพาร์ตเมนต์จะมีรถบัสในการบรรทุกพวกท่านภายใต้การดูแลโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่ของเมือง ขอแนะนำเป็นอย่างสูงให้นำเอกสารของท่าน บางทรัพย์สินส่วนบุคคลที่สำคัญ และจำนวนหนึ่งของอาหารที่อาจจำเป็นไปกับท่านด้วย ผู้บริหารระดับสูงของสิ่งอำนวยความสะดวกสาธารณะและอุตสาหกรรมของเมืองได้ตัดสินใจตามรายชื่อของพนักงานที่จำเป็นจะต้องอยู่ใน Pripyat เพื่อที่จะรักษาสิ่งอำนวยความสะดวกเหล่านี้ให้อยู่ในสภาพการทำงานที่ดี บ้านทุกหลังจะได้รับการพิทักษ์โดยตำรวจในช่วงระยะเวลาการอพยพ สหายทั้งหลาย เมื่อออกจากที่อยู่อาศัยของท่านชั่วคราว โปรดให้แน่ใจว่าท่านได้ปิดไฟ, อุปกรณ์ไฟฟ้าและน้ำและปิดหน้าต่าง โปรดรักษาความสงบและเป็นระเบียบเรียบร้อยในขั้นตอนของการอพยพระยะสั้นนี้ สัญลักษณ์ ประกาศการอพยพใน Pripyat, 27 เมษายน 1986 (14:00)
เพื่อเร่งการอพยพ ชาวบ้านได้รับการบอกเล่าให้นำเฉพาะสิ่งที่เป็นสิ่งจำเป็น และมันจะมีอายุการใช้งานประมาณสามวัน ผลก็คือ ข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวส่วนใหญ่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลังและยังคงอยู่ที่นั่นจนทุกวันนี้ เมื่อเวลา 15:00 ประชาชน 53,000 คนได้อพยพไปยังหมู่บ้านต่าง ๆ ของภูมิภาคเคียฟ[59] วันรุ่งขึ้น การเจรจาเริ่มขึ้นเพื่ออพยพผู้คนจากเขตในรัศมี 10 กม[59] สิบวันหลังจากที่เกิดอุบัติเหตุ พื้นที่อพยพได้มีการขยายออกไปถึง 30 กม. (19 ไมล์)[61]: 115, 120–1 "เขตยกเว้น" (อังกฤษ: exclusion zone) นี้ยังคงเป็นอย่างนั้นนับตั้งแต่นั้นมา แม้ว่ารูปร่างของมันมีการเปลี่ยนแปลงและขนาดของมันได้รับการขยายออกไป
การอพยพเหล่านี้จริง ๆ แล้วมีประโยชน์ทางเศรษฐกิจอยู่บ้าง นั่นคือ เป็นการเคลื่อนย้ายผู้คนไปยังพื้นที่ของการขาดแคลนแรงงานในเบลารุสและยูเครน[61]: 90
การอพยพเริ่มมานานก่อนที่การเกิดอุบัติเหตุจะเป็นที่รู้จักต่อสาธารณชนทั่วสหภาพ เฉพาะในวันที่ 28 เมษายน หลังจากที่ระดับรังสีเปิดการเตือนภัยที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ Forsmark ในประเทศสวีเดน[62] ที่อยู่ห่างจากโรงงานเชียร์โนบีลกว่า 1,000 กิโลเมตร (620 ไมล์) สหภาพโซเวียตก็ยอมรับกับสาธารณชนว่าอุบัติเหตุได้เกิดขึ้น เมื่อเวลา 21:02 น. ของเย็นวันนั้น มีการอ่านประกาศเป็นเวลา 20 วินาทีในรายการข่าวโทรทัศน์ Vremya:[63][64]
มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์เชียร์โนบีล หนึ่งในเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ได้รับความเสียหาย ผลกระทบของการเกิดอุบัติเหตุกำลังได้รับการแก้ไข ความช่วยเหลือได้ถูกส่งไปให้สำหรับคนที่ได้รับผลกระทบ คณะกรรมการสืบสวนได้รับการจัดตั้งขึ้น สัญลักษณ์ Vremya, 28 เมษายน 1986 (21:00)[63]
นี่คือทั้งหมดของประกาศของการเกิดอุบัติเหตุ ที่ทำเสร็จเรียบร้อยสองวันหลังจากการระเบิด ในตอนนั้น สำนักงานโทรเลขของสหภาพโซเวียต (TASS) ได้มีการปรึกษาหารือเกี่ยวกับอุบัติเหตุที่เกาะทรีไมล์และอุบัติเหตุนิวเคลียร์อื่น ๆ ของสหรัฐอเมริกา การหารือนี้เป็นตัวอย่างหนึ่งของกลยุทธ์ทั่วไปของโซเวียตที่เน้นภัยพิบัติต่างประเทศเมื่ออาจเกิดขึ้นสักครั้งในสหภาพโซเวียต อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการท่านหนึ่งได้กล่าวกับผู้ฟังรายการโดยชี้ให้เห็นถึงความรุนแรงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น[65] ต่อมาการกระจายเสียงของสถานีวิทยุของรัฐได้ถูกแทนที่ด้วยดนตรีคลาสสิก ซึ่งเป็นวิธีการทั่วไปของการเตรียมความพร้อมของประชาชนในการประกาศถึงโศกนาฏกรรมหนึ่ง[64]
ประมาณช่วงเวลาเดียวกัน สำนักข่าวเอบีซีออกรายงานเกี่ยวกับภัยพิบัติ[66]
Shevchenko เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐยูเครนคนแรกที่มาถึงสถานที่เกิดเหตุภัยพิบัติในตอนเช้าของวันที่ 28 เมษายน ที่นั่นเธอได้พูดคุยกับสมาชิกของบุคลากรทางการแพทย์และผู้คน ในขณะที่พวกเขาอยู่ที่มีความสงบและมีความหวังว่าในไม่ช้าพวกเขาจะได้กลับบ้านของพวกเขา Shevchenko กลับบ้านเกือบเที่ยงคืน ระหว่างทางเธอหยุดที่ด่านตรวจสอบรังสีใน Vilcha, หนึ่งในด่านแรก ๆ ที่ได้รับการจัดตั้งขึ้นในเร็ว ๆ นี้หลังจากที่เกิดอุบัติเหตุ[59]
มีการแจ้งเตือนจากมอสโกเป็นว่าไม่มีเหตุผลที่จะเลื่อนการฉลองวันแรงงานนานาชาติ 1 พฤษภาคมในเคียฟ (รวมทั้งขบวนพาเหรดประจำปี) แต่ในการประชุมวันที่ 30 เมษายนของสำนักทางการเมืองของคณะกรรมการกลางของ CP(b)U ที่จัดขึ้นเพื่อหารือเกี่ยวกับการวางแผนสำหรับการเฉลิมฉลองที่กำลังจะเกิดขึ้น นักวิทยาศาสตร์ได้รายงานว่าระดับรังสีในเมืองเคียฟเป็นปกติ ในที่ประชุมซึ่งเสร็จสิ้นเมื่อเวลา 18.00 น. มีการตัดสินใจที่จะลดการเฉลิมฉลองปกติจาก 3.5-4 ชม.ลงมาต่ำกว่า 2 ชม.[59]
สองชั้นของสระน้ำเดือดเป็นฟองใต้เครื่องปฏิกรณ์ทำหน้าที่เป็นอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่สำหรับการสูบน้ำระบายความร้อนฉุกเฉินและเป็นระบบการปราบปรามความดันที่มีความสามารถในการกลั่นไอน้ำในกรณีที่ท่อไอน้ำขนาดเล็กแตก ชั้นที่สามเหนือพวกมันแต่อยู่ใต้เครื่องปฏิกรณ์ที่ทำหน้าที่เป็นอุโมงค์ไอน้ำ ไอน้ำที่ปลดปล่อยออกมาจากท่อที่หักก็ควรที่จะเข้าสู่อุโมงค์ไอน้ำและถูกนำเข้าไปในสระน้ำฟองผ่านชั้นของน้ำ หลังจากภัยพิบัติ สระน้ำและห้องฐานรากถูกน้ำท่วมเพราะท่อน้ำที่ใช้ระบายความร้อนมันแตกและมีการสะสมของน้ำดับเพลิงและทำให้เกิดความเสี่ยงที่จะระเบิดด้วยไอน้ำที่ร้ายแรง
กราไฟท์ เชื้อเพลิงและวัสดุอื่น ๆ ข้างต้นที่ยังคุกรุ่นอยู่ที่อุณหภูมิมากกว่า 1,200 องศาเซลเซียส[67] เริ่มต้นติดไฟผ่านชั้นเครื่องปฏิกรณ์และผสมเข้ากับคอนกรีตที่หลอมละลายจากเยื่อบุปฏิกรณ์ ทำให้เกิด corium ซึ่งเป็นวัสดุกัมมันตรังสีกึ่งของเหลวเปรียบได้กับลาวา[68][69] ถ้าส่วนผสมนี้ละลายผ่านพื้นห้องลงไปในสระน้ำ ก็กลัวว่ามันอาจจะสร้างระเบิดไอน้ำที่ร้ายแรงที่อาจจะดีดวัสดุกัมมันตรังสีเพิ่มเติมออกจากเครื่องปฏิกรณ์ มันจะกลายเป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องระบายน้ำในสระออก[70]
สระที่น้ำมีสภาพเป็นฟองอาจจะมีการระบายน้ำออกโดยการเปิดประตูน้ำ อาสาสมัครในชุดดำน้ำดำผ่านน้ำกัมมันตรังสีเพื่อเปิดประตู พวกเหล่านี้เป็นวิศวกรอเล็กซี่ Ananenko (เค้ารู้ว่าวาล์วอยู่ที่ไหน) และ Valeri Bezpalov พร้อมกับชายคนที่สาม บอริส Baranov ที่ให้แสงสว่างแก่พวกเขาด้วยแสงจากหลอดไฟ แต่หลอดไฟของเขาก็ใช้ไม่ได้ ปล่อยให้พวกเขาต้องคลำหาวาล์วด้วยความรู้สึกของพวกเขาเองไปตามท่อ[71] ทุกคนกลับขึ้นไปยังผิวน้ำและตามคำกล่าวของ Ananenko เพื่อนร่วมงานของพวกเขากระโดดด้วยความสุขเมื่อพวกเขาได้ยินว่าพวกเขาได้จัดการเพื่อเปิดวาล์วเรียบร้อยแล้ว เมื่อโผล่ขึ้นมาที่ผิวน้ำ ทั้งสามคนมีอาการบาดเจ็บเรียบร้อยแล้วจากความเจ็บป่วยจากรังสีและต่อมาก็เสียชีวิต[72] บางแหล่งข้อมูลอ้างอย่างไม่ถูกต้องว่าพวกเขาเสียชีวิตในโรงงาน[71]
เป็นไปได้ว่ารังสีอัลฟาที่รุนแรงเป็นผู้ที่ทำการสลายโมเลกุล (อังกฤษ: radiolysis (hydrolyzed)) ของน้ำให้กลายเป็นละลายสารไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ (H2O2) ที่มีค่า pH ต่ำที่คล้ายกับกรดที่ถูกออกซิไดซ์[73] การเปลี่ยนน้ำที่เป็นฟองในสระน้ำให้เป็น H2O2 ได้รับการยืนยันจากการปรากฏตัวในลาวาเชียร์โนบีลของ studtite และ metastudtite [74][75] ที่เป็นแร่ธาตุสองอย่างนี้เท่านั่นที่มีเปอร์ออกไซด์[76]
จากนั้นจึงใช้เครื่องสูบน้ำดับเพลิงเพื่อระบายน้ำออกจากชั้นฐานราก การดำเนินการไม่เสร็จจนกระทั่งวันที่ 8 พฤษภาคม หลังจากที่ 20,000 เมตริกตันของน้ำกัมมันตภาพรังสีสูงถูกสูบออก
เมื่อสระฟองน้ำหายไป การหลอมละลายก็มีโอกาสน้อยที่จะก่อให้เกิดการระเบิดของไอน้ำที่มีประสิทธิภาพสูง เพื่อทำเช่นนั้น แกนที่หลอมละลายตอนนี้จะต้องไปให้ถึงระดับพื้นผิวของน้ำใต้ดิน (อังกฤษ: water table) ที่อยู่ด้านล่างของเครื่องปฏิกรณ์ เพื่อลดโอกาสที่จะเกิดสิ่งนี้ มีการตัดสินใจที่จะแช่แข็งแผ่นดินเบื้องล่างเครื่องปฏิกรณ์ ซึ่งยังช่วยรักษาเสถียรภาพของฐานรากอีกด้วย เมื่อใช้อุปกรณ์ขุดเจาะน้ำมัน การฉีดไนโตรเจนเหลวจะเริ่มต้นในวันที่ 4 พฤษภาคม คาดว่าจะต้องใช้ไนโตรเจนเหลว 25 ตันต่อวันเพื่อแช่แข็งดินที่ -100 °C [26]: 59 ความคิดนี้[77] ต่อมาถูกยุบทิ้งและในห้องด้านล่างที่จะทำการติดตั้งระบบระบายความร้อนก็ถูกกลบด้วยคอนกรีต
ส่วนที่เลวร้ายที่สุดของเศษซากกัมมันตรังสีถูกเก็บรวบรวมภายในสิ่งที่เหลืออยู่ของเครื่องปฏิกรณ์ จำนวนมากของมันถูกเก็บโกยไว้ข้างในโดยผู้ชำระบัญชี (อังกฤษ: liquidators) ที่ต้องสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันน้ำหนักมาก (ถูกขนานนามว่า "หุ่นยนต์ชีวภาพ" (อังกฤษ: bio-robots) โดยทหาร) คนงานเหล่านี้จะสามารถใช้เวลาได้ครั้งละไม่เกิน 40 วินาทีเท่านั้นในช่วงเวลาที่ทำงานอยู่บนหลังคาของอาคารโดยรอบเพราะปริมาณที่สูงมากของการฉายรังสีที่ปล่อยออกมาจากแท่งกราไฟท์และเศษซากอื่น ๆ ตัวเครื่องปฏิกรณ์เองก็ถูกปกคลุมด้วยถุงทราย ตะกั่วและกรดบอริกที่หย่อนลงมาจากเฮลิคอปเตอร์ ประมาณ 5000 ตันของวัสดุถูกหย่อนลงไปในช่วงสัปดาห์หลังการเกิดอุบัติเหตุ
ในขณะที่ยังคงมึความกลัวว่าเครื่องปฏิกรณ์อาจจะกลับเข้าสู่สภาวะปฏิกิริยาลูกโซ่นิวเคลียร์อย่างยั่งยืนด้วยตัวเองและระเบิดขึ้นอีก โครงสร้างบรรจุใหม่จึงมีการวางแผนที่จะป้องกันไม่ให้ฝนสาดและไปกระตุ้นให้เกิดการระเบิด และเพื่อป้องกันการปลดปล่อยต่อไปของวัสดุกัมมันตรังสี นี่เป็นงานวิศวกรรมโยธาใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับคนงานก่อสร้างหนึ่งในสี่ล้านคนที่ทุกคนมาถึงขีดจำกัดของรังสีตลอดช่วงชีวิตอย่างเป็นทางการ[53] เมื่อเดือนธันวาคม 1986 โลงศพคอนกรีตขนาดใหญ่ก็ถูกสร้างขึ้นเพื่อปิดผนึกเครื่องปฏิกรณ์และชิ้นส่วนของมัน[78] เหรียญรางวัล "ทำความสะอาด" ที่มีเอกลักษณ์ได้ถูกมอบให้กับคนงาน[79]
ยานพาหนะที่ผู้ชำระบัญชีเหล่านี้ใช้จำนวนมากยังคงจอดอยู่ในสนามในพื้นที่เชียร์โนบีล[80]
ในระหว่างการก่อสร้างโลงศพ ทีมงานทางวิทยาศาสตร์กลับเข้าไปที่เครื่องปฏิกรณ์อีกโดยเป็นส่วนหนึ่งของการสืบสวนที่ถูกขนานนามว่า "การเดินทางที่ซับซ้อน" เพื่อค้นหาและจัดการกับเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ในทางที่มันจะไม่สามารถทำให้เกิดการระเบิดซ้ำขึ้นอีก นักวิทยาศาสตร์เหล่านี้เก็บรวบรวมแท่งเชื้อเพลิงเย็นด้วยมือ แต่ความร้อนที่รุนแรงก็ยังคงเล็ดลอดออกมาจากแกน อัตราของการแผ่รังสีในส่วนต่าง ๆ ของอาคารได้รับการตรวจวัดโดยการเจาะรูลงไปในเครื่องปฏิกรณ์และใส่ท่อเครื่องตรวจจับโลหะที่ยาวลงไป นักวิทยาศาสตร์ได้สัมผัสกับระดับที่สูงของการฉายรังสีและฝุ่นกัมมันตรังสี[53]
หลังจากหกเดือนของการสืบสวน ในเดือนธันวาคมปี 1986 ด้วยความช่วยเหลือของกล้องระยะไกลพวกเขาค้นพบมวลของสารกัมมันตรังสีอย่างเข้มข้นในห้องใต้ดินของหน่วยที่สี่ ขนาดกว้างมากกว่าสองเมตรและมีน้ำหนักหลายร้อยตัน ซึ่งพวกเขาเรียกมันว่า "เท้าช้าง" ตามลักษณะรอยย่นของมัน มวลดังกล่าวประกอบด้วยทราย แก้วและเชื้อเพลิงนิวเคลียร์จำนวนมากที่รั่วออกมาจากเครื่องปฏิกรณ์ คอนกรีตภายใต้เครื่องปฏิกรณ์ถูกทำให้ร้อนด้วยไอน้ำและถูกทำให้แตกโดยลาวาที่แข็งตัวและรูปแบบที่น่าตื่นเต้นและไม่รู้จักที่เรียกว่าผลึก chernobylite มันก็สรุปได้ว่าไม่มีความเสี่ยงต่อการระเบิดเกิดขึ้นอีก[53]
ผู้ชำระบัญชีทำงานภายใต้สภาวะที่น่าเสียใจ การแจ้งเตือนที่แย่มากและมีการป้องกันที่ไม่ดี พวกเขาหลายคนแม้ไม่ใช่ส่วนมากก็เผชิญกับรังสีเกินขีดจำกัดของความปลอดภัย[61]: 177–183 [81]: 2 บางคนเกินขีดจำกัดไปกว่า 100 เท่าที่นำไปสู่ความตายอย่างรวดเร็ว[61]: 187
โซนที่ปนเปื้อนอย่างเป็นทางการกลายเป็นเวทีให้กับความพยายามที่จะต้องทำความสะอาดขนาดใหญ่ที่ต้องกินเวลาถึงเจ็ดเดือน[61]: 177–183 เหตุผลอย่างเป็นทางการสำหรับความพยายามของการกำจัดการปนเปื้อน (และอันตราย) อย่างเนิ่น ๆ เช่นนั้น แทนที่จะรอให้มันสลายตัวตามธรรมชาติ ก็คือการที่ที่ดินต้องถูกส่งกลับคืนให้ประชาชนใหม่และนำกลับมาใช้ในการเพาะปลูก อันที่จริงภายในสิบห้าเดือน 75% ของที่ดินได้ถูกใช้ในการเพาะปลูก แม้ว่าจะมีเพียงหนึ่งในสามของหมู่บ้านที่ถูกอพยพออกไปเท่านั้นที่มีการตั้งถิ่นฐานขึ้นใหม่ กองกำลังป้องกันจะต้องทำงานอย่างหนัก ดินแดนแห่งนี้ยังมีมูลค่าทางการเกษตรที่ร่อแร่ อ้างถึงนักประวัติศาสตร์เดวิด มาเปิลส์ ฝ่ายบริหารมีวัตถุประสงค์ทางจิตวิทยาสำหรับการทำความสะอาด พวกเขาปรารถนาที่จะป้องกันไว้ก่อนในความตื่นตระหนกเกี่ยวกับพลังงานนิวเคลียร์และแม้กระทั่งการรีสตาร์ทโรงไฟฟ้าเชียร์โนบีล[61]: 78–9, 87, 192–3
มีสองคำอธิบายอย่างเป็นทางการของการเกิดอุบัติเหตุ
คำอธิบายอย่างเป็นทางการครั้งแรกของการเกิดอุบัติเหตุ ซึ่งต่อมาได้รับการยอมรับว่าเป็นความผิดพลาด ถูกตีพิมพ์ในเดือนสิงหาคมปี 1986 มันตำหนิผู้ควบคุมเครื่องของโรงไฟฟ้า เพื่อตรวจสอบสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุ IAEA ได้ตั้งกลุ่มที่เรียกว่ากลุ่มที่ปรึกษาเกี่ยวกับความปลอดภัยนิวเคลียร์ระหว่างประเทศ (INSAG) ซึ่งในรายงานของกลุ่มนี้ในปี 1986 INSAG-1 โดยรวมยังสนับสนุนมุมมองนี้เช่นกัน โดยขึ้นอยู่กับข้อมูลที่จัดให้โดยโซเวียตและจากคำบอกเล่าจากปากของผู้เชี่ยวชาญ[82] ในมุมมองนี้ การเกิดอุบัติเหตุแบบภัยพิบัติมีสาเหตุมาจากการละเมิดขั้นต้นของกฎและระเบียบในการดำเนินงาน "ในระหว่างการเตรียมความพร้อมและการทดสอบของเครื่องกำเนิดไฟฟ้ากังหันภายใต้เงื่อนไขลดความเร็วโดยใช้โหลดเสริม บุคลากรตัดการเชื่อมต่อชุดของระบบการป้องกันทางด้านเทคนิคและการละเมิดบทบัญญัติความปลอดภัยในการปฏิบัติงานที่สำคัญที่สุดสำหรับการดำเนินการการฝึกฝนทางเทคนิค"[83]: 311
ความผิดพลาดของผู้ควบคุมเครื่องอาจจะเกิดจากการขาดความรู้ด้านฟิสิกส์ของเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์และวิศวกรรมนิวเคลียร์ รวมทั้งการขาดประสบการณ์และการฝึกอบรม ตามข้อกล่าวหาเหล่านี้ ในช่วงเวลาของการเกิดอุบัติเหตุ เครื่องปฏิกรณ์ดำเนินการในขณะที่ระบบความปลอดภัยที่สำคัญหลายอย่างถูกปิด ที่สะดุดตาที่สุดได้แก่ระบบทำความเย็นแกนฉุกเฉิน (ECCS) LAR (ระบบควบคุมอัตโนมัติท้องถิ่น) และ AZ (ระบบลดพลังงานฉุกเฉิน) บุคลากรมีความเข้าใจไม่เพียงพอในรายละเอียดของขั้นตอนทางเทคนิคที่เกี่ยวข้องกับเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์และเจตนาที่จะละเว้นข้อบังคับของการเสร็จสิ้นการทดสอบความเร็ว[83]
นักพัฒนาของโรงปฏิกรณ์พิจารณาว่าการรวมกันของหลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ดังนั้นจึงไม่อนุญาตให้มีการสร้างระบบการป้องกันเหตุฉุกเฉินที่มีความสามารถในการป้องกันการรวมกันของหลายเหตุการณ์ที่นำไปสู่วิกฤต เหตุการณ์นั้นคือการปิดการใช้งานอย่างตั้งใจของอุปกรณ์ป้องกันฉุกเฉินรวมกับการละเมิดของขั้นตอนการดำเนินงาน ดังนั้นสาเหตุหลักของการเกิดอุบัติเหตุคือการรวมกันที่ไม่น่าเป็นไปได้อย่างยิ่งของการละเมิดกฎบวกกับงานประจำของการดำเนินงานที่ยอมให้เกิดโดยเจ้าหน้าที่โรงไฟฟ้า[83]: 312
ในการวิเคราะห์สาเหตุของอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นนี้ ข้อบกพร่องหลายอย่างในการออกแบบเครื่องปฏิกรณ์และในกฎระเบียบของการดำเนินงานที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุถูกแยกไว้ต่างหากและถูกกล่าวถึงอย่างไม่เป็นทางการเท่านั้น ข้อสังเกตที่วิกฤตอย่างจริงจังครอบคลุมเพียงแค่เป็นคำถามทั่วไปเท่านั้นและไม่ได้พูดถึงเหตุผลที่เฉพาะเจาะจงสำหรับการเกิดอุบัติเหตุ ภาพทั่วไปที่ตามมาเกิดขึ้นจากการสังเกตเหล่านี้ ความผิดปกติเกี่ยวกับขั้นตอนหลายอย่างยังช่วยทำให้เกิดอุบัติเหตุอีกด้วย หนึ่งในนั้นก็คือการสื่อสารที่ไม่เพียงพอระหว่างเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยและผู้ควบคุมเครื่องที่รับผิดชอบในการทดสอบที่กำลังดำเนินไปในคืนนั้น
ผู้ควบคุมเครื่องปฏิกรณ์ได้ปิดระบบความปลอดภัยลงไปจนถึงเครื่องกำเนิดไฟฟ้าซึ่งการทดสอบกำลังดำเนินการอยู่ คอมพิวเตอร์กระบวนการหลัก-SKALA กำลังทำงานในลักษณะที่ว่าคอมพิวเตอร์ควบคุมหลักจะไม่สามารถปิดเครื่องปฏิกรณ์หรือแม้กระทั่งลดระดับพลังงาน ปกติแล้วเครื่องปฏิกรณ์ควรจะเริ่มต้นการเสียบแท่งควบคุมทั้งหมด เช่นเดียวกันคอมพิวเตอร์ก็ควรจะเริ่มต้น "ระบบป้องกันแกนฉุกเฉิน" ที่เสียบ 24 แท่งควบคุมเข้าไปในโซนที่ใช้งานภายใน 2.5 วินาที ซึ่งยังคงช้าตามมาตรฐานปี 1986 การควบคุมทั้งหมดถูกย้ายจากกระบวนการของคอมพิวเตอร์ไปยังผู้ควบคุมเครื่องที่เป็นมนุษย์
ในเรื่องของการปลดการเชื่อมต่อของระบบความปลอดภัย Valery Legasov กล่าวในปี 1987 ว่า "(มัน)เป็นเหมือนกับนักบินของเครื่องบินทำการทดลองกับเครื่องยนต์ในระหว่างการบิน"[55]
มุมมองนี้จะสะท้อนให้เห็นในสื่อสิ่งพิมพ์หลายฉบับและในงานศิลปะในแนวความคิดของอุบัติเหตุเชียร์โนบีลที่ปรากฏทันทีหลังจากที่เกิดอุบัติเหตุ[26] และยังคงโดดเด่นเป็นเวลานานในจิตสำนึกของประชาชนและในสื่อสิ่งพิมพ์ที่เป็นที่นิยม
ในปี 1991 กรรมการคนหนึ่งของคณะกรรมการแห่งรัฐสหภาพโซเวียตเพื่อการกำกับดูแลด้านความปลอดภัยในอุตสาหกรรมและการไฟฟ้านิวเคลียร์ได้มีการประเมินใหม่ถึงสาเหตุและสถานการณ์ของการเกิดอุบัติเหตุเชียร์โนบีลและได้มาซึ่งข้อมูลเชิงลึกใหม่และข้อสรุป บนพื้นฐานของมัน ในปี 1992 กลุ่มที่ปรึกษาด้านความปลอดภัยนิวเคลียร์ของ IAEA (INSAG) ได้ตีพิมพ์รายงานเพิ่มเติม INSAG-7[30] ซึ่งตรวจสอบ "ส่วนหนึ่งของรายงาน INSAG-1 ในที่ซึ่งความสนใจหลักได้ให้สาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุ" และได้รวมเข้ากับรายงานของสำนักงานคณะกรรมการกำกับรัฐสหภาพโซเวียตตามภาคผนวกที่หนึ่ง[30]
ตามรายงานของ INSAG ส่วนใหญ่ของข้อกล่าวหาก่อนหน้านี้ได้กล่าวหาพนักงานว่าละเมิดกฎระเบียบชึ่งเป็นที่รับรู้ว่าอาจเป็นการผิดพลาด บนพื้นฐานของข้อมูลที่ได้รับในเดือนสิงหาคมปี 1986 ที่ไม่ถูกต้อง หรือการละเมิดกฎระเบียบเกี่ยวข้องกับการเกิดอุบัติเหตุน้อยมาก รายงานนี้สะท้อนให้เห็นถึงมุมมองอื่นของเหตุผลหลักสำหรับการเกิดอุบัติเหตุที่นำเสนอในภาคผนวกที่หนึ่ง ตามหัวข้อนี้การกระทำของผู้ควบคุมเครื่องในการปิดฉุกเฉินระบบทำความเย็นของแกน มีการรบกวนการตั้งค่าของอุปกรณ์ป้องกันและการปิดกั้นระดับและความดันในถังแยก (อังกฤษ: separator drum) การกระทำเหล่านี้ไม่ได้นำไปสู่สาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุแต่แรกและขนาดของอุบัติเหตุ ถึงแม้ว่าพวกมันอาจเป็นการละเมิดกฎระเบียบก็ตาม การปิดระบบฉุกเฉินถูกออกแบบมาเพื่อป้องกันทั้งสองเครื่องกำเนิดไฟฟ้ากังหันไม่ให้มันหยุดและไม่ได้เป็นการละเมิดกฎระเบียบ[30]
ปัจจัยที่เป็นมนุษย์มีส่วนในการสร้างเงื่อนไขที่นำไปสู่การเกิดภัยพิบัติ ปัจจัยเหล่านี้รวมถึงการเดินเครื่องปฏิกรณ์ในระดับพลังงานที่ต่ำ คือต่ำกว่า 700 MW ซึ่งเป็นระดับที่มีการบันทึกไว้ในโปรแกรมการทดสอบเรื่องการลดความเร็ว และการดำเนินงานที่มีขนาดเล็กของส่วนต่างของปฏิกิริยาการดำเนินงาน (อังกฤษ: operational reactivity margin (ORM)) แม้จะมีการยืนยันของผู้เชี่ยวชาญโซเวียตในปี 1986 กฎระเบียบนั้นไม่ได้ห้ามการดำเนินงานของเครื่องปฏิกรณ์ที่ระดับพลังงานต่ำนี้[30]: 18
อย่างไรก็ตาม กฎระเบียบได้มีการห้ามการดำเนินงานของเครื่องปฏิกรณ์ที่ความต่างเล็ก ๆ ของการเกิดปฏิกิริยา แต่ "การศึกษาหลังอุบัติเหตุได้แสดงให้เห็นว่าวิธีการที่บทบาทที่แท้จริงของ ORM ที่สะท้อนให้เห็นในขั้นตอนการปฏิบัติและเอกสารการออกแบบสำหรับ RBMK-1000 มีความขัดแย้งกันอย่างมาก" และนอกจากนี้ "ORM ก็ไม่ได้มีการปฏิบัติในฐานะที่เป็นขีดจำกัดด้านความปลอดภัยในการปฏิบัติงาน การละเมิด ORM อาจนำไปสู่การเกิดอุบัติเหตุได้"[30]: 34–25
ตามรายงานของ INSAG-7, หัวหน้าได้ให้เหตุผลสำหรับการเกิดอุบัติเหตุว่าเป็นความแปลกประหลาดของฟิสิกส์และในการก่อสร้างเครื่องปฏิกรณ์ เหตุผลดังกล่าวมีสองประการดังนี้: [30]: 18
ส่วนที่เป็นกราไฟท์เริ่มจะแทนที่น้ำบางส่วน (ซึ่งน้ำนั้นดูดซับนิวตรอนตามที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น) ส่งผลให้นิวตรอนน้อยลงจะถูกดูดซึมในตอนแรก ดังนั้นสำหรับไม่กี่วินาทีแรกของการใช้งานก้านควบคุม การส่งออกพลังงานเครื่องปฏิกรณ์จะเพิ่มขึ้น แทนที่จะลดลงตามที่ต้องการ ลักษณะการทำงานนี้เป็นแบบค้านธรรมชาติและผู้ควบคุมเครื่องปฏิกรณ์ไม่รู้จัก
มุมมองทั้งสองอย่างถูกนำไปชักชวนอย่างมากจากกลุ่มต่าง ๆ รวมทั้งนักออกแบบเครื่องปฏิกรณ์ บุคลากรของโรงไฟฟ้า และรัฐบาลของโซเวียตและของยูเครน ตามการวิเคราะห์ของ IAEA ในปี 1986 สาเหตุหลักของการเกิดอุบัติเหตุคือการปฏิบัติของผู้ควบคุมเครื่อง แต่ตามการวิเคราะห์ฉบับปรับปรุงของ IAEA ปี 1993 สาเหตุหลักคือการออกแบบเครื่องปฏิกรณ์ฯ[86] เหตุผลหนึ่งที่มีมุมมองที่ขัดแย้งดังกล่าวและการอภิปรายมากเกี่ยวกับสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุเชียร์โนบีลก็คือข้อมูลหลักที่ครอบคลุมภัยพิบัติ ตามที่ได้รับการบันทึกโดยเครื่องมือและเซ็นเซอร์ ยังไม่ได้รับการตีพิมพ์อย่างสมบูรณ์ในแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
อีกครั้งหนึ่ง ปัจจัยมนุษย์จะต้องได้รับการพิจารณาว่าเป็นองค์ประกอบที่สำคัญในการก่อให้เกิดอุบัติเหตุ INSAG ตั้งข้อสังเกตว่าทั้งกฎระเบียบของการดำเนินงานและพนักงานได้จัดการการปิดการใช้งานระบบการป้องกันเครื่องปฏิกรณ์ได้อย่างง่ายดายพอเพียง: เป็นสักขีพยานในระยะเวลาซึ่ง ECCS ไม่ทำงานในขณะที่เครื่องปฏิกรณ์ได้รับการดำเนินการที่พลังงานครึ่งเดียว มุมมองของ INSAG คือความเบี่ยงเบนไปจากโปรแกรมการทดสอบของทีมงานปฏิบัติควรจะต้องถูกตำหนิเป็นส่วนใหญ่ "การเปลี่ยนแปลงที่น่าตำหนิและไม่ได้รับการอนุมัติส่วนใหญ่ในขั้นตอนการทดสอบมีการกระทำอย่างจงใจ แม้จะรู้ว่าโรงไฟฟ้าจะอยู่ในสภาพที่แตกต่างจากที่ตั้งใจไว้สำหรับการทดสอบ"[30]: 24
เหมือนอย่างในรายงานของ INSAG-1 ที่ออกมาก่อนหน้านี้ ความสนใจอย่างใกล้ชิดอยู่ในรายงาน INSAG-7 ที่ "วัฒนธรรมความปลอดภัย" (ในขณะที่เกิดอุบัติเหตุ) ในทุกระดับยังไม่เพียงพอ ความบกพร่องในวัฒนธรรมความปลอดภัยโดยธรรมชาติไม่เพียงแต่ในขั้นตอนการดำเนินงานเท่านั้น แต่ยัง และมีขอบเขตไม่น้อย ระหว่างการทำกิจกรรมในขั้นตอนอื่น ๆ ในช่วงชีวิตของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ (รวมถึงการออกแบบ การวิศวกรรม การก่อสร้าง การผลิต, และการควบคุม) คุณภาพที่ไม่ดีของขั้นตอนการปฏิบัติการและคำแนะนำและตัวอักษรที่ขัดแย้งกันของพวกมัน ได้วางภาระหนักให้กับทีมงานผู้ปฏิบัติ รวมทั้งหัวหน้าวิศวกร "อุบัติเหตุอาจกล่าวได้ว่าได้มีการไหลจากวัฒนธรรมความปลอดภัยที่บกพร่อง ไม่เพียงแต่ที่โรงไฟฟ้าเชียร์โนบีลเท่านั้น แต่ตลอดการออกแบบ การดำเนินงาน และองค์กรกฎระเบียบของโซเวียตสำหรับพลังงานนิวเคลียร์ที่มีอยู่ในเวลานั้น"[30]: 24
บทความหลัก: ผลกระทบจากภัยพิบัติเชียร์โนบีล
วัสดุกัมมันตรังสีถูกปล่อยออกจากเชียร์โนบีลมากกว่าระเบิดปรมาณูที่ฮิโรชิมาถึงสี่ร้อยเท่า ภัยพิบัตินี้ได้ปล่อยออกมา 1/100 ถึง 1/1000 ของปริมาณกัมมันตภาพรังสีทั้งหมดที่ปล่อยออกมาโดยการทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ในช่วงปี 1950s และ 1960s[87] ประมาณ 100,000 ตารางกิโลเมตรของที่ดินมีการปนเปื้อนอย่างมีนัยสำคัญด้วยฝุ่นละออง (อังกฤษ: fallout) ที่มีผลกระทบที่เลวร้ายที่สุดกับภูมิภาคที่อยู่ในเบลารุส ยูเครนและรัสเซีย[88] ระดับการปนเปื้อนที่น้อยกว่าได้รับการตรวจพบทั่วทั้งยุโรปยกเว้นคาบสมุทรไอบีเรีย[17][89][90]
หลักฐานเริ่มแรกที่การปลดปล่อยขนาดใหญ่ของวัสดุกัมมันตรังสีได้กำลังส่งผลกระทบต่อประเทศอื่น ๆ ไม่ได้มาจากแหล่งที่มาจากโซเวียต แต่มาจากสวีเดน ในเช้าวันที่ 28 เมษายน[91] คนงานที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ Forsmark (ห่างจากเชียร์โนบีลประมาณ 1,100 กิโลเมตร (680 ไมล์)) พบว่ามีอนุภาคกัมมันตรังสีบนเสื้อผ้าของพวกเขา[92]
สวีเดนเป็นผู้ค้นหาแหล่งที่มาของกัมมันตภาพรังสี หลังจากที่พวกเขาได้พิจารณาแล้วว่าไม่มีการรั่วไหลที่โรงไฟฟ้าของสวีเดน ในตอนเที่ยงของวันที่ 28 เมษายน พวกเขาค้นพบเบาะแสแรกว่าเกิดปัญหานิวเคลียร์ร้ายแรงในทางตะวันตกของสหภาพโซเวียต ดังนั้นการอพยพของ Pripyat ในวันที่ 27 เมษายน หรือ 36 ชั่วโมงหลังจากการระเบิดครั้งแรกก็เสร็จสมบูรณ์อย่างเงียบ ๆ ก่อนที่ภัยพิบัติจะกลายเป็นที่รู้จักนอกสหภาพโซเวียต ในเวลานั้นการเพิ่มขึ้นของระดับรังสีได้มีการวัดเรียบร้อยแล้วในฟินแลนด์ แต่การนัดหยุดงานของข้าราชการพลเรือนทำให้การตอบสนองและข่าวล่าช้า[93]
ประเทศ | 37–185 Becquerel(kBq)/m2 | 185–555 kBq/m2 | 555–1480 kBq/m2 | >1480 kBq/m2 | ||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|
km2 | % ของประเทศ | กม2 | % ของประเทศ | กม2 | % ของประเทศ | กม2 | % ของประเทศ | |
เบลารุส | 29,900 | 14.4 | 10,200 | 4.9 | 4,200 | 2.0 | 2,200 | 1.1 |
ยูเครน | 37,200 | 6.2 | 3,200 | 0.53 | 900 | 0.15 | 600 | 0.1 |
รัสเซีย | 49,800 | 0.29 | 5,700 | 0.03 | 2,100 | 0.01 | 300 | 0.002 |
สวีเดน | 12,000 | 2.7 | — | — | — | — | — | — |
ฟินแลนด์ | 11,500 | 3.4 | — | — | — | — | — | — |
ออสเตรีย | 8,600 | 10.3 | — | — | — | — | — | — |
นอร์เวย์ | 5,200 | 1.3 | — | — | — | — | — | — |
บัลแกเรีย | 4,800 | 4.3 | — | — | — | — | — | — |
สวิตเซอร์แลนด์ | 1,300 | 3.1 | — | — | — | — | — | — |
กรีซ | 1,200 | 0.91 | — | — | — | — | — | — |
สโลเวเนีย | 300 | 1.5 | — | — | — | — | — | — |
อิตาลี | 300 | 0.1 | — | — | — | — | — | — |
มอลโดวา | 60 | 0.2 | — | — | — | — | — | — |
รวม | 162,160 กม2 | 19,100 กม2 | 7,200 กม2 | 3,100 กม2 |
การปนเปื้อนจากอุบัติเหตุเชียร์โนบีลได้กระจัดกระจายอย่างไม่สม่ำเสมอขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ จำนวนมากของมันฝังอยู่บนพื้นที่ที่เป็นภูเขาเช่นเทือกเขาแอลป์ เทือกเขาเวลส์และที่ราบสูงสก็อต ซึ่งเป็นบริเวณที่การระบายความร้อนแบบอะเดียแบติก(โดยไม่มีการสูญหรือได้ความร้อน)ทำให้เกิดน้ำฝนกัมมันตรังสี รอยเชื่อมของการปนเปื้อนที่เป็นผลมักจะถูกรวมอยู่ภายในท้องที่หนึ่งอย่างสูงและน้ำที่ไหลไปทั่วพื้นดินช่วยส่งเสริมให้มีการแปรเปลี่ยนขนาดใหญ่มากขึ้นของกัมมันตภาพรังสีไปทั่วพื้นที่ขนาดเล็กหลายแห่ง สวีเดนและนอร์เวย์ยังได้รับฝุ่นผงอย่างหนักเมื่ออากาศที่ปนเปื้อนชนเข้ากับอากาศเย็น ทำให้เกิดฝน[95]: 43–44, 78
การทำฝนเทียมถูกจงใจให้ทำขึ้นทั่วพื้นที่ 10,000 ตารางกิโลเมตรของเบลารุส SSR โดยกองทัพอากาศโซเวียตเพื่อกำจัดอนุภาคกัมมันตรังสีจากกลุ่มเมฆที่กำลังมุ่งหน้าไปยังพื้นที่ที่มีประชากรสูง ฝนหนักสีดำตกลงในเมือง Gomel[96] หลายรายงานจากสหภาพโซเวียตและนักวิทยาศาสตร์ตะวันตกระบุว่าเบลารุสได้รับประมาณ 60% ของการปนเปื้อนที่ตกลงในอดีตสหภาพโซเวียต อย่างไรก็ตามรายงานของ TORCH ปี 2006 ระบุว่าครึ่งหนึ่งของอนุภาคระเหยได้ตกลงบนแผ่นดินนอกประเทศยูเครน เบลารุสและรัสเซีย พื้นที่ขนาดใหญ่ในรัสเซียภาคใต้ของ Bryansk ก็ปนเปื้อนเช่นกัน เพราะมันเป็นส่วนตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศยูเครน การศึกษาในประเทศโดยรอบระบุว่ามากกว่าหนึ่งล้านคนน่าจะได้รับผลกระทบจากรังสี[97]
ข้อมูลที่เผยแพร่เมื่อเร็ว ๆ นี้จากโปรแกรมเฝ้าระวังระยะยาว (รายงาน Korma)[98] แสดงให้เห็นถึงการลดลงของการสัมผัสรังสีภายในของคนที่อาศัยอยู่ในภูมิภาคหนึ่งของเบลารุสใกล้กับ Gomel การตั้งถิ่นฐานใหม่อาจจะเป็นไปได้ด้วยซ้ำในพื้นที่ต้องห้ามถ้าประชาชนปฏิบัติตามกฎระเบียบที่เหมาะสมเรื่องอาหาร
ในยุโรปตะวันตก มาตรการแบบระมัดระวังที่ดำเนินการเพื่อตอบสนองต่อรังสีดูเหมือนจะรวมถึงระเบียบตามอำเภอใจที่ห้ามการนำเข้าอาหารบางชนิดแต่ไม่ห้ามชนิดอื่น ๆ ในประเทศฝรั่งเศสเจ้าหน้าที่บางคนระบุว่าอุบัติเหตุที่เชียร์โนบีลไม่มีผลข้างเคียง[99] ตัวเลขอย่างเป็นทางการในภาคใต้ของบาวาเรียในเยอรมนีชี้ให้เห็นว่าบางสายพันธุ์พืชป่าจะมีระดับของซีเซียมอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งเชื่อกันว่าน่าจะมีการส่งผ่านไปยังพวกเขาโดยการบริโภคหมูป่า ที่จำนวนมากของมันได้ปนเปื้อนอนุภาคกัมมันตรังสีสูงกว่าระดับที่ยอมรับได้เรียบร้อยแล้ว[โปรดขยายความ][100]
การกลายพันธุ์ทั้งในมนุษย์[ต้องการอ้างอิง] และในสัตว์อื่น ๆ เพิ่มขึ้นตามหลังภัยพิบัติ ยกตัวอย่างเช่นในหลายฟาร์มในเมือง Narodychi Raion ของยูเครน ในสี่ปีแรกของภัยพิบัติ สัตว์เกือบ 350 ตัวเกิดมาพร้อมกับความผิดปกติขั้นต้นเช่นแขนขาหายไปหรือเกินมา ตา หัวหรือซี่โครงขาดหายไปหรือกะโหลกผิดรูป; ในการเปรียบเทียบ การเกิดแบบผิดปกติมีเพียงสามรายเท่านั้นที่มีการจดทะเบียนในช่วงห้าปีก่อนหน้า[101][102][103][104][105][106] แม้จะมีการเรียกร้องเหล่านี้ องค์การอนามัยโลกระบุว่า "เด็กที่อยู่ในครรภ์ก่อนหรือหลังจากที่พ่อของพวกเขาเปิดรับกับรังสีจะไม่แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างทางสถิติอย่างมีนัยสำคัญของความถี่ในการกลายพันธุ์"[107]
เช่นเดียวกับการปล่อยกัมมันตภาพรังสีเข้าสู่สภาพแวดล้อมอื่นๆหลายครั้ง การปล่อยของเชียร์โนบีลถูกควบคุมโดยคุณสมบัติทางกายภาพและทางเคมีของธาตุกัมมันตรังสีในแกนกลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เป็นอันตรายเป็นผลผลิตจากฟิชชั่นที่มีกัมมันตภาพรังสีสูง, พวกที่มีอัตราการสลายตัวทางนิวเคลียร์ (อังกฤษ: nuclear decay) สูงที่สะสมในห่วงโซ่อาหาร เช่นบางส่วนของไอโซโทปของไอโอดีน ซีเซียมและสตรอนเตียม ไอโอดีน-131 และซีเซียม-137 รับผิดชอบของรังสีส่วนใหญ่ที่ประชาชนทั่วไปได้รับ[108]
รายงานทีมีรายละเอียดเกี่ยวกับการปล่อยไอโซโทปรังสีจากแต่ละจุดได้ถูกตีพิมพ์ในปี 1989[109] และปี 1995[110] โดยที่รายงานฉบับหลังมีการอัปเดตในปี 2002[108]
เวลาที่ต่างกันหลังจากอุบัติเหตุ ไอโซโทปที่ต่างกันก็รับผิดชอบส่วนใหญ่ของปริมาณภายนอก กิจกรรมของไอโซโทปรังสีใด ๆ ซึ่งเท่ากับปริมาณของไอโซโทปที่เหลือนั้นหลังจากได้ผ่านการสลาย 7 ครึ่งชีวิต จะน้อยกว่า 1% ของขนาดเริ่มต้นของมัน[111] และจะยังคงลดต่อเลย 0.78% หลังจาก 7 ครึ่งชีวิตไปอยู่ที่ 0.098% ที่เหลือหลังจากผ่านไป 10 ครึ่งชีวิตที่ผ่านมาและลดลงไปเรื่อยๆ[112][113] การปล่อยไอโซโทปรังสีจากเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ถูกควบคุมอย่างสูงโดยจุดเดือดของพวกมันและส่วนใหญ่ของกัมมันตภาพรังสีที่ปรากฏในแกนกลางจะถูกเก็บไว้ในเครื่องปฏิกรณ์
อนุภาคสองขนาดถูกปล่อยออกมาได้แก่ อนุภาคขนาดเล็กที่ 0.3-1.5 ไมโครเมตร (เส้นผ่าศูนย์กลางทางพลศาสตร์) และอนุภาคขนาดใหญ่ที่ 10 ไมโครเมตร อนุภาคขนาดใหญ่ที่ประกอบด้วยประมาณ 80% ถึง 90% ของเซอร์โคเนียม-95, ไนโอเบียม-95, แลนทานัม-140, ซีเรียม-144 และองค์ประกอบ transuranic ที่เป็นรังสีไอโซโทปที่ไม่ระเหย ได้ถูกปล่อยออกมา รวมทั้งเนปทูเนียม พลูโตเนียมและแอกทิไนด์เล็กน้อยที่ฝังอยู่ในเมทริกซ์ยูเรเนียมออกไซด์
ปริมาณที่คำนวณเป็นอัตราปริมาณรังสีแกมมาภายนอกสัมพันธ์สำหรับคนที่ยืนอยู่ในที่โล่ง ปริมาณที่แน่นอนสำหรับคนที่อยู่ในโลกแห่งความจริงที่จะใช้เวลาส่วนใหญ่ของพวกเขาในการนอนหลับอยู่ในบ้านในที่กำบังจากฝุ่นละอองแล้วก็เดินทางออกไปบริโภคปริมาณภายในจากการสูดดมหรือการกินรังสีไอโซโทป ต้องใช้การวิเคราะห์แบบปริมาณรังสีการฟื้นฟูที่มีเฉพาะบุคคล
โรงไฟฟ้านิวเคลียร์เชียร์โนบีลตั้งอยู่ติดกับแม่น้ำ Pripyat ซึ่งป้อนเข้าสู่อ่างเก็บน้ำ Dnieper ซึ่งเป็นหนึ่งในระบบน้ำพื้นผิวที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปซึ่งในเวลาหนึ่งจ่ายน้ำให้กับประชาชน 2.4 ล้านคนที่อาศัยอยู่เมืองเคียฟและยังคงอยู่ในภาวะน้ำท่วมในฤดูใบไม้ผลิเมื่ออุบัติเหตุเกิดขึ้น[116]: 60 เพราะฉะนั้น การปนเปื้อนของสารกัมมันตรังสีของระบบน้ำจึงกลายเป็นปัญหาใหญ่ในทันทีหลังเกิดอุบัติเหตุ[117] ในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดของยูเครน ระดับของกัมมันตภาพรังสี (โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากกัมมันตรังสี 131I, 137Cs และ 90Sr) ในน้ำดื่มทำให้เกิดความกังวลในช่วงสัปดาห์หลายและหลายเดือนหลังจากที่เกิดอุบัติเหตุ[117] แม้ว่าอย่างเป็นทางการมันได้ถูกระบุว่าสารปนเปื้อนทั้งหมดได้ตกตะกอนลงไปด้านล่าง "ในขั้นตอนที่ไม่ละลายน้ำ" และจะไม่ละลายในอีก 800-1000 ปี[116]: 64 คำแนะนำสำหรับระดับของรังสีในน้ำดื่มถูกยกให้สูงขึ้นชั่วคราวเป็น 3,700 Bq/ลิตร เป็นการยอมให้น้ำส่วนใหญ่ที่จะถูกรายงานว่าปลอดภัย[117] และอีกหนึ่งปีหลังจากที่เกิดอุบัติเหตุมันก็ถูกประกาศว่าแม้แต้น้ำจากบ่อระบายความร้อนของโรงงานเชียร์โนบีลก็อยู่ในบรรทัดฐานที่ยอมรับได้ ทั้งๆที่มีการประกาศดังกล่าว สองเดือนหลังจากที่เกิดภัยพิบัติ แหล่งน้ำประปาเมืองเคียฟถูกเปลี่ยนอย่างกะทันหันจาก Dnieper ไปเป็นแม่น้ำ Desna[116]: 64–5 ในเวลาเดียวกัน กับดักตะกอนขนาดใหญ่ถูกสร้างขึ้น พร้อมกับผนังกั้นขนาดใหญ่ใต้ดินลึก 30 เมตรเพื่อป้องกันไม่ให้น้ำบาดาลจากเครื่องปฏิกรณ์ที่ถูกทำลายไหลลงไปในแม่น้ำ Pripyat[116]: 65–67
การสะสมของกัมมันตภาพรังสีแบบ Bio ในปลา[118] ที่เป็นผลมาจากความเข้มข้นของรังสี (ทั้งในยุโรปตะวันตกและในอดีตสหภาพโซเวียต) ในหลายกรณีอยู่ในระดับสูงสุดอย่างมีนัยสำคัญเหนือคำแนะนำสำหรับการบริโภค[117] ระดับสูงสุดที่แนะนำสำหรับรังสีจากซีเซียมในปลาจะแตกต่างกันในแต่ละประเทศ แต่จะมีค่าประมาณ 1,000 Bq/kg ในสหภาพยุโรป[119] ในอ่างเก็บน้ำเมืองเคียฟในยูเครน ความเข้มข้นในปลามีค่าหลายพัน Bq/kg ในช่วงหลายปีหลังจากที่เกิดอุบัติเหตุ[118]
ในทะเลสาบ "ถูกปิด" ขนาดเล็กในเบลารุสและภูมิภาค Bryansk ของรัสเซีย ความเข้มข้นของรังสีในสายพันธุ์ปลาจำนวนมากมีความแตกต่างกันตั้งแต่ 100 ถึง 60,000 Bq/kg ในช่วงเวลาระหว่าง 1990-1992[120] การปนเปื้อนของปลาสร้างความกังวลระยะสั้นในหลายส่วนของสหราชอาณาจักรและเยอรมนีและในระยะยาว (หลายปีมากกว่าจะเป็นเดือน) ในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบของยูเครน เบลารุส และรัสเซีย เช่นเดียวกับในหลายส่วนของสแกนดิเนเวีย[117]
น้ำบาดาลไม่ได้รับผลกระทบมากนักจากอุบัติเหตุเชียร์โนบีลเนื่องจากกัมมันตรังสีที่มีครึ่งชีวิตสั้นได้เสื่อมสลายไปนานก่อนที่พวกมันจะส่งผลกระทบต่อน้ำใต้ดินและรังสีที่มีอายุยาวกว่าเช่นรังสีซีเซียมและรังสีสตรอนเตียมได้ถูกดูดซับไปในดินพื้นผิวก่อนที่พวกมันจะสามารถถ่ายโอนไปยังน้ำใต้ดิน[121] อย่างไรก็ตาม การถ่ายโอนอย่างมีนัยสำคัญของรังสีไปยังน้ำใต้ดินได้เกิดขึ้นจากสถานที่กำจัดของเสียในระยะ 30 กิโลเมตร (19 ไมล์) ที่เป็นเขตยกเว้นรอบเชียร์โนบีล ถึงแม้ว่าจะมีศักยภาพพอสำหรับการถ่ายโอนกัมมันตรังสีจากสถานที่กำจัดเหล่านี้ออกไปข้างนอก (นั่นคือออกจากเขตยกเว้นระยะ 30 กิโลเมตร (19 ไมล์)) ก็ตาม รายงานเชียร์โนบีลของ IAEA[121] ก็แย้งว่าการถ่ายโอนนี้ไม่ได้มีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับระดับปัจจุบันของการชะล้างของกัมมันตภาพรังสีที่สะสมบนผิวดิน
หลังจากภัยพิบัติ สี่ตารางกิโลเมตรของป่าสนโดนลมพัดจากเครื่องปฏิกรณ์โดยตรงเปลี่ยนให้เป็นสีน้ำตาลแดงและตาย จึงได้รับฉายาว่า "ป่าสีแดง"[122] สัตว์บางชนิดในพื้นที่ที่ถูกกระทบอย่างเลวร้ายที่สุดก็ตายหรือหยุดการแพร่พันธ์อีกด้วย สัตว์ท้องถิ่นส่วนใหญ่ถูกโยกย้ายออกจากเขตยกเว้น แต่ม้าที่เหลืออยู่บนเกาะหนึ่งในแม่น้ำ Pripyat ที่ห่างไป 6 กม. (4 ไมล์) จากโรงไฟฟ้าต้องตายเมื่อต่อมธัยรอยด์ของพวกมันถูกทำลายโดยรังสีขนาด 150-200 Sv[123] วัวบางต้วบนเกาะเดียวกันก็ตายและพวกที่รอดชีวิตก็แคระแกรนเพราะความเสียหายของต่อมไทรอยด์ ลูกหลานต่อไปของมันดูเหมือนจะเป็นปกติ[123]
หุ่นยนต์ตัวหนึ่งได้ถูกส่งเข้าไปในเครื่องปฏิกรณ์ มันได้กลับมาพร้อมกับตัวอย่างของเชื้อราที่มีรังสีโภชนาการ (อังกฤษ: radiotrophic fungi) ที่อุดมไปด้วยเมลานินและมีสีดำที่กำลังเจริญเติบโตบนผนังของเครื่องปฏิกรณ์ฯ[124]
ในจำนวนของหมูป่า 440,350 ตัวที่ถูกฆ่าตายในฤดูล่าสัตว์ปี 2010 ในเยอรมนี มากกว่า 1000 ตัวถูกพบว่ามีการปนเปื้อนที่มีระดับรังสีเหนือขีดจำกัดที่ยอมรับได้ที่ 600 becquerels ต่อกิโลกรัมเนื่องจากกัมมันตภาพรังสีตกค้างจากเชียร์โนบีล[125]
ผู้มีอำนาจการเกษตรนอร์เวย์รายงานว่าในปี 2009 ปศุสัตว์รวมทั้งสิ้น 18,000 ตัวในนอร์เวย์ที่จำเป็นจะต้องเลี้ยงด้วยอาหารที่ไม่ปนเปื้อนเป็นระยะเวลาหนึ่งก่อนที่จะฆ่าเพื่อให้แน่ใจว่าเนื้อของพวกมันปลอดภัยสำหรับการบริโภคของมนุษย์ การดำเนินการนี้เนื่องจากกัมมันตภาพรังสีที่ตกค้างจากเชียร์โนบีลในพืชที่พวกมันและเล็มในป่าในช่วงฤดูร้อน แกะ 1,914 ตัวจำเป็นจะต้องเลี้ยงด้วยอาหารที่ไม่ปนเปื้อนเป็นระยะเวลาหนึ่งก่อนที่จะฆ่าในช่วงปี 2012 โดยที่แกะเหล่านี้ถูกเลี้ยงอยู่ในแค่ 18 เขตเทศบาลของนอร์เวย์ ลดลง 17 เขตจาก 35 เขตเทศบาลที่ได้รับผลกระทบในช่วงปี 2011 (117 เขตเทศบาลได้รับผลกระทบในช่วงปี 1986)[126]
ผลกระทบหลังจากเชียร์โนบีลคาดว่าจะได้เห็นไปอีกกว่า 100 ปี ถึงแม้ว่าความรุนแรงของผลกระทบจะลดลงตลอดช่วงเวลานั้น[127] นักวิทยาศาสตร์รายงานว่านี่เป็นเพราะสารกัมมันตรังสีไอโซโทปซีเซียม-137 ที่ถูกกินเข้าไปโดยเชื้อราเช่น caperatus Cortinarius ซึ่งก็จะถูกกินอีกทีโดยแกะในขณะที่มันแทะเล็ม[126]
สหราชอาณาจักรถูกบังคับให้จำกัดการเคลื่อนที่ของแกะจากพื้นที่สูงเมื่อกัมมันตรังสีซีเซียม-137 ตกลงทั่วหลายส่วนของไอร์แลนด์เหนือ เวลส์ สกอตแลนด์และภาคเหนือของอังกฤษ ในทันทีหลังเกิดภัยพิบัติในปี 1986 แกะรวม 4,225,000 ตัวถูกจำกัดการเคลื่อนที่ข้ามฟาร์ม 9,700 แห่งเพื่อป้องกันไม่ให้เนื้อสัตว์ที่ปนเปื้อนเข้าสู่ห่วงโซ่อาหารของมนุษย์[128] จำนวนของแกะและจำนวนของฟาร์มที่ได้รับผลกระทบเริ่มลดลงตั้งแต่ปี 1986 ไอร์แลนด์เหนือได้หลุดออกจากข้อจำกัดในปี 2000 และปี 2009 ฟาร์ม 369 แห่งที่มีแกะรอบ 190,000 ตัวยังคงอยู่ภายใต้ข้อจำกัดในเวลส์ และในเมือง Cumbria และภาคเหนือของสก็อตแลนด์[128] ข้อจำกัดที่ใช้กับสกอตแลนด์ถูกยกเลิกในปี 2010 ในขณะที่ข้อจำกัดที่ใช้กับเวลส์และคัมเบรีถูกยกเลิกในช่วงปี 2012 ซึ่งหมายความว่าไม่มีฟาร์มในสหราชอาณาจักรจะยังคงถูกจำกัดเพราะฝุ่นละอองจากเชียร์โนบีล[129][130]
กฎหมายที่ใช้ในการควบคุมการเคลื่อนที่ของแกะและเพื่อชดเชยให้กับเกษตรกร (เกษตรกรได้รับการชดเชยต่อตัวของสัตว์เพื่อให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายที่เพิ่มเติมในการถือครองสัตว์ก่อนที่จะมีการเฝ้าระวังรังสี) ได้ถูกยกเลิกในช่วงเดือนตุลาคมและพฤศจิกายน 2012 โดยเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องของสหราชอาณาจักร[131]
บทความหลัก: ผลกระทบจากภัยพิบัติเชียร์โนบีล
ดูเพิ่มเติม: การเสียชีวิตอันเนื่องมาจากภัยพิบัติที่เชียร์โนบีล
หลังเกิดเหตุ มีผู้ป่วยจากโรครังสีเฉียบพลัน (อังกฤษ: acute radiation sickness (ARS)) จำนวน 237 คน ในจำนวนนี้ 31 คนเสียชีวิตในช่วงสามเดือนแรก[13][132] ส่วนใหญ่เป็นเจ้าหน้าที่กู้ภัยและดับเพลิงที่พยายามควบคุมเหตุการณ์โดยไม่ทราบถึงอันตรายของการรับรังสีและควัน
ทั้งนี้ใน Chernobyl Forum ค.ศ. 2005 ที่ประกอบด้วยองค์การพลังงานปรมาณูนานาชาติ (IAEA) รวมทั้งองค์กรอื่น ๆ ของสหประชาชาติและรัฐบาลของเบลารุส รัสเซียและยูเครน ได้ตีพิมพ์รายงานเกี่ยวกับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพเนื่องจากรังสีจากอุบัติเหตุเชียร์โนบีล
เกียวกับจำนวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ รายงานระบุว่าคนงานฉุกเฉิน ("ผู้ชำระบัญชี" (อังกฤษ: liquidators)) 28 คนเสียชีวิตจากโรครังสีเฉียบพลัน รวมทั้งการเผาไหม้ขนาดเบต้าและ 15 คนที่เสียชีวิตจากมะเร็งต่อมไทรอยด์ในช่วงหลายปีต่อมา และมีการประมาณอย่างหยาบ ๆ ว่าการเสียชีวิตจากมะเร็งที่เกิดโดยเชียร์โนบีลอาจรวมแล้วสูงถึงประมาณ 4000 คนในจำนวนประชากร 5 ล้านคนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่ปนเปื้อน รายงานยังคาดการณ์อัตราการเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง "เพิ่มขึ้นน้อยกว่าร้อยละหนึ่ง" (~ 0.3%) ในช่วงเวลา 80 ปีข้างหน้า และยังเตือนอีกว่าการประมาณการนี้เป็นการ "เก็งกำไร" เท่านั้นเนื่องจากในเวลานี้ มีผู้เสียชีวิตจากมะเร็งเพียงไม่กี่รายที่เชื่อมโยงกับภัยพิบัติ Chernobyl[133] รายงานกล่าวต่อไปว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะทำนายอย่างน่าเชื่อถือถึงจำนวนของโรคมะเร็งร้ายแรงที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเนื่องจากความแตกต่างเล็ก ๆ ในสมมติฐานสามารถส่งผลในการแตกต่างอย่างมากในค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพโดยประมาณ รายงานกล่าวว่าตัวมันเองเป็นตัวแทนของมุมมองที่เป็นฉันทามติของแปดองค์กรสหประชาชาติ
จากคนงานฉุกเฉินชาวเบลารุสทั้งหมด 66,000 คน โดยช่วงกลางของปี 1990s เพียง 150 คนเท่านั้น (ประมาณ 0.2%) ที่รัฐบาลของพวกเขารายงานว่ามีการเสียชีวิต ในทางตรงกันข้าม มีรายงานว่าคนงานทำความสะอาดชาวยูเครน 5722 คนได้รับบาดเจ็บล้มตายจนถึงปี 1995 รายงานนี้เป็นของคณะกรรมการแห่งชาติเพื่อการป้องกันรังสีให้กับประชากรยูเครน[88]
นิวไคลด์กัมมันตรังสี(นิวไคลด์ที่ไม่เสถียร มีการสลายเพื่อลดระดับพลังงานโดยการปลดปล่อยรังสี เช่น แอลฟา บีตา แกมมา ออกมา นิวไคลด์กัมมันตรังสีที่ปรากฏอยู่ในธรรมชาติ และที่มาจากการผลิตของมนุษย์มีมากกว่า 1,300 ชนิด ตัวอย่างนิวไคลด์กัมตรังสีที่มีในธรรมชาติ เช่น $ _{92}^{235} $U $ _{92}^{238} $U $ _{19}^{40} $K และที่มนุษย์ผลิตขึ้นเช่น $ _{27}^{60} $Co $ _{43}^{99} $Tc $ _{95}^{241} $AM [นิวเคลียร์]) 4 ชนิดที่เป็นอันตรายมากที่สุดได้แพร่กระจายออกจากเชียร์โนบีล ได้แก่ไอโอดีน-131 ซีเซียม-134 ซีเซียม-137 และ strontium-90 มีครึ่งชีวิตอยู่ที่ 8.02 วัน, 2.07 ปี, 30.2 ปีและ 28.8 ปีตามลำดับ[134]: 8 ไอโอดีนถูกมองครั้งแรกกับมีภัยน้อยกว่าไอโซโทปอื่น ๆ เพราะครึ่งชีวิตของมันสั้น แต่มันก็มีความผันผวนสูงและตอนนี้ดูเหมือนว่าจะได้เดินทางออกมาไกลที่สุดและก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพที่รุนแรงที่สุดในระยะสั้น[88]: 24 สตรอนเตียม ในทางตรงกันข้าม มีความผันผวนน้อยที่สุดในรังสีสี่ตัวนั้นแต่ตัวมันเองเป็นความกังวลหลักในพื้นที่ใกล้กับเชียร์โนบีล[134]: 8 ไอโอดีนมีแนวโน้มที่จะกลายเป็นความเข้มข้นในต่อมไทรอยด์และต่อมนม และนำไปสู่อุบัติการณ์ที่เพิ่มขึ้นของการเกิดโรคมะเร็งต่อมไทรอยด์และอื่น ๆ ซีเซียมมีแนวโน้มที่จะสะสมในอวัยวะที่สำคัญเช่นหัวใจ[135]: 133 ในขณะที่สตรอนเตียมจะสะสมอยู่ในกระดูก ดังนั้นจึงอาจจะมีความเสี่ยงต่อกระดูกและเซลล์เม็ดเลือดขาว[134]: 8 รังสีเป็นตัวสร้างความเสียหายส่วนใหญ่ให้กับเซลล์ที่กำลังแบ่งตัวอย่างแข็งขัน ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่เป็นผู้ใหญ่ การแบ่งเซลล์เป็นไปอย่างช้า ๆ ยกเว้นในรูขุมขน ในผิวหนัง กระดูกและระบบทางเดินอาหาร ซึ่งเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมการอาเจียนและผมร่วงจึงเป็นอาการที่พบบ่อยของการเจ็บป่วยเฉียบพลันรังสี[136]: 42
สุขภาพในเบลารุสและยูเครนได้แสดงให้เห็นแนวโน้มที่รบกวนตามหลังภัยเชียร์โนบีล ในเบลารุส อุบัติการณ์ของโรคบกพร่องแต่กำเนิดได้เพิ่มขึ้น 40% ภายในหกสิบปีหลังการเกิดอุบัติเหตุไปยังจุดที่มันได้กลายเป็นสาเหตุหลักของการตายของทารก[137]: 52 โรคและมะเร็งต่างๆมีเพิ่มขึ้นมากเช่นโรคเกี่ยวกับการย่อยอาหาร โรคไหลเวียนของเลือด โรคประสาท โรคระบบทางเดินหายใจ และโรคต่อมไร้ท่อ ซึ่งมีความสัมพันธ์กับพื้นที่ที่มีการปนเปื้อนของสารกัมมันตรังสีที่สูง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในอำเภอที่ปนเปื้อนหนึ่งของเบลารุส ที่ 95% ของเด็กในปี 2005 ถูกรายงานว่ามีการเจ็บป่วยเรื้อรังอย่างน้อยหนึ่งโรค[135]: 129, 199 กระทรวงสาธารณสุขของยูเครนประมาณในปี 1993 อย่างหยาบว่า 70% ของประชากรไม่สบายโดยมีการเพิ่มขึ้นขนาดใหญ่ของโรคในระบบทางเดินหายใจ ในระบบเลือดและในระบบประสาท[88]: 27 โดยในปี 2000 ตัวเลขของชาวยูเครนที่อ้างว่าเป็น 'ผู้ประสบภัย' (poterpili) จากรังสีและกำลังรับผลประโยชน์จากรัฐได้เพิ่มขึ้นถึง 3.5 ล้านคนหรือ 5% ของประชากรทั้งหมด คนเหล่านี้หลายคนเป็นประชากรที่อพยพมาจากโซนที่ปนเปื้อนหรือเป็นอดีตคนงานของโรงงานเชียร์โนบีล[81]: 4–5 อ้างถึงหน่วยงานทางวิทยาศาสตร์ในเครือของ IAEA การเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนเหล่านี้ของสุขภาพที่ไม่ดีส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากความตึงเครียดทางเศรษฐกิจในประเทศเหล่านี้และการดูแลสุขภาพและการโภชนาการที่ไม่ดี นอกจากนี้หน่วยงานดังกล่าวยังแนะนำว่าการเฝ้าระวังทางการแพทย์ที่เพิ่มขึ้นหลังการเกิดอุบัติเหตุได้หมายความว่าหลายกรณีที่ก่อนหน้านี้ไม่มีใครสังเกตเห็น (โดยเฉพาะของโรคมะเร็ง) ได้กำลังถูกนำมาลงทะเบียนในตอนนี้[88]
ในจำนวน 'ผู้ชำระบัญชี' ประมาณ 600,000 คนที่ได้มีส่วนร่วมในการทำความสะอาดเชียร์โนบีล ประมาณหยาบ 50,000 คนต้องทำงานเป็น 'หุ่นยนต์ชีวภาพ' ในสภาพของการฉายรังสีที่รุนแรงขนาดที่ว่าหุ่นยนต์อิเล็กทรอนิกส์ยังต้องหยุดทำงาน หุ่นยนต์ชีวภาพเหล่านี้เป็นบุคลสำดัญที่รู้จักกันดีภายในทุกหมู่บ้าน ทุกบล็อกที่อยู่อาศัยและทุกศูนย์การทำงานร่วมกัน ส่วนใหญ่จะแก่ก่อนกำหนดและหลายคนได้เสียชีวิตและอัตราของโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวในกลุ่มของพวกเขาสูงเป็นอย่างมากกว่าในประชากรในวงกว้าง[81]: 9–10, 31 นักชาติพันธุ์วิทยา Adriana Petryna กล่าวว่าโรคบกพร่องแต่กำเนิดปรากฏว่าได้เพิ่มขึ้นในยูเครนเช่นกัน เธออธิบายถึงความผิดรูปโดยรวมในหน่วยทารกแรกเกิดของโรงพยาบาลเมือง Kyev รวมทั้งหนึ่งในทารกที่เกิดกับคนงานเชียร์โนบีล เด็กคนนั้นมีนิ้วเกินมาหนึ่งนิ้ว หูผิดรูป หลอดลมของเขาหายไปและลำไส้ของเขาอยู่ภายนอกร่างกาย เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลให้ความร่วมมือตลอด แต่เตือน Petryna ว่าเธอจะถูกห้ามในการเข้าถึงสถิติใด ๆ เพราะฉะนั้นเธอจะสามารถปฏิบัติกับกรณีเหล่านี้ว่าเป็นเพียงหลักฐานที่เล็กน้อย[81]: 7–8 สถิติที่แย่หรือการที่ไม่สามารถเข้าถึงสถิติได้หมายความว่าการเชื่อมต่อถึงสาเหตุเป็นเรื่องยากมากที่จะทำทั้งในเบลารุสและยูเครน สังเกตได้ว่าโดยเฉพาะกับเบลารุสที่จะยับยั้งหรือเพิกเฉยต่อการวิจัยที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพอย่างแข็งขัน[81]: 4–5 เศรษฐกิจที่คำนวณอย่างผิดพลาดคาดว่าจะมีค่าใช้จ่ายของประเทศสิบเท่ามากกว่ามันจะประหยัดได้[137]: 51–2 ชาวเบลารุสคนหนึ่งอธิบายว่า "เรามีบางปีที่ครั้งหนึ่งเกือบทุกวันมีงานศพ เราจะต้องมีการฝังศพประมาณห้าสิบคนในปีนั้น มันเกี่ยวข้องกับรังสีหรือไม่ ใครรู้บ้าง..."[135]: 259
ภายใต้การปกครองของสหภาพโซเวียต ขอบเขตของการบาดเจ็บจากรังสีถูกปกปิดอย่างเป็นระบบ กรณีการเจ็บป่วยจากรังสีอย่างเฉียบพลัน (ARS) ส่วนใหญ่ถูกหลอกว่าเป็นโรค 'Vegetovascular dystonia' (VvD) ซึ่งเป็นหมวดหมู่หนึ่งของสหภาพโซเวียตสำหรับประเภทหนึ่งของความผิดปกติอย่างหวาดกลัวที่มีอาการที่เป็นไปได้รวมทั้งใจสั่น เหงื่อออก ตัวสั่น คลื่นไส้ ความดันโลหิตต่ำหรือความดันโลหิตสูง โรคประสาท เกร็งและชัก ซึ่ง อาการเหล่านี้มีลักษณะคล้ายกับผลกระทบทางระบบประสาทของ ARS เอกสารลับแสดงให้เห็นว่ากระทรวงสาธารณสุขโซเวียตได้สั่งให้การวินิจฉัยที่ผิดพลาดอย่างเป็นระบบของ ARS เป็น VvD สำหรับทุกคนที่ไม่ได้แสดงอาการขั้นต้นของความเจ็บป่วยจากรังสีเช่นการเผาไหม้หรือการสูญเสียเส้นผม และสำหรับ 'ผู้ชำระบัญชี' ทุกคนที่ได้รับรังสีเกินปริมาณสูงสุดที่ได้รับอนุญาตของพวกเขา ปรากฏว่ามีสูงถึง 17,500 คนถูกวินิจฉัยให้ผิดพลาดโดยเจตนาในลักษณะนี้[81]: 43–4 การเรียกร้องต่อมาสำหรับสวัสดิการสุขภาพก็ถูกปฏิเสธบนพื้นฐานของการวินิจฉัยโรคแบบนี้หรือการใช้ประเภทอื่น ๆ ทางการแพทย์ด้านจิตสังคม (สุขภาพร่างกายที่ไม่ดีของแต่ละบุคคล การเหนี่ยวนำทางด้านจิตใจด้วยตนเอง)[81]: 11 เครื่องมือสำคัญสำหรับการปฏิเสธของโซเวียตคือ 'แนวคิด 35 rem' (rem=หน่วยวัดปริมาณรังสี) โดยที่จะถิอว่า 35 rems เป็นปริมาณรังสีที่ปลอดภัยสำหรับชั่วอายุคน "ตามมาตรฐานสากล" และเนื่องจากคนส่วนใหญ่ที่อยู่ใกล้เชียร์โนบีลได้รับน้อยกว่าค่านั้น การร้องทุกข์เกี่ยวกับสุขภาพของพวกเขาอาจจะเป็นผลมาจาก "โรคกลัวรังสี" (อังกฤษ: radiophobia)[135]: 47
ทั้งเบลารุสและยูเครนต้องพึ่งพาการช่วยเหลืออย่างมากจากต่างประเทศและถูกกดดันให้สอดคล้องกับมุมมองต่างประเทศเกี่ยวกับภัยพิบัติ ยกตัวอย่างเช่นในปี 2002 ธนาคารโลกได้แนะนำให้เบลารุส "เปลี่ยนความสนใจจากการคำนวณผลกระทบของการเกิดอุบัติเหตุไปเป็นการพัฒนากิจกรรมที่มองไปข้างหน้าที่ชี้ไปที่การพัฒนาทางเศรษฐกิจและการปรับปรุงคุณภาพชีวิตของผู้คนที่ได้รับผลกระทบ" สวัสดิการของรัฐบาลที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพถูกกล่าวหาว่าเป็นการสร้าง "ความรู้สึกของการตกเป็นเหยื่อและการพึ่งพา" ซึ่งทำให้ความผิดปกติของจิตใจเลวร้ายมากยิ่งขึ้น[135]: 98, 101 เบลารุสโดยเฉพาะอย่างยิ่งได้ปฏิบัติตามโดยไม่สนใจหรือปราบปรามการวิจัยทางวิทยาศาสตร์[81]: 4–5 นักประวัติศาสตร์ David Marples ให้เหตผลว่าเป็นเพราะความอ่อนแอของรัฐบาลและความสนใจกับความปรารถนาง่าย ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ[137]: 51–2
รายงานของเชียร์โนบีลฟอรั่มในปี 2005 เปิดเผยว่ามะเร็งต่อมไทรอยด์ในเด็กจะเป็นหนึ่งในหลายผลกระทบหลักต่อสุขภาพจากอุบัติเหตุเชียร์โนบีล ในสิ่งพิมพ์นั้นมากกว่า 4000 กรณีอยู่ในรายงานและไม่มีหลักฐานของการเพิ่มขึ้นของการเกิดโรคมะเร็งหรือโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวอย่างชัดเจน มันบอกว่ามีการเพิ่มขึ้นในปัญหาทางจิตใจในหมู่ประชาชนได้รับผลกระทบ[133] ดร. ไมเคิล Repacholi ผู้จัดการโครงการการฉายรังสีขององค์การอนามัยโลกได้รายงานว่า 4000 กรณีของโรคมะเร็งต่อมไทรอยด์มีผลในการเสียชีวิต 9 ราย[138]
ตามข้อมูลของ UNSCEAR จนถึงปี 2005 มีรายงานส่วนเกินกว่า 6,000 กรณีของโรคมะเร็งต่อมไทรอยด์ นั่นคือเกินกว่าค่าประมาณการพื้นฐานของอัตราการเกิดโรคมะเร็งต่อมไทรอยด์ก่อนการเกิดอุบัติเหตุ มากกว่า 6,000 กรณีสบาย ๆ ของมะเร็งต่อมไทรอยด์ได้รับรายงานในเด็กและวัยรุ่นที่สัมผัสในช่วงเวลาของการเกิดอุบัติเหตุ จำนวนนี้คาดว่าจะเพิ่มขึ้น พวกเขาสรุปว่าไม่มีหลักฐานอื่น ๆ ของผลกระทบต่อสุขภาพที่สำคัญจากการสัมผัสรังสี[139]
โรคมะเร็งต่อมไทรอยด์ที่มีการแบ่งแยกที่ดีโดยทั่วไปสามารถรักษาได้[140] และเมื่อได้รับการรักษา อัตราการรอดตายห้าปีของมะเร็งต่อมไทรอยด์เป็น 96% และ 92% หลังจาก 30 ปี[141] UNSCEAR รายงานการเสียชีวิต 15 รายจากมะเร็งต่อมไทรอยด์ในปี 2011[142] สำนักงานพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) ยังระบุด้วยว่าไม่มีการเพิ่มขึ้นของอัตราการเกิดข้อบกพร่องหรือความผิดปกติแต่กำเนิดหรือโรคมะเร็งที่เป็นของแข็ง (เช่นโรคมะเร็งปอด) ที่จะยืนยันการประเมินของ UNSCEAR[143] UNSCEAR ยกระดับความเป็นไปได้ของข้อบกพร่องทางพันธุกรรมระยะยาว โดยการชี้ไปที่การเพิ่มเป็นสองเท่าของการกลายพันธุ์ดาวเทียมขาดเล็กที่เหนี่ยวนำโดยรังสีที่เกิดขึ้นในหมู่เด็กที่เกิดในปี 1994[144] อย่างไรก็ตามความเสี่ยงของมะเร็งต่อมไทรอยด์ที่เกี่ยวข้องกับการเกิดอุบัติเหตุเชียร์โนบีลยังคงสูงตามการศึกษาที่ถูกตีพิมพ์[145][146]
บริษัทในเครือของเยอรมัน-แพทย์ระหว่างประเทศเพื่อการป้องกันสงครามนิวเคลียร์ (IPPNW) แย้งว่ามากกว่า 10,000 คนในวันนี้จะได้รับผลกระทบจากโรคมะเร็งต่อมไทรอยด์และ 50,000 กรณีคาดว่าจะมีในอนาคต[147]
Fred Mettler ผู้เชี่ยวชาญด้านรังสีที่มหาวิทยาลัยนิวเม็กซิโก ให้จำนวนผู้เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งทั่วโลกที่อยู่นอกเขตที่ปนเปื้อนสูงที่ "อาจจะ" เป็น 5000 คน รวมกับมะเร็งร้ายแรงที่เกี่ยวข้องกับเชียร์โนบีลเป็น 9000 คน โดยกล่าวว่า "ตัวเลขจะมีขนาดเล็ก (แทนความหมายไม่กี่เปอร์เซ็นต์) เมื่อเทียบกับความเสี่ยงที่เกิดขึ้นเองตามปกติของมะเร็ง แต่ตัวเลขจะมีขนาดใหญ่ในความหมายที่สมบูรณ์"[148] รายงานเดียวกันยังระบุถึงการศึกษาตามข้อมูลที่พบในทะเบียนของรัสเซียจากปี 1991-1998 ที่แนะนำว่า "ในจำนวนของคนงานชาวรัสเซีย 61,000 คนที่สัมผัสกับรังสีปริมาณเฉลี่ย 107 mSv, ประมาณ 5% ของการเสียชีวิตทั้งหมดที่เกิดขึ้นอาจจะเนื่องจากการสัมผัสกับรังสี"[133]
รายงานยังระบุในเชิงลึกเกี่ยวกับความเสี่ยงต่อสุขภาพจิตของความกลัวที่พูดเกินจริงเกี่ยวกับผลกระทบของรังสี[133] อ้างอิงจาก IAEA ว่า "การแต่งตั้งให้ประชากรที่ได้รับผลกระทบเป็น "เหยื่อ" แทนที่จะเป็น "ผู้รอดชีวิต" ได้นำพวกเขาให้รับรู้ว่าตัวพวกเขาเองเป็นผู้ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ อ่อนแอและขาดการควบคุมในอนาคตของพวกเขา" IAEA กล่าวว่าเรื่องนี้อาจได้นำไปสู่พฤติกรรมที่ได้ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพให้มากขึ้นไปอีก[149]
เฟร็ด Mettler แสดงความเห็นว่า 20 ปีต่อมา "ประชากรส่วนใหญ่จะยังคงไม่แน่ใจว่าผลกระทบของรังสีจริง ๆ แล้วเป็นอย่างไรและยังคงเก็บความรู้สึกของการสังหรฌ์ จำนวนมากของวัยรุ่นและผู้ใหญ่วัยหนุ่มสาวที่ได้รับการสัมผัสกับปริมาณรังสีที่เล็กขนาดจิ๋วหรือเล็กน้อยจะรู้สึกว่าพวกเขามีข้อบกพร่องรุนแรงอะไรสักอย่างและไม่มีข้อเสียที่จะใช้ยาเสพติดที่ผิดกฎหมายหรือการมีเพศสัมพันธ์แบบไม่มีการป้องกัน การย้อนกลับของทัศนคติและพฤติกรรมดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะต้องใช้เวลาหลายปีแม้ว่าบางกลุ่มเยาวชนได้เริ่มโปรแกรมที่มีคำมั่นสัญญา"[150] นอกจากนี้เด็กด้อยโอกาสรอบเชียร์โนบีลได้ทนทุกข์ทรมานจากปัญหาสุขภาพที่มีสาเหตุไม่เพียงแต่มาจากอุบัติเหตุเชียร์โนบีลเท่านั้น แต่ยังมาจากรวมถึงสภาพที่เลวร้ายของระบบสุขภาพรัฐบาลหลัง-โซเวียต[143]
คณะกรรมการวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับผลกระทบของรังสีจากอะตอมแห่งสหประชาชาติ (UNSCEAR) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเชียร์โนบีลฟอรั่มได้ผลิตการประเมินผลกระทบจากรังสีของพวกเขาเอง[151] UNSCEAR ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นความร่วมมือระหว่างหน่วยงานต่างๆสหประชาชาติ รวมทั้งองค์การอนามัยโลก หลังจากการโจมตีด้วยระเบิดปรมาณูที่ฮิโรชิมาและนางาซากิ เพื่อประเมินผลกระทบระยะยาวของรังสีที่มีต่อสุขภาพของมนุษย์[152]
จำนวนผู้เสียชีวิตที่อาจเกิดขึ้นจากภัยพิบัติที่เชียร์โนบีลได้มีการถกเถียงกันอย่างหนัก องค์การอนามัยโลกคาดการณ์ว่าจะมีผู้เสียชีวิตจากมะเร็ง 4000 คนในประเทศโดยรอบในอนาคต[153] การคาดการณ์มีพื้นฐานอยู่บน'รูปแบบไม่มีขีดจำกัดเชิงเส้น (อังกฤษ: Linear no-threshold model (LNT)) ซึ่งสันนิษฐานว่าความเสียหายที่ถูกทำโทษโดยการฉายรังสีในปริมาณที่ต่ำเป็นสัดส่วนโดยตรงกับปริมาณ effective dose[154] นักระบาดวิทยารังสี รอย ชอร์ เชื่อว่าการประเมินผลกระทบต่อสุขภาพในประชากรจากรูปแบบ LNT "ไม่ฉลาดเพราะความไม่แน่นอน"[155]
อ้างอิงถึง'สหภาพนักวิทยาศาสตร์ที่เป็นห่วง'จำนวนผู้เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งส่วนเกินทั่วโลก (รวมทั้งพื้นที่ที่ปนเปื้อนทั้งหมด) จะอยู่ที่ประมาณ 27,000 คนขึ้นอยู่กับ LNT เดียวกัน[156]
การศึกษาที่สำคัญอีกอันหนึ่งของรายงานเชียร์โนบีลฟอรั่มถูกแต่งตั้งให้ดำเนินการโดยกลุ่มกรีนพีซ ซึ่งยืนยันว่าตัวเลขที่เผยแพร่ล่าสุดชึ้ว่าในเบลารุส รัสเซียและยูเครน อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นอาจมีผลในการเสียชีวิตเพิ่มเติมถึง 10,000-200,000 รายในช่วงระหว่างปี 1990 และปี 2004[18] เลขานุการด้านวิทยาศาสตร์ของเชียร์โนบีลฟอรั่มได้วิพากษ์วิจารณ์รายงานเกี่ยวกับการที่มันต้องพึ่งพาการศึกษาที่ผลิตในพื้นที่ที่ไม่ผ่านการทบทวนจากเพื่อน แม้ว่าส่วนใหญ่ของแหล่งที่มาของการศึกษาจะมาจากวารสารที่ผ่านการทบทวนจกเพื่อน รวมทั้งจากวารสารทางการแพทย์ตะวันตกจำนวนมากก็ตาม การประมาณการของอัตราการตายที่สูงขึ้นจะมาจากแหล่งที่มาที่ไม่ผ่านการทบทวนจากเพื่อน[18] ในขณะที่เกรกอรี่ Hartl (โฆษกของ WHO) แนะนำว่าข้อสรุปได้รับแรงบันดาลใจโดยอุดมการณ์[157]
เชียร์โนบีล: ผลกระทบจากภัยพิบัติสำหรับผู้คนและสิ่งแวดล้อม เป็นภาษาอังกฤษของสิ่งพิมพ์ของรัสเซียในปี 2007 เชียร์โนบีล ซึ่งถูกตีพิมพ์ในปี 2009 โดยสถาบันวิทยาศาสตร์นิวยอร์กในงาน ประวัติศาสตร์ของ New York Academy of Sciences ของพวกเขา สิ่งพิมพ์นำเสนอการวิเคราะห์วรรณกรรมทางวิทยาศาสตร์และสรุปว่าเวชระเบียนระหว่างปี 1986 (ปีที่เกิดอุบัติเหตุ) และปี 2004 ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงผู้เสียชีวิตก่อนวัยอันควร 985,000 คนเป็นผลมาจากการปลดปล่อยกัมมันตภาพรังสี[158] แม้กระนั้น มันก็ยังเป็นไปไม่ได้ที่จะตรวจสอบได้อย่างแม่นยำถึงปริมาณของรังสีที่มีผลกระทบกับประชาชนเหล่านั้น เพื่อให้รู้ความจริงที่ว่าปริมาณที่ได้รับแตกต่างกันอย่างมากจากบุคคลหนึ่งไปยังอีกบุคคลหนึ่งในกลุ่มประชากรดังกล่าวข้างต้นในที่ซึ่งเมฆกัมมันตรังสีได้เดินทางไปถึง และยังให้รู้ความจริงที่ว่าไม่มีใครสามารถบอกได้อย่างมั่นใจว่าโรคมะเร็งในบุคคลจากอดีตสหภาพโซเวียตเกิดจากรังสีจากอุบัติเหตุเชียร์โนบีลหรือเกิดจากปัจจัยทางสังคมหรือพฤติกรรมอื่น ๆ เช่นการสูบบุหรี่หรือดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์[159]
ผู้เขียนแนะนำว่าส่วนใหญ่ของการเสียชีวิตอยู่ในรัสเซีย เบลารุสและยูเครน แต่ที่อื่น ๆ เกิดขึ้นทั่วโลกจากหลายประเทศที่ได้รับฝุ่นละอองกัมมันตรังสีจากเชียร์โนบีลที่ตกลงมา การวิเคราะห์วรรณกรรมสร้างสิ่งตีพิมพ์กว่า 1,000 ชื่อและสื่ออินเทอร์เน็ตและเอกสารการพิมพ์กว่า 5000 ชุดที่พูดคุยกันเรื่องผลกระทบของภัยพิบัติที่เชียร์โนบีล ผู้เขียนยืนยันว่าสิ่งพิมพ์และเอกสารเหล่านั้นถูกเขียนขึ้นโดยหน่วยงานชั้นนำในยุโรปตะวันออกและส่วนใหญ่ถูกมองว่าด้อยค่าหรือเพิกเฉยโดย IAEA และ UNSCEAR[158] การประมาณการนี้ก็ยังได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ว่าพูดเกินจริง ขาดพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ที่เหมาะสม[22]
ดูเพิ่มเติม: โรคกลัวรังสี (อังกฤษ: radiophobia)
หลังการเกิดอุบัติเหตุ นักข่าวไม่ไว้วางใจผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์จำนวนมาก (เช่นโฆษกจากกรรมการป้องกันรังสีแห่งชาติของสหราชอาณาจักร) และในทางเดียวกันก็สนับสนุนให้ประชาชนไม่ไว้วางใจพวกนี้ด้วย[160] ทั่วทวีปยุโรป ในประเทศที่การทำแท้งเป็นสิ่งถูกกฎหมาย การร้องขอเพื่อการทำแท้งจำนวนมาก แม้ว่าจะเป็นการตั้งครรภ์ตามปกติ จะได้รับอนุญาตโดยปราศจากความกลัวรังสีจากเชียร์โนบีล รวมทั้งจำนวนการทำแท้งส่วนเกินในเดนมาร์กในหลายเดือนหลังจากการเกิดอุบัติเหตุ[161] ในกรีซ หลังอุบัติเหตุ สูตินารีหลายคนไม่สามารถต้านทานต่อการร้องขอจากคุณแม่ตั้งครรภ์ที่กังวลเกี่ยวกับความกลัวรังสี แม้ว่าจะมีการระบุว่าปริมาณรังสียังผลกับชาวกรีกจะไม่เกิน 1 mSv (100 มิลลิเรม)ก็ตาม ปริมาณที่ต่ำกว่านั้นมากอาจก่อให้เกิดความผิดปกติของตัวอ่อนหรือผลกระทบที่ไม่สุ่มอื่น ๆ มีข้อสังเกตว่าเกินกว่า 2500 กรณีของการตั้งครรภ์ที่แม้ว่าจะตั้งใจได้ถูกยกเลิก อาจจะเป็นเพราะความกลัวของคุณแม่ในความเสี่ยงของรังสี[162] การร้องขอการทำแท้งในอิตาลีสูงกว่าจำนวนที่คาดหวัง "เล็กน้อย"[163][164]
อ้างถึงเคนเน็ธ Mossman ศาสตราจารย์ด้านฟิสิกส์สุขภาพและสมาชิกของคณะกรรมการที่ปรึกษากำกับกิจการพลังงานสหรัฐ[165] "ปรัชญา LNT เป็นอนุรักษ์นิยมมากเกินไปและการฉายรังสีในระดับต่ำอาจเป็นอันตรายน้อยกว่าที่เชื่อกัน"[166] Yoshihisa Matsumoto นักชีววิทยารังสีที่สถาบันเทคโนโลยีแห่งโตเกียว อ้างอิงถึงการทดลองในห้องปฏิบัติการกับสัตว์เพื่อแนะนำว่าจะต้องมีปริมาณหนึ่งที่เป็นเกณฑ์ที่ใต้เกณฑ์นั้นกลไกการซ่อมแซมดีเอ็นเอจะสามารถซ่อมแซมความเสียหายจากรังสีใด ๆ ได้อย่างสมบูรณ์[155] Mossman แนะนำว่าฝ่ายเสนอของรุ่นปัจจุบันเชื่อว่าการเป็นอนุรักษ์นิยมมีความเหมาะสมเนื่องจากความไม่แน่นอนรอบปริมาณรังสีระดับต่ำและมันจะดีกว่าที่จะมี "นโยบายสุขภาพของประชาชนอย่างรอบคอบ"[165]
เรื่องที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่งคือการจัดทำข้อมูลที่สอดคล้องกันกับข้อมูลที่มีพื้นฐานจากการวิเคราะห์ผลกระทบของการเกิดอุบัติเหตุที่เชียร์โนบีล ตั้งแต่ปี 1991 การเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่ทางสังคมและการเมืองได้เกิดขึ้นในภูมิภาคที่ได้รับผลกระทบและการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญในการบริหารงานของการดูแลสุขภาพ และกระทบกับความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม และลักษณะของข้อมูลทางสถิติที่เก็บรวบรวมได้[167] โรนัลด์ Chesser นักชีววิทยารังสีที่มหาวิทยาลัยเทคนิคเท็กซัสกล่าวว่า "การล่มสลายของสหภาพโซเวียตที่ตามมา ทุนที่ขาดแคลน การวัดปริมาณรังสีที่ไม่แน่นอนและความยากลำบากในการติดตามผู้คนตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา ได้จำกัดจำนวนของการศึกษาและความน่าเชื่อถือของพวกเขา"[155]
มันเป็นเรื่องยากที่จะจัดทำค่าใช้จ่ายทางเศรษฐกิจโดยรวมของภัยพิบัติ ตามที่นาย Mikhail Gorbachev สหภาพโซเวียตใช้เงิน 18 ล้านรูเบิล (เทียบเท่ากับ US$ 18 พันล้านในเวลานั้น) ในการเก็บกักและลบล้างการปนเปื้อน แทบล้มละลาย[3] ในเบลารุสค่าใช้จ่ายทั้งหมดกว่า 30 ปีอยู่ที่ประมาณ US$ 235 พันล้าน (เงินดอลลาร์ในปี 2005)[143] ค่าใช้จ่ายต่อเนื่องเป็นที่รู้จักกันดีในรายงานปี 2003-2005 ของพวกเขา เชียร์โนบีลฟอรั่มกล่าวว่าระหว่าง 5% ถึง 7% ของรัฐบาลที่จ่ายในยูเครนยังคงเกี่ยวข้องกับเชียร์โนบีล ในขณะที่ในเบลารุส มากกว่า $ 13 พันล้านคิดว่าน่าจะได้ใช้จ่ายไประหว่างปี 1991 ถึงปี 2003 ที่มี 22% ของงบประมาณของชาติเป็นการจ่ายเกี่ยวข้องกับเชียร์โนบีลในปี 1991 และลดลง 6% ในปี 2002[143] ค่าใช้จ่ายในปัจจุบันจำนวนมากจะเกี่ยวข้องกับการชำระเงินให้กับผลประโยชน์ทางสังคมที่เกี่ยวข้องกับเชียร์โนบีลให้กับประมาณ 7 ล้านคนทั่วทั้ง 3 ประเทศ[143]
ผลกระทบทางเศรษฐกิจที่สำคัญเป็นช่วงเวลานั้นก็คือการรื้อถอน 784,320 เฮกแตร์ (1,938,100 ไร่) ที่ดินเพื่อเกษตรกรรมและ 694,200 เฮกแตร์ (1,715,000 ไร่) ของป่าจากการผลิต ในขณะที่จำนวนมากของพื้นที่เหล่านี้ถูกคืนกลับไปใช้ใหม่ ค่าใช้จ่ายในการผลิตทางการเกษตรได้เพิ่มขึ้นเนื่องจากความต้องการสำหรับเทคนิคการเพาะปลูก ปุ๋ยและสารเติมแต่งที่พิเศษ[143]
ในทางการเมือง อุบัติเหตุได้ให้ความสำคัญที่ยิ่งใหญ่กับนโยบายใหม่ของโซเวียต - Glasnost[168][169] และช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดอย่างปลอมระหว่างโซเวียต-สหรัฐในตอนท้ายของสงครามเย็น ผ่านความร่วมมือด้านชีววิทยาศาสตร์[170]: 44–48 ภัยพิบัติได้กลายเป็นปัจจัยสำคัญในท้ายที่สุดของการสลายตัวของสหภาพโซเวียตในปี 1991 และมีอิทธิพลที่สำคัญในการปรับรูปร่างยุโรปตะวันออกใหม่[170]: 20–21
ทั้งยูเครนและเบลารุสในเดือนแรก ๆ ของการเป็นอิสระ ได้ลดเกณฑ์รังสีทางกฎหมายจากระดับเกณฑ์ของสหภาพโซเวียตที่สูงก่อนหน้านี้ (จาก 35 rems ตลอดชีพภายใต้สหภาพโซเวียตลงมาที่ 7 rems ตลอดชีพในยูเครนและ 0.1 rems ต่อปีในเบลารุส)[137]: 46–7, 119–124 เกณฑ์ใหม่นี้ต้องมีการขยายดินแดนที่เคยถูกพิจารณาว่ามีการปนเปื้อน ในยูเครนกว่า 500,000 คนถูกอพยพเข้าไปตั้งถิ่นฐานในขณะนี้ หลายคนได้กลายเป็นผู้สมัครเพื่อรับสวัสดิการทางการแพทย์และอื่น ๆ ยูเครนยังคงเก็บรักษาเครื่องปฏิกรณ์ที่ถูกทำลายเพื่อที่จะจ้างแรงงานในขนาดที่ใหญ่มากเพื่อให้เวลาของการสัมผ้สแต่ละครั้งต่ำลง คนงานเหล่านี้จำนวนมากได้ลงทะเบียนนับตั้งแต่พิการและสมัครเข้ารับสวัสดิการ ในยูเครนภัยพิบัติเชียร์โนบีลเป็นไอคอนของขบวนการชาตินิยม มีสัญลักษณ์ว่าทุกสิ่งผิดเพราะสหภาพโซเวียต และสวัสดิการกลายเป็นแพลตฟอร์มที่สำคัญสำหรับการชนะต่อการไม่เป็นเมืองขึ้น ยูเครนได้พัฒนาระบบสวัสดิการขนาดใหญ่และเป็นภาระตั้งแต่นั้นและมันได้กลายเป็นเสียหายและไร้ประสิทธิภาพมากขึ้น[170] มันได้นำเสนอข้อเรียกร้องด้านสวัสดิการเพิ่มขึ้นอย่างมากตั้งแต่ปี 1991 โดยการสาธิตของความถูกต้องทางศีลธรรมของตัวมันเอง และโดยเป็นข้อถกเถียงสำหรับความต้องการความช่วยเหลือจากต่างประเทศ[170]: 24 เบลารุสในทางตรงกันข้ามจะอ่อนแอทางการเมืองเมื่อมันได้รับเอกราช และมองไปที่มอสโกสำหรับคำแนะนำ ในหลาย ๆ เสันทาง มันได้กลับไปที่นโยบายของสหภาพโซเวียตเก่าเกี่ยวกับความลับและการปฏิเสธ[137]: 46–7, 119–124 [170]: 22–24
หลังการเกิดอุบัติเหตุ มีหลายคำถามเกี่ยวกับอนาคตของโรงงานและชะตากรรมของมันในที่สุด งานทั้งหมดบนเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์หมายเลข 5 และ 6 ที่ยังไม่เสร็จถูกระงับสามปีต่อมา อย่างไรก็ตามปัญหาที่โรงงานเชียร์โนบีลไม่ได้จบลงพร้อมกับภัยพิบัติในเครื่องปฏิกรณ์หมายเลข 4 เครื่องปฏิกรณ์ที่เสียหายถูกปิดผนึกและ 200 ลูกบาศก์เมตร (260 ลูกบาศ์กหลา) ของคอนกรีตถูกวางอยู่ระหว่างสถานที่เกิดภัยพิบัติและอาคารการดำเนินงาน[ต้องการอ้างอิง] งานนี้ได้รับการจัดการโดย Grigoriy Mihaylovich Naginskiy รองหัวหน้าวิศวกรของการติดตั้งและผู้อำนวยการก่อสร้าง-90 รัฐบาลยูเครนยังคงยอมให้สามเครื่องปฏิกรณ์ที่เหลือทำงานเพราะปัญหาการขาดแคลนพลังงานในประเทศ
บทความหลัก: โรงไฟฟ้านิวเคลียร์เชียร์โนบีล รื้อถอน
ในปี 1991 เกิดไฟไหม้ในอาคารกังหันของเครื่องปฏิกรณ์ที่ 2[171] ต่อมาเจ้าหน้าที่ประกาศว่าเครื่องปฏิกรณ์ได้รับความเสียหายเกินกว่าจะซ่อมแชมและถูกทำให้เป็นออฟไลน์ เครื่องปฏิกรณ์ 1 ถูกรื้อถอนในเดือนพฤศจิกายนปี 1996 โดยเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงระหว่างรัฐบาลยูเครนและองค์กรระหว่างประเทศเช่น IAEA เพื่อสิ้นสุดการดำเนินงานที่โรงงาน ในวันที่ 15 ธันวาคม 2000 ประธานาธิบดีในเวลานั้น Leonid Kuchma ปิดเครื่องปฏิกรณ์ที่ 3 ด้วยตัวเองในพิธีปิดโรงไฟฟ้าทั้งหมดอย่างเป็นทางการ[172]
เครื่องปฏิกรณ์เชียร์โนบีลขณะนี้ถูกปิดล้อมอยู่ในโลงศพคอนกรีตขนาดใหญ่ ซึ่งถูกสร้างขึ้นอย่างรวดเร็วเพื่อให้สามารถดำเนินงานอย่างต่อเนื่องของเครื่องปฏิกรณ์อื่น ๆ ที่โรงไฟฟ้า[173]
ตัวเก็บที่ปลอดภัยใหม่จะต้องถูกสร้างขึ้นภายในสิ้นปี 2005 อย่างไรก็ตาม มันมีปัญหาเนื่องจากความล่าช้าอย่างต่อเนื่องและ ณ ปี 2010 เมื่อการก่อสร้างเริ่มได้ในที่สุด มันคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2013 มันถูกเลื่อนออกไปอีกครั้งไปที่ปี 2016 ซึ่งเป็นตอนปลายของอายุการใช้งาน 30 ปีของโลงศพ โครงสร้างจะถูกสร้างขึ้นติดกับโรงเก็บเดิมและจะถูกเลื่อนให้เข้าที่โดยราง มันจะเป็นโลหะโค้งสูง 105 เมตร (344 ฟุต) และทอดยาว 257 เมตร (843 ฟุต) เพื่อให้ครอบคลุมทั้งหน่วยที่ 4 และโครงสร้างอื่นที่สร้างขึ้นอย่างเร่งรีบในปี 1986 'กองทุนโรงเก็บเชียร์โนบีล' ถูกตั้งขึ้นในปี 1997 ได้รับ €810 ล้านจากผู้บริจาคและโครงการระหว่างประเทศเพื่อให้ครอบคลุมโครงการนี้และงานก่อนหน้า กองทุนนี้และ 'บัญชีความปลอดภัยนิวเคลียร์' ยังถูกใช้ในการรื้อถอนเชียร์โนบีลอีกด้วย ทั้งสองกองทุนมีการจัดการโดยธนาคารยุโรปเพื่อการบูรณะและพัฒนา (EBRD)[ต้องการอ้างอิง]
ในปี 2002 คนงานยูเครนประมาณ 15,000 คนยังคงทำงานในโซนการยกเว้น ทำการบำรุงรักษาโรงงานและปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับการบรรจุและการวิจัยอื่น ๆ และมักจะอยู่ในสภาพที่อันตราย[170]: 2 นักวิทยาศาสตร์ยูเครนทำงานเต็มกำลังภายในโลงศพ แต่บุคคลภายนอกจะยากที่จะได้รับอนุญาตให้เข้าไป ในปี 2006 ทีมงาน '60 นาที' ของออสเตรเลีย นำโดยนักข่าว ริชาร์ด Carleton และผู้ผลิต สตีเฟ่น Rice ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในโลงศพเป็นเวลา 15 นาทีและถ่ายเป็นภาพยนตร์ภายในห้องควบคุม[174]
เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2013 ส่วนหลังคาพื้นที่ 600 m2 (6,500 ตารางฟุต) ของอาคารกังหันที่อยู่ติดกับโลงศพได้ทรุดตัวลงมา ตอนแรกมีการสันนิษฐานว่าหลังคาทรุดตัวลงเพราะน้ำหนักของหิมะบนนั้น อย่างไรก็ตามปริมาณของหิมะไม่ได้มีอะไรพิเศษ และรายงานของคณะกรรมการแสวงหาข้อเท็จจริงของยูเครนสรุปว่าชิ้นส่วนที่ทรุดตัวลงมาของอาคารกังหันเป็นผลมาจากงานซ่อมแซมที่ไม่เป็นระเบียบและความเก่าแก่ของโครงสร้าง รายงานกล่าวถึงความเป็นไปได้ที่ว่าส่วนซ่อมแซมของอาคารกังหันเพิ่มแรงเครียดขนาดใหญ่บนโครงสร้างรวมมากกว่าที่คาดไว้ และคานรองรับหลังคาได้รับความเสียหายจากการกัดกร่อนและการเชื่อมที่ไม่เรียบร้อย ผู้เชี่ยวชาญหลายคน อย่างเช่น Valentin Kupny อดีตรองผู้อำนวยการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ได้เตือนว่ากลุ่มอาคารอยู่บนปากเหวของการล่มสลาย ปล่อยให้อาคารอยู่ในสภาพที่อันตรายมาก โครงสร้างเสริมแรงที่ถูกนำเสนอในปี 2005 ถูกยกเลิกโดยเจ้าหน้าที่ระดับสูง หลังจากเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ระดับกัมมันตภาพรังสีเพิ่มขึ้นไปที่ 19 becquerels ต่อลูกบาศก์เมตรของอากาศ หรือ 12 เท่าของค่าปกติ รายงานสันนิษฐานว่าสารกัมมันตรังสีจากภายในโครงสร้างแพร่กระจายไปยังสภาพแวดล้อมหลังจากหลังคาทรุดตัวลง คนงานทั้งหมด 225 คนที่ถูกจ้างโดยเชียร์โนบีลและบริษัทฝรั่งเศสที่กำลังสร้างโรงเก็บใหม่ถูกอพยพไม่นานหลังจากการถล่ม อ้างถึงผู้จัดการของกลุ่มอาคาร ระดับรังสีโดยรอบโรงงานอยู่ในระดับปกติ (ระหว่างวันที่ 5 และ 6 μSv/ชม) และไม่ควรมีผลต่อสุขภาพของคนงาน อ้างถึง Kupny สถานการณ์ได้รับการประเมินต่ำเกินไปโดยผู้จัดการกลุ่มอาคารนิวเคลียร์เชียร์โนบีลและข้อมูลต่างๆก็ถูกเก็บไว้เป็นความลับ[175][176]
ณ ปี 2006 เชื้อเพลิงบางส่วนยังคงอยู่ในเครื่องปฏิกรณ์หน่วยที่ 1 ถึง 3 ส่วนใหญ่ในบ่อเชื้อเพลิงใช้แล้ว (อังกฤษ: spent fuel pool) ของแต่ละหน่วย เช่นเดียวกับวัสดุบางอย่างในบ่อสถานที่จัดเก็บเชื้อเพลิงใช้แล้วระหว่างกาล (อังกฤษ: interim storage facility (ISF-1)) ขนาดเล็ก
ในปี 1999 มีการเซ็นสัญญาเพื่อก่อสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกในการจัดการกากกัมมันตรังสีในการจัดเก็บ 25,000 ส่วนประกอบเชื้อเพลิงใช้แล้วจากหน่วยที่ 1-3 และของเสียจากการดำเนินงานอื่น ๆ รวมทั้งวัสดุจากการรื้อถอนหน่วย 1-3 (ซึ่งจะเป็นครั้งแรกที่หน่วย RBMK ถูกปลดประจำการ ) สัญญาจะรวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกในการประมวลที่สามารถตัดส่วนประกอบเชื้อเพลิง RBMK และบรรจุวัสดุในถังซึ่งจะถูกเติมเต็มด้วยก๊าซเฉื่อยและทำการปิดด้วยการเชื่อม
ถังเหล่านั้นจะถูกเคลื่อนย้ายไปยังห้องใต้ดินแห้ง ซึ่งเป็นสถานที่ที่ภาชนะบรรจุเชื้อเพลิงจะถูกปิดล้อมนานถึง 100 ปี สถานที่เพื่อความสะดวกนี้สามารถบำบัดถังเชื้อเพลิงได้ 2500 ถังต่อปี และสถานที่นี้จะเป็นครั้งแรกของชนิดของมันสำหรับเชื้อเพลิงของ RBMK อย่างไรก็ตามหลังจากส่วนสำคัญของโครงสร้างอาคารจัดเก็บถูกสร้างขึน ข้อบกพร่องทางเทคนิคในแนวคิดก็โผล่ออกมา และสัญญาได้ยกเลิกในปี 2007 สถานที่จัดเก็บเชื้อเพลิงใชัแล้วระหว่างกาล (ISF-2) ตอนนี้จะถูกสร้างให้แล้วเสร็จโดยคนอื่น ๆ ในช่วงกลางปี 2013[ต้องการอ้างอิง]
สัญญาอีกอันหนึ่งได้ถูกเซ็นสำหรับโรงบำบัดกากกัมมันตรังสีที่ของเหลว เพื่อจัดการกับกากของเหลวระดับต่ำและระดับกลางประมาณ 35,000 ลูกบาศก์เมตรที่จุดผลิต กากเหล่านี้จะต้องมีการทำให้เป็นของแข็งและนำไปฝังในที่สุดพร้อมกับขยะแข็งในไซต์งาน[ต้องการอ้างอิง]
ในเดือนมกราคมปี 2008 รัฐบาลยูเครนประกาศแผนการรื้อถอน 4 ระยะที่รวมเอากิจกรรมกำจัดของเสียดังกล่าวกับการดำเนินไปสู่การชำระล้างไซต์[97]
บทความหลัก: Corium (เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์)
ตามการประมาณการอย่างเป็นทางการ ประมาณ 95% ของเชื้อเพลิงในเครื่องปฏิกรณ์ 4 ในเวลาที่เกิดอุบัติเหตุ (ประมาณ 180 เมตริกตัน) ยังคงอยู่ภายในโรงเก็บ ที่มีกัมมันตภาพรังสีรวมเกือบ 18 ล้านคูรี (670 PBq) วัสดุกัมมันตรังสีประกอบด้วยชิ้นส่วนแกนกลาง ฝุ่นและ "วัสดุที่ประกอบด้วยเชื้อเพลิง" (อังกฤษ: fuel-containing materials (FCM)) ที่มีลักษณะเหมือนลาวา หรือที่เรียกว่า "corium" ที่ไหลไปทั่วอาคารปฏิกรณ์ที่พังเสียหายก่อนที่จะแข็งตัวอยู่ในรูปแบบเซรามิก
มีลาวาสามชนิดที่แตกต่างกันที่พบในห้องใต้ดินของอาคารเครื่องปฏิกรณ์ ได้แก่ลาวาสีดำ, สีน้ำตาล, และลาวาเซรามิกรูพรุน วัสดุลาวาเป็นแก้วซิลิเกตที่มีวัสดุอื่น ๆ ผสมอยู่ภายใน ลาวารูพรุนเป็นลาวาสีน้ำตาลที่หยดลงในน้ำและถูกทำให้เย็นลงอย่างรวดเร็ว
มันก็ไม่มีความชัดเจนว่าอีกนานเท่าไรที่รูปแบบเซรามิกจะสามารถชะลอการปลดปล่อยกัมมันตภาพรังสี จากปี 1997 ถึงปี 2002 สิ่งตีพิมพ์ที่ออกมาอย่างต่อเนื่องได้แนะนำว่าการฉายรังสีด้วยตัวเองของลาวาจะแปลงทั้งหมด 1,200 ตันให้เป็นฝุ่นขนาดหนึ่งในล้านเมตรและฟุ้งกระจายได้ภายในไม่กี่สัปดาห์[177] แต่มีรายงานว่าการสลายตัวของลาวามีแนวโน้มที่จะเป็นกระบวนการที่ช้าและค่อยเป็นค่อยไปมากกว่าอย่างฉับพลันและรวดเร็ว[178] เอกสารเดียวกันระบุว่าการสูญเสียของยูเรเนียมจากเครื่องปฏิกรณ์ที่อับปางเป็นเพียง 10 กิโลกรัม (22 ปอนด์) ต่อปี อัตราที่ต่ำของการฉุดรั้งยูเรเนียมแนะนำว่าลาวานี้มีลักษณะที่ต้านทานต่อสภาพแวดล้อม[178] เอกสารยังระบุอีกด้วยว่าเมื่อโรงเก็บได้รับการปรับปรุง อัตราการฉุดรั้งของลาวาจะลดลง[178]
บางส่วนของพื้นผิวของการไหลของลาวาได้เริ่มต้นที่จะแสดงให้เห็นถึงแร่ธาตุยูเรเนียมใหม่ ๆ เช่น Na4(UO2)(CO3)3 และ uranyl carbonate อย่างไรก็ตาม ระดับของกัมมันตภาพรังสีเป็นเช่นว่าในช่วง 100 ปี การฉายรังสีด้วยตนเองของลาวา (2×1016 α สลายตัวต่อกรัมและ 2 ถึง 5×105 Gy ของ β หรือ γ) จะตกลงในระยะสั้นของระดับที่จำเป็นเพื่อเปลี่ยนคุณสมบัติของแก้ว (1018 α สลายตัวต่อกรัม และ 108 ถึง 109 Gy ของ β หรือ γ) นอกจากนี้อัตราการละลายของลาวาในน้ำจะต่ำมาก (10−7 กรัม·ซม−2·วัน−1) ที่แนะนำว่าลาวาไม่น่าที่จะละลายในน้ำ[178]
บทความหลัก: เขตยกเว้นเชียร์โนบีล
พื้นที่ที่แต่เดิมขยายออกไป 30 กิโลเมตร (19 ไมล์) ในทุกทิศทางจากโรงไฟฟ้าถูกเรียกอย่างเป็นทางการว่า "โซนของการแยก" (อังกฤษ: zone of alienation) ซึ่งไม่มีใครอยู่เป็นส่วนใหญ่ ยกเว้นประมาณ 300 คนที่ปฏิเสธที่จะออกจากพื้นที่ พื้นที่นี้ส่วนใหญ่ได้ถูกเปลี่ยนกลับไปเป็นป่า และได้ถูกบุกรุกโดยสัตว์ป่าเพราะขาดการแข่งขันกับมนุษย์สำหรับพื้นที่และทรัพยากร แม้กระทั่งทุกวันนี้ ระดับรังสีมีสูงซะจนกระทั่งคนงานที่รับผิดชอบในการสร้างโลงศพได้รับอนุญาตให้ทำงานแค่ห้าชั่วโมงต่อวันเท่านั้นเป็นเวลาหนึ่งเดือนก่อนที่จะพักได้ 15 วัน เจ้าหน้าที่ยูเครนประเมินว่าพื้นที่นี้จะไม่ปลอดภัยต่อชีวิตมนุษย์ไปอีก 20,000 ปี[58]
ในปี 2011 ยูเครนได้เปิดโซนที่ถูกปิดผนึกรอบ ๆ เครื่องปฏิกรณ์เชียร์โนบีลให้กับนักท่องเที่ยวที่ต้องการที่จะเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นในปี 1986[179][180]
ถ้าป่าที่ถูกปนเปื้อนด้วยสารกัมมันตรังสีถูกไฟใหม้ ไฟจะแพร่กระจายสารกัมมันตรังสีให้ออกไปไกลมากขึ้นโดยไปกับควัน[181][182]
บทความหลัก: Chernobyl Shelter Fund และ Chernobyl New Safe Confinement
กองทุนโรงเก็บเชียร์โนบีลได้ก่อตั้งขึ้นในปี 1997 ที่ประชุมสุดยอด G8 ครั้งที่ 23 ที่เดนเวอร์ เพื่อเป็นเงินทุนการดำเนินงานตามแผนการสร้างโรงเก็บ (SIP) แผนนี้เรียกร้องให้มีการเปลี่ยนสถานที่ให้อยู่ในสภาพที่ปลอดภัยทางระบบนิเวศโดยใช้วิธีการรักษาเสถียรภาพของโลงศพหลังการก่อสร้างอาคารเก็บที่ปลอดภัยใหม่ (อังกฤษ: new safe confinement (NSF)) ในขณะที่การประมาณการค่าใช้จ่ายเดิมของ SIP อยู่ที่ USD 768 ล้าน การประมาณการในปี 2006 จะอยู่ที่ USD 1.2 พันล้าน SIP จะถูกจัดการโดยบริษัทร่วมทุนของ Bechtel Battelle และไฟฟ้าฝรั่งเศส และออกแบบตามแนวความคิดสำหรับ NSC ที่ประกอบด้วยซุ้มประตูเคลื่อนที่ โดยสร้างให้ไกลจากโรงเก็บเพื่อหลีกเลี่ยงรังสีที่สูง ที่จะตกลงไปในโลงศพ NSC คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2015[183] และจะเป็นโครงสร้างที่สามารถเคลื่อนย้ายได้ที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยสร้างมา
ขนาด:
โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติในปี 2003 ได้เปิดตัวโครงการเฉพาะที่เรียกว่าโครงการการกู้คืนและพัฒนาเชียร์โนบีล (CRDP) เพื่อกู้คืนพื้นที่ได้รับผลกระทบ[184] โปรแกรมถูกริเริ่มขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ 2002 ตามคำแนะนำในรายงานเกี่ยวกับผลกระทบที่ตามมากับมนุษย์เนื่องจากอุบัติเหตุนิวเคลียร์เชียร์โนบีล เป้าหมายหลักของกิจกรรมของ CRDP ก็คือการสนับสนุนรัฐบาลของประเทศยูเครนในการบรรเทาผลกระทบทางสังคม เศรษฐกิจ และระบบนิเวศระยะยาวของภัยพิบัติเชียร์โนบีล. CRDP ทำงานอยู่ในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจากเชียร์โนบีลในยูเครน 4 แห่ง ได้แก่ Kyivska, Zhytomyrska, Chernihivska และ Rivnenska
โครงการระหว่างประเทศเกี่ยวกับผลกระทบต่อสุขภาพของเชียร์โนบีลอุบัติเหตุ โครงการระหว่างประเทศเกี่ยวกับผลกระทบต่อสุขภาพของอุบัติเหตุเชียร์โนบีล (IPEHCA) ถูกจัดตั้งขึ้นและได้รับ US$ 20 ล้าน ส่วนใหญ่มาจากประเทศญี่ปุ่น ในความหวังของการค้นพบสาเหตุหลักของปัญหาสุขภาพอันเนื่องมาจากรังสี 131I เงินทุนเหล่านี้ถูกแบ่งให้กับยูเครน เบลารุสและรัสเซีย ทั้งสามประเทศที่ได้รับผลกระทบหลัก สำหรับการสืบสวนต่อไปของผลกระทบต่อสุขภาพ เนื่องจากมีการคอร์รับชั่นอย่างมีนัยสำคัญในประเทศอดีตสหภาพโซเวียต ส่วนใหญ่ของการช่วยเหลือจากต่างประเทศได้ถูกส่งไปยังรัสเซียและไม่มีผลลัพธ์ด้านบวกจากเงินจำนวนนี้มีการแสดงออกให้เห็น[ต้องการอ้างอิง]
The Front Veranda (1986), พิมพ์หินโดยซูซาน โดโรธี White ในหอศิลป์แห่งชาติของออสเตรเลีย[185] เป็นตัวอย่างของการรับรู้ทั่วโลกของเหตุการณ์ น้ำหนัก (อังกฤษ: heavy wator) ภาพยนตร์สำหรับเชียร์โนบีล ได้รับการนำเสนอวโดย Seventh Art ในปี 2006 เพื่อรำลึกถึงภัยพิบัติผ่านทางบทกวีและบัญชีมือแรก[186] ฟิล์มนำเสนอสารคดีเรื่องสั้นที่ดีที่สุดที่เทศกาลภาพยนตร์ Cinequest เช่นเดียวกับรางวัล "คะแนนที่ดีที่สุด" ที่โรดไอแลนด์[187] พร้อมกับการคัดกรองที่ Tate Modern[188]
Chernobyl Way เป็นการวิ่งแรลลี่ประจำปีในวันที่ 26 เมษายนโดยฝ่ายค้านในเบลารุสเพื่อเป็นความทรงจำของภัยพิบัติที่เชียร์โนบีล
บทความหลัก: ผลกระทบทางวัฒนธรรมของภัยพิบัติเชียร์โนบีลและการอภิปรายพลังงานนิวเคลียร์
อุบัติเหตุที่เชียร์โนบีลดึงดูดความสนใจเป็นอันมาก เพราะความไม่ไว้วางใจของผู้คนจำนวนมาก (ทั้งภายในและภายนอกสหภาพโซเวียต) ที่มีต่อหน่วยงานของสหภาพโซเวียต การอภิปรายจำนวนมากเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เชียร์โนบีลจึงเกิดขึ้นใน'โลกที่หนึ่ง'ในช่วงวันแรก ๆ ของเหตุการณ์ เพราะข้อมูลที่รวบรวมได้มีข้อบกพร่องขึ้นอยู่กับภาพที่ถ่ายจากอวกาศ มีความเข้าใจว่าปฏิกรณ์หน่วยที่สามก็ได้รับความเสียหายจากอุบัติเหตุเช่นกัน[ต้องการอ้างอิง]
ผู้สื่อข่าวก็ไม่ไว้วางใจพวกมืออาชีพ (เช่นโฆษกจาก NRPB ของสหราชอาณาจักร) และในทางเดียวกันก็สนับสนุนให้ประชาชนไม่ไว้วางใจพวกนั้นด้วย[160]
ในอิตาลี อุบัติเหตุเชียร์โนบีลได้สะท้อนให้เห็นในผลของการลงประชามติเกี่ยวกับพลังงานนิวเคลียร์เมื่อปี 1987 อันเป็นผลมาจากประชามติ อิตาลีเริ่มลดการใช้โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในปี 1988 เป็นการตัดสินใจหันหลังกลับอย่างมีประสิทธิภาพในปี 2008 การลงประชามติในปี 2011 ได้ตอกย้ำการคัดค้านอย่างแข็งแกร่งของชาวอิตาเลียนสำหรับพลังงานนิวเคลียร์ นี่เองที่เป็นการล้มเลิกการตัดสินใจของรัฐบาลในปี 2008
ในประเทศเยอรมนี อุบัติเหตุเชียร์โนบีลได้นำไปสู่การก่อตั้งกระทรวงสิ่งแวดล้อมของรัฐบาลกลาง หลังจากที่หลายรัฐบาลท้องถิ่นได้ก่อตั้งตำแหน่งดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงได้รับอำนาจดูแลความปลอดภัยของเครื่องปฏิกรณ์อีกด้วย ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคนปัจจุบันยังคงยึดถือในปี 2015 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นยังได้รับเครดิตกับการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับความเคลื่อนไหวต่อต้านนิวเคลียร์อีกด้วย ซึ่งถึงจุดสูงสุดในการตัดสินใจที่จะยุติการใช้พลังงานนิวเคลียร์ที่ได้วางแผนไว้โดยรัฐบาล Schröder ระหว่างปี 1998-2005
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.